More Related Content
Similar to ๑๐. ติลทักขิณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]).docx (20)
More from maruay songtanin (20)
๑๐. ติลทักขิณวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]).docx
- 1. 1
ติลทักขิณวิมาน
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
๑๐. ติลทักขิณวิมาน
ว่าด้วยวิมานที่เกิดขึ้นแก่หญิงผู้ถวายเมล็ดงา
(พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า)
[๘๕] เทพธิดา เธอมีผิวพรรณงามยิ่งนัก
เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอยู่ ดุจดาวประกายพรึก
[๘๖] เพราะบุญอะไรผิวพรรณเธอจึงงามเช่นนี้
ผลอันพึงปรารถนาจึงสาเร็จแก่เธอในวิมานนี้
และโภคะทั้งมวลล้วนน่าพอใจจึงเกิดขึ้นแก่เธอ
[๘๗] เทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามว่า
เมื่อเธอเกิดเป็นมนุษย์ได้ทาบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไรเธอจึงมีอานุภาพรุ่งเรือง
และมีรัศมีกายสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้
[๘๘] เทพธิดานั้นดีใจที่พระมหาโมคคัลลานเถระถาม
จึงตอบปัญหาผลกรรมตามที่พระเถระถามว่า
[๘๙] ชาติก่อนดิฉันเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์ในมนุษยโลก
[๙๐] ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสประดุจธุลี
มีพระทัยผ่องใสไม่มัวหมอง ถึงไม่ได้ตั้งใจแต่ก็เลื่อมใสแล้ว
ได้เบียดแทรกเข้าไปถวายเมล็ดงาเป็นทานแด่พระพุทธเจ้า
ผู้เป็นพระทักขิไณยบุคคลด้วยมือทั้งสองของตน
[๙๑] เพราะบุญนั้นผิวพรรณดิฉันจึงงามเช่นนี้
ผลอันพึงปรารถนาจึงสาเร็จแก่ดิฉันในวิมานนี้
และโภคะทั้งมวลล้วนน่าพอใจจึงเกิดขึ้นแก่ดิฉัน
[๙๒] ข้าแต่ภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดิฉันขอกราบเรียนว่า
เพราะบุญที่ได้ทาไว้สมัยเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ดิฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรือง
และมีรัศมีกายสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้
ติลทักขิณวิมานที่ ๑๐ จบ
-------------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของ
อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปิฐวรรคที่ ๑
๑๐. ติลทักขิณวิมาน
อรรถกถาติลทักขิณวิมาน
ติลทักขิณวิมานนั้น เกิดขึ้นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
- 2. 2
อารามของท่านอนาถบิณฑิกะ กรุงสาวัตถี. สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์
หญิงผู้หนึ่งมีครรภ์ อยากจะดื่มน้ามันงา จึงล้างเมล็ดงาแล้วให้ตากแดดไว้
แต่หญิงผู้นั้นหมดอายุแล้ว ธรรมดาจะต้องจุติในวันนั้น
เพราะกรรมของนางที่จะให้ไปนรกคอยโอกาสอยู่แล้ว.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกเวลาใกล้รุ่ง
ทรงเห็นนางด้วยทิพยจักษุ ทรงพระดาริว่า วันนี้ หญิงผู้นี้จักตายไปบังเกิดในนรก
ถ้ากระไร เราพึงทานางให้ไปสวรรค์ด้วยการรับอาหารคืองา.
พระองค์ก็เสด็จจากกรุงสาวัตถี ถึงกรุงราชคฤห์ ขณะนั้นนั่นเอง
เวลาเช้าทรงนุ่งแล้ว ก็ทรงถือบาตรและจีวรเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
เสด็จถึงประตูเรือนของนางโดยลาดับ.
หญิงผู้นั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดปีติโสมนัส
รีบลุกขึ้นประคองอัญชลีประนม ไม่เห็นสิ่งอื่นที่ควรถวาย ล้างมือเท้าแล้ว
ตะล่อมงาเป็นกอง กอบด้วยมือทั้ง ๒
เกลี่ยงาเต็มอัญชลีลงในบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วถวายบังคม.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงอนุเคราะห์นางจึงตรัสว่า จงเป็ นสุขเถิด
แล้วเสด็จกลับไป. เวลาใกล้รุ่งของคืนนั้น
นางก็ตายไปบังเกิดในวิมานทองสิบสองโยชน์
ภพดาวดึงส์เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น.
ครั้งนั้น
ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระเที่ยวเทวจาริกเข้าไปหาโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลั
ง ถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสงสว่างไปทุกทิศ
ประหนึ่งดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็ นเช่นนี้
เพราะบุญอะไร ผลนี้จึงสาเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน เพราะบุญอะไร
ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทวดานั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้.
จึงกล่าวตอบว่า
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ในชาติก่อนในมนุษยโลก
ดีฉันได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลสดุจธุลีผ่องใสไม่มัวหมอง เลื่อมใสแล้ว
ไม่ต้องการงาอีกละ จึงรวบรวมทักษิณาไทยธรรม คืองา ถวายเป็นทาน
แด่พระพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคลด้วยมือตนเอง.
เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนั้น เพราะบุญนั้น
ผลนี้จึงสาเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.