SlideShare a Scribd company logo
1
ภัลลาติยชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๘. ภัลลาติยชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๕๐๔)
ว่าด้วยพระราชาพระนามว่าภัลลาติยะ
(พระศาสดาทรงนาอดีตนิทานมาตรัสว่า)
[๑๘๖] ได้มีพระราชาทรงพระนามว่าภัลลาติยะ ท้าวเธอทรงละรัฐสีมา
ได้เสด็จประพาสป่า ล่าเนื้อ
เสด็จถึงภูเขาคันธมาทน์วรคีรีซึ่งมีบุปผชาตินานาพันธุ์บานสะพรั่ง
เป็นแดนที่พวกกินนรสัญจรไปมา
[๑๘๗] ท้าวเธอทรงประสงค์จะตรัสถาม จึงทรงห้ามฝูงสุนัข
ทรงเก็บลูกธนูและแล่ง เสด็จเข้าไปใกล้สถานที่ที่กินนร ๒ ผัวเมียอยู่
[๑๘๘] ล่วงฤดูเหมันต์ไปแล้ว ที่ริมฝั่งแม่น้าเหมวดีแห่งนี้ ไยเจ้าทั้ง ๒
ยังปรึกษากันเนืองๆ อยู่เล่า เราขอถามเจ้าทั้ง ๒ ผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์
ในมนุษยโลกเขารู้จักเจ้าทั้ง ๒ ว่าอย่างไร
(ฝ่ายกินนรีได้ฟังพระดารัสจึงสนทนากับพระราชาว่า)
[๑๘๙] พวกเราเป็นมฤคมีร่างกายคล้ายมนุษย์
ท่องเที่ยวไปตามแม่น้าทั้งหลาย คือ มัลลคีรีนที ปัณฑรกนที ตรีกูฏนที ซึ่งมีน้าเย็น
พ่อพราน ชาวโลกเขารู้จักพวกเราว่า กินนร
(ลาดับนั้น พระราชาได้ตรัสว่า)
[๑๙๐] เจ้าทั้ง ๒ เหมือนคนมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส
พากันคร่าครวญอยู่ สวมกอดกันเหมือนคนรักกับคนรัก เราขอถามเจ้าทั้ง ๒
ผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ เหตุไร เจ้าทั้ง ๒ จึงพากันร้องไห้ไม่สร่างซาอยู่ในป่านี้
[๑๙๑] เจ้าทั้ง ๒ เหมือนคนมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส
พากันคร่าครวญอยู่ สวมกอดกันเหมือนคนรักกับคนรัก เราขอถามเจ้าทั้ง ๒
ผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ เหตุไร เจ้าทั้ง ๒ จึงพากันเพ้อราพันไม่สร่างซาอยู่ในป่านี้
[๑๙๒] เจ้าทั้ง ๒ เหมือนคนมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส
พากันคร่าครวญอยู่ สวมกอดกันเหมือนคนรักกับคนรัก เราขอถามเจ้าทั้ง ๒
ผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ เหตุไร เจ้าทั้ง ๒ จึงพากันเศร้าโศกไม่สร่างซาอยู่ในป่านี้
(กินนรีกราบทูลว่า)
[๑๙๓] พ่อพราน เราทั้ง ๒ พลัดพรากกันอยู่หนึ่งราตรี
ไม่อยากจะพลัดพรากจากกัน เมื่อระลึกถึงกันและกัน
จึงพากันเดือดร้อนเศร้าโศกอยู่ตลอดราตรีหนึ่งนั้น ราตรีนั้นจักไม่มีอีก
(พระราชาตรัสถามว่า)
2
[๑๙๔] เจ้าทั้ง ๒ คิดถึงทรัพย์ที่พินาศไปแล้วหรือ
หรือคิดถึงบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว จึงพากันเดือดร้อนตลอดทั้งราตรีหนึ่งนั้น
เราขอถามเจ้าทั้ง ๒ ผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ เพราะเหตุไร เจ้าจึงแยกกันอยู่
(กินนรีกราบทูลว่า)
[๑๙๕] แม่น้าสายนี้ใดมีกระแสน้าเชี่ยวกราก
ปกคลุมด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ไหลผ่านภูผาหิน ท่านเห็นอยู่ แม่น้าสายนั้น
สามีที่รักของดิฉันสาคัญดิฉันว่าจะติดตามไปจึงได้ข้ามไปในฤดูฝน
[๑๙๖] ส่วนดิฉันมัวเลือกเก็บดอกปรู ดอกลาดวน ดอกมะลิซ้อน
และดอกคัดเค้า ด้วยหวังว่า สามีที่รักของดิฉันจักได้ประดับดอกไม้
และดิฉันจักประดับดอกไม้ นอนแนบข้างสามีนั้น
[๑๙๗] อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกบานไม่รู้โรย ดอกราชพฤกษ์
ดอกแคฝอย และดอกย่านทราย ด้วยหวังว่า
สามีที่รักของดิฉันจักได้ประดับดอกไม้
และดิฉันจักประดับดอกไม้นอนแนบข้างสามีนั้น
[๑๙๘] อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาละที่กาลังเบ่งบาน
แล้วร้อยเป็นพวงมาลัย ด้วยหวังว่า สามีที่รักของดิฉันจักสวมพวงมาลัย
และดิฉันจักสวมพวงมาลัยนอนแนบข้างสามีนั้น
[๑๙๙] อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาละที่กาลังเบ่งบาน
แล้วร้อยเป็นเครื่องรองรับ ด้วยหวังว่า ดอกไม้ที่ร้อยแล้วนี่แหละ
จักเป็นเครื่องปูลาดสาหรับเราทั้ง ๒ ณ สถานที่ที่เราทั้ง ๒
จักอยู่ร่วมกันตลอดคืนในวันนี้
[๒๐๐] อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อบดไม้กฤษณาและไม้จันทน์ที่ศิลา
ด้วยหวังว่า สามีที่รักของดิฉันจักใช้ชโลมกาย
และดิฉันก็จักใช้ชโลมกายนอนแนบข้างสามี
[๒๐๑] ครั้งนั้น น้าซึ่งมีกระแสเชี่ยวกรากได้ไหลบ่ามา
พัดพาเอาดอกสาละ ดอกสน และดอกกรรณิการ์ไป โดยครู่เดียวนั้นน้าก็เต็มฝั่ง
จึงเป็ นการยากยิ่งที่ดิฉันจะข้ามแม่น้าสายนี้ไปได้
[๒๐๒] คราวนั้น เราทั้ง ๒ ยืนมองกันและกันอยู่ที่ริมฝั่งทั้ง ๒
บางคราวก็ร้องไห้ บางคราวก็ร่าเริงยินดี
ราตรีนั้นได้ผ่านไปอย่างยากเย็นสาหรับเราทั้ง ๒
[๒๐๓] พ่อพราน พอดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าตรู่ แม่น้าแห้ง เราทั้ง ๒
จึงข้ามไปได้ สวมกอดกันและกัน ทั้งร้องไห้ ทั้งร่าเริงยินดี
[๒๐๔] พ่อพราน ๖๙๗ ปี เมื่อก่อน เราทั้ง ๒ พลัดพรากกันอยู่ในที่นี้
ข้าแต่พระภูมิบาล ชีวิตนี้เพียง ๑๐๐ ปีเท่านั้น
ใครหนอจะพึงเว้นจากภรรยาที่น่ารักใคร่ อยู่ในที่นี้ได้เล่า
3
(พระราชาตรัสถามว่า)
[๒๐๕] ก็อายุของพวกเจ้ามีประมาณเท่าไรหนอ เพื่อนรัก
หากพวกเจ้ารู้ก็จงบอก เจ้าทั้ง ๒ อย่าได้หวั่นไหว จงบอกอายุแก่เรา
ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากวุฑฒบุคคล หรือจากตารา
(กินนรีกราบทูลว่า)
[๒๐๖] พ่อพราน ก็อายุของพวกเรามีประมาณ ๑,๐๐๐ ปี
โรคอันร้ายแรงก็ไม่มีในระหว่าง ความทุกข์ก็มีน้อย มีแต่ความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป
เราทั้ง ๒ ยังรักใคร่กันไม่จืดจางจะต้องพากันละชีวิตไป
(พระศาสดาทรงประกาศความข้อนี้ว่า)
[๒๐๗] ก็พระเจ้าภัลลาติยะทรงสดับถ้อยคาของอมนุษย์ทั้งหลาย
ทรงดาริว่า ชีวิตเป็นของน้อยนัก จึงเสด็จกลับ ไม่เสด็จไปล่าเนื้อ ทรงบาเพ็ญทาน
เสวยโภคะ
(พระศาสดาครั้นตรัสพระคาถานี้แล้ว
ทรงโอวาทพระเจ้าโกศลกับพระนางมัลลิกาเทวีว่า)
[๒๐๘] ก็มหาบพิตรทั้ง ๒ ทรงสดับถ้อยคาของอมนุษย์ทั้งหลาย
จงทรงเบิกบานพระทัยเถิด อย่าทรงทะเลาะกันเลย
ความผิดเพราะการกระทาของตน อย่าทาให้มหาบพิตรทั้ง ๒ ต้องเดือดร้อน
เหมือนความผิดเพราะการกระทาของตน ทาให้กินนรทั้ง ๒
ต้องเดือดร้อนตลอดราตรีหนึ่งเลย
[๒๐๙] อนึ่ง พระองค์ทั้ง ๒ ทรงสดับถ้อยคาของอมนุษย์ทั้งหลายแล้ว
จงทรงเบิกบานพระทัยเถิด อย่าทรงวิวาทกันเลย
ความผิดเพราะการกระทาของตน อย่าทาให้มหาบพิตรทั้ง ๒ ต้องเดือดร้อน
เหมือนความผิดเพราะการกระทาของตน ทาให้กินนรทั้ง ๒
ต้องเดือดร้อนตลอดราตรีหนึ่งเลย
(พระนางมัลลิกาเทวีสดับพระธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้ว
เสด็จลุกจากอาสนะ ประคองอัญชลี ทรงชมเชยพระทศพลว่า)
[๒๑๐] หม่อมฉันสดับพระธรรมเทศนามีประการต่างๆ มีใจชื่นชมยินดี
พระดารัสต่างๆ ของพระองค์ประกอบไปด้วยประโยชน์
พระองค์เมื่อทรงเปล่งพระวาจาออกมา
ย่อมบรรเทาความกระวนกระวายใจของหม่อมฉันเสียได้
พระมหาสมณะผู้นาความสุขมาให้หม่อมฉันขอพระองค์ทรงเจริญพระชนม์ชีพยั่ง
ยืนนานเถิด
ภัลลาติยชาดกที่ ๘ จบ
--------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
4
ภัลลาติยชาดก
ว่าด้วย อายุของกินนร
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงพระปรารภพระนางมัลลิกาเทวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า
วันหนึ่งอาศัยเหตุที่พระนางมัลลิกาเทวีบรรทมร่วมกับพระเจ้าโกศลราช
จึงเกิดวิวาทบาดหมางกันขึ้น
พระราชาทรงกริ้วถึงกับไม่ทอดพระเนตรเหลียวแลพระนางมัลลิกาอัครมเหสี.
พระนางจึงทรงพระดาริว่า
พระตถาคตเจ้าจะไม่ทรงทราบเรื่องที่พระราชาทรงกริ้วเราหรือหนอ?
พระศาสดาทรงทราบเหตุนั้น จึงวันรุ่งขึ้น แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์
เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ทรงดาเนินไปถึงประตูพระราชวัง.
พระราชาจัดการรับเสด็จ ทรงรับบาตรแล้วทูลเสด็จสู่ปราสาท
อาราธนาภิกษุสงฆ์ให้นั่งโดยลาดับแล้ว ถวายน้าทักษิโณทก
ทรงอังคาสด้วยพระกระยาหารอันประณีต เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ประทับนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระศาสดาตรัสถามว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร เหตุไรหนอ
พระนางมัลลิกาบรมราชเทวีจึงทรงหายไปไม่ปรากฏ.
เมื่อท้าวเธอทูลตอบว่า
เพราะพระนางเพลิดเพลินมัวเมาในความสุขส่วนตัวเสีย
จึงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร
ในชาติก่อนพระองค์ทรงบังเกิดในกาเนิดกินนร พลัดจากนางกินรีไปหนึ่งราตรี
ต้องเที่ยวปริเทวนาการอยู่ถึงเจ็ดร้อยปีมิใช่หรือ?
พระราชาทูลอาราธนา จึงทรงนาอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล
เมื่อครั้งพระเจ้าภัลลาติกราชเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
ทรงพระดาริว่า เราจักบริโภคเนื้อย่างสุกด้วยถ่าน
จึงทรงมอบราชสมบัติแก่หมู่อามาตย์ แล้วทรงสะพักราชปัญจาวุธ
แวดล้อมด้วยหมู่โกเลยยสุนัขที่ฝึกหัดดีแล้ว
เสด็จออกจากพระนครไปยังหิมวันตประเทศ เสด็จถึงแม่น้าน้อยแห่งหนึ่ง
ไม่สามารถจะข้ามฝั่งน้าไปได้
ทอดพระเนตรเห็นแม่น้าที่มีกระแสไหลผ่านลงคงคาแห่งหนึ่ง
จึงพระราชดาเนินเลียบไปตามกระแสน้านั้น ทรงฆ่ามฤคและสุกรเป็นต้นแล้ว
เสวยเนื้อย่างสุกด้วยถ่านเพลิง พลางเสด็จขึ้นยังที่เนินอันสูง ณ
5
บนที่ราบสูงนั้นมีแม่น้าน้อยๆ เป็นที่น่ารื่นรมย์. ยามที่น้าเต็มบริบูรณ์
นทีธารนั้นจะมีส่วนลึกประมาณราวนมไหลผ่านอยู่เสมอ.
ในเวลาอื่นจะมีน้าลดลงประมาณแค่แข้งและเข่า
มีปลาและเต่าแหวกว่ายไปมาอยู่ดาษดื่น
ที่ชายหาดมีทรายสะอาดขาวราวกับแผ่นเงิน สองฟากฝั่งมีพรรณหมู่ไม้สะพรั่ง
สล้างไปด้วยดอกแลผลนานาชนิด
หมู่วิหคและภมรมากมายที่หลงใหลในดอกผลและรส ต่างพากันมาคลึงเคล้า
ทั้งหมู่พิพิธมฤคามฤคีเล่าก็เข้าเสพอาศัย ร่มเงาต้นไม้ก็เย็นสนิท.
ที่ฝั่งน้าเหมวดีนทีน่ารื่นรมย์อย่างนี้
มีกินนรสองตัวผัวเมียคลอเคลียจุมพิตซึ่งกันและกัน
แล้วร้องไห้คร่าครวญอยู่โดยนานัปการ.
เมื่อพระราชาเสด็จขึ้นภูเขาคันธมาทน์ ทางฝั่งนทีนั้น
ทอดพระเนตรเห็นกินนรเหล่านั้นแล้วทรงพระดาริว่า เพราะเหตุไรเล่าหนอ
กินนรทั้งคู่นี้จึงมาปริเทวนาการอยู่อย่างนี้ เราจักถามดู จึงดีดพระหัตถ์
ขึงพระเนตรดูหมู่สุนัขโกเลยยสุนัขที่ฝึกหัดดีแล้วทั้งหลาย
พากันวิ่งเข้าซ่อนยังพุ่มไม้ หมอบราบติดดินอยู่โดยสัญญานั้น.
พระราชาทรงทราบว่าสุนัขเหล่านั้นแอบซ่อนแล้ว
ทรงวางแล่งธนูและอาวุธอื่นพิงไว้กับต้นไม้ ไม่ทาเสียงพระบาทให้ดัง ค่อยๆ
เสด็จไปยังสานักกินนรเหล่านั้น แล้วตรัสถามกินนรทั้งสองว่า เพราะเหตุไร
เจ้าทั้งสองจึงพากันร้องไห้.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๓
คาถา
ความว่า
ได้มีพระราชาทรงพระนามว่า ภัลลาติยะ ทรงละรัฐสีมา
เสด็จประพาสป่า ล่ามฤค ท้าวเธอเสด็จไปถึงคันธมาทน์วรคิรี มีพรรณดอกไม้
บานสะพรั่ง ซึ่งกินนรเลือกเก็บอยู่เนืองๆ.
กินนรสองผัวเมียยืนคลึงเคล้ากันอยู่ ณ ที่ใด
ท้าวเธอประสงค์จะตรัสถาม จึงทรงห้ามหมู่สุนัข และเก็บแล่งธนูเสีย
แล้วเสด็จเข้าไปใกล้ ณ ที่นั้นตรัสว่า
ล่วงฤดูเหมันต์แล้ว
ไยเล่าเจ้าทั้งสองจึงมายืนกระซิบกระซาบกันอยู่เนืองๆ ที่ริมฝั่งเหมวดีนทีนี้
เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณเหมือนร่างมนุษย์
ชนทั้งหลายในมนุษยโลกรู้จักเจ้าทั้งสองว่าเป็นอะไร.
กินนรได้สดับพระราชดารัสถามแล้วก็นิ่งเสีย
ฝ่ายนางกินรีจึงกราบทูลโต้ตอบพระราชาว่า
6
ข้าแต่ท่านพรานผู้สหาย เราทั้งสองเป็นมฤค
มีเพศพรรณปรากฏเหมือนมนุษย์ เที่ยวอยู่ตามแม่น้าเหล่านี้ คือ มาลาคิรีนที
ปัณฑรกนที ติกูฏนทีซึ่งมีน้าใสเย็นสนิท ชาวโลกรู้จักเราทั้งสองว่าเป็ นกินนร.
ลาดับนั้น พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า
เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่
เจ้าทั้งสองรักกัน ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว
ดูก่อนกินนรทั้งสองผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย
เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงร้องไห้อยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย
เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์เสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่
เจ้าทั้งสองมีความรักกัน ได้สวมกอดกัน สมความรักแล้ว
ดูก่อนกินนรผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย
เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงมาบ่นเพ้ออยู่ในป่านี้ ไม่สร่างซาเลย.
เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่
เจ้าทั้งสองรักใคร่กัน ก็ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว
ดูก่อนกินนรผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย
เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงเศร้าโศกอยู่ในป่านี้ ไม่สร่างซาเลย.
ต่อจากนี้ไปเป็น
คาถาแสดงการปราศรัยโต้ตอบกันระหว่างพระราชากับนางกินรีทั้งสอง
ดังต่อไปนี้
(นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่ท่านนายพราน
เราทั้งสองไม่อยากจะจากกัน ก็ต้องจากกัน แยกกันอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง
เมื่อมาระลึกถึงกันและกัน
ก็เดือดร้อนเศร้าโศกถึงกันตลอดราตรีหนึ่งที่ล่วงไปนั้นว่า ราตรีนั้นจักไม่มีอีก.
(พระราชาตรัสถามว่า) เจ้าทั้งสองคิดถึงทรัพย์ที่หายไปหรือ
หรือว่าคิดถึงมารดาบิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว จึงได้เดือดร้อนอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง
เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณดังกายมนุษย์
เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงต้องจากกันไป.
(นางกินรีทูลว่า) ท่านเห็นนทีนี้แห่งใด มีกระแสเชี่ยว
ไหลมาในระหว่างหุบผา ปกคลุมไปด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ ในฤดูฝน
กินนรสามีสุดที่รักของดิฉันได้ข้ามแม่น้านั้นไปด้วยสาคัญว่า
ดิฉันจะติดตามมาข้างหลัง.
ส่วนดิฉันมัวเลือกเก็บดอกปรู ดอกลาดวน ดอกมะลิซ้อน
และดอกคัดค้าวที่บานสล้าง ด้วยคิดว่า สามีของเราจักได้ทัดทรงดอกไม้
ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.
อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกบานไม่รู้โรย ดอกราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย
7
ดอกย่านทราย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักทัดทรงดอกไม้
ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.
อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ ซึ่งกาลังบานสล้าง
ร้อยเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักสวมใส่พวงมาลัย
ส่วนเราก็จักได้สวมใส่พวงมาลัย เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.
อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ซึ่งกาลังบานสล้าง
แล้วร้อยทาเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า คืนวันนี้ เราทั้งสองจะอยู่ ณ ที่ใด
พวงมาลัยที่ทาไว้นี้แหละ จักเป็ นเครื่องปูลาด สาหรับเราทั้งสอง ณ ที่นั้น.
อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อบดกฤษณาดาและจันทน์แดงด้วยศิลา ด้วยคิดว่า
สามีที่รักของเราจักได้ประพรมร่างกาย
ส่วนเราประพรมร่างกายแล้วจะเข้าไปนอนแนบชิดสามีที่รักนั้น.
ครั้งนั้น น้ามีกระแสเชี่ยวไหลมา พัดเอาดอกสาลพฤกษ์ ดอกสน
ดอกกรรณิการ์ที่ดิฉันเก็บมาวางไว้ไปหมดสิ้น โดยกาลประมาณครู่เดียวเท่านั้น
น้าก็ขึ้นเต็มฝั่ง ถึงเวลาเย็นดิฉันก็ข้ามไปไม่ได้.
คราวนั้นเราทั้งสองอยู่กันคนละฝั่งน้า
มองเห็นหน้ากันก็หัวเราะครั้งหนึ่ง มองไม่เห็นหน้ากันก็ร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง
คืนนั้นได้ผ่านเราทั้งสองไปโดยยาก.
ข้าแต่นายพราน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
เราทั้งสองข้ามแม่น้าอันยุบแห้งมาสวมกอดกันและกัน ร้องไห้อยู่คราวหนึ่ง
หัวเราะอยู่คราวหนึ่ง.
ข้าแต่นายพรานผู้ภูมิบาล
เมื่อครั้งก่อนเราทั้งสองได้พรากกันอยู่นานถึง ๖๙๗ ปี
ชีวิตของท่านนี้มีกาหนดเพียง ๑๐๐ ปี เมื่อเป็นเช่นนี้ใครเล่าหนอ
ในที่นี้จะพึงอยู่ปราศจากภรรยาสุดที่รักได้.
(พระราชาตรัสถามว่า) ดูก่อนสหาย
อายุของพวกท่านมีประมาณเท่าไร ถ้าท่านทั้งสองรู้
ก็จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ขอท่านทั้งหลายอย่าได้บิดพลิ้ว
จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากวุฒบุคคล
หรือจากตารับตารา.
(นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่นายพราน อายุของเราทั้งสองประมาณ
๑,๐๐๐ ปี อนึ่ง ในระหว่างอายุนั้น โรคร้ายย่อมไม่มี มีความทุกข์น้อย
มีแต่ความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป เราทั้งสองยังรักกันไม่จืดจางก็ต้องมาละทิ้งชีวิตไป.
พระเจ้าภัลลาติกราชทรงสดับถ้อยคาของนางกินรี แล้วทรงดาริว่า
น่าอัศจรรย์
กินนรเหล่านี้เป็นสัตว์เดียรัจฉาน พลัดพรากจากกันชั่วราตรีเดียวยังเที่ยวร่าไห้ถึง
8
กันตลอดเวลา ๗๐๐ ปี
ส่วนเราเองละเลยมหาสมบัติในความเป็นพระราชา มีอาชญาแผ่ไปถึง
๓๐๐ โยชน์มาอยู่ในป่าน่าอนาถ เราได้ทากิจที่ไม่ควรทาดังนี้แล้ว
เสด็จนิวัตน์จากอรัญประเทศนั้นสู่พระนครพาราณสี อันหมู่มุขอามาตย์ทูลถามว่า
ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นอะไร
เป็นสิ่งอัศจรรย์ในหิมวันตประเทศ จึงตรัสบอกเหตุทั้งปวงที่ทรงประสบมา
แล้วทรงบาเพ็ญกุศลมีทานเป็นต้น เสวยราชสมบัติ นับแต่วาระนั้นเป็ นต้นมา.
พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระเจ้าภัลลาติยะได้ทรงสดับถ้อยคาของกินนรทั้งสองนี้แล้ว
ทรงพระดาริว่า ชีวิตเป็นของน้อย จึงเสด็จกลับ ไม่เสด็จล่าเนื้อ
ได้ทรงบาเพ็ญทานเสวยราชสมบัติสืบมา.
พระบรมศาสดา ครั้นตรัสพระคาถานี้แล้ว
เมื่อจะทรงโอวาทซ้าอีกได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถา ความว่า
มหาบพิตรทั้งสองทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งหลายมิใช่มนุษย์นี้แล้
ว จงทรงเบิกบานพระทัย อย่าได้ทรงทาความทะเลาะกันเลย
กรรมอันเป็ นโทษของตน อย่าได้ทาให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน
เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตน
ทาให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.
มหาบพิตรทั้งสองทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งหลายมิใช่มนุษย์นี้แล้
ว จงทรงเบิกบานพระทัย อย่าได้ทรงทาความวิวาทบาดหมางกันเลย
กรรมอันเป็ นโทษของตน อย่าได้ทาให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน
เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตน
ทาให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.
พระนางมัลลิกาเทวีทรงสดับพระธรรมเทศนาของพระตถาคตเจ้าแล้ว เ
สด็จลุกขึ้นจากอาสนะ ทรงประคองอัญชลี
เมื่อจะทรงชมเชยพระทศพล จึงตรัสคาถาสุดท้ายความว่า
หม่อมฉันมีใจเลื่อมใส
ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ที่พระองค์ทรงแสดงประกอบไปด้วยเหตุต่า
งๆ ประกอบไปด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะ
ดับความกระวนกระวายใจของหม่อมฉันได้
ข้าแต่พระสมณะเจ้าผู้ทรงนาความสุขมาให้หม่อมฉัน
ขอพระองค์จงทรงมีชนม์ชีพยืนนานเถิด.
จาเดิมแต่นั้นมา
พระเจ้าโกศลราชก็ทรงอยู่ร่วมสมัครสโมสรกับพระนางมัลลิการาชเทวี.
9
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ทรงประชุมชาดกว่า
กินนรในครั้งนั้น ได้มาเป็ น พระเจ้าโกศลราช ในบัดนี้
กินรีได้มาเป็น พระนางมัลลิการาชเทวี
ส่วนพระเจ้าภัลลาติกราชได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาภัลลาติกชาดกที่ ๘
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 504 ภัลลาติยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

460 ยุธัญชยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
460 ยุธัญชยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....460 ยุธัญชยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
460 ยุธัญชยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
270 อุลูกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
270 อุลูกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx270 อุลูกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
270 อุลูกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
๒๑ มหาสมัยสูตร มจร.pdf
๒๑ มหาสมัยสูตร มจร.pdf๒๑ มหาสมัยสูตร มจร.pdf
๒๑ มหาสมัยสูตร มจร.pdf
maruay songtanin
 
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
394 วัฏฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
394 วัฏฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx394 วัฏฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
394 วัฏฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
maruay songtanin
 
503 สัตติคุมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
503 สัตติคุมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...503 สัตติคุมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
503 สัตติคุมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
338 ถุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
338 ถุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx338 ถุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
338 ถุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 

Similar to 504 ภัลลาติยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

460 ยุธัญชยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
460 ยุธัญชยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....460 ยุธัญชยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
460 ยุธัญชยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๐๖. ภูริทัตตชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
๘๔. เสริสสกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
270 อุลูกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
270 อุลูกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx270 อุลูกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
270 อุลูกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๒๑ มหาสมัยสูตร มจร.pdf
๒๑ มหาสมัยสูตร มจร.pdf๒๑ มหาสมัยสูตร มจร.pdf
๒๑ มหาสมัยสูตร มจร.pdf
 
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
394 วัฏฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
394 วัฏฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx394 วัฏฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
394 วัฏฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
 
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
 
503 สัตติคุมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
503 สัตติคุมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...503 สัตติคุมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
503 สัตติคุมพชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
338 ถุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
338 ถุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx338 ถุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
338 ถุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 

More from maruay songtanin

๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
 
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
 
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
 
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
maruay songtanin
 
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
maruay songtanin
 
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
 
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
 
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
 
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
 
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
 
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
 
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
 

504 ภัลลาติยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 ภัลลาติยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๘. ภัลลาติยชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๕๐๔) ว่าด้วยพระราชาพระนามว่าภัลลาติยะ (พระศาสดาทรงนาอดีตนิทานมาตรัสว่า) [๑๘๖] ได้มีพระราชาทรงพระนามว่าภัลลาติยะ ท้าวเธอทรงละรัฐสีมา ได้เสด็จประพาสป่า ล่าเนื้อ เสด็จถึงภูเขาคันธมาทน์วรคีรีซึ่งมีบุปผชาตินานาพันธุ์บานสะพรั่ง เป็นแดนที่พวกกินนรสัญจรไปมา [๑๘๗] ท้าวเธอทรงประสงค์จะตรัสถาม จึงทรงห้ามฝูงสุนัข ทรงเก็บลูกธนูและแล่ง เสด็จเข้าไปใกล้สถานที่ที่กินนร ๒ ผัวเมียอยู่ [๑๘๘] ล่วงฤดูเหมันต์ไปแล้ว ที่ริมฝั่งแม่น้าเหมวดีแห่งนี้ ไยเจ้าทั้ง ๒ ยังปรึกษากันเนืองๆ อยู่เล่า เราขอถามเจ้าทั้ง ๒ ผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ ในมนุษยโลกเขารู้จักเจ้าทั้ง ๒ ว่าอย่างไร (ฝ่ายกินนรีได้ฟังพระดารัสจึงสนทนากับพระราชาว่า) [๑๘๙] พวกเราเป็นมฤคมีร่างกายคล้ายมนุษย์ ท่องเที่ยวไปตามแม่น้าทั้งหลาย คือ มัลลคีรีนที ปัณฑรกนที ตรีกูฏนที ซึ่งมีน้าเย็น พ่อพราน ชาวโลกเขารู้จักพวกเราว่า กินนร (ลาดับนั้น พระราชาได้ตรัสว่า) [๑๙๐] เจ้าทั้ง ๒ เหมือนคนมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส พากันคร่าครวญอยู่ สวมกอดกันเหมือนคนรักกับคนรัก เราขอถามเจ้าทั้ง ๒ ผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ เหตุไร เจ้าทั้ง ๒ จึงพากันร้องไห้ไม่สร่างซาอยู่ในป่านี้ [๑๙๑] เจ้าทั้ง ๒ เหมือนคนมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส พากันคร่าครวญอยู่ สวมกอดกันเหมือนคนรักกับคนรัก เราขอถามเจ้าทั้ง ๒ ผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ เหตุไร เจ้าทั้ง ๒ จึงพากันเพ้อราพันไม่สร่างซาอยู่ในป่านี้ [๑๙๒] เจ้าทั้ง ๒ เหมือนคนมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส พากันคร่าครวญอยู่ สวมกอดกันเหมือนคนรักกับคนรัก เราขอถามเจ้าทั้ง ๒ ผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ เหตุไร เจ้าทั้ง ๒ จึงพากันเศร้าโศกไม่สร่างซาอยู่ในป่านี้ (กินนรีกราบทูลว่า) [๑๙๓] พ่อพราน เราทั้ง ๒ พลัดพรากกันอยู่หนึ่งราตรี ไม่อยากจะพลัดพรากจากกัน เมื่อระลึกถึงกันและกัน จึงพากันเดือดร้อนเศร้าโศกอยู่ตลอดราตรีหนึ่งนั้น ราตรีนั้นจักไม่มีอีก (พระราชาตรัสถามว่า)
  • 2. 2 [๑๙๔] เจ้าทั้ง ๒ คิดถึงทรัพย์ที่พินาศไปแล้วหรือ หรือคิดถึงบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว จึงพากันเดือดร้อนตลอดทั้งราตรีหนึ่งนั้น เราขอถามเจ้าทั้ง ๒ ผู้มีร่างกายคล้ายมนุษย์ เพราะเหตุไร เจ้าจึงแยกกันอยู่ (กินนรีกราบทูลว่า) [๑๙๕] แม่น้าสายนี้ใดมีกระแสน้าเชี่ยวกราก ปกคลุมด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ไหลผ่านภูผาหิน ท่านเห็นอยู่ แม่น้าสายนั้น สามีที่รักของดิฉันสาคัญดิฉันว่าจะติดตามไปจึงได้ข้ามไปในฤดูฝน [๑๙๖] ส่วนดิฉันมัวเลือกเก็บดอกปรู ดอกลาดวน ดอกมะลิซ้อน และดอกคัดเค้า ด้วยหวังว่า สามีที่รักของดิฉันจักได้ประดับดอกไม้ และดิฉันจักประดับดอกไม้ นอนแนบข้างสามีนั้น [๑๙๗] อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกบานไม่รู้โรย ดอกราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย และดอกย่านทราย ด้วยหวังว่า สามีที่รักของดิฉันจักได้ประดับดอกไม้ และดิฉันจักประดับดอกไม้นอนแนบข้างสามีนั้น [๑๙๘] อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาละที่กาลังเบ่งบาน แล้วร้อยเป็นพวงมาลัย ด้วยหวังว่า สามีที่รักของดิฉันจักสวมพวงมาลัย และดิฉันจักสวมพวงมาลัยนอนแนบข้างสามีนั้น [๑๙๙] อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาละที่กาลังเบ่งบาน แล้วร้อยเป็นเครื่องรองรับ ด้วยหวังว่า ดอกไม้ที่ร้อยแล้วนี่แหละ จักเป็นเครื่องปูลาดสาหรับเราทั้ง ๒ ณ สถานที่ที่เราทั้ง ๒ จักอยู่ร่วมกันตลอดคืนในวันนี้ [๒๐๐] อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อบดไม้กฤษณาและไม้จันทน์ที่ศิลา ด้วยหวังว่า สามีที่รักของดิฉันจักใช้ชโลมกาย และดิฉันก็จักใช้ชโลมกายนอนแนบข้างสามี [๒๐๑] ครั้งนั้น น้าซึ่งมีกระแสเชี่ยวกรากได้ไหลบ่ามา พัดพาเอาดอกสาละ ดอกสน และดอกกรรณิการ์ไป โดยครู่เดียวนั้นน้าก็เต็มฝั่ง จึงเป็ นการยากยิ่งที่ดิฉันจะข้ามแม่น้าสายนี้ไปได้ [๒๐๒] คราวนั้น เราทั้ง ๒ ยืนมองกันและกันอยู่ที่ริมฝั่งทั้ง ๒ บางคราวก็ร้องไห้ บางคราวก็ร่าเริงยินดี ราตรีนั้นได้ผ่านไปอย่างยากเย็นสาหรับเราทั้ง ๒ [๒๐๓] พ่อพราน พอดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าตรู่ แม่น้าแห้ง เราทั้ง ๒ จึงข้ามไปได้ สวมกอดกันและกัน ทั้งร้องไห้ ทั้งร่าเริงยินดี [๒๐๔] พ่อพราน ๖๙๗ ปี เมื่อก่อน เราทั้ง ๒ พลัดพรากกันอยู่ในที่นี้ ข้าแต่พระภูมิบาล ชีวิตนี้เพียง ๑๐๐ ปีเท่านั้น ใครหนอจะพึงเว้นจากภรรยาที่น่ารักใคร่ อยู่ในที่นี้ได้เล่า
  • 3. 3 (พระราชาตรัสถามว่า) [๒๐๕] ก็อายุของพวกเจ้ามีประมาณเท่าไรหนอ เพื่อนรัก หากพวกเจ้ารู้ก็จงบอก เจ้าทั้ง ๒ อย่าได้หวั่นไหว จงบอกอายุแก่เรา ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากวุฑฒบุคคล หรือจากตารา (กินนรีกราบทูลว่า) [๒๐๖] พ่อพราน ก็อายุของพวกเรามีประมาณ ๑,๐๐๐ ปี โรคอันร้ายแรงก็ไม่มีในระหว่าง ความทุกข์ก็มีน้อย มีแต่ความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป เราทั้ง ๒ ยังรักใคร่กันไม่จืดจางจะต้องพากันละชีวิตไป (พระศาสดาทรงประกาศความข้อนี้ว่า) [๒๐๗] ก็พระเจ้าภัลลาติยะทรงสดับถ้อยคาของอมนุษย์ทั้งหลาย ทรงดาริว่า ชีวิตเป็นของน้อยนัก จึงเสด็จกลับ ไม่เสด็จไปล่าเนื้อ ทรงบาเพ็ญทาน เสวยโภคะ (พระศาสดาครั้นตรัสพระคาถานี้แล้ว ทรงโอวาทพระเจ้าโกศลกับพระนางมัลลิกาเทวีว่า) [๒๐๘] ก็มหาบพิตรทั้ง ๒ ทรงสดับถ้อยคาของอมนุษย์ทั้งหลาย จงทรงเบิกบานพระทัยเถิด อย่าทรงทะเลาะกันเลย ความผิดเพราะการกระทาของตน อย่าทาให้มหาบพิตรทั้ง ๒ ต้องเดือดร้อน เหมือนความผิดเพราะการกระทาของตน ทาให้กินนรทั้ง ๒ ต้องเดือดร้อนตลอดราตรีหนึ่งเลย [๒๐๙] อนึ่ง พระองค์ทั้ง ๒ ทรงสดับถ้อยคาของอมนุษย์ทั้งหลายแล้ว จงทรงเบิกบานพระทัยเถิด อย่าทรงวิวาทกันเลย ความผิดเพราะการกระทาของตน อย่าทาให้มหาบพิตรทั้ง ๒ ต้องเดือดร้อน เหมือนความผิดเพราะการกระทาของตน ทาให้กินนรทั้ง ๒ ต้องเดือดร้อนตลอดราตรีหนึ่งเลย (พระนางมัลลิกาเทวีสดับพระธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ ประคองอัญชลี ทรงชมเชยพระทศพลว่า) [๒๑๐] หม่อมฉันสดับพระธรรมเทศนามีประการต่างๆ มีใจชื่นชมยินดี พระดารัสต่างๆ ของพระองค์ประกอบไปด้วยประโยชน์ พระองค์เมื่อทรงเปล่งพระวาจาออกมา ย่อมบรรเทาความกระวนกระวายใจของหม่อมฉันเสียได้ พระมหาสมณะผู้นาความสุขมาให้หม่อมฉันขอพระองค์ทรงเจริญพระชนม์ชีพยั่ง ยืนนานเถิด ภัลลาติยชาดกที่ ๘ จบ -------------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
  • 4. 4 ภัลลาติยชาดก ว่าด้วย อายุของกินนร พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภพระนางมัลลิกาเทวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ได้ยินว่า วันหนึ่งอาศัยเหตุที่พระนางมัลลิกาเทวีบรรทมร่วมกับพระเจ้าโกศลราช จึงเกิดวิวาทบาดหมางกันขึ้น พระราชาทรงกริ้วถึงกับไม่ทอดพระเนตรเหลียวแลพระนางมัลลิกาอัครมเหสี. พระนางจึงทรงพระดาริว่า พระตถาคตเจ้าจะไม่ทรงทราบเรื่องที่พระราชาทรงกริ้วเราหรือหนอ? พระศาสดาทรงทราบเหตุนั้น จึงวันรุ่งขึ้น แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ทรงดาเนินไปถึงประตูพระราชวัง. พระราชาจัดการรับเสด็จ ทรงรับบาตรแล้วทูลเสด็จสู่ปราสาท อาราธนาภิกษุสงฆ์ให้นั่งโดยลาดับแล้ว ถวายน้าทักษิโณทก ทรงอังคาสด้วยพระกระยาหารอันประณีต เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดาตรัสถามว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร เหตุไรหนอ พระนางมัลลิกาบรมราชเทวีจึงทรงหายไปไม่ปรากฏ. เมื่อท้าวเธอทูลตอบว่า เพราะพระนางเพลิดเพลินมัวเมาในความสุขส่วนตัวเสีย จึงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ในชาติก่อนพระองค์ทรงบังเกิดในกาเนิดกินนร พลัดจากนางกินรีไปหนึ่งราตรี ต้องเที่ยวปริเทวนาการอยู่ถึงเจ็ดร้อยปีมิใช่หรือ? พระราชาทูลอาราธนา จึงทรงนาอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล เมื่อครั้งพระเจ้าภัลลาติกราชเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี ทรงพระดาริว่า เราจักบริโภคเนื้อย่างสุกด้วยถ่าน จึงทรงมอบราชสมบัติแก่หมู่อามาตย์ แล้วทรงสะพักราชปัญจาวุธ แวดล้อมด้วยหมู่โกเลยยสุนัขที่ฝึกหัดดีแล้ว เสด็จออกจากพระนครไปยังหิมวันตประเทศ เสด็จถึงแม่น้าน้อยแห่งหนึ่ง ไม่สามารถจะข้ามฝั่งน้าไปได้ ทอดพระเนตรเห็นแม่น้าที่มีกระแสไหลผ่านลงคงคาแห่งหนึ่ง จึงพระราชดาเนินเลียบไปตามกระแสน้านั้น ทรงฆ่ามฤคและสุกรเป็นต้นแล้ว เสวยเนื้อย่างสุกด้วยถ่านเพลิง พลางเสด็จขึ้นยังที่เนินอันสูง ณ
  • 5. 5 บนที่ราบสูงนั้นมีแม่น้าน้อยๆ เป็นที่น่ารื่นรมย์. ยามที่น้าเต็มบริบูรณ์ นทีธารนั้นจะมีส่วนลึกประมาณราวนมไหลผ่านอยู่เสมอ. ในเวลาอื่นจะมีน้าลดลงประมาณแค่แข้งและเข่า มีปลาและเต่าแหวกว่ายไปมาอยู่ดาษดื่น ที่ชายหาดมีทรายสะอาดขาวราวกับแผ่นเงิน สองฟากฝั่งมีพรรณหมู่ไม้สะพรั่ง สล้างไปด้วยดอกแลผลนานาชนิด หมู่วิหคและภมรมากมายที่หลงใหลในดอกผลและรส ต่างพากันมาคลึงเคล้า ทั้งหมู่พิพิธมฤคามฤคีเล่าก็เข้าเสพอาศัย ร่มเงาต้นไม้ก็เย็นสนิท. ที่ฝั่งน้าเหมวดีนทีน่ารื่นรมย์อย่างนี้ มีกินนรสองตัวผัวเมียคลอเคลียจุมพิตซึ่งกันและกัน แล้วร้องไห้คร่าครวญอยู่โดยนานัปการ. เมื่อพระราชาเสด็จขึ้นภูเขาคันธมาทน์ ทางฝั่งนทีนั้น ทอดพระเนตรเห็นกินนรเหล่านั้นแล้วทรงพระดาริว่า เพราะเหตุไรเล่าหนอ กินนรทั้งคู่นี้จึงมาปริเทวนาการอยู่อย่างนี้ เราจักถามดู จึงดีดพระหัตถ์ ขึงพระเนตรดูหมู่สุนัขโกเลยยสุนัขที่ฝึกหัดดีแล้วทั้งหลาย พากันวิ่งเข้าซ่อนยังพุ่มไม้ หมอบราบติดดินอยู่โดยสัญญานั้น. พระราชาทรงทราบว่าสุนัขเหล่านั้นแอบซ่อนแล้ว ทรงวางแล่งธนูและอาวุธอื่นพิงไว้กับต้นไม้ ไม่ทาเสียงพระบาทให้ดัง ค่อยๆ เสด็จไปยังสานักกินนรเหล่านั้น แล้วตรัสถามกินนรทั้งสองว่า เพราะเหตุไร เจ้าทั้งสองจึงพากันร้องไห้. พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า ได้มีพระราชาทรงพระนามว่า ภัลลาติยะ ทรงละรัฐสีมา เสด็จประพาสป่า ล่ามฤค ท้าวเธอเสด็จไปถึงคันธมาทน์วรคิรี มีพรรณดอกไม้ บานสะพรั่ง ซึ่งกินนรเลือกเก็บอยู่เนืองๆ. กินนรสองผัวเมียยืนคลึงเคล้ากันอยู่ ณ ที่ใด ท้าวเธอประสงค์จะตรัสถาม จึงทรงห้ามหมู่สุนัข และเก็บแล่งธนูเสีย แล้วเสด็จเข้าไปใกล้ ณ ที่นั้นตรัสว่า ล่วงฤดูเหมันต์แล้ว ไยเล่าเจ้าทั้งสองจึงมายืนกระซิบกระซาบกันอยู่เนืองๆ ที่ริมฝั่งเหมวดีนทีนี้ เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณเหมือนร่างมนุษย์ ชนทั้งหลายในมนุษยโลกรู้จักเจ้าทั้งสองว่าเป็นอะไร. กินนรได้สดับพระราชดารัสถามแล้วก็นิ่งเสีย ฝ่ายนางกินรีจึงกราบทูลโต้ตอบพระราชาว่า
  • 6. 6 ข้าแต่ท่านพรานผู้สหาย เราทั้งสองเป็นมฤค มีเพศพรรณปรากฏเหมือนมนุษย์ เที่ยวอยู่ตามแม่น้าเหล่านี้ คือ มาลาคิรีนที ปัณฑรกนที ติกูฏนทีซึ่งมีน้าใสเย็นสนิท ชาวโลกรู้จักเราทั้งสองว่าเป็ นกินนร. ลาดับนั้น พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักกัน ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรทั้งสองผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงร้องไห้อยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์เสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองมีความรักกัน ได้สวมกอดกัน สมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงมาบ่นเพ้ออยู่ในป่านี้ ไม่สร่างซาเลย. เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักใคร่กัน ก็ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงเศร้าโศกอยู่ในป่านี้ ไม่สร่างซาเลย. ต่อจากนี้ไปเป็น คาถาแสดงการปราศรัยโต้ตอบกันระหว่างพระราชากับนางกินรีทั้งสอง ดังต่อไปนี้ (นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่ท่านนายพราน เราทั้งสองไม่อยากจะจากกัน ก็ต้องจากกัน แยกกันอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เมื่อมาระลึกถึงกันและกัน ก็เดือดร้อนเศร้าโศกถึงกันตลอดราตรีหนึ่งที่ล่วงไปนั้นว่า ราตรีนั้นจักไม่มีอีก. (พระราชาตรัสถามว่า) เจ้าทั้งสองคิดถึงทรัพย์ที่หายไปหรือ หรือว่าคิดถึงมารดาบิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว จึงได้เดือดร้อนอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณดังกายมนุษย์ เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงต้องจากกันไป. (นางกินรีทูลว่า) ท่านเห็นนทีนี้แห่งใด มีกระแสเชี่ยว ไหลมาในระหว่างหุบผา ปกคลุมไปด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ ในฤดูฝน กินนรสามีสุดที่รักของดิฉันได้ข้ามแม่น้านั้นไปด้วยสาคัญว่า ดิฉันจะติดตามมาข้างหลัง. ส่วนดิฉันมัวเลือกเก็บดอกปรู ดอกลาดวน ดอกมะลิซ้อน และดอกคัดค้าวที่บานสล้าง ด้วยคิดว่า สามีของเราจักได้ทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น. อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกบานไม่รู้โรย ดอกราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย
  • 7. 7 ดอกย่านทราย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น. อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ ซึ่งกาลังบานสล้าง ร้อยเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักสวมใส่พวงมาลัย ส่วนเราก็จักได้สวมใส่พวงมาลัย เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น. อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ซึ่งกาลังบานสล้าง แล้วร้อยทาเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า คืนวันนี้ เราทั้งสองจะอยู่ ณ ที่ใด พวงมาลัยที่ทาไว้นี้แหละ จักเป็ นเครื่องปูลาด สาหรับเราทั้งสอง ณ ที่นั้น. อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อบดกฤษณาดาและจันทน์แดงด้วยศิลา ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักได้ประพรมร่างกาย ส่วนเราประพรมร่างกายแล้วจะเข้าไปนอนแนบชิดสามีที่รักนั้น. ครั้งนั้น น้ามีกระแสเชี่ยวไหลมา พัดเอาดอกสาลพฤกษ์ ดอกสน ดอกกรรณิการ์ที่ดิฉันเก็บมาวางไว้ไปหมดสิ้น โดยกาลประมาณครู่เดียวเท่านั้น น้าก็ขึ้นเต็มฝั่ง ถึงเวลาเย็นดิฉันก็ข้ามไปไม่ได้. คราวนั้นเราทั้งสองอยู่กันคนละฝั่งน้า มองเห็นหน้ากันก็หัวเราะครั้งหนึ่ง มองไม่เห็นหน้ากันก็ร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง คืนนั้นได้ผ่านเราทั้งสองไปโดยยาก. ข้าแต่นายพราน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า เราทั้งสองข้ามแม่น้าอันยุบแห้งมาสวมกอดกันและกัน ร้องไห้อยู่คราวหนึ่ง หัวเราะอยู่คราวหนึ่ง. ข้าแต่นายพรานผู้ภูมิบาล เมื่อครั้งก่อนเราทั้งสองได้พรากกันอยู่นานถึง ๖๙๗ ปี ชีวิตของท่านนี้มีกาหนดเพียง ๑๐๐ ปี เมื่อเป็นเช่นนี้ใครเล่าหนอ ในที่นี้จะพึงอยู่ปราศจากภรรยาสุดที่รักได้. (พระราชาตรัสถามว่า) ดูก่อนสหาย อายุของพวกท่านมีประมาณเท่าไร ถ้าท่านทั้งสองรู้ ก็จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ขอท่านทั้งหลายอย่าได้บิดพลิ้ว จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากวุฒบุคคล หรือจากตารับตารา. (นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่นายพราน อายุของเราทั้งสองประมาณ ๑,๐๐๐ ปี อนึ่ง ในระหว่างอายุนั้น โรคร้ายย่อมไม่มี มีความทุกข์น้อย มีแต่ความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป เราทั้งสองยังรักกันไม่จืดจางก็ต้องมาละทิ้งชีวิตไป. พระเจ้าภัลลาติกราชทรงสดับถ้อยคาของนางกินรี แล้วทรงดาริว่า น่าอัศจรรย์ กินนรเหล่านี้เป็นสัตว์เดียรัจฉาน พลัดพรากจากกันชั่วราตรีเดียวยังเที่ยวร่าไห้ถึง
  • 8. 8 กันตลอดเวลา ๗๐๐ ปี ส่วนเราเองละเลยมหาสมบัติในความเป็นพระราชา มีอาชญาแผ่ไปถึง ๓๐๐ โยชน์มาอยู่ในป่าน่าอนาถ เราได้ทากิจที่ไม่ควรทาดังนี้แล้ว เสด็จนิวัตน์จากอรัญประเทศนั้นสู่พระนครพาราณสี อันหมู่มุขอามาตย์ทูลถามว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นอะไร เป็นสิ่งอัศจรรย์ในหิมวันตประเทศ จึงตรัสบอกเหตุทั้งปวงที่ทรงประสบมา แล้วทรงบาเพ็ญกุศลมีทานเป็นต้น เสวยราชสมบัติ นับแต่วาระนั้นเป็ นต้นมา. พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า พระเจ้าภัลลาติยะได้ทรงสดับถ้อยคาของกินนรทั้งสองนี้แล้ว ทรงพระดาริว่า ชีวิตเป็นของน้อย จึงเสด็จกลับ ไม่เสด็จล่าเนื้อ ได้ทรงบาเพ็ญทานเสวยราชสมบัติสืบมา. พระบรมศาสดา ครั้นตรัสพระคาถานี้แล้ว เมื่อจะทรงโอวาทซ้าอีกได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถา ความว่า มหาบพิตรทั้งสองทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งหลายมิใช่มนุษย์นี้แล้ ว จงทรงเบิกบานพระทัย อย่าได้ทรงทาความทะเลาะกันเลย กรรมอันเป็ นโทษของตน อย่าได้ทาให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตน ทาให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น. มหาบพิตรทั้งสองทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งหลายมิใช่มนุษย์นี้แล้ ว จงทรงเบิกบานพระทัย อย่าได้ทรงทาความวิวาทบาดหมางกันเลย กรรมอันเป็ นโทษของตน อย่าได้ทาให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตน ทาให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น. พระนางมัลลิกาเทวีทรงสดับพระธรรมเทศนาของพระตถาคตเจ้าแล้ว เ สด็จลุกขึ้นจากอาสนะ ทรงประคองอัญชลี เมื่อจะทรงชมเชยพระทศพล จึงตรัสคาถาสุดท้ายความว่า หม่อมฉันมีใจเลื่อมใส ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ที่พระองค์ทรงแสดงประกอบไปด้วยเหตุต่า งๆ ประกอบไปด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะ ดับความกระวนกระวายใจของหม่อมฉันได้ ข้าแต่พระสมณะเจ้าผู้ทรงนาความสุขมาให้หม่อมฉัน ขอพระองค์จงทรงมีชนม์ชีพยืนนานเถิด. จาเดิมแต่นั้นมา พระเจ้าโกศลราชก็ทรงอยู่ร่วมสมัครสโมสรกับพระนางมัลลิการาชเทวี.
  • 9. 9 พระบรมศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า กินนรในครั้งนั้น ได้มาเป็ น พระเจ้าโกศลราช ในบัดนี้ กินรีได้มาเป็น พระนางมัลลิการาชเทวี ส่วนพระเจ้าภัลลาติกราชได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล. จบอรรถกถาภัลลาติกชาดกที่ ๘ -----------------------------------------------------