More Related Content
Similar to 153 สูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
153 สูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
สูกรชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๓. สูกรชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๕๓)
ว่าด้วยสุกรท้าราชสีห์
(สุกรเมื่อจะท้าราชสีห์โพธิสัตว์ให้ต่อสู้กัน จึงกล่าวว่า)
[๕] นี่สหาย เราก็มี ๔ เท้า ถึงท่านก็มี ๔ เท้า จงกลับมาก่อนสหาย
ท่านกลัวหรือ จึงได้หนีไป
(ราชสีห์โพธิสัตว์กล่าวตอบว่า)
[๖] นี่เจ้าสุกรผู้สหาย เจ้ามีเนื้อตัวไม่สะอาด ขนก็เหม็นเน่า
มีกลิ่นเหม็นคลุ้งกระจายไป ถ้าเจ้าต้องการจะสู้รบกับเรา เราขอยกชัยชนะให้เจ้า
สูกรชาดกที่ ๓ จบ
-----------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
สูกรชาดก
ว่าด้วย หมูท้าราชสีห์
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภพระเถระแก่รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
ในวันหนึ่ง เมื่อการฟังธรรมยังเป็ นไปอยู่ในตอนกลางคืน
เมื่อพระศาสดาประทับยืน ณ แผ่นหินแก้วมณี ใกล้ประตูพระคันธกุฎี
ประทานสุคโตวาทแก่หมู่ภิกษุ แล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี
พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรถวายบังคมพระศาสดา แล้วได้ไปยังบริเวณของตน
พระมหาโมคคัลลานะก็ไปยังบริเวณของตนเหมือนกัน
พักอยู่ครู่หนึ่งจึงมาหาพระเถระ แล้วถามปัญหา
พระธรรมเสนาบดีได้แก้ปัญหาที่พระมหาโมคคัลลานะถามแล้วๆ ได้ทาให้ชัดเจน
ดุจทาพระจันทร์ให้ปรากฏบนท้องฟ้ า แม้บริษัทสี่ก็นั่งฟังธรรมอยู่.
ณ ที่นั้น พระเถระแก่รูปหนึ่งคิดว่า หากเราจะเย้าพระสารีบุตร
ถามปัญหาในท่ามกลางบริษัทนี้ บริษัทนี้รู้ว่า ภิกษุนี้เป็นพหูสูต
ก็จักกระทาสักการะและยกย่อง
จึงลุกขึ้นจากระหว่างบริษัทเข้าไปหาพระเถระยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง แล้วกล่าวว่า
ดูก่อนอาวุโสสารีบุตร ข้าพเจ้าจักถามปัญหาข้อหนึ่งกะท่าน
ขอจงให้โอกาสแก่เราบ้าง ขอท่านจงให้การวินิจฉัยแก่ข้าพเจ้า โดยอ้อมก็ตาม
โดยตรงก็ตาม ในการติเตียนก็ตาม ในการยกย่องก็ตาม ในการวิเศษก็ตาม
ในการไม่วิเศษก็ตาม.
พระเถระแลดูพระแก่นั้นแล้วคิดว่า หลวงตานี่ตั้งอยู่ในความริษยา โง่
- 2. 2
ไม่รู้อะไรเลย จึงไม่พูดกับพระแก่นั้น ละอายใจวางพัดวีชนี
ลงจากอาสนะเข้าไปยังบริเวณ
แม้พระมหาโมคคัลลานเถระก็ได้เข้าไปยังบริเวณของตนเหมือนกัน.
พวกมนุษย์พากันลุกขึ้นประกาศว่า พวกท่านจงจับพระแก่ใจร้ายนี้
ไม่ให้พวกเราได้ฟังธรรมอันไพเราะ แล้วก็พากันติดตามไป
พระเถระนั้นหนีไปตกในวัจจกุฏีเต็มด้วยคูถซึ่งมีไม้เลียงหักพังท้ายวิหาร
ลุกขึ้นมาทั้งที่เปื้อนคูถ.
พวกมนุษย์เห็นดังนั้นพากันรังเกียจ ได้ไปเฝ้ าพระศาสดา.
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นมนุษย์เหล่านั้น จึงตรัสถามว่า
อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย พวกท่านมาทาไมนอกเวลา.
พวกมนุษย์พากันกราบทูลเนื้อความให้ทรงทราบ.
พระศาสดาตรัสว่า อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ภิกษุแก่นี้ผยอง
ไม่รู้กาลังของตน ทาทัดเทียมกับผู้มีกาลังมาก แล้วก็เปื้อนคูถ มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น
แม้เมื่อก่อนภิกษุแก่นี้ก็เคยผยองไม่รู้กาลังของตน ทาทัดเทียมกับผู้มีกาลังมาก
แล้วก็เปื้อนคูถ.
เมื่ออุบาสกอุบาสิกาทูลอาราธนา จึงทรงนาเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า
ครั้งอดีต เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในถ้าภูเขา ใกล้หิมวันตประเทศ.
ในที่ไม่ไกลภูเขานั้น มีสุกรเป็ นอันมากอาศัยสระแห่งหนึ่งอยู่
พระดาบสทั้งหลายก็อาศัยสระนั้น อยู่บนบรรณศาลา
อยู่มาวันหนึ่ง ราชสีห์ฆ่าสัตว์มีกระบือและช้างเป็ นต้นตัวใดตัวหนึ่ง
เคี้ยวกินเนื้อจนเพียงพอแล้ว ลงไปยังสระนั้นดื่มน้าขึ้นมา. ขณะนั้น
สุกรอ้วนตัวหนึ่งเที่ยวหาอาหารอยู่แถวสระนั้น. ราชสีห์เห็นสุกรอ้วนตัวนั้น
จึงคิดว่า สักวันหนึ่งเราจักกินเจ้าสุกรตัวนี้ แต่มันเห็นเราเข้าจะไม่มาอีก
เพราะกลัวมันจะไม่กลับมา จึงขึ้นจากสระหลบไปเสียข้างหนึ่ง.
สุกรมองดูราชสีห์คิดว่า ราชสีห์นี้พอเห็นเราเข้าก็ไม่อาจจะเข้าใกล้เพราะกลัวเรา
จึงหนีไปเพราะความกลัว. วันนี้ เราควรจะต้องต่อสู้กับราชสีห์นี้
แล้วชูหัวร้องเรียกราชสีห์ให้มาต่อสู้กัน กล่าวคาถาแรกว่า :-
ดูก่อนสหาย เราก็มี ๔ เท้า แม้ท่านก็มี ๔ เท้า
จงกลับมาสู้กันก่อนเถิดสหาย ท่านกลัวหรือจึงหนีไป.
ราชสีห์ได้ฟังคาท้าของสุกรนั้น จึงกล่าวว่า ดูก่อนสหายสุกร
วันนี้เราไม่สู้กับท่าน แต่จากนี้ไป ๗ วัน จงมาสู้กันในที่นี้แหละ แล้วก็หลีกไป.
สุกรรื่นเริงเบิกบานใจว่า เราจักได้สู้กับราชสีห์ จึงเล่าเรื่องนั้นให้พวกญาติฟัง
พวกญาติสุกรฟังแล้วพากันตกใจกลัวพูดขึ้นว่า
เจ้าจะพาพวกเราทั้งหมดให้ถึงความฉิบหายกันคราวนี้แหละ
- 3. 3
เจ้าไม่รู้จักกาลังของตัวจะหวังสู้กับราชสีห์
ราชสีห์จักมาทาให้เราทั้งหมดถึงแก่ความตาย เจ้าอย่าทากรรมอุกอาจนักเลย.
สุกรสะดุ้งตกใจกลัวถามว่า คราวนี้เราจะทาอย่างไรดีเล่า
พวกสุกรต่างพากันพูดว่า นี่แน่ะสหาย
เจ้าจงไปในที่ถ่ายอุจจาระของพวกดาบสเหล่านี้ แล้วเกลือกตัวเข้าที่คูถเหม็น
รอให้ตัวแห้งสัก ๗ วัน ถึงวันที่ ๗ จงเกลือกตัวให้ชุ่มด้วยน้าค้าง
แล้วมาก่อนราชสีห์มา จงสังเกตทางลม แล้วยืนอยู่เหนือลม
ราชสีห์เป็นสัตว์สะอาดได้กลิ่นตัวเพื่อนแล้ว จักให้เพื่อนชนะแล้วกลับไป.
สุกรอ้วนได้ทาตามนั้น ในที่วันที่ ๗ ได้ไปยืนอยู่ ณ ที่นั้น.
ราชสีห์ได้กลิ่นตัวมันเข้า ก็รู้ว่าตัวเปื้อนคูถ จึงกล่าวว่า ดูก่อนเพื่อนสุกร
ท่านคิดชั้นเชิงดีมาก หากท่านไม่เปื้อนคูถ เราจักฆ่าท่านเสียตรงนี้แหละ แต่บัดนี้
เราไม่อาจกัดตัวท่านด้วยปาก เหยียบตัวท่านด้วยเท้าได้ เราให้ท่านชนะแล้ว
จึงกล่าวคาถาที่สองว่า :-
ดูก่อนสุกร เจ้าเป็นสัตว์สกปรก มีขนเหม็นเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้ งไป
ดูก่อนสหาย หากท่านประสงค์จะสู้กับเรา เราก็จะให้ชัยชนะแก่ท่าน.
ราชสีห์ ครั้นกล่าวว่า เราแพ้แล้ว เจ้าไปเสียเถิดดังนี้
แล้วก็กลับจากที่นั้น เที่ยวแสวงหาอาหาร ดื่มน้าในสระ
เสร็จแล้วก็กลับเข้าถ้าภูเขาตามเดิม. แม้สุกรก็บอกแก่พวกญาติว่า
เราชนะราชสีห์แล้ว. พวกสุกรเหล่านั้นพากันตกใจกลัวว่า
ราชสีห์จะกลับมาสักวันหนึ่งอีก จักฆ่าพวกเราตายหมด จึงพากันหนีไปอยู่ที่อื่น.
พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
จึงทรงประชุมชาดก.
สุกรในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุแก่ในครั้งนี้
ส่วนราชสีห์ได้เป็น เราตถาคต นี้แล.
-----------------------------------------------------