ว่าด้วย เทวดากีดกันความพยายามของคนไม่ได้ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการบรรพชาของปริพาชิกา ๔ คน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ได้ยินว่า ในนครเวสาลี มีกษัตริย์ลิจฉวี ๗ พัน ๗ ร้อย ๗ พระองค์ประทับอยู่. กษัตริย์ลิจฉวีเหล่านั้น แม้ทั้งหมดได้เป็นผู้มีพระดำริในการถามและการย้อนถาม. ครั้งนั้น นิครนถ์ผู้ฉลาดในวาทะ ๕๐๐ วาทะ คนหนึ่งมาถึงพระนครเวสาลี กษัตริย์ลิจฉวีเหล่านั้นได้ทรงกระทำการสงเคราะห์นิครนถ์นั้น. นางนิครนถ์ผู้ฉลาดเห็นปานกันแม้อีกคน ก็มาถึงพระนครเวสาลี. กษัตริย์ทั้งหลายจึงให้ชนทั้งสองแสดงวาทะ (โต้ตอบกัน) แม้ชนทั้งสองก็เป็นผู้ฉลาดเช่นเดียวกัน. ลำดับนั้น กษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายได้มีพระดำริว่า บุตรที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยคนทั้งสองนี้ จักเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม จึงให้กระทำการวิวาหมงคลแก่ชนทั้งสองนั้น แล้วให้คนแม้ทั้งสองอยู่ร่วมกัน. ต่อมา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมกันของนิครนถ์ทั้งสองนั้น จึงเกิดทาริกา ๔ คนและทารก ๑ คน โดยลำดับ. บิดามารดาได้ตั้งชื่อนางทาริกาทั้ง ๔ คนว่า นางสัจจา ๑ นางโสภา ๑ นางอธิวาทกา ๑ นางปฏิจฉรา ๑ ตั้งชื่อทารกว่า สัจจกะ คนแม้ทั้ง ๕ นั้นถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว พากันเรียนวาทะ ๑๐๐๐ วาทะ คือจากมารดา ๕๐๐ จากบิดา ๕๐๐. มารดาบิดาได้ให้โอวาทแก่นางทาริกาทั้ง ๔ อย่างนี้ว่า ถ้าใครๆ เป็นคฤหัสถ์ทำลายวาทะของพวกเจ้าได้ พวกเจ้าพึงยอมเป็นบาทบริจาริกาของเขา ถ้าเป็นบรรพชิตจักทำลายได้ ก็ควรบวชในสำนักของบรรพชิตนั้น. ในกาลต่อมา มารดาบิดาได้ทำกาลกิริยาตายไป เมื่อมารดาบิดาทำกาลกิริยาตายไปแล้ว นิครนถ์น้องชายคนสุดท้องสั่งสอนศิลปะแก่กษัตริย์ลิจฉวีอยู่ในนครเวสาลีนั้นนั่นเอง ส่วนพี่สาวทั้ง ๔ ถือกิ่งหว้าเที่ยวสัญจรจากนครนี้ไปนครนั้นเพื่อต้องการโต้วาทะ จนถึงพระนครสาวัตถี จึงปักกิ่งหว้าไว้ใกล้ประตูพระนคร แล้วกล่าวแก่พวกเด็กๆ ว่า ผู้ใดจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม สามารถยกสู้วาทะของพวกเราได้ ผู้นั้นจงเอาเท้าเกลี่ยกองฝุ่นนี้ให้กระจายแล้วเหยียบกิ่งหว้าด้วยเท้านั่นแหละ แล้วพากันเข้าไปยังพระนครเพื่อต้องการภิกษาหาร.