More Related Content
Similar to 140 กากชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
140 กากชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
กากชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๑๐. กากชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๔๐)
ว่าด้วยกาไม่มีมันเหลว
(กาโพธิสัตว์แสดงธรรมว่า)
[๑๔๐] กาทั้งหลายมีใจหวาดผวาอยู่เป็นนิตย์
มีปกติเบียดเบียนชาวโลกทั้งมวล เพราะฉะนั้น มันเหลวของกาทั้งหลาย
ผู้เป็นญาติของข้าพเจ้าจึงไม่มี
กากชาดกที่ ๑๐ จบ
อสัมปทานวรรคที่ ๑๔ จบ
-----------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
กากชาดก
ว่าด้วย กาไม่มีมันเหลว
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภการประพฤติประโยชน์แก่พระประยูรญาติ ตรัสพระธรรมเทศนานี้
ดังนี้.
เรื่องในปัจจุบัน จักมีปรากฏในภัททสาลชาดก ทวาทสนิบาต.
ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกาเนิดกา อยู่มาวันหนึ่ง ปุโรหิตของพระราชา
อาบน้าในแม่น้านอกพระนคร ประแป้ ง แต่งกายประดับดอกไม้ นุ่งผ้าสมศักดิ์ศรี
กาลังเดินเข้าพระนคร ที่ยอดเสาค่ายใกล้ประตูพระนคร กาสองตัวกาลังจับอยู่
ในสองตัวนั้น กาตัวหนึ่ง พูดกับอีกตัวหนึ่งว่า สหาย เราจักขี้รดหัวพราหมณ์นี้
อีกตัวหนึ่งค้านว่า เจ้าอย่านึกสนุกอย่างนั้นเลย พราหมณ์นี้เป็ นคนใหญ่คนโต
ขึ้นชื่อว่าการก่อเวรกับอิสสรชน ละก็ร้ายนัก เพราะแกโกรธขึ้นมาแล้ว
พึงทากาแม้ทั้งหมดให้ฉิบหายได้ กาตัวนั้นพูดว่า
เราไม่อาจยับยั้งเปลี่ยนใจได้เสียแล้ว อีกตัวหนึ่งกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น
เจ้าจักได้รู้ดอก แล้วบินหนีไป กาตัวหนึ่ง เวลาพราหมณ์ลอดส่วนล่างแห่งเสาค่าย
ก็ทาเป็นย่อตัวลงขี้รดหัวพราหมณ์นั้น พราหมณ์โกรธ ผูกเวรในฝูงกา.
ครั้งนั้น หญิงทาสีรับจ้างซ้อมข้าวคนหนึ่ง
เอาข้าวเปลือกผึ่งแดดไว้ที่ประตูเรือน นั่งคอยเฝ้ าอยู่นั่นแล หลับไป
แพะขนยาวตัวหนึ่งรู้ว่าหญิงนั้นประมาท มากินข้าวเปลือกเสีย
นางตื่นขึ้นเห็นมันก็ไล่ไป แพะแอบมากินข้าวเปลือก
- 2. 2
ในเวลาที่นางหลับอย่างนั้นนั่นแหละ สอง-สามครั้ง แม้นางก็ไล่มันไปทั้งสามครั้ง
แล้วคิดว่า เมื่อมันกินบ่อยครั้ง จักกินข้าวเปลือกไปตั้งครึ่งจานวน
เราต้องเข้าเนื้อไปมากมาย คราวนี้ต้องทาไม่ให้มันมาได้อีก
นางจึงถือไต้นั่งทาเป็นหลับ เมื่อแพะเข้ามากินข้าวเปลือก
ก็ลุกขึ้นขว้างแพะด้วยไต้ ขนแพะก็ติดไฟ เมื่อร่างกายถูกไฟไหม้
มันคิดจักให้ไฟดับ จึงวิ่งไปโดยเร็ว เอาตัวสีที่กระท่อมหญ้าแห่งหนึ่งใกล้โรงช้าง
กระท่อมนั้นก็ลุกโพลงไป เปลวไฟที่เกิดจากกระท่อมนั้น ลามไปติดโรงช้าง
เมื่อโรงช้างไหม้ หลังช้างก็พลอยไหม้ไปด้วย ช้างจานวนมาก
ต่างมีตัวเป็นแผลไปตามๆ กัน พวกหมอไม่สามารถจะรักษาให้หายได้
พากันกราบทูลพระราชา
พระราชาจึงตรัสกับปุโรหิตว่า ท่านอาจารย์
หมอช้างหมดฝีมือที่จะรักษาฝูงช้าง ท่านพอจะรู้จักยาอะไรๆ บ้างหรือ?
ปุโรหิตกราบทูลว่า ข้าพระองค์ทราบเกล้าฯ อยู่พระเจ้าข้า รับสั่งถามว่า
ได้อะไรถึงจะควร? กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ต้องได้น้ามันกาพระเจ้าข้า.
รับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงสั่งให้คนฆ่ามา เอาน้ามันมาเถิด. จาเดิมแต่นั้น
คนทั้งหลายก็พากันฆ่ากา ไม่ได้น้ามันก็ทิ้งสุมไว้เป็นกองๆ ในที่นั้นๆ
ภัยอย่างใหญ่หลวงเกิดแก่ฝูงกาแล้ว.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์มีฝูงกาแปดหมื่นเป็นบริวาร
อาศัยอยู่ในป่าช้าใหญ่ มีกาตัวหนึ่งมาบอกแก่พระโพธิสัตว์ ถึงภัยที่เกิดแก่ฝูงกา
พระโพธิสัตว์ดาริว่า ยกเว้นเราเสียแล้ว ผู้อื่นที่จะสามารถบาบัดภัย
ที่กาลังเกิดขึ้นแก่หมู่ญาติของเราได้ไม่มีเลย เราต้องบาบัดภัยนั้น
แล้วราลึกถึงบารมี ๑๐ ประการ กระทาเมตตาบารมีให้เป็นเบื้องหน้า
บินรวดเดียวเท่านั้น เข้าไปในช่องพระแกลใหญ่ที่เปิดไว้
เข้าไปซุกอยู่ภายใต้พระราชอาสน์.
ครั้งนั้น อามาตย์ผู้หนึ่งทาท่าจะจับพระโพธิสัตว์ พระราชาตรัสห้ามว่า
มันเข้ามาหาที่พึ่ง อย่าจับมันเลย พระมหาสัตว์พักหน่อยหนึ่ง
แล้วราลึกถึงพระบารมี ออกจากใต้อาสนะ กราบทูลพระราชาว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ธรรมดาพระราชาต้องไม่ลุอานาจอคติ
มีฉันทาคติเป็นต้นจึงจะชอบ กรรมใดๆ ที่จะต้องกระทา กรรมนั้นๆ
ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วกระทาจึงจะชอบ อนึ่ง กรรมใดที่จะกระทา
ต้องได้ผลกรรมนั้นเท่านั้นจึงจะควรกระทา นอกนี้ไม่ควรกระทา
ก็ถ้าพระราชาทั้งหลายมาทรงกระทากรรมที่ทาไปไม่สาเร็จผลเลยอยู่ไซร้
มหาภัยมีมรณภัยเป็นที่สุด ย่อมบังเกิดแก่มหาชน
ปุโรหิตตกอยู่ในอานาจของการจองเวร ได้กราบทูลเท็จ ขึ้นชื่อว่า
มันเหลวของฝูงกาไม่มีเลย.
- 3. 3
พระราชาทรงสดับคานั้นแล้ว มีพระทัยเลื่อมใส
ให้พระโพธิสัตว์เกาะบนตั่ง อันแพรวพราวด้วยทองคา
ให้คนทาช่วงปีกด้วยน้ามันที่หุงแล้วได้แสนครั้ง
ให้บริโภคอาหารที่สะอาดสมควรเป็นพระกระยาหาร ให้ดื่มน้า
พอพระมหาสัตว์สบายหายความเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงได้ตรัสคานี้ว่า พ่อบัณฑิต
เธอกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่ามันเหลวของฝูงกา ไม่มี ด้วยเหตุไรเล่า
มันเหลวของฝูงกาจึงไม่มี. พระโพธิสัตว์เมื่อจะกราบทูลชี้แจงว่า ด้วยเหตุนี้ๆ
พระเจ้าข้า กระทาพระราชวังทั้งสิ้นให้เป็ นเสียงเดียวกัน แสดงธรรม กล่าวคาถานี้
ความว่า :-
"ฝูงกามีใจหวาดสะดุ้งเป็ นนิตย์ ชอบเบียดเบียนชาวโลกทั้งมวล
เหตุนั้น มันเหลวของฝูงกาผู้เป็นญาติของข้าพระองค์เหล่านั้น จึงไม่มี" ดังนี้.
ในคาถานั้น มีความสังเขปดังนี้ :-
ข้าแต่มหาราชเจ้า ธรรมดาฝูงกามีใจสะดุ้ง
คือคอยแต่หวาดกลัวอยู่เป็นนิจทีเดียว.
กาทั้งหลายชอบเที่ยวเบียดเบียน ข่มเหง มนุษย์ที่เป็นใหญ่
มีกษัตริย์เป็นต้นบ้าง หญิงชายทั่วไปบ้าง เด็กชายเด็กหญิงเป็นต้นบ้าง เหตุนั้น
คือด้วยเหตุสองประการนี้
ขึ้นชื่อว่ามันเหลวของฝูงกาผู้เป็ นญาติของข้าพระองค์เหล่านั้นจึงไม่มี
แม้ในอดีตก็ไม่เคยมี แม้ในอนาคต ก็จักไม่มี.
พระโพธิสัตว์เปิดเผยเหตุนี้ด้วยประการฉะนี้ แล้วทูลเตือนพระราชาว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ธรรมดา พระราชามิได้ทรงพิจารณาใคร่ครวญแล้ว
ไม่พึงปฏิบัติพระราชกิจ พระราชาทรงพอพระทัย
บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยราชสมบัติ
พระโพธิสัตว์ถวายราชสมบัติคืนแด่พระราชาดังเดิม
ให้พระราชาดารงอยู่ในเบ็ญจศีล ทูลขอพระราชทานอภัยแก่สัตว์ทั้งปวง
พระราชาทรงสดับธรรมเทศนาแล้ว โปรดพระราชทานอภัยแก่สรรพสัตว์
ทรงตั้งนิพัทธทาน (ทานที่ให้ประจา) แก่ฝูงกา ให้หุงข้าวประมาณวันละหนึ่งถัง
คลุกด้วยของที่มีรสเลิศต่างๆ พระราชทานแก่กาทุกๆ วัน
ส่วนพระมหาสัตว์ได้รับพระราชทานพระกระยาหารทีเดียว.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
พระเจ้าพาราณสีในครั้งนั้น ได้มาเป็น อานนท์
ส่วนพระยากาได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถากากชาดกที่ ๑๐