More Related Content
Similar to 138 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
138 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
โคธชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๘. โคธชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๓๘)
ว่าด้วยพญาเหี้ย
(พญาเหี้ยโพธิสัตว์ติเตียนดาบสว่า)
[๑๓๘] นี่เจ้าผู้โง่เขลา จะมีประโยชน์อะไรแก่เจ้า
ด้วยชฎาและการนุ่งห่มหนังเสือเหลือง ภายในของเจ้าแสนจะรกรุงรัง
เจ้าดีแต่ขัดสีภายนอกเท่านั้น
โคธชาดกที่ ๘ จบ
---------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
โคธชาดก
ว่าด้วย ฤาษีหลอกกินเหี้ย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบัน เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วในหนหลังนั่นแล.
ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกาเนิดเหี้ย ครั้งนั้น ดาบสรูปหนึ่งได้อภิญญา ๕
มีตบะกล้า อาศัยปัจจันตคามตาบลหนึ่ง อยู่ ณ บรรณศาลาชายป่า
พวกชาวบ้านช่วยกันบารุงพระดาบสด้วยความเคารพ.
พระโพธิสัตว์ก็ได้อยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ณ ที่สุดที่จงกรมของท่าน
ก็แลเมื่ออยู่นั้น ได้ไปหาพระดาบสวันละ ๓ ครั้งทุกๆ วัน
ฟังคาอันประกอบด้วยเหตุประกอบด้วยผลแล้ว
ไหว้พระดาบสแล้วกลับไปสู่ที่อยู่ของตน.
ต่อมา พระดาบสก็อาลาพวกชาวบ้านหลีกไป
ก็แลเมื่อพระดาบสผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตรนั้นหลีกไปแล้ว
มีดาบสโกงอื่นมาพานักอยู่ในอาศรมบทนั้น พระโพธิสัตว์กาหนดว่า
แม้ท่านผู้นี้ก็มีศีล จึงได้ไปสู่สานักของเขาโดยนัยก่อนนั่นแล.
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเมฆตั้งขึ้นในสมัยใช่กาล
ยังฝนให้ตกลงมาในฤดูแล้ง ฝูงแมลงเม่าพากันออกจากจอมปลวกทั้งหลาย
ฝูงเหี้ยก็พากันออกเที่ยวหากินแมลงเม่าเหล่านั้น
พวกชาวบ้านก็พากันออกจับเหี้ยที่กินแมลงเม่าได้เป็นอันมาก
แล้วจัดทาเป็นเนื้อส้ม ปรุงด้วยเครื่องปรุงอันอร่อย ถวายพระดาบส.
- 2. 2
ดาบสฉันเนื้อส้มแล้วติดใจในรส จึงถามว่า เนื้อนี้อร่อยยิ่งนัก
เนื้อนั้นเป็ นเนื้อของสัตว์ประเภทไหน? ครั้นได้ยินเขาบอกว่าเนื้อเหี้ย ก็ดาริว่า
เหี้ยตัวใหญ่มาในสานักของเรา จักฆ่ามันกินเนื้อเสีย
แล้วให้คนขนภาชนะสาหรับต้มแกงและวัตถุมีเนยใสและเกลือเป็นต้น
วางไว้ข้างหนึ่ง ถือไม้ค้อนซ่อนไว้ด้วยผ้าห่ม คอยการมาของพระโพธิสัตว์
อยู่ที่ประตูบรรณศาลา นั่งวางท่าทาเป็นเหมือนสงบเสงี่ยม.
ในเวลาเย็น พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักไปหาดาบสแล้วออกเดิน
ขณะที่กาลังเข้าไปใกล้นั่นเอง ได้เห็นข้อผิดแผกแห่งอินทรีย์ของเขา จึงคิดว่า
ดาบสนี้มิได้นั่งด้วยท่าทางที่เคยนั่งในวันอื่นๆ แม้จะมองดูเราในวันนี้เล่า
ก็ชาเลืองเป็นที่เคลือบแฝง ต้องคอยจับตาดูให้ดี ดังนี้.
พระโพธิสัตว์จึงไปยืนใต้ทิศทางลมของดาบส ได้กลิ่นเนื้อเหี้ย จึงคิดว่า
วันนี้ ดาบสโกงนี้คงฉันเนื้อเหี้ย ติดใจในรสแล้ว
คราวนี้มุ่งจะตีเราผู้เข้าไปหาด้วยไม้ค้อน แล้วเอาเนื้อไปต้มแกงกินเป็นแน่
ก็ไม่ยอมเข้าไปใกล้เขา ถอยกลับวิ่งไป.
ดาบสรู้ความที่พระโพธิสัตว์ไม่ยอมมา ก็คิดว่า
เหี้ยตัวนี้คงจะรู้ตัวว่าเรามุ่งจะฆ่ามัน ด้วยเหตุนั้น จึงไม่เข้ามา
แม้ถึงเมื่อมันจะไม่เข้ามา ก็ไม่พ้นมือไปได้ แล้วเอาไม้ค้อนออกขว้างไป
ไม้ค้อนนั้นกระทบเพียงปลายหางของพระโพธิสัตว์เท่านั้น
พระโพธิสัตว์เข้าจอมปลวกไปโดยเร็ว โผล่ศีรษะออกมาทางช่องอื่น
กล่าวว่า เหวยชฏิลเจ้าเล่ห์ เมื่อเราเข้าไปหาเจ้า ก็เข้าไปหาด้วยสาคัญว่าเป็นผู้มีศีล
แต่เดี๋ยวนี้ความเจ้าเล่ห์ของเจ้า เรารู้เสียแล้ว มหาโจรอย่างเจ้า บวชไปทาไมกัน.
เมื่อจะติเตียนดาบส จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
"เหวยชฏิลปัญญาทราม เจ้ามุ่นชฎาทาไม นุ่งหนังเสือทาไม
ข้างในของเจ้ารุงรัง เจ้ามัวขัดสีแต่ภายนอก" ดังนี้.
เจ้านั้น เมื่อภายในยังรุงรัง ยังมัวขัดสีข้างนอกด้วยการอาบน้าเป็ นต้น
และด้วยการถือเพศ เมื่อมัวแต่ขัดข้างนอก
เจ้าก็เป็นเหมือนกะโหลกน้าเต้าที่เต็มด้วยรัง เป็ นเหมือนตุ่มเต็มด้วยยาพิษ
เป็นเหมือนจอมปลวกที่เต็มด้วยอสรพิษ และเป็นเหมือนหม้อที่วิจิตรเต็มด้วยคูถ
ซึ่งเกลี้ยงเกลาแต่ข้างนอกเท่านั้น เจ้าเป็ นโจร จะอยู่ที่นี่ทาไม
รีบหนีไปเสียโดยเร็วเถิด ถ้าเจ้าไม่หนีไป
เราจักบอกชาวบ้านให้ทาการขับไล่ข่มขี่เจ้า.
พระโพธิสัตว์คุกคามดาบสเจ้าเล่ห์อย่างนี้แล้ว ก็เข้าสู่จอมปลวก
แม้ดาบสเจ้าเล่ห์ก็หลบไปจากที่นั้น.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ดาบสโกงในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุหลอกลวงนี้