More Related Content
Similar to 151 ราโชวาทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
151 ราโชวาทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
ราโชวาทชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. ทุกนิบาต
๑. ทัฬหวรรค
หมวดว่าด้วยความกระด้าง
๑. ราโชวาทชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๕๑)
ว่าด้วยพระราโชวาท
(นายสารถีของพระเจ้าพัลลิกะกล่าวอวดพระเกียรติคุณพระราชาของตนว่า)
[๑] พระเจ้าพัลลิกะทรงขจัดคนกระด้างด้วยความกระด้าง
ทรงชนะคนอ่อนโยนด้วยความอ่อนโยน ทรงชนะคนดีด้วยความดี
ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความไม่ดี พระราชาองค์นี้เป็ นเช่นนี้ นายสารถี
ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด
(นายสารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวพระเกียรติคุณพระราชาของตนว่า)
[๒] พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ
ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดี ทรงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
ทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคาสัตย์ พระราชาองค์นี้เป็ นเช่นนี้ นายสารถี
ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด
ราโชวาทชาดกที่ ๑ จบ
--------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ราโชวาทชาดก
ว่าด้วย วิธีชนะ
พระศาสดา เมื่อทรงประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภโอวาทของพระราชา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
โอวาทของพระราชานั้นจักมีแจ้งใน เตสกุณชาดก.
ในวันหนึ่ง พระเจ้าโกศลทรงวินิจฉัยคดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งวินิจฉัยไว้ไม่ดี
มีอคติ เสร็จแล้วเสวยพระกระยาหารเช้า ทั้งๆ ที่มีพระหัตถ์เปียก
เสด็จขึ้นทรงราชรถที่จัดไว้เรียบร้อยแล้ว เสด็จไปเฝ้ าพระศาสดา
ทรงหมอบลงแทบพระบาท อันมีสิริดุจดอกปทุมบาน ถวายบังคมพระศาสดา
ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง.
ลาดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสปฏิสันถารกะพระเจ้าโกศลว่า
ขอต้อนรับมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาจากไหนแต่ยังวัน.
- 2. 2
พระเจ้าโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้
ข้าพระองค์วินิจฉัยคดีเรื่องหนึ่งซึ่งวินิจฉัยไว้ไม่ดี จึงไม่มีโอกาส.
บัดนี้พิจารณาคดีนั้นเสร็จแล้ว จึงบริโภคอาหาร ทั้งๆ ที่มือยังเปียก
มาเฝ้ าพระองค์นี่แหละ พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า ขอถวายพระพร
ชื่อว่าการวินิจฉัยคดีโดยทานองคลองธรรมเป็นความดี เป็ นทางสวรรค์แท้.
ก็ข้อที่มหาบพิตรได้โอวาทจากสานักของผู้เป็นสัพพัญญูเช่นตถาคต
ทรงวินิจฉัยคดีโดยทานองคลองธรรมนี้ ไม่อัศจรรย์เลย.
การที่พระราชาทั้งหลายในกาลก่อน ทรงสดับโอวาทของเหล่าบัณฑิต
ทั้งที่ไม่ใช่สัพพัญญู แล้วทรงวินิจฉัยคดีโดยทานองคลองธรรม เว้นอคติสี่อย่าง
บาเพ็ญทศพิธราชธรรม ไม่ให้เสื่อมเสีย เสวยราชสมบัติโดยธรรม
บาเพ็ญทางสวรรค์ เสด็จไปแล้ว นี่แหละน่าอัศจรรย์.
พระเจ้าโกศลกราบทูลอาราธนา
พระองค์จึงทรงนาเรื่องในอดีตมาเล่าถวาย.
ในอดีต ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชานั้น
ได้รับการบริหารพระครรภ์เป็นอย่างดี ทรงประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา
โดยสวัสดิภาพ. ในวันขนานพระนาม
พระชนกชนนีได้ทรงตั้งพระนามของพระโพธิสัตว์ว่า พรหมทัตกุมาร.
พรหมทัตกุมารนั้นได้เจริญวัยขึ้นโดยลาดับ เมื่อพระชนม์ได้ ๑๖
พรรษา เสด็จไปเมืองตักกสิลา ทรงสาเร็จศิลปศาสตร์ทุกแขนง
เมื่อพระชนกสวรรคตทรงดารงอยู่ในราชสมบัติ
ครอบครองราชสมบัติโดยทานองคลองธรรม ทรงวินิจฉัยคดีไม่ล่วงอคติ
มีฉันทาคติเป็นต้น.
เมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติโดยธรรมอย่างนี้
แม้พวกอามาตย์ต่างก็วินิจฉัยคดีโดยธรรมเหมือนกัน
เมื่อคดีทั้งหลายได้รับการวินิจฉัยโดยธรรม จึงไม่มีคดีโกงเกิดขึ้น
เพราะไม่มีคดีโกงเหล่านั้น การร้องทุกข์ ณ พระลานหลวง
เพื่อให้เกิดคดีก็หมดไป พวกอามาตย์นั่งบนบัลลังก์วินิจฉัยตลอดวันไม่เห็นใครๆ
มาเพื่อให้วินิจฉัยคดี ต่างก็ลุกกลับไป สถานที่วินิจฉัยคดีก็ถูกทอดทิ้ง.
พระโพธิสัตว์ทรงดาริว่า
เมื่อเราครองราชสมบัติโดยธรรมไม่มีผู้คนมาให้วินิจฉัยคดี ไม่มีผู้มาร้องทุกข์
สถานที่วินิจฉัยคดีก็ถูกทอดทิ้ง บัดนี้ เราควรตรวจสอบโทษของตน ครั้นเรารู้ว่า
นี่เป็นโทษของเรา จักละโทษนั้นเสีย ประพฤติในสิ่งที่เป็นคุณเท่านั้น.
จาเดิมแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ก็ทรงสารวจดูว่า จะมีใครๆ
- 3. 3
พูดถึงโทษของเราบ้างหนอ ครั้นไม่ทรงเห็นใครๆ
กล่าวถึงโทษในระหว่างข้าราชบริพารภายใน
ทรงสดับแต่คาสรรเสริญคุณของพระองค์ถ่ายเดียว ทรงดาริว่า ชะรอยชนเหล่านี้
เพราะกลัวเราจึงไม่กล่าวถึงโทษ กล่าวแต่คุณเท่านั้น
จึงทรงสอบข้าราชบริพารภายนอก. แม้ในหมู่ข้าราชบริพารเหล่านั้น ก็ไม่ทรงเห็น
จึงทรงสอบชาวเมืองภายในพระนคร ทรงสอบชาวบ้านที่ทวารทั้งสี่นอกพระนคร
แม้ในที่นั้นก็มิได้ทรงเห็นใครๆ กล่าวถึงโทษ
ทรงสดับแต่คาสรรเสริญของพระองค์ถ่ายเดียว จึงทรงดาริว่า
เราจักตรวจสอบชาวชนบทดู ทรงมอบราชสมบัติให้เหล่าอามาตย์
เสด็จขึ้นรถไปกับสารถีเท่านั้น ทรงปลอมพระองค์ไม่ให้ใครรู้จัก
เสด็จออกจากพระนคร พยายามสอบสวนชาวชนบท
จนเสด็จถึงภูมิประเทศชายแดน ก็มิได้ทรงเห็นใครๆ กล่าวถึงโทษ
ทรงสดับแต่คาสรรเสริญพระคุณ จึงทรงบ่ายพระพักตร์สู่พระนคร
เสด็จกลับตามทางหลวงจากเขตชายแดน.
ในเวลานั้น
แม้พระเจ้าโกศลพระนามว่า พัลลิกะ ก็ทรงครอบครองราชสมบัติโดยธรรม
ทรงตรวจสอบหาโทษในบรรดาข้าราชบริพารภายในเป็ นต้น มิได้ทรงเห็นใครๆ
กล่าวถึงโทษเลย ทรงสดับแต่คาสรรเสริญพระคุณของพระองค์เหมือนกัน
จึงทรงตรวจสอบชาวชนบท ได้เสด็จถึงประเทศนั้น.
กษัตริย์ทั้งสองได้ประจันหน้ากันที่ทางเกวียนอันราบลุ่มแห่งหนึ่ง
ไม่มีทางที่รถจะหลีกกันได้.
สารถีของพระเจ้าพัลลิกะจึงพูดกะสารถีของพระเจ้าพาราณสีว่า
“จงหลีกรถของท่าน.”
สารถีของพระเจ้าพาราณสีก็ตอบว่า
“พ่อมหาจาเริญ ขอให้ท่านหลีกรถของท่านเถิด
บนรถนี้มีพระเจ้าพรหมทัตมหาราชผู้ครอบครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี
ประทับนั่งอยู่.”
สารถีอีกฝ่ายหนึ่งก็พูดว่า
“พ่อมหาจาเริญ
บนรถนี้พระเจ้าพัลลิกะมหาราชผู้ครอบครองราชสมบัติในแคว้นโกศล
ก็ประทับนั่งอยู่ ขอท่านได้โปรดหลีกรถของท่าน
แล้วให้โอกาสแก่รถของพระราชาของเราเถิด.”
สารถีของพระเจ้าพาราณสีดาริว่า
“แม้ผู้ที่นั่งอยู่ในรถนี้ก็เป็นพระราชาเหมือนกัน เราจะควรทาอย่างไรดีหนอ”
นึกขึ้นได้ว่า มีอุบายอย่างหนึ่ง เราจักถามถึงวัยให้รถของพระราชาหนุ่มหลีกไป
- 4. 4
แล้วให้พระราชทานโอกาสแก่พระราชาแก่.
ครั้นตกลงใจแล้ว จึงถามถึงวัยของพระเจ้าโกศลกะสารถี
แล้วกาหนดไว้ ครั้นทราบว่า พระราชาทั้งสองมีวัยเท่ากัน จึงถามถึงปริมาณ
ราชสมบัติ กาลัง ทรัพย์ ยศ ชาติ โคตร ตระกูล ประเทศ ครั้นทราบว่า
ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ครอบครองรัชสีมาประมาณ ฝ่ายละสามร้อยโยชน์ มีกาลัง ทรัพย์
ยศ ชาติ โคตร ตระกูล และประเทศเท่ากัน แล้วคิดต่อไปว่า
เราจักให้โอกาสแก่ผู้มีศีล จึงถามว่า
“ พ่อมหาจาเริญ ศีลและมารยาทแห่งพระราชาของท่านเป็นอย่างไร ”
เมื่อเขาประกาศสิ่งที่เป็นโทษแห่งพระราชาของตน
โดยนึกว่าเป็นคุณจึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
พระเจ้าพัลลิกราชทรงชนะคนกระด้างด้วยความกระด้าง
ทรงชนะคนอ่อนโยนด้วยความอ่อนโยน ทรงชนะคนดีด้วยความดี
ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความไม่ดี พระราชาพระองค์นี้เป็นเช่นนั้น
ดูก่อนสารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด.
สารถีของพระเจ้าพัลลิกะชี้แจงว่า ผู้ใดเป็นคนกระด้าง
มีกาลังควรชนะด้วยการประหาร หรือด้วยวาจาอันกระด้าง
ก็ใช้การประหารหรือวาจาอันกระด้างต่อผู้นั้น
พระเจ้าพัลลิกะทรงใช้ความกระด้างชนะผู้นั้นอย่างนี้.
พระเจ้าพัลลิกะทรงใช้ความอ่อนโยนชนะบุคคลอ่อนโยน
ด้วยอุบายอันอ่อนโยน.
สารถีของพระเจ้าพัลลิกะชี้แจงต่อไปว่า ชนเหล่าใดเป็นคนดี
คือเป็นสัตบุรุษ พระองค์ทรงใช้ความดีชนะชนเหล่านั้น ด้วยอุบายอันดี.
ส่วนชนเหล่าใดเป็ นคนไม่ดี พระองค์ก็ทรงใช้ความไม่ดีชนะชนเหล่านั้น
ด้วยอุบายที่ไม่ดีเหมือนกัน.
พระเจ้าโกศลของพวกเรา ทรงประกอบด้วยศีลและมารยาท
เห็นปานนี้.
สารถีของพระเจ้าพัลลิกะพูดว่า
ขอท่านจงหลีกรถของตนจากทางไปเสีย คือจงไปนอกทาง
ให้ทางแก่พระราชาของพวกเรา.
ลาดับนั้น
สารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวกะสารถีของพระเจ้าพัลลิกะว่า
ท่านกล่าวถึงพระคุณของพระราชาของท่านหรือ
เมื่อเขาตอบว่า ใช่แล้ว
สารถีของพระเจ้าพาราณสีจึงกล่าวต่อไปว่า ผิว่าเหล่านี้เป็นพระคุณ
สิ่งที่เป็นโทษจะมีเพียงไหน.
- 5. 5
สารถีของพระเจ้าพัลลิกะกล่าวว่า เหล่านี้เป็ นโทษก็ตามเถิด
แต่พระราชาของท่านมีพระคุณเช่นไรเล่า.
สารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง
แล้วกล่าวคาถาที่สองว่า :-
พระเจ้าพาราณสีทรงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ
ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดี ทรงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
ทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคาสัตย์ พระราชาพระองค์นี้เป็นเช่นนั้น.
ดูก่อนสารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด.
พระราชาทรงประกอบด้วยคุณเหล่านี้ที่กล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า
พึงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ ดังนี้ อธิบายว่า พระราชาพระองค์นี้
พระองค์เองไม่โกรธ ทรงชนะบุคคลผู้โกรธด้วยความไม่โกรธ
พระองค์เองเป็ นคนดี ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พระองค์เองเป็นผู้ทรงบริจาค
ทรงชนะคนตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาค พระองค์เองตรัสความจริง
ทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคาจริง.
สารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวว่า ท่านสารถีผู้เป็ นสหาย
ขอได้โปรดหลีกจากทาง จงให้ทางแก่พระราชาของพวกเราผู้ประกอบด้วยคุณ
คือศีลและมารยาทมีอย่างนี้ พระราชาของพวกเราสมควรแก่ทางดาเนิน.
เมื่อสารถีของพระเจ้าพาราณสีกล่าวอย่างนี้แล้ว
พระเจ้าพัลลิกะและสารถีทั้งสอง ก็เสด็จและลงจากรถ ปลดม้า
ถอยรถถวายทางแด่พระเจ้าพาราณสี.
พระเจ้าพาราณสีถวายโอวาทแด่พระเจ้าพัลลิกะว่า ธรรมดา
พระราชาควรทรงกระทาอย่างนี้ๆ แล้วเสด็จไปกรุงพาราณสี
ทรงกระทาบุญมีทานเป็นต้น ทรงเพิ่มพูนทางสวรรค์ ในเวลาสุดสิ้นพระชนม์.
แม้พระเจ้าพัลลิกะก็ทรงรับพระโอวาทของพระเจ้าพาราณสี
ทรงสอบสวนชาวชนบท เสด็จไปทั่วพระนคร ไม่เห็นมีผู้กล่าวโทษของพระองค์
จึงกระทาบุญมีทานเป็นต้น ทรงเพิ่มพูนทางสวรรค์ ในเวลาสุดสิ้นพระชนม์.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มา
เพื่อทรงถวายโอวาทแด่พระเจ้าโกศล แล้วทรงประชุมชาดก
นายสารถีของพระเจ้าพัลลิกะ ครั้งนั้น ได้เป็ น พระโมคคัลลานะ
พระเจ้าพัลลิกะได้เป็ น พระอานนท์
สารถีของพระเจ้าพาราณสีได้เป็น พระสารีบุตร
ส่วนพระราชา คือ ตถาคต เอง.
-------------------------------