More Related Content
More from maruay songtanin (20)
081 สุราปานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
สุราปานชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
หมวดว่าด้วยการดื่มสุรา
๑. สุราปานชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๘๑)
ว่าด้วยโทษของการดื่มสุรา
(เหล่าดาบสถูกพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็ นอาจารย์ถาม
จึงบอกเรื่องที่พวกตนดื่มสุราเมาแล้วพากันฟ้ อนราขับร้องว่า)
[๘๑] พวกกระผมได้พากันดื่ม พากันฟ้ อนรา
พากันขับร้องแล้วก็พากันร้องไห้ เพราะดื่มสุราที่ทาให้สัญญาวิปริต (สัญญาวิปริต
หมายถึงความจาแปรปรวนจนลืมนึกถึงกิริยาอาการของตน)
แต่ยังดีที่ไม่ได้กลายเป็นลิงให้เห็น
สุราปานชาดกที่ ๑ จบ
----------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
สุราปานชาดก
ว่าด้วย โทษของการดื่มสุรา
พระศาสดาทรงอาศัยพระนครโกสัมพี ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม
ทรงปรารภพระสาคตเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาพรรษา ณ
กรุงสาวัตถีแล้ว ได้เสด็จจาริกไปจนลุถึงนิคม ชื่อภัททวติกา. พวกคนเลี้ยงโค
เลี้ยงสัตว์ ชาวนาและพวกเดินทาง เห็นพระศาสดาเสด็จมาแล้ว พากันถวายบังคม
พลางกราบทูลห้ามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าได้เสด็จไปสู่ท่าอัมพะเลย พระเจ้าข้า
นาคชื่ออัมพติฏฐกะ ที่อาศรมของชฎิล ณ ท่าอัมพะ มีพิษร้าย
จะเบียดเบียนพระองค์ได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทาเป็นเหมือนไม่ทรงได้ยินถ้อยคาของคนเหล่านั้น
ถึงเมื่อพวกนั้นกราบทูลห้ามอยู่ถึง ๓ ครั้ง ก็คงเสด็จไปจนได้.
เล่ากันว่า ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ ณ
ไพรสณฑ์ตาบลหนึ่ง ไม่ห่างนิคมภัททวติกา ครั้งนั้น
พระสาคตเถระเป็ นพุทธอุปัฏฐาก ประกอบด้วยฤทธิ์อันเป็ นของปุถุชน
เข้าไปใกล้อาศรมนั้น ปูเครื่องลาดที่ทาด้วยหญ้า ณ ที่อยู่ของพญานาคนั้น
แล้วนั่งขัดสมาธิ นาคทนดูความลบหลู่มิได้ ก็บังหวนควัน
พระเถระก็บังหวนควันบ้าง. นาคทาให้ไฟลุก พระเถระก็ทาให้ไฟลุกบ้าง
เดชของนาคข่มพระเถระไม่ได้ เดชของพระเถระข่มนาคได้
- 2. 2
ท่านการาบพระยานาคนั้นพักเดียว ก็ให้ดารงในสรณะ ในศีลได้แล้ว
ได้ไปสู่สานักของพระศาสดา ด้วยประการฉะนี้. ฝ่ายพระบรมศาสดาประทับอยู่
ณ นิคมภัททวติกา ตามพระพุทธอัธยาศัยแล้วได้เสด็จไปสู่พระนครโกสัมพี
เรื่องราวที่พระสาคตเถระการาบนาค แผ่ไปทั่วชนบท.
ฝูงชนชาวพระนครโกสัมพีกระทาการต้อนรับพระศาสดา
พากันถวายบังคมพระองค์แล้ว ก็เลยไปสานักพระสาคตเถระ ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ
ส่วนข้างหนึ่ง พากันกล่าวอย่างนี้ว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
สิ่งใดที่พระคุณเจ้าได้ด้วยยาก นิมนต์บอกสิ่งนั้น
พวกกระผมจะจัดถวายสิ่งนั้นจงได้.” พระเถระก็นิ่งเสีย
แต่ภิกษุฉัพพัคคีย์พากันพูดว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย สุราสีแดงดังสีเท้านกพิราบ
พวกบรรพชิตหาได้ยากนักและก็เป็นของชอบใจด้วย
ถ้าพวกท่านเลื่อมใสพระเถระละก็จัดสุราสีแดงดังสีเท้า นกพิราบมาถวายเถิด.
พวกนั้นก็รับคาว่า ดีละ เจ้าข้า พากันกราบทูลพระศาสดา
เพื่อทรงฉันในวันพรุ่งแล้ว พากันเข้าสู่พระนคร ต่างคนต่างจัดเตรียมสุราใส
มีสีแดงดังสีเท้านกพิราบ ไว้ที่เรือนของตนๆ ด้วยหวังว่า จักถวายแด่พระเถระ
นิมนต์พระเถระไปแล้ว พากันถวายสุราใสทุกๆ เรือน พระเถระดื่มแล้ว
เมาสุราเดินออกจากพระนคร ล้มลงที่ระหว่างประตู นอนบ่นพร่าไป
พระศาสดาทรงกระทาภัตรกิจแล้ว เมื่อเสด็จออกจากพระนคร
ทอดพระเนตรเห็นพระเถระนอนด้วยท่าทางนั้น มีพระพุทธดารัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงช่วยประคองพระสาคตะไป
ให้พวกภิกษุประคองไปสู่พระอารามพวกภิกษุ วางศีรษะของพระเถระ ณ
บาทมูลของพระตถาคต แล้วให้ท่านนอน
ท่านพระสาคตะกลับนอนเหยียดเท้าไปเฉพาะพระพักตร์พระตถาคต.
พระศาสดาตรัสสอบถามพวกภิกษุว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความเคารพในเราตถาคต ที่สาคตะเคยมีในก่อนนั้น บัดนี้ยังมีอยู่หรือไร?
พวกภิกษุพากันกราบทูลว่า ไม่มี พระเจ้าข้า.
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไรเล่าการาบพญานาคชื่ออัมพติฏฐกะ. พวกภิกษุกราบทูลว่า พระสาคตเถระ
พระเจ้าข้า.
ตรัสถามว่า ก็บัดนี้ สาคตะยังจะอาจเพื่อการาบงูปลาได้หรือ?
กราบทูลว่า เรื่องนั้นไม่ได้แน่นอน พระเจ้าข้า.
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดื่มสิ่งใดแล้ว
ปราศจากความจาได้หมายรู้อย่างนี้ สิ่งนั้นควรที่ภิกษุจะดื่มถึงเพียงนี้หรือไม่เล่า?
กราบทูลว่า ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตาหนิพระเถระ
- 3. 3
แล้วทรงเรียกพวกภิกษุมา ทรงบัญญัติสิกขาบทว่าเป็นปาจิตตีย์
ในเพราะดื่มสุราเมรัย แล้วเสด็จจากอาสน์ เข้าพระคันธกุฎี.
ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา พูดถึงโทษของการดื่มสุราว่า
ผู้มีอายุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า การดื่มสุรามีโทษใหญ่หลวง
ถึงกับกระทาให้พระสาคตะผู้ได้นามว่าสมบูรณ์ด้วยปัญญามีฤทธิ์
ไม่รู้แม้แต่คุณของพระศาสดา จึงได้กระทาอย่างนั้น.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่า?
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว.
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกบรรพชิตดื่มสุราแล้วพากันสลบไสล
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนก็ได้เป็นแล้วเหมือนกัน
ดังนี้แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ ในแคว้นกาสี
เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤๅษี ได้อภิญญาและสมาบัติ ประลองฌาน
พานักอยู่ในหิมวันตประเทศ แวดล้อมด้วยอันเตวาสิกประมาณ ๕๐๐.
ครั้นถึงฤดูฝน พวกอันเตวาสิกพากันเรียนท่านว่า ท่านอาจารย์ขอรับ
พวกเราพากันไปแดนมนุษย์ บริโภคของเปรี้ยวๆ เค็มๆ แล้วค่อยมากันเถิด.
ฤๅษีพระโพธิสัตว์กล่าวว่า อาวุโส เราจะคอยอยู่ในที่นี้แหละ
พวกเธอพากันไปบารุงร่างกาย จนฤดูฝนผ่านไป แล้วจึงพากันกลับมาเถิด.
อันเตวาสิกเหล่านั้นรับคาว่า ดีแล้วขอรับ
พากันกราบลาอาจารย์ไปสู่พระนครพาราณสี พักอยู่ในพระราชอุทยาน.
ครั้นวันรุ่งขึ้น
ก็พากันไปเที่ยวภิกษาจารในบ้านภายนอกประตูพระนคร
ได้รับความเกื้อกูลอย่างดี รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง จึงพากันเข้าไปสู่พระนคร
พวกมนุษย์พากันชื่นชมถวายภิกษา ล่วงมา ๒-๓ วัน ก็พากันกราบทูลพระราชาว่า
ขอเดชะ ฤๅษี ๕๐๐ รูปพากันมาจากป่าหิมพานต์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน
มีตบะกล้า มีอินทรีย์อันชนะแล้วอย่างเยี่ยม มีศีล.
พระราชาทรงสดับคุณของฤๅษีเหล่านั้น เสด็จสู่อุทยาน
ทรงนมัสการแล้วกระทาการปฏิสันถาร
เผดียงให้อยู่ในพระอุทยานนั้นแหละตลอด ๔ เดือนฤดูฝน. นับแต่นั้น
ฤๅษีเหล่านั้นก็พากันฉันในพระราชวังแห่งเดียว พานักอยู่ ณ พระราชอุทยาน.
อยู่มาวันหนึ่ง ในพระนครได้มีงานนักขัตฤกษ์ชื่อว่าสุรานักษัตร์.
พระราชาทรงพระดาริว่าสุรา พวกบรรพชิตหาได้ยาก
จึงรับสั่งให้ถวายสุราอย่างดีเป็นอันมาก พวกดาบสดื่มสุราแล้ว
- 4. 4
พากันกลับไปอุทยาน ต่างก็เมาสุรา บางพวกลุกขึ้นฟ้ อนรา บางพวกขับร้อง
ครั้นฟ้ อนราขับร้องแล้ว ก็พากันนอนหลับทับบริขารมีไม้คานเป็นต้น
พอส่างเมาพากันตื่น เห็นอาการอันวิปริตของตนนั้น ต่างก็ร้องไห้คร่าครวญว่า
พวกเรามิได้กระทาการอันสมควรแก่บรรพชิตเลย กล่าวกันว่า
พวกเราจากท่านอาจารย์มา พากันกระทากรรมอันเลวถึงเพียงนี้ ทันใดนั้นเอง
ก็พากันทิ้งอุทยานกลับไปป่าหิมพานต์ เก็บบริขารไว้เรียบร้อยแล้ว
พากันไหว้อาจารย์นั่งอยู่แล้ว อันท่านอาจารย์ถามว่า พ่อคุณทั้งหลาย
พวกท่านมิได้ลาบากด้วยภิกษา พากันอยู่สบายในถิ่นของมนุษย์หรือไฉน อนึ่ง
พวกเธอยังจะอยู่กันด้วยความสมัครสมานสามัคคีอยู่หรือ. พากันกราบเรียนว่า
ท่านอาจารย์ขอรับ พวกกระผมอยู่กันอย่างสบาย ก็แต่ว่า
พวกผมพากันดื่มในสิ่งไม่ควรดื่ม สลบไสลไปตามๆ กัน ไม่อาจดารงสติได้
พากันขับร้องฟ้ อนราตามเรื่อง.
เมื่อแจ้งเรื่องนั้นแล้ว ก็พากันยกคาถานี้ เรียนอาจารย์ว่า :-
พวกกระผมได้พากันดื่ม ได้ชวนกันฟ้ อน พากันขับร้อง
แล้วก็พากันร้องไห้ เพราะดื่มสุราที่ทาให้สัญญาวิปริต
เห็นดีแต่ที่มิได้กลายเป็นลิงไปเสียเลย ดังนี้.
พวกอันเตวาสิกเหล่านั้นพากันกล่าวโทษของตน ด้วยประการฉะนี้.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า นรชนที่เหินห่างจากการอยู่ร่วมกับครู
ย่อมเป็นเช่นนี้ได้ทั้งนั้น ตาหนิดาบสเหล่านั้น แล้วให้โอวาทว่า
พวกท่านอย่ากระทากรรมเห็นปานนี้ต่อไปอีก มีฌานไม่เสื่อม
ได้ไปบังเกิดในพรหมโลกแล้ว.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
คณะฤๅษีในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท
ส่วนศาสดาของคณะ ได้มาเป็น เราตถาคต.
จบอรรถกถาสุราปานชาดกที่ ๑
-----------------------------------------------------