ว่าด้วยการเบื่อเพราะซ้ำซาก พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้เคยเป็นช่างทองรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของพระธรรมเสนาบดี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ก็อาสยานุสยญาณย่อมมีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น ย่อมไม่มีแก่คนอื่น เพราะฉะนั้น พระธรรมเสนาบดีจึงไม่รู้อาสยะคืออัธยาศัย และอนุสัยคือกิเลสอันเนื่องอยู่ในสันดานของสัทธิวิหาริก เพราะความที่ตนไม่มีอาสยานุสยญาณ จึงบอกเฉพาะอสุภกรรมฐานเท่านั้น อสุภกรรมฐานนั้นไม่เป็นสัปปายะแก่สัทธิวิหาริกนั้น. เพราะเหตุไร ? เพราะได้ยินว่า สัทธิวิหาริกของพระธรรมเสนาบดีนั้น ถือปฏิสนธิในเรือนของช่างทองเท่านั้น ถึง ๕๐๐ ชาติ เมื่อเป็นเช่นนั้น อสุภกรรมฐานจึงไม่เป็นสัปปายะแก่สัทธิวิหาริกนั้น เพราะเป็นผู้เคยชินต่อการเห็นทองคำบริสุทธิ์เท่านั้น เป็นเวลานาน สัทธิวิหาริกนั้นไม่อาจทำ แม้มาตรว่า นิมิตให้เกิดขึ้นในกรรมฐานนั้น ให้เวลาสิ้นไป ๔ เดือน. พระธรรมเสนาบดี เมื่อไม่อาจให้พระอรหัตแก่สัทธิวิหาริกของตน จึงคิดว่า ภิกษุนี้จักเป็นพุทธเวไนยแน่นอน เราจักนำไปยังสำนักของพระตถาคต จึงพาสัทธิวิหาริกนั้นไปยังสำนักของพระศาสดาด้วยตนเอง แต่เช้าตรู่. พระศาสดาตรัสถามว่า สารีบุตร เธอพาภิกษุรูปหนึ่งมาหรือหนอ. พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ให้กรรมฐานแก่ภิกษุนี้ แต่ภิกษุนี้ไม่อาจทำแม้มาตรว่านิมิตให้เกิดขึ้น โดยเวลา ๔ เดือน ข้าพระองค์นั้นคิดว่า ภิกษุนี้จักเป็นพุทธเวไนย ผู้ที่พระพุทธเจ้าจะพึงทรงแนะนำ จึงได้พามายังสำนักของพระองค์ พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามว่า สารีบุตร เธอให้กรรมฐานชนิดไหนแก่สัทธิวิหาริกของเธอ? พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ให้อสุภกรรมฐาน พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า สารีบุตร เธอไม่มีญาณเครื่องรู้อัธยาศัยและอนุสัยของสัตว์ทั้งหลาย เธอไปก่อนเถิด เวลาเย็นเธอมา พึงพาสัทธิวิหาริกของเธอมาด้วย. พระศาสดาทรงส่งพระเถระไปอย่างนี้แล้ว ได้ให้ผ้านุ่งและจีวรอันน่าชอบใจแก่ภิกษุนั้น แล้วทรงพาภิกษุนั้นเข้าไปบิณฑบาตยังบ้าน ให้ของเคี้ยวของฉันอันประณีต แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ กลับมายังพระวิหารอีก ทรงยังเวลาส่วนกลางวัน ให้สิ้นไปในพระคันธกุฎี พอเวลาเย็น ทรงพาภิกษุนั้นเที่ยวจาริกไปในวิหาร แล้วทรงนิรมิตสระโบกขรณีสระหนึ่งในอัมพวัน แล้วทรงนิรมิตกอปทุมใหญ่ในสระโบกขรณีนั้น และทรงนิรมิตดอกปทุมใหญ่ดอกหนึ่งในกอปทุม แม้นั้น แล้วรับสั่งให้นั่งลงด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุ เธอจงนั่งแลดูดอกปทุมนี้ แล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี. ภิกษุนั้นแลดูดอกปทุมนั้นบ่อยๆ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ดอกปทุมนั้นเหี่ยว. ดอกปทุมนั้น เมื่อภิกษุนั้นแลดูอยู่นั่นแหละ ได้เหี่ยวเปลี่ยนสีไป. ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น กลีบของดอกปทุมนั้นก็ร่วงไปตั้งแต่รอบนอก ได้ร่วงไปหมดโดยครู่เดียว. แต่นั้น เกสรก็ร่วงไป เหลืออยู่แต่ฝักบัว. ภิกษุนั้นเห็นอยู่ดังนั้นจึงคิดว่า ดอกปทุมนี้ได้งดงามน่าดูอยู่เดี๋ยวนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น สีของมันก็แปรไป กลีบและเกสรร่วงไป คงอยู่แต่เพียงฝักบัวเท่านั้น ความชราถึงแก่ดอกปทุมชื่อเห็นปานนี้ อย่างไรจักไม่ถึงร่างกายของเรา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ จึงเริ่มเจริญวิปัสสนา