More Related Content
Similar to 183 วาโลทกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (11)
More from maruay songtanin (20)
183 วาโลทกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
วาโลทกชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๓. วาโลทกชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๘๓)
ว่าด้วยลากินน้าหาง
(พระราชาตรัสเรียกอามาตย์โพธิสัตว์ผู้อยู่ใกล้มา
ตรัสถามกิริยาของพวกลาว่า)
[๖๕] เพราะดื่มน้าหางอันมีรสน้อย อันเป็นน้าเลว
ความเมาจึงเกิดแก่พวกลา แต่ความเมาก็ไม่เกิดขึ้นแก่ม้าสินธพ
เพราะดื่มน้ามีรสอันประณีตนี้
(พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
[๖๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมชน ลานั้นมีชาติเลวทราม ดื่มน้ามีรสน้อย
อันรสนั้นถูกต้องแล้วย่อมเมา ส่วนม้าสินธพเกิดในตระกูล มีปกตินาพาธุระ
ดื่มน้ามีรสอันเลิศแล้ว ก็ไม่เมา
วาโลทกชาดกที่ ๓ จบ
---------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
วาโลทกชาดก
ว่าด้วย น้าหาง
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภคนกินเดน ๕๐๐ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถีมีอุบาสก ๕๐๐
มอบความห่วงใยในเรือนให้บุตรภรรยา
แล้วเดินทางร่วมกันไปฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา. ในอุบาสกเหล่านั้น
บางพวกได้เป็ นโสดาบัน บางพวกได้เป็ นสกทาคามี บางพวกได้เป็นอนาคามี
ไม่มีเป็นปุถุชนแม้แต่คนเดียว. ประชาชน แม้เมื่อนิมนต์พระศาสดา
ก็เชิญอุบาสกเหล่านั้นร่วมด้วย. แต่คนรับใช้ ๕๐๐ ทาหน้าที่ให้ไม้สีฟัน
น้าล้างหน้า ผ้า ของหอม และดอกไม้ของพวกเขา เป็นคนกินเดนอาศัยอยู่.
คนรับใช้เหล่านั้นบริโภคอาหารเช้าแล้วก็พากันเข้านอน
ครั้นตื่นขึ้นพากันไปยังแม่น้าอจิรวดี โห่ร้องปล้ากันที่ฝั่งแม่น้า. อุบาสก ๕๐๐
เหล่านั้น มีเสียงน้อย มีเอิกเกริกน้อย ขวนขวายแต่ที่หลีกเร้น.
พระศาสดาทรงสดับเสียงอื้ออึงของพวกกินเดนเหล่านั้น
จึงตรัสถามพระเถระว่า ดูก่อนอานนท์ นั่นเสียงอะไร. กราบทูลว่า เสียงคนกินเดน
พระพุทธเจ้าข้า. ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ คนกินเดนเหล่านี้บริโภคอาหารเดน
- 2. 2
แล้วพากันเกรียวกราว มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้แต่ก่อน
คนพวกนี้ก็เกรียวกราวเหมือนกัน
แม้อุบาสกเหล่านี้พากันสงบก็มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น
แม้เมื่อก่อนก็พากันสงบเหมือนกัน.
เมื่อพระเถระกราบทูลอาราธนา จึงทรงนาเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอามาตย์
ครั้นเจริญวัยแล้วก็ได้เป็นผู้ถวายอรรถและธรรมของพระราชา. ครั้นคราวหนึ่ง
พระราชานั้นทรงสดับว่า ทางชายแดนเกิดจลาจล จึงรับสั่งให้เตรียมม้าสินธพ
๕๐๐ เสด็จพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา ครั้นปราบชายแดนให้สงบราบคาบแล้ว
ก็เสด็จกลับกรุงพาราณสี มีพระราชโองการว่า ม้าสินธพลาบากมาก
พวกท่านจงให้น้าผลจันทน์สดแก่ม้าเหล่านั้น.
ม้าเหล่านั้นครั้นดื่มน้าจันทน์หอมแล้วก็กลับโรงม้า พักผ่อนในที่ของตนๆ.
ก็กากผลจันทน์ที่เหลือจากคั้นให้ม้าเหล่านั้น มีน้าจันทน์ติดอยู่เล็กน้อย.
พวกมนุษย์จึงทูลถามพระราชาว่า บัดนี้ พวกข้าพระองค์จะทาอย่างไร.
พระราชารับสั่งว่า เจ้าจงขยาเข้ากับน้า แล้วกรองด้วยผ้าเปลือกปอ
พวกเธอจงให้แก่ลาที่นาอาหารมาให้ม้าสินธพ.
ลาทั้งหลาย ครั้นดื่มน้ากากแล้วก็มึนเมา
เที่ยววิ่งร้องอยู่แถวพระลานหลวง. พระราชาทรงเผยช่องพระแกล
ทอดพระเนตรไป ณ พระลานหลวง ตรัสเรียกพระโพธิสัตว์ ซึ่งเฝ้ าอยู่ใกล้ๆ
เมื่อจะตรัสถามว่า จงดูเถิด ลาเหล่านี้ดื่มน้ากากเข้าไปมึนเมาแล้ว
พากันร้องโดดโลดเต้นไปมา ส่วนม้าสินธพซึ่งเกิดในตระกูลสินธพ
แม้ดื่มน้าจันทน์หอมก็ไม่มีเสียง สงบเงียบ ไม่เอะอะ อะไรเป็ นเหตุหนอ
จึงตรัสคาถาแรกว่า :-
ความเมาย่อมเกิดแก่ลาทั้งหลาย เพราะดื่มกินน้าหางมีรสน้อย
เป็นน้าเลว แต่ความเมาย่อมไม่เกิดแก่ม้าสินธพ
เพราะดื่มกินน้ามีรสอร่อยประณีต.
พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า อะไรเป็ นเหตุหนอ.
พระโพธิสัตว์ เมื่อจะกราบทูลเหตุแด่พระราชา จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมชน สัตว์ผู้มีชาติอันเลวทราม
ดื่มกินน้ามีรสน้อย อันรสนั้นถูกต้องแล้วย่อมเมา ส่วนสัตว์ผู้มีธุระให้สาเร็จได้
เกิดในตระกูลสูง ดื่มกินรสอันเลิศแล้ว ก็ไม่เมา.
พระราชาทรงสดับคาของพระโพธิสัตว์แล้ว
รับสั่งให้ไล่ลาออกจากพระลานหลวง ทรงตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์
ทรงกระทาบุญมีทานเป็นต้น แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.