SlideShare a Scribd company logo
1
กุลาวกชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๔. กุลาวกวรรค
หมวดว่าด้วยลูกนกครุฑ
๑. กุลาวกชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๓๑)
ว่าด้วยลูกนกครุฑ
(ท้าวสักกะโพธิสัตว์ยอมสละชีวิตให้พวกอสูร
ตรัสสั่งให้มาตลีเทพสารถีหันรถกลับเพราะกลัวลูกนกจะตายว่า)
[๓๑] มาตลีเทพบุตร ที่ต้นงิ้วมีลูกนกครุฑอยู่ เธอจงหันงอนรถกลับ
เราประสงค์จะสละชีวิตให้พวกอสูร ลูกนกพวกนี้อย่าได้แหลกลาญเลย
กุลาวกชาดกที่ ๑ จบ
--------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
เอกกนิบาตชาดก กุลาวกวรรค
๑. กุลาวกชาดก ว่าด้วยการเสียสละ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้ดื่มน้าที่ไม่ได้กรอง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุหนุ่มสองสหายจากเมืองสาวัตถีไปยังชนบท
อยู่ในที่ผาสุกแห่งหนึ่งตามอัธยาศัย แล้วคิดว่าจักเฝ้ าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงออกจากชนบทนั้น มุ่งหน้าไปยังพระเชตวันอีก. ก็ภิกษุรูปหนึ่งมีเครื่องกรองน้า
ส่วนรูปหนึ่งไม่มี แม้ภิกษุทั้งสองรูปก็ร่วมกันกรองน้าดื่ม แล้วจึงดื่ม.
วันหนึ่ง ภิกษุทั้งสองรูปนั้นได้ทาการวิวาทโต้เถียงกัน.
ภิกษุผู้เป็นเจ้าของเครื่องกรองน้า ไม่ให้เครื่องกรองน้าแก่ภิกษุนอกนี้
กรองน้าดื่มเฉพาะตนเองแล้วดื่ม. ส่วนภิกษุนอกนี้ไม่ได้เครื่องกรองน้า
เมื่อไม่อาจอดกลั้นความกระหาย จึงดื่มน้าดื่มที่ไม่ได้กรอง.
ภิกษุ แม้ทั้งสองนั้นมาถึงพระเชตวันวิหารโดยลาดับ
ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง.
พระศาสดาทรงตรัสสัมโมทนียกถาแล้ว ตรัสถามว่า
พวกเธอมาจากไหน?
ภิกษุทั้งสองนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกข้าพระองค์อยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท
ออกจากบ้านนั้นมาเพื่อจะเฝ้ าพระองค์.
พระศาสดาตรัสถามว่า พวกเธอเป็นผู้สมัครสมาน
พากันมาแล้วแลหรือ?
2
ภิกษุผู้ไม่กรองน้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภิกษุนี้กระทาการวิวาทโต้เถียงกันกับข้าพระองค์ ในระหว่างทาง
แล้วไม่ให้เครื่องกรองน้า พระเจ้าข้า.
ภิกษุนอกนี้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้ไม่กรองน้าเลย
รู้อยู่ ดื่มน้ามีตัวสัตว์.
พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอรู้อยู่
ดื่มน้ามีตัวสัตว์จริงหรือ?
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ดื่มน้าไม่ได้กรอง พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน
ครองราชสมบัติในเทพนคร พ่ายแพ้ในการรบ เมื่อจะหนีไปทางหลังสมุทร
จึงคิดว่า เราจักไม่ทาการฆ่าสัตว์ เพราะอาศัยความเป็นใหญ่
ได้สละยศใหญ่ให้ชีวิตแก่ลูกนกครุฑ จึงให้กลับรถก่อน.
แล้วทรงนาอดีตนิทานมาว่า
ในอดีตกาล พระเจ้ามคธราชพระองค์หนึ่งครองราชสมบัติ
อยู่ในนครราชคฤห์ แคว้นมคธ.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นบุตรของตระกูลใหญ่
ในบ้านมจลคามนั้นนั่นแหละ เหมือนอย่างในบัดนี้
ท้าวสักกะบังเกิดในบ้านมจลคาม แคว้นมคธ ในอัตภาพก่อน ฉะนั้น.
ก็ในวันตั้งชื่อพระโพธิสัตว์นั้น
ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อว่ามฆกุมาร. มฆกุมารนั้นเจริญวัยแล้ว
ปรากฏชื่อว่ามฆมาณพ. ลาดับนั้น บิดามารดาของมฆมาณพนั่น
นาเอานางทาริกามาจากตระกูลที่มีชาติเสมอกัน.
มฆมาณพนั้นเจริญด้วยบุตรและธิดาทั้งหลาย ได้เป็ นทานบดี รักษาศีล ๕.
ก็ในบ้านนั้น มีอยู่ ๓๐ ตระกูลเท่านั้น และวันหนึ่งคนในตระกูลทั้ง ๓๐
ตระกูลนั้น ยืนอยู่กลางบ้าน ทาการงานในบ้าน.
พระโพธิสัตว์เอาเท้าทั้งสองกวาดฝุ่นในที่ที่ยืนอยู่
กระทาประเทศที่นั้นให้น่ารื่นรมย์ยืนอยู่แล้ว. ครั้งนั้น คนอื่นผู้หนึ่งมายืนในที่นั้น.
พระโพธิสัตว์จึงกระทาที่อื่นอีกให้น่ารื่นรมย์แล้วได้ยืนอยู่. แม้ในที่นั้น
คนอื่นก็มายืนเสีย. พระโพธิสัตว์ได้กระทาที่อื่นๆ แม้อีกให้น่ารื่นรมย์
รวมความว่า ได้กระทาที่ที่ยืนให้น่ารื่นรมย์แม้แก่คนทั้งปวง.
สมัยต่อมา ให้สร้างปะราลงในที่นั้น แม้ปะราก็ให้รื้อออกเสีย
แล้วให้สร้างศาลา ปูอาสนะแผ่นกระดานในศาลานั้น แล้วตั้งตุ่มน้าดื่มไว้.
สมัยต่อมา ชน ๓๒ คนแม้เหล่านั้นได้มีฉันทะเสมอกันกับพระโพธิสัตว์.
พระโพธิสัตว์จึงให้ชน ๓๒ คนนั้นตั้งอยู่ในศีล ๕ ตั้งแต่นั้นไป
3
ก็เที่ยวทาบุญทั้งหลายพร้อมกับคนเหล่านั้น.
ชนแม้เหล่านั้น เมื่อกระทาบุญกับพระโพธิสัตว์นั้นนั่นแล
จึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ถือมีด ขวานและสาก เอาสากทุบหินให้แตก ในหนทางใหญ่ ๔
แพร่งเป็ นต้น แล้วกลิ้งไป นาเอาต้นไม้ที่กระทบเพลารถทั้งหลายออกไป
กระทาที่ขรุขระให้เรียบ ทอดสะพาน ขุดสระโบกขรณี สร้างศาลา ให้ทาน
รักษาศีล โดยมาก ชาวบ้านทั้งสิ้นตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้วรักษาศีล
ด้วยประการอย่างนี้.
ลาดับนั้น นายบ้านของชนเหล่านั้นคิดว่า ในกาลก่อน
เมื่อคนเหล่านี้ดื่มสุรา กระทาปาณาติบาตเป็นต้น เรายังได้ทรัพย์
ด้วยอานาจกหาปณะค่าตุ่ม (สุรา) เป็นต้น และด้วยอานาจพลีค่าสินไหม แต่บัดนี้
มฆมาณพให้รักษาศีล ไม่ให้ชนเหล่านั้นกระทาปาณาติบาตเป็ นต้น อนึ่ง บัดนี้
จักให้เราทั้งหลายรักษาศีล ๕ จึงโกรธเข้าไปเฝ้ าพระราชา แล้วกราบทูลว่า
ข้าแต่สมมติเทพ พวกโจรเป็นอันมากเที่ยวกระทาการฆ่าชาวบ้านเป็นต้น.
พระราชาได้ทรงสดับคาของนายบ้านนั้น จึงรับสั่งว่า ท่านจงไปนาคนเหล่านั้นมา
นายบ้านนั้นจึงไปจองจาชนเหล่านั้นทั้งหมด แล้วนามา กราบทูลแด่พระราชาว่า
ข้าแต่สมมติเทพ พวกคนที่ข้าพระบาทนามานี้ เป็ นโจร พระเจ้าข้า.
ลาดับนั้น พระราชาไม่ทรงชาระกรรมของชนเหล่านั้นเลย รับสั่งว่า
ท่านทั้งหลายจงให้ช้างเหยียบชนเหล่านี้. แต่นั้น
ราชบุรุษจึงให้ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ให้นอนที่พระลานหลวง แล้วนาช้างมา.
พระโพธิสัตว์ได้ให้โอวาทแก่ชนเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงราพึงถึงศีล
จงเจริญเมตตาในคนผู้กระทาการส่อเสียด ในพระราชา
ในช้างและในร่างกายของตน ให้เป็ นเช่นเดียวกัน ชนเหล่านั้นได้กระทาอย่างนั้น.
ลาดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลายจึงนาช้างเข้าไป
เพื่อต้องการให้เหยียบชนเหล่านั้น ช้างนั้นแม้จะถูกคนนาเข้าไป ก็ไม่เข้าไป
ร้องเสียงลั่นแล้วหนีไป. ลาดับนั้น จึงนาช้างเชือกอื่นๆ มา.
ช้างแม้เหล่านั้นก็หนีไปอย่างนั้นเหมือนกัน.
พระราชาตรัสว่า จักมีโอสถบางอย่างอยู่ในมือของชนเหล่านี้
พวกท่านจงค้นดู.
พวกราชบุรุษตรวจค้นดูแล้วก็ไม่เห็น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ
ไม่มี พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น ชนเหล่านี้จักร่ายมนต์อะไรๆ
พวกท่านจงถามพวกเขาดูว่า มนต์สาหรับร่ายของท่านทั้งหลายมีอยู่หรือ?
ราชบุรุษทั้งหลายจึงได้ถาม.
พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า มี.
ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นัยว่า มีมนต์สาหรับร่าย
4
พะย่ะค่ะ.
พระราชารับสั่งให้เรียกชนเหล่านั้น แม้ทั้งหมดมา แล้วตรัสว่า
ท่านทั้งหลายจงบอกมนต์ที่ท่านทั้งหลายรู้.
พระโพธิสัตว์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ
ชื่อว่ามนต์ของข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างอื่นไม่มี
แต่ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นคนประมาณ ๓๓ คน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์
ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กล่าวคาเท็จ ไม่ดื่มน้าเมา เจริญเมตตา ให้ทาน
กระทาทางให้สม่าเสมอ ขุดสระโบกขรณี สร้างศาลา นี้เป็ นมนต์
เป็นเครื่องป้ องกัน เป็นความเจริญของข้าพระองค์ทั้งหลาย.
พระราชาทรงเลื่อมใสต่อชนเหล่านั้น
ได้ทรงให้สมบัติในเรือนทั้งหมดของนายบ้านผู้กระทาการส่อเสียด
และได้ทรงให้นายบ้านนั้นให้เป็ นทาสของชนเหล่านั้น
ทั้งได้ทรงให้ช้างและบ้านแก่ชนเหล่านั้นเหมือนกัน.
จาเดิมแต่นั้น ชนเหล่านั้นกระทาบุญทั้งหลายตามความชอบใจ คิดว่า
จักสร้างศาลาใหญ่ในทาง ๔ แพร่ง จึงให้เรียกช่างไม้ มาแล้วเริ่มสร้างศาลา แต่ว่า
ไม่ได้ให้มาตุคามทั้งหลายมีส่วนบุญในศาลานั้น
เพราะไม่มีความพอใจในมาตุคามทั้งหลาย.
ก็สมัยนั้น ในเรือนของพระโพธิสัตว์มีสตรี ๔ คน คือ นางสุธรรมา
นางสุจิตรา นางสุนันทา และนางสุชาดา.
บรรดาสตรีเหล่านั้น นางสุธรรมาเป็นอันเดียวกันกับช่างไม้ กล่าวว่า
พี่ช่าง ท่านจงทาฉันให้เป็นใหญ่ในศาลานี้ ดังนี้แล้วได้ให้สินบน.
ช่างไม้นั้นรับคาแล้ว ยังไม้ช่อฟ้ าให้แห้งก่อนทีเดียว
แล้วถากเจาะทาช่อฟ้ าให้เสร็จ แล้วจะยกช่อฟ้ า จึงกล่าวว่า ตายจริง
เจ้านายทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้ระลึกถึงสิ่งของอย่างหนึ่ง.
ชนเหล่านั้นถามว่า ท่านผู้เจริญของชื่ออะไร.
ช่างไม้กล่าวว่า การได้ช่อฟ้ าจึงจะควร. ชนเหล่านั้นกล่าวว่า ช่างเถิด
เราจักนามาให้.
ช่างไม้กล่าวว่า พวกเราไม่อาจทาด้วยไม้ที่ตัดในเดี๋ยวนี้
จะต้องได้ช่อฟ้ าที่เขาตัดไว้ก่อน แล้วถาก เจาะทาสาเร็จแล้ว จึงจะควร,
ชนเหล่านั้นกล่าวว่า บัดนี้ จะทาอย่างไร.
ช่างไม้กล่าวว่า ถ้าช่อฟ้ าสาหรับขายที่เขาทาไว้
เสร็จแล้วเก็บไว้ในเรือนของใครๆ มีอยู่ ท่านต้องหาช่อฟ้ าอันนั้น. ชนเหล่านั้น
เมื่อแสวงหาได้พบในเรือนของนางสุธรรมา ไม่ได้ด้วยมูลค่า
แต่เมื่อนางสุธรรมากล่าวว่า ถ้าท่านทั้งหลายจะกระทาข้าพเจ้าให้มีส่วนบุญด้วย
ข้าพเจ้าจึงจักให้. จึงพากันกล่าวว่า พวกเราจะไม่ให้ส่วนบุญแก่มาตุคามทั้งหลาย.
5
ลาดับนั้น ช่างไม้จึงกล่าวกะชนเหล่านั้นว่า
เจ้านายท่านทั้งหลายพูดอะไร ชื่อว่าที่ที่เว้นจากมาตุคามที่อื่น ย่อมไม่มี
เว้นพรหมโลก ท่านทั้งหลายจงถือเอาช่อฟ้ าเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น
การงานทั้งหลายของพวกเราจักถึงความสาเร็จ. ชนเหล่านั้นกล่าวว่า ดีละ
แล้วถือเอาช่อฟ้ ายังศาลาให้สาเร็จแล้ว ปูแผ่นกระดานสาหรับนั่ง ตั้งตุ่มน้าดื่ม
เริ่มตั้งยาคูและภัตเป็ นต้นเป็ นประจา ล้อมศาลาด้วยกาแพง ประกอบประตู
เกลี่ยทรายภายในกาแพง ปลูกแถวต้นตาลภายนอกกาแพง.
ฝ่ายนางสุจิตราให้กระทาอุทยานในที่นั้น ไม่มีคาที่จะพูดว่า
ต้นไม้ที่มีดอกและไม้ที่มีผล ชื่อโน้น ไม่มีในอุทยานนั้น.
ฝ่ายนางสุนันทาให้กระทาสระโบกขรณีในที่นั้นเหมือนกัน ให้ดารดาษด้วยปทุม ๕
สี น่ารื่นรมย์.
นางสุชาดาไม่ได้กระทาอะไร?
พระโพธิสัตว์บาเพ็ญวัตรบท ๗ เหล่านี้ คือ การบารุงมารดา ๑
การบารุงบิดา ๑ การกระทาความอ่อนน้อมถ่อมตนแก่คนผู้เป็นใหญ่ในตระกูล ๑
การกล่าววาจาสัตย์ ๑ วาจาไม่หยาบ ๑ วาจาไม่ส่อเสียด ๑
และการนาไปให้พินาศซึ่งความตระหนี่ ๑ ถึงความเป็ นผู้ควรสรรเสริญอย่างนี้ว่า
เทพทั้งหลายชั้นดาวดึงส์กล่าวนรชน ผู้เป็นคนพอเลี้ยงบิดามารดา
ผู้มีปรกติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญที่สุดในตระกูล ผู้กล่าววาจากลมเกลี้ยงอ่อนหวาน
ผู้ละคาส่อเสียด ผู้ประกอบในการทาความตระหนี่ให้พินาศ ผู้มีคาสัจ
ครอบงาความโกรธได้นั้นแล ว่าเป็นสัปบุรุษ.
ในเวลาสิ้นชีวิต บังเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช ในภพดาวดึงส์
สหายของพระโพธิสัตว์นั้นทั้งหมด พากันบังเกิดในภพดาวดึงส์นั้น เหมือนกัน.
ในกาลนั้น อสูรทั้งหลายอยู่อาศัยในภพดาวดึงส์.
ท้าวสักกเทวราชทรงดาริว่า
เราทั้งหลายจะประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติ อันเป็นสาธารณะทั่วไปแก่คนอื่น
จึงให้พวกอสูรดื่มน้าดื่มอันเป็นทิพย์ แล้วให้จับพวกอสูรผู้เมาแล้วที่เท้า
แล้วโยนลงไปที่เชิงเขาสิเนรุ.
พวกอสูรเหล่านั้นย่อมถึงภพอสูร นั่นแล.
ชื่อว่า ภพอสูรมีขนาดเท่าดาวดึงสเทวโลกอยู่ ณ พื้นภายใต้เขาสิเนรุ
ในภพอสูรนั้นได้มีต้นไม้ตั้งอยู่ชั่วกัป ชื่อว่าต้นจิตตปาตลิ
(แคฝอย) เหมือนต้นปาริฉัตตกะของเหล่าเทพ. เมื่อต้นจิตตปาตลิบาน
พวกอสูรเหล่านั้นก็รู้ว่า นี้ไม่ใช่เทวโลกของพวกเรา เพราะว่า ในเทวโลก
ต้นปาริฉัตตกะย่อมบาน.
ลาดับนั้น พวกอสูรเหล่านั้นจึงกล่าวว่า ท้าวสักกะแก่ทาพวกเราให้เมา
แล้วโยนลงหลังมหาสมุทร ยึดเทพนครของพวกเรา
6
เราทั้งหลายนั้นจักรบกับท้าวสักกะแก่นั้น
แล้วยึดเอาเทพนครของพวกเราเท่านั้นคืนมา
จึงลุกขึ้นเที่ยวสัญจรไปตามเขาสิเนรุ เหมือนมดแดงไต่เสา ฉะนั้น.
ท้าวสักกะทรงสดับว่า พวกอสูรขึ้นมา จึงเหาะขึ้นเฉพาะหลังสมุทร
รบอยู่ถูกพวกอสูรเหล่านั้นให้พ่ายแพ้ จึงเริ่มหนีไปสุดมหาสมุทรด้านทิศเหนือ
ด้วยเวชยันตรถมีประมาณ ๑๕๐ โยชน์.
ลาดับนั้น รถของท้าวสักกะนั้นแล่นไปบนหลังสมุทร ด้วยความเร็ว
จึงแล่นเข้าไป ยังป่าไม้งิ้ว ทาลายป่าไม้งิ้ว ในหนทางที่ท้าวสักกะนั้นเสด็จไป
เหมือนทาลายป่าไม้อ้อ ขาดตกลงไปบนหลังสมุทร
พวกลูกนกครุฑพลัดตกลงบนหลังมหาสมุทร พากันร้องเสียงขรม.
ท้าวสักกะตรัสถามมาตลีสารถีว่า มาตลีผู้สหาย นั่นเสียงอะไร
เสียงร้องน่ากรุณายิ่งนักเป็นไปอยู่?
พระมาตลีทูลว่า ข้าแต่เทพ เมื่อป่าไม้งิ้วแหลกไป
ด้วยกาลังความเร็วแห่งรถของพระองค์ แล้วตกลงไป
พวกลูกนกครุฑถูกมรณภัยคุกคาม จึงพากันร้องเป็ นเสียงเดียวกัน.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนมาตลีผู้สหาย
ลูกนกครุฑเหล่านี้จงอย่าลาบาก เหตุอาศัยเราเลย เราจะไม่อาศัยความเป็นใหญ่
กระทากรรมคือการฆ่าสัตว์ ก็เพื่อประโยชน์แก่ลูกนกครุฑนั้น
เราจักสละชีวิตให้แก่พวกอสูร ท่านจงกลับรถนั่น.
แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
ดูก่อนมาตลีเทพบุตร ที่ต้นงิ้วมีลูกนกครุฑจับอยู่
ท่านจงหันหน้ารถกลับ เรายอมสละชีวิตให้พวกอสูร ลูกนกครุฑเหล่านี้
อย่าแหลกรานเสียเลย.
พระมาตลีสารถีได้ฟังคาของท้าวสักกะนั้นแล้ว
จึงกลับรถหันหน้ามุ่งไปยังเทวโลก โดยหนทางอื่น.
ฝ่ายพวกอสูรพอเห็นท้าวสักกะกลับรถเท่านั้น คิดว่า ท้าวสักกะจากจักรวาลแม้อื่น
พากันมาเป็นแน่ รถจักกลับเพราะได้กาลังพล เป็ นผู้กลัวต่อมรณภัย
จึงพากันหนีเข้าไปยังภพอสูรตามเดิม.
ฝ่ายท้าวสักกะก็เสด็จเข้ายังเทพนคร
แวดล้อมด้วยหมู่เทพในเทวโลกทั้งสอง ได้ประทับยืนอยู่ในท่ามกลางนคร.
ขณะนั้น เวชยันตปราสาทสูงพันโยชน์ชาแรกปฐพีผุดขึ้น
เพราะปราสาทผุดขึ้นในตอนสุดท้ายแห่งชัยชนะ เทพทั้งหลายจึงขนานนาม
ปราสาทนั้นว่าเวชยันตะ. ลาดับนั้น ท้าวสักกะทรงตั้งอารักขาในที่ ๕ แห่ง
ก็เพื่อต้องการไม่ให้พวกอสูรกลับมาอีก ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
ในระหว่างอยุชฌบุรีทั้งสอง
7
ท้าวสักกะทรงตั้งการรักษาอย่างแข็งแรงไว้ ๕ แห่งนาค ๑ ครุฑ ๑ กุมภัณฑ์ ๑
ยักษ์ ๑ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ๑.
แม้นครทั้งสอง คือเทพนคร และอสูรนครก็ชื่อว่าอยุทธปุระ
เพราะใครๆ ไม่อาจยึดได้ด้วยการรบ เพราะว่า ในกาลใด พวกอสูรมีกาลัง
ในกาลนั้น เมื่อพวกเทวดาหนีเข้าเทพนคร แล้วปิดประตูไว้
แม้พวกอสูรตั้งแสนก็ไม่อาจทาอะไรได้. ในกาลใด พวกเทวดามีกาลัง ในกาลนั้น
เมื่อพวกอสูรหนีไปปิดประตูอสูรนครเสีย พวกเทวดาแม้ตั้งแสน
ก็ไม่อาจทาอะไรได้ ดังนั้น นครทั้งสองนี้จึงชื่อว่า อยุชฌปุระ เมืองที่ใครๆ
รบไม่ได้.
ก็เมื่อท้าวสักกะจอมเทพทรงตั้งอารักขาในที่ ๕ แห่งเหล่านี้
แล้วเสวยทิพยสมบัติอยู่
นางสุธรรมาจุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั่นแหละ.
ก็เทวสภาชื่อว่า สุธรรมา มีประมาณ ๕๐๐ โยชน์
ซึ่งเป็ นที่ที่ท้าวสักกะจอมเทพประทับนั่งบนบัลลังก์ทองขนาดหนึ่งโยชน์
ภายใต้เศวตฉัตรทิพย์ ทรงกระทากิจที่จะพึงกระทาแก่เทวดาและมนุษย์
ได้เกิดขึ้นแก่นางสุธรรมา เพราะผลวิบากที่ให้ช่อฟ้ า.
ฝ่ายนางสุจิตราก็จุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั้นเหมือ
นกัน และอุทยานชื่อว่า จิตรลดาวัน ก็เกิดขึ้นแก่นางสุจิตรานั้น
เพราะผลวิบากของการกระทาอุทยาน.
ฝ่ายนางสุนันทาก็จุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั้นเหมื
อนกัน และสระโบกขรณีชื่อว่า นันทา ก็เกิดขึ้นแก่นางสุนันทานั้น
เพราะผลวิบากของการขุดสระโบกขรณี.
ส่วนนางสุชาดาบังเกิดเป็ นนางนกยาง อยู่ที่ซอกเขาในป่าแห่งหนึ่ง
เพราะไม่ได้กระทากุศลกรรมไว้. ท้าวสักกะทรงพระราพึงว่า
นางสุชาดาไม่ปรากฏ นางบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ. ครั้นทรงเห็นนางสุชาดานั้น
จึงเสด็จไปที่ซอกเขานั้น พานางมายังเทวโลก ทรงแสดงเทพนครอันน่ารื่นรมย์
เทวสภาชื่อ สุธรรมา สวนจิตรลดาวันและนันทาโบกขรณี แก่นาง
แล้วทรงโอวาทนางว่า หญิงเหล่านี้ได้กระทากุศลไว้
จึงมาบังเกิดเป็ นบาทบริจาริกาของเรา ส่วนเธอไม่ได้กระทากุศลไว้
จึงบังเกิดในกาเนิดเดียรัจฉาน ตั้งแต่นี้ไป เธอจงรักษาศีล แล้วให้นางตั้งอยู่ในศีล
๕ แล้วนาไปปล่อยไว้ ณ ซอกเขานั้นนั่นแหละ.
ฝ่ายนางนกยางนั้น ก็รักษาศีลตั้งแต่กาลนั้น โดยล่วงไป ๒-๓ วัน
ท้าวสักกะทรงดาริว่า นางนกยางอาจรักษาศีลหรือหนอ จึงเสด็จไปแปลงรูปเป็ น
ปลานอนหงายอยู่ข้างหน้า. นางนกยางนั้นสาคัญว่า ปลาตาย จึงได้คาบที่หัว
ปลากระดิกหาง. ลาดับนั้น นางนกยางนั้นจึงปล่อยปลานั้น ด้วยสาคัญว่า
8
เห็นจะเป็ นปลามีชีวิตอยู่. ท้าวสักกะตรัสว่า สาธุ สาธุ เธออาจรักษาศีลได้
แล้วได้เสด็จไปยังเทวโลก
นางนกยางนั้นจุติจากอัตภาพนั้น มาบังเกิดในเรือนของนายช่างหม้อ
ในนครพาราณสี.
ท้าวสักกะทรงพระดาริว่า นางนกยางบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ ทรงรู้ว่า
เกิดในตระกูลช่างหม้อ จึงทรงเอาฟักทองคาบรรทุกเต็มยานน้อย
แปลงเพศเป็นคนแก่ นั่งอยู่กลางบ้านป่าวร้องว่า ท่านทั้งหลายจงรับเอาฟักเหลือง
คนทั้งหลายมากล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้. ท้าวสักกะตรัสว่า
เราให้แก่คนทั้งหลายผู้รักษาศีล ท่านทั้งหลายจงรักษาศีล คนทั้งหลายกล่าวว่า
ขึ้นชื่อว่าศีล พวกเราไม่รู้จัก ท่านจงให้ด้วยมูลค่า. ท้าวสักกะตรัสว่า
เราไม่ต้องการมูลค่า เราจะให้เฉพาะแก่ผู้รักษาศีลเท่านั้น. คนทั้งหลายกล่าวว่า
นี้ฟักเหลืองอะไรกันหนอ แล้วก็หลีกไป.
นางสุชาดาได้ฟังข่าวนั้นแล้ว คิดว่า เขาจักนามาเพื่อเรา จึงไปพูดว่า
ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้เถิด.
ท้าวสักกะตรัสว่า แม่ เธอรักษาศีลแล้วหรือ.
นางสุชาดากล่าวว่า จ้ะ ฉันรักษาศีล.
ท้าวสักกะตรัสว่า สิ่งนี้เรานามาเพื่อประโยชน์แก่เจ้าเท่านั้น
แล้ววางไว้ที่ประตูบ้านพร้อมกับยานน้อย แล้วหลีกไป.
ฝ่ายนางสุชาดานั้นรักษาศีลจนตลอดชั่วอายุ จุติจากอัตภาพนั้น
ไปบังเกิดเป็นธิดาของจอมอสูรนามว่า เวปจิตติ ได้เป็นผู้มีรูปร่างงดงาม
ด้วยอานิสงส์แห่งศีล.
ในเวลาธิดานั้นเจริญวัยแล้ว ท้าวเวปจิตตินั้นดาริว่า
ธิดาของเราจงเลือกสามีตามความชอบใจของตน จึงให้พวกอสูรประชุมกัน.
ท้าวสักกะทรงตรวจดูว่า นางสุชาดานั้นบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ.
ครั้นทรงทราบว่า นางเกิดในภพอสูรนั้น จึงทรงดาริว่า นางสุชาดา
เมื่อจะเลือกเอาสามีตามที่ใจชอบ จักเลือกเอาเรา จึงทรงนิรมิตเพศเป็นอสูร
แล้วได้ไปในที่ประชุมนั้น.
ญาติทั้งหลายประดับประดานางสุชาดา แล้วนามายังที่ประชุม
พลางกล่าวว่า เจ้าจงเลือกเอาสามีที่ใจชอบ. นางตรวจดูอยู่ แลเห็นท้าวสักกะ
ด้วยอานาจความรักอันมีในกาลก่อน จึงได้เลือกเอาว่า ท่านผู้นี้เป็นสามีของเรา.
ท้าวสักกะจึงทรงนานางมายังเทพนคร ทรงกระทาให้เป็นใหญ่กว่า
นางฟ้ อนจานวน ๒๕๐๐ โกฏิ. ทรงดารงอยู่ตลอดชั่วพระชนมายุ
แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มา แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ครองราชสมบัติในเทวโลก ถึงจะสละชีวิตของตน
9
ก็ไม่กระทาปาณาติบาต ด้วยประการอย่างนี้
ชื่อว่าเธอบวชในศาสนาอันเป็ นเครื่องนาออกจากทุกข์ เห็นปานนี้ เหตุไร
จักดื่มน้ามีตัวสัตว์อันมิได้กรองเล่า.
จึงทรงติเตียนภิกษุนั้น แล้วทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดก ว่า
มาตลีสารถีในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์ ในบัดนี้
ส่วนท้าวสักกะในครั้งนั้น ได้เป็น เรา แล.
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

319 ติตติรชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
319 ติตติรชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx319 ติตติรชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
319 ติตติรชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
357 ลฏุกิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
357 ลฏุกิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx357 ลฏุกิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
357 ลฏุกิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
153 สูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
153 สูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx153 สูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
153 สูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
304 ทัททรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
304 ทัททรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx304 ทัททรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
304 ทัททรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
018 มตกภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
018 มตกภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....018 มตกภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
018 มตกภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
055 ปัญจาวุธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
055  ปัญจาวุธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...055  ปัญจาวุธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
055 ปัญจาวุธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
317 มตโรทนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
317 มตโรทนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx317 มตโรทนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
317 มตโรทนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 

Similar to 031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

319 ติตติรชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
319 ติตติรชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx319 ติตติรชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
319 ติตติรชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
357 ลฏุกิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
357 ลฏุกิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx357 ลฏุกิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
357 ลฏุกิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
153 สูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
153 สูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx153 สูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
153 สูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
304 ทัททรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
304 ทัททรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx304 ทัททรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
304 ทัททรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
018 มตกภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
018 มตกภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....018 มตกภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
018 มตกภัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
055 ปัญจาวุธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
055  ปัญจาวุธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...055  ปัญจาวุธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
055 ปัญจาวุธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
227 คูถปาณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
317 มตโรทนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
317 มตโรทนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx317 มตโรทนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
317 มตโรทนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
269 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 

More from maruay songtanin

๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
 
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
maruay songtanin
 
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
maruay songtanin
 
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
maruay songtanin
 
๖. ปัญจปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๖. ปัญจปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...๖. ปัญจปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๖. ปัญจปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
maruay songtanin
 
๕. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๕. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๕. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๕. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 
๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๓. ปูติมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓. ปูติมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๓. ปูติมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓. ปูติมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๒. สูกรมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒. สูกรมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๒. สูกรมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒. สูกรมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๑. เขตตูปมเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑. เขตตูปมเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๑. เขตตูปมเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑. เขตตูปมเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๐. คำนำ เปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐. คำนำ เปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐. คำนำ เปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐. คำนำ เปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
maruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
 
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
 
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
 
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
 
๖. ปัญจปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๖. ปัญจปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...๖. ปัญจปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๖. ปัญจปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
 
๕. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๕. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๕. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๕. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๓. ปูติมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓. ปูติมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๓. ปูติมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๓. ปูติมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๒. สูกรมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒. สูกรมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๒. สูกรมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒. สูกรมุขเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๑. เขตตูปมเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑. เขตตูปมเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๑. เขตตูปมเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑. เขตตูปมเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐. คำนำ เปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐. คำนำ เปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๐. คำนำ เปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๐. คำนำ เปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 

031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๔. กุลาวกวรรค หมวดว่าด้วยลูกนกครุฑ ๑. กุลาวกชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๓๑) ว่าด้วยลูกนกครุฑ (ท้าวสักกะโพธิสัตว์ยอมสละชีวิตให้พวกอสูร ตรัสสั่งให้มาตลีเทพสารถีหันรถกลับเพราะกลัวลูกนกจะตายว่า) [๓๑] มาตลีเทพบุตร ที่ต้นงิ้วมีลูกนกครุฑอยู่ เธอจงหันงอนรถกลับ เราประสงค์จะสละชีวิตให้พวกอสูร ลูกนกพวกนี้อย่าได้แหลกลาญเลย กุลาวกชาดกที่ ๑ จบ -------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา เอกกนิบาตชาดก กุลาวกวรรค ๑. กุลาวกชาดก ว่าด้วยการเสียสละ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้ดื่มน้าที่ไม่ได้กรอง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ได้ยินว่า ภิกษุหนุ่มสองสหายจากเมืองสาวัตถีไปยังชนบท อยู่ในที่ผาสุกแห่งหนึ่งตามอัธยาศัย แล้วคิดว่าจักเฝ้ าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงออกจากชนบทนั้น มุ่งหน้าไปยังพระเชตวันอีก. ก็ภิกษุรูปหนึ่งมีเครื่องกรองน้า ส่วนรูปหนึ่งไม่มี แม้ภิกษุทั้งสองรูปก็ร่วมกันกรองน้าดื่ม แล้วจึงดื่ม. วันหนึ่ง ภิกษุทั้งสองรูปนั้นได้ทาการวิวาทโต้เถียงกัน. ภิกษุผู้เป็นเจ้าของเครื่องกรองน้า ไม่ให้เครื่องกรองน้าแก่ภิกษุนอกนี้ กรองน้าดื่มเฉพาะตนเองแล้วดื่ม. ส่วนภิกษุนอกนี้ไม่ได้เครื่องกรองน้า เมื่อไม่อาจอดกลั้นความกระหาย จึงดื่มน้าดื่มที่ไม่ได้กรอง. ภิกษุ แม้ทั้งสองนั้นมาถึงพระเชตวันวิหารโดยลาดับ ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง. พระศาสดาทรงตรัสสัมโมทนียกถาแล้ว ตรัสถามว่า พวกเธอมาจากไหน? ภิกษุทั้งสองนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์อยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท ออกจากบ้านนั้นมาเพื่อจะเฝ้ าพระองค์. พระศาสดาตรัสถามว่า พวกเธอเป็นผู้สมัครสมาน พากันมาแล้วแลหรือ?
  • 2. 2 ภิกษุผู้ไม่กรองน้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้กระทาการวิวาทโต้เถียงกันกับข้าพระองค์ ในระหว่างทาง แล้วไม่ให้เครื่องกรองน้า พระเจ้าข้า. ภิกษุนอกนี้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้ไม่กรองน้าเลย รู้อยู่ ดื่มน้ามีตัวสัตว์. พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอรู้อยู่ ดื่มน้ามีตัวสัตว์จริงหรือ? ภิกษุนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ดื่มน้าไม่ได้กรอง พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ครองราชสมบัติในเทพนคร พ่ายแพ้ในการรบ เมื่อจะหนีไปทางหลังสมุทร จึงคิดว่า เราจักไม่ทาการฆ่าสัตว์ เพราะอาศัยความเป็นใหญ่ ได้สละยศใหญ่ให้ชีวิตแก่ลูกนกครุฑ จึงให้กลับรถก่อน. แล้วทรงนาอดีตนิทานมาว่า ในอดีตกาล พระเจ้ามคธราชพระองค์หนึ่งครองราชสมบัติ อยู่ในนครราชคฤห์ แคว้นมคธ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นบุตรของตระกูลใหญ่ ในบ้านมจลคามนั้นนั่นแหละ เหมือนอย่างในบัดนี้ ท้าวสักกะบังเกิดในบ้านมจลคาม แคว้นมคธ ในอัตภาพก่อน ฉะนั้น. ก็ในวันตั้งชื่อพระโพธิสัตว์นั้น ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อว่ามฆกุมาร. มฆกุมารนั้นเจริญวัยแล้ว ปรากฏชื่อว่ามฆมาณพ. ลาดับนั้น บิดามารดาของมฆมาณพนั่น นาเอานางทาริกามาจากตระกูลที่มีชาติเสมอกัน. มฆมาณพนั้นเจริญด้วยบุตรและธิดาทั้งหลาย ได้เป็ นทานบดี รักษาศีล ๕. ก็ในบ้านนั้น มีอยู่ ๓๐ ตระกูลเท่านั้น และวันหนึ่งคนในตระกูลทั้ง ๓๐ ตระกูลนั้น ยืนอยู่กลางบ้าน ทาการงานในบ้าน. พระโพธิสัตว์เอาเท้าทั้งสองกวาดฝุ่นในที่ที่ยืนอยู่ กระทาประเทศที่นั้นให้น่ารื่นรมย์ยืนอยู่แล้ว. ครั้งนั้น คนอื่นผู้หนึ่งมายืนในที่นั้น. พระโพธิสัตว์จึงกระทาที่อื่นอีกให้น่ารื่นรมย์แล้วได้ยืนอยู่. แม้ในที่นั้น คนอื่นก็มายืนเสีย. พระโพธิสัตว์ได้กระทาที่อื่นๆ แม้อีกให้น่ารื่นรมย์ รวมความว่า ได้กระทาที่ที่ยืนให้น่ารื่นรมย์แม้แก่คนทั้งปวง. สมัยต่อมา ให้สร้างปะราลงในที่นั้น แม้ปะราก็ให้รื้อออกเสีย แล้วให้สร้างศาลา ปูอาสนะแผ่นกระดานในศาลานั้น แล้วตั้งตุ่มน้าดื่มไว้. สมัยต่อมา ชน ๓๒ คนแม้เหล่านั้นได้มีฉันทะเสมอกันกับพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์จึงให้ชน ๓๒ คนนั้นตั้งอยู่ในศีล ๕ ตั้งแต่นั้นไป
  • 3. 3 ก็เที่ยวทาบุญทั้งหลายพร้อมกับคนเหล่านั้น. ชนแม้เหล่านั้น เมื่อกระทาบุญกับพระโพธิสัตว์นั้นนั่นแล จึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ถือมีด ขวานและสาก เอาสากทุบหินให้แตก ในหนทางใหญ่ ๔ แพร่งเป็ นต้น แล้วกลิ้งไป นาเอาต้นไม้ที่กระทบเพลารถทั้งหลายออกไป กระทาที่ขรุขระให้เรียบ ทอดสะพาน ขุดสระโบกขรณี สร้างศาลา ให้ทาน รักษาศีล โดยมาก ชาวบ้านทั้งสิ้นตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้วรักษาศีล ด้วยประการอย่างนี้. ลาดับนั้น นายบ้านของชนเหล่านั้นคิดว่า ในกาลก่อน เมื่อคนเหล่านี้ดื่มสุรา กระทาปาณาติบาตเป็นต้น เรายังได้ทรัพย์ ด้วยอานาจกหาปณะค่าตุ่ม (สุรา) เป็นต้น และด้วยอานาจพลีค่าสินไหม แต่บัดนี้ มฆมาณพให้รักษาศีล ไม่ให้ชนเหล่านั้นกระทาปาณาติบาตเป็ นต้น อนึ่ง บัดนี้ จักให้เราทั้งหลายรักษาศีล ๕ จึงโกรธเข้าไปเฝ้ าพระราชา แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกโจรเป็นอันมากเที่ยวกระทาการฆ่าชาวบ้านเป็นต้น. พระราชาได้ทรงสดับคาของนายบ้านนั้น จึงรับสั่งว่า ท่านจงไปนาคนเหล่านั้นมา นายบ้านนั้นจึงไปจองจาชนเหล่านั้นทั้งหมด แล้วนามา กราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกคนที่ข้าพระบาทนามานี้ เป็ นโจร พระเจ้าข้า. ลาดับนั้น พระราชาไม่ทรงชาระกรรมของชนเหล่านั้นเลย รับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงให้ช้างเหยียบชนเหล่านี้. แต่นั้น ราชบุรุษจึงให้ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ให้นอนที่พระลานหลวง แล้วนาช้างมา. พระโพธิสัตว์ได้ให้โอวาทแก่ชนเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงราพึงถึงศีล จงเจริญเมตตาในคนผู้กระทาการส่อเสียด ในพระราชา ในช้างและในร่างกายของตน ให้เป็ นเช่นเดียวกัน ชนเหล่านั้นได้กระทาอย่างนั้น. ลาดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลายจึงนาช้างเข้าไป เพื่อต้องการให้เหยียบชนเหล่านั้น ช้างนั้นแม้จะถูกคนนาเข้าไป ก็ไม่เข้าไป ร้องเสียงลั่นแล้วหนีไป. ลาดับนั้น จึงนาช้างเชือกอื่นๆ มา. ช้างแม้เหล่านั้นก็หนีไปอย่างนั้นเหมือนกัน. พระราชาตรัสว่า จักมีโอสถบางอย่างอยู่ในมือของชนเหล่านี้ พวกท่านจงค้นดู. พวกราชบุรุษตรวจค้นดูแล้วก็ไม่เห็น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ไม่มี พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น ชนเหล่านี้จักร่ายมนต์อะไรๆ พวกท่านจงถามพวกเขาดูว่า มนต์สาหรับร่ายของท่านทั้งหลายมีอยู่หรือ? ราชบุรุษทั้งหลายจึงได้ถาม. พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า มี. ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นัยว่า มีมนต์สาหรับร่าย
  • 4. 4 พะย่ะค่ะ. พระราชารับสั่งให้เรียกชนเหล่านั้น แม้ทั้งหมดมา แล้วตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงบอกมนต์ที่ท่านทั้งหลายรู้. พระโพธิสัตว์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ชื่อว่ามนต์ของข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างอื่นไม่มี แต่ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นคนประมาณ ๓๓ คน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กล่าวคาเท็จ ไม่ดื่มน้าเมา เจริญเมตตา ให้ทาน กระทาทางให้สม่าเสมอ ขุดสระโบกขรณี สร้างศาลา นี้เป็ นมนต์ เป็นเครื่องป้ องกัน เป็นความเจริญของข้าพระองค์ทั้งหลาย. พระราชาทรงเลื่อมใสต่อชนเหล่านั้น ได้ทรงให้สมบัติในเรือนทั้งหมดของนายบ้านผู้กระทาการส่อเสียด และได้ทรงให้นายบ้านนั้นให้เป็ นทาสของชนเหล่านั้น ทั้งได้ทรงให้ช้างและบ้านแก่ชนเหล่านั้นเหมือนกัน. จาเดิมแต่นั้น ชนเหล่านั้นกระทาบุญทั้งหลายตามความชอบใจ คิดว่า จักสร้างศาลาใหญ่ในทาง ๔ แพร่ง จึงให้เรียกช่างไม้ มาแล้วเริ่มสร้างศาลา แต่ว่า ไม่ได้ให้มาตุคามทั้งหลายมีส่วนบุญในศาลานั้น เพราะไม่มีความพอใจในมาตุคามทั้งหลาย. ก็สมัยนั้น ในเรือนของพระโพธิสัตว์มีสตรี ๔ คน คือ นางสุธรรมา นางสุจิตรา นางสุนันทา และนางสุชาดา. บรรดาสตรีเหล่านั้น นางสุธรรมาเป็นอันเดียวกันกับช่างไม้ กล่าวว่า พี่ช่าง ท่านจงทาฉันให้เป็นใหญ่ในศาลานี้ ดังนี้แล้วได้ให้สินบน. ช่างไม้นั้นรับคาแล้ว ยังไม้ช่อฟ้ าให้แห้งก่อนทีเดียว แล้วถากเจาะทาช่อฟ้ าให้เสร็จ แล้วจะยกช่อฟ้ า จึงกล่าวว่า ตายจริง เจ้านายทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้ระลึกถึงสิ่งของอย่างหนึ่ง. ชนเหล่านั้นถามว่า ท่านผู้เจริญของชื่ออะไร. ช่างไม้กล่าวว่า การได้ช่อฟ้ าจึงจะควร. ชนเหล่านั้นกล่าวว่า ช่างเถิด เราจักนามาให้. ช่างไม้กล่าวว่า พวกเราไม่อาจทาด้วยไม้ที่ตัดในเดี๋ยวนี้ จะต้องได้ช่อฟ้ าที่เขาตัดไว้ก่อน แล้วถาก เจาะทาสาเร็จแล้ว จึงจะควร, ชนเหล่านั้นกล่าวว่า บัดนี้ จะทาอย่างไร. ช่างไม้กล่าวว่า ถ้าช่อฟ้ าสาหรับขายที่เขาทาไว้ เสร็จแล้วเก็บไว้ในเรือนของใครๆ มีอยู่ ท่านต้องหาช่อฟ้ าอันนั้น. ชนเหล่านั้น เมื่อแสวงหาได้พบในเรือนของนางสุธรรมา ไม่ได้ด้วยมูลค่า แต่เมื่อนางสุธรรมากล่าวว่า ถ้าท่านทั้งหลายจะกระทาข้าพเจ้าให้มีส่วนบุญด้วย ข้าพเจ้าจึงจักให้. จึงพากันกล่าวว่า พวกเราจะไม่ให้ส่วนบุญแก่มาตุคามทั้งหลาย.
  • 5. 5 ลาดับนั้น ช่างไม้จึงกล่าวกะชนเหล่านั้นว่า เจ้านายท่านทั้งหลายพูดอะไร ชื่อว่าที่ที่เว้นจากมาตุคามที่อื่น ย่อมไม่มี เว้นพรหมโลก ท่านทั้งหลายจงถือเอาช่อฟ้ าเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น การงานทั้งหลายของพวกเราจักถึงความสาเร็จ. ชนเหล่านั้นกล่าวว่า ดีละ แล้วถือเอาช่อฟ้ ายังศาลาให้สาเร็จแล้ว ปูแผ่นกระดานสาหรับนั่ง ตั้งตุ่มน้าดื่ม เริ่มตั้งยาคูและภัตเป็ นต้นเป็ นประจา ล้อมศาลาด้วยกาแพง ประกอบประตู เกลี่ยทรายภายในกาแพง ปลูกแถวต้นตาลภายนอกกาแพง. ฝ่ายนางสุจิตราให้กระทาอุทยานในที่นั้น ไม่มีคาที่จะพูดว่า ต้นไม้ที่มีดอกและไม้ที่มีผล ชื่อโน้น ไม่มีในอุทยานนั้น. ฝ่ายนางสุนันทาให้กระทาสระโบกขรณีในที่นั้นเหมือนกัน ให้ดารดาษด้วยปทุม ๕ สี น่ารื่นรมย์. นางสุชาดาไม่ได้กระทาอะไร? พระโพธิสัตว์บาเพ็ญวัตรบท ๗ เหล่านี้ คือ การบารุงมารดา ๑ การบารุงบิดา ๑ การกระทาความอ่อนน้อมถ่อมตนแก่คนผู้เป็นใหญ่ในตระกูล ๑ การกล่าววาจาสัตย์ ๑ วาจาไม่หยาบ ๑ วาจาไม่ส่อเสียด ๑ และการนาไปให้พินาศซึ่งความตระหนี่ ๑ ถึงความเป็ นผู้ควรสรรเสริญอย่างนี้ว่า เทพทั้งหลายชั้นดาวดึงส์กล่าวนรชน ผู้เป็นคนพอเลี้ยงบิดามารดา ผู้มีปรกติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญที่สุดในตระกูล ผู้กล่าววาจากลมเกลี้ยงอ่อนหวาน ผู้ละคาส่อเสียด ผู้ประกอบในการทาความตระหนี่ให้พินาศ ผู้มีคาสัจ ครอบงาความโกรธได้นั้นแล ว่าเป็นสัปบุรุษ. ในเวลาสิ้นชีวิต บังเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช ในภพดาวดึงส์ สหายของพระโพธิสัตว์นั้นทั้งหมด พากันบังเกิดในภพดาวดึงส์นั้น เหมือนกัน. ในกาลนั้น อสูรทั้งหลายอยู่อาศัยในภพดาวดึงส์. ท้าวสักกเทวราชทรงดาริว่า เราทั้งหลายจะประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติ อันเป็นสาธารณะทั่วไปแก่คนอื่น จึงให้พวกอสูรดื่มน้าดื่มอันเป็นทิพย์ แล้วให้จับพวกอสูรผู้เมาแล้วที่เท้า แล้วโยนลงไปที่เชิงเขาสิเนรุ. พวกอสูรเหล่านั้นย่อมถึงภพอสูร นั่นแล. ชื่อว่า ภพอสูรมีขนาดเท่าดาวดึงสเทวโลกอยู่ ณ พื้นภายใต้เขาสิเนรุ ในภพอสูรนั้นได้มีต้นไม้ตั้งอยู่ชั่วกัป ชื่อว่าต้นจิตตปาตลิ (แคฝอย) เหมือนต้นปาริฉัตตกะของเหล่าเทพ. เมื่อต้นจิตตปาตลิบาน พวกอสูรเหล่านั้นก็รู้ว่า นี้ไม่ใช่เทวโลกของพวกเรา เพราะว่า ในเทวโลก ต้นปาริฉัตตกะย่อมบาน. ลาดับนั้น พวกอสูรเหล่านั้นจึงกล่าวว่า ท้าวสักกะแก่ทาพวกเราให้เมา แล้วโยนลงหลังมหาสมุทร ยึดเทพนครของพวกเรา
  • 6. 6 เราทั้งหลายนั้นจักรบกับท้าวสักกะแก่นั้น แล้วยึดเอาเทพนครของพวกเราเท่านั้นคืนมา จึงลุกขึ้นเที่ยวสัญจรไปตามเขาสิเนรุ เหมือนมดแดงไต่เสา ฉะนั้น. ท้าวสักกะทรงสดับว่า พวกอสูรขึ้นมา จึงเหาะขึ้นเฉพาะหลังสมุทร รบอยู่ถูกพวกอสูรเหล่านั้นให้พ่ายแพ้ จึงเริ่มหนีไปสุดมหาสมุทรด้านทิศเหนือ ด้วยเวชยันตรถมีประมาณ ๑๕๐ โยชน์. ลาดับนั้น รถของท้าวสักกะนั้นแล่นไปบนหลังสมุทร ด้วยความเร็ว จึงแล่นเข้าไป ยังป่าไม้งิ้ว ทาลายป่าไม้งิ้ว ในหนทางที่ท้าวสักกะนั้นเสด็จไป เหมือนทาลายป่าไม้อ้อ ขาดตกลงไปบนหลังสมุทร พวกลูกนกครุฑพลัดตกลงบนหลังมหาสมุทร พากันร้องเสียงขรม. ท้าวสักกะตรัสถามมาตลีสารถีว่า มาตลีผู้สหาย นั่นเสียงอะไร เสียงร้องน่ากรุณายิ่งนักเป็นไปอยู่? พระมาตลีทูลว่า ข้าแต่เทพ เมื่อป่าไม้งิ้วแหลกไป ด้วยกาลังความเร็วแห่งรถของพระองค์ แล้วตกลงไป พวกลูกนกครุฑถูกมรณภัยคุกคาม จึงพากันร้องเป็ นเสียงเดียวกัน. พระมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนมาตลีผู้สหาย ลูกนกครุฑเหล่านี้จงอย่าลาบาก เหตุอาศัยเราเลย เราจะไม่อาศัยความเป็นใหญ่ กระทากรรมคือการฆ่าสัตว์ ก็เพื่อประโยชน์แก่ลูกนกครุฑนั้น เราจักสละชีวิตให้แก่พวกอสูร ท่านจงกลับรถนั่น. แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า ดูก่อนมาตลีเทพบุตร ที่ต้นงิ้วมีลูกนกครุฑจับอยู่ ท่านจงหันหน้ารถกลับ เรายอมสละชีวิตให้พวกอสูร ลูกนกครุฑเหล่านี้ อย่าแหลกรานเสียเลย. พระมาตลีสารถีได้ฟังคาของท้าวสักกะนั้นแล้ว จึงกลับรถหันหน้ามุ่งไปยังเทวโลก โดยหนทางอื่น. ฝ่ายพวกอสูรพอเห็นท้าวสักกะกลับรถเท่านั้น คิดว่า ท้าวสักกะจากจักรวาลแม้อื่น พากันมาเป็นแน่ รถจักกลับเพราะได้กาลังพล เป็ นผู้กลัวต่อมรณภัย จึงพากันหนีเข้าไปยังภพอสูรตามเดิม. ฝ่ายท้าวสักกะก็เสด็จเข้ายังเทพนคร แวดล้อมด้วยหมู่เทพในเทวโลกทั้งสอง ได้ประทับยืนอยู่ในท่ามกลางนคร. ขณะนั้น เวชยันตปราสาทสูงพันโยชน์ชาแรกปฐพีผุดขึ้น เพราะปราสาทผุดขึ้นในตอนสุดท้ายแห่งชัยชนะ เทพทั้งหลายจึงขนานนาม ปราสาทนั้นว่าเวชยันตะ. ลาดับนั้น ท้าวสักกะทรงตั้งอารักขาในที่ ๕ แห่ง ก็เพื่อต้องการไม่ให้พวกอสูรกลับมาอีก ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า ในระหว่างอยุชฌบุรีทั้งสอง
  • 7. 7 ท้าวสักกะทรงตั้งการรักษาอย่างแข็งแรงไว้ ๕ แห่งนาค ๑ ครุฑ ๑ กุมภัณฑ์ ๑ ยักษ์ ๑ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ๑. แม้นครทั้งสอง คือเทพนคร และอสูรนครก็ชื่อว่าอยุทธปุระ เพราะใครๆ ไม่อาจยึดได้ด้วยการรบ เพราะว่า ในกาลใด พวกอสูรมีกาลัง ในกาลนั้น เมื่อพวกเทวดาหนีเข้าเทพนคร แล้วปิดประตูไว้ แม้พวกอสูรตั้งแสนก็ไม่อาจทาอะไรได้. ในกาลใด พวกเทวดามีกาลัง ในกาลนั้น เมื่อพวกอสูรหนีไปปิดประตูอสูรนครเสีย พวกเทวดาแม้ตั้งแสน ก็ไม่อาจทาอะไรได้ ดังนั้น นครทั้งสองนี้จึงชื่อว่า อยุชฌปุระ เมืองที่ใครๆ รบไม่ได้. ก็เมื่อท้าวสักกะจอมเทพทรงตั้งอารักขาในที่ ๕ แห่งเหล่านี้ แล้วเสวยทิพยสมบัติอยู่ นางสุธรรมาจุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั่นแหละ. ก็เทวสภาชื่อว่า สุธรรมา มีประมาณ ๕๐๐ โยชน์ ซึ่งเป็ นที่ที่ท้าวสักกะจอมเทพประทับนั่งบนบัลลังก์ทองขนาดหนึ่งโยชน์ ภายใต้เศวตฉัตรทิพย์ ทรงกระทากิจที่จะพึงกระทาแก่เทวดาและมนุษย์ ได้เกิดขึ้นแก่นางสุธรรมา เพราะผลวิบากที่ให้ช่อฟ้ า. ฝ่ายนางสุจิตราก็จุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั้นเหมือ นกัน และอุทยานชื่อว่า จิตรลดาวัน ก็เกิดขึ้นแก่นางสุจิตรานั้น เพราะผลวิบากของการกระทาอุทยาน. ฝ่ายนางสุนันทาก็จุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั้นเหมื อนกัน และสระโบกขรณีชื่อว่า นันทา ก็เกิดขึ้นแก่นางสุนันทานั้น เพราะผลวิบากของการขุดสระโบกขรณี. ส่วนนางสุชาดาบังเกิดเป็ นนางนกยาง อยู่ที่ซอกเขาในป่าแห่งหนึ่ง เพราะไม่ได้กระทากุศลกรรมไว้. ท้าวสักกะทรงพระราพึงว่า นางสุชาดาไม่ปรากฏ นางบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ. ครั้นทรงเห็นนางสุชาดานั้น จึงเสด็จไปที่ซอกเขานั้น พานางมายังเทวโลก ทรงแสดงเทพนครอันน่ารื่นรมย์ เทวสภาชื่อ สุธรรมา สวนจิตรลดาวันและนันทาโบกขรณี แก่นาง แล้วทรงโอวาทนางว่า หญิงเหล่านี้ได้กระทากุศลไว้ จึงมาบังเกิดเป็ นบาทบริจาริกาของเรา ส่วนเธอไม่ได้กระทากุศลไว้ จึงบังเกิดในกาเนิดเดียรัจฉาน ตั้งแต่นี้ไป เธอจงรักษาศีล แล้วให้นางตั้งอยู่ในศีล ๕ แล้วนาไปปล่อยไว้ ณ ซอกเขานั้นนั่นแหละ. ฝ่ายนางนกยางนั้น ก็รักษาศีลตั้งแต่กาลนั้น โดยล่วงไป ๒-๓ วัน ท้าวสักกะทรงดาริว่า นางนกยางอาจรักษาศีลหรือหนอ จึงเสด็จไปแปลงรูปเป็ น ปลานอนหงายอยู่ข้างหน้า. นางนกยางนั้นสาคัญว่า ปลาตาย จึงได้คาบที่หัว ปลากระดิกหาง. ลาดับนั้น นางนกยางนั้นจึงปล่อยปลานั้น ด้วยสาคัญว่า
  • 8. 8 เห็นจะเป็ นปลามีชีวิตอยู่. ท้าวสักกะตรัสว่า สาธุ สาธุ เธออาจรักษาศีลได้ แล้วได้เสด็จไปยังเทวโลก นางนกยางนั้นจุติจากอัตภาพนั้น มาบังเกิดในเรือนของนายช่างหม้อ ในนครพาราณสี. ท้าวสักกะทรงพระดาริว่า นางนกยางบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ ทรงรู้ว่า เกิดในตระกูลช่างหม้อ จึงทรงเอาฟักทองคาบรรทุกเต็มยานน้อย แปลงเพศเป็นคนแก่ นั่งอยู่กลางบ้านป่าวร้องว่า ท่านทั้งหลายจงรับเอาฟักเหลือง คนทั้งหลายมากล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้. ท้าวสักกะตรัสว่า เราให้แก่คนทั้งหลายผู้รักษาศีล ท่านทั้งหลายจงรักษาศีล คนทั้งหลายกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าศีล พวกเราไม่รู้จัก ท่านจงให้ด้วยมูลค่า. ท้าวสักกะตรัสว่า เราไม่ต้องการมูลค่า เราจะให้เฉพาะแก่ผู้รักษาศีลเท่านั้น. คนทั้งหลายกล่าวว่า นี้ฟักเหลืองอะไรกันหนอ แล้วก็หลีกไป. นางสุชาดาได้ฟังข่าวนั้นแล้ว คิดว่า เขาจักนามาเพื่อเรา จึงไปพูดว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้เถิด. ท้าวสักกะตรัสว่า แม่ เธอรักษาศีลแล้วหรือ. นางสุชาดากล่าวว่า จ้ะ ฉันรักษาศีล. ท้าวสักกะตรัสว่า สิ่งนี้เรานามาเพื่อประโยชน์แก่เจ้าเท่านั้น แล้ววางไว้ที่ประตูบ้านพร้อมกับยานน้อย แล้วหลีกไป. ฝ่ายนางสุชาดานั้นรักษาศีลจนตลอดชั่วอายุ จุติจากอัตภาพนั้น ไปบังเกิดเป็นธิดาของจอมอสูรนามว่า เวปจิตติ ได้เป็นผู้มีรูปร่างงดงาม ด้วยอานิสงส์แห่งศีล. ในเวลาธิดานั้นเจริญวัยแล้ว ท้าวเวปจิตตินั้นดาริว่า ธิดาของเราจงเลือกสามีตามความชอบใจของตน จึงให้พวกอสูรประชุมกัน. ท้าวสักกะทรงตรวจดูว่า นางสุชาดานั้นบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ. ครั้นทรงทราบว่า นางเกิดในภพอสูรนั้น จึงทรงดาริว่า นางสุชาดา เมื่อจะเลือกเอาสามีตามที่ใจชอบ จักเลือกเอาเรา จึงทรงนิรมิตเพศเป็นอสูร แล้วได้ไปในที่ประชุมนั้น. ญาติทั้งหลายประดับประดานางสุชาดา แล้วนามายังที่ประชุม พลางกล่าวว่า เจ้าจงเลือกเอาสามีที่ใจชอบ. นางตรวจดูอยู่ แลเห็นท้าวสักกะ ด้วยอานาจความรักอันมีในกาลก่อน จึงได้เลือกเอาว่า ท่านผู้นี้เป็นสามีของเรา. ท้าวสักกะจึงทรงนานางมายังเทพนคร ทรงกระทาให้เป็นใหญ่กว่า นางฟ้ อนจานวน ๒๕๐๐ โกฏิ. ทรงดารงอยู่ตลอดชั่วพระชนมายุ แล้วเสด็จไปตามยถากรรม. พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มา แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ครองราชสมบัติในเทวโลก ถึงจะสละชีวิตของตน
  • 9. 9 ก็ไม่กระทาปาณาติบาต ด้วยประการอย่างนี้ ชื่อว่าเธอบวชในศาสนาอันเป็ นเครื่องนาออกจากทุกข์ เห็นปานนี้ เหตุไร จักดื่มน้ามีตัวสัตว์อันมิได้กรองเล่า. จึงทรงติเตียนภิกษุนั้น แล้วทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดก ว่า มาตลีสารถีในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์ ในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะในครั้งนั้น ได้เป็น เรา แล. -----------------------------------------------------