More Related Content
Similar to 123 นังคลีสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑.docx (20)
More from maruay songtanin (20)
123 นังคลีสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑.docx
- 1. 1
นังคลีสชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๓. นังคลีสชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๒๓)
ว่าด้วยคนโง่สาคัญนมส้มว่าเหมือนงอนไถ
(อาจารย์ทิศาปาโมกข์คิดถึงเหตุที่ไม่อาจให้คนมีปัญญาอ่อนศึกษาได้
จึงกล่าวว่า)
[๑๒๓] คนโง่กล่าวคาที่ไม่ควรกล่าว ในเหตุการณ์ทุกอย่าง ในที่ทุกสถาน
เขาไม่รู้จักนมส้มและงอนไถ สาคัญนมส้มและนมสดว่าเหมือนงอนไถ
นังคลีสชาดกที่ ๓ จบ
----------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
เอกกนิบาตชาดก กุสนาฬิวรรค
๓. นังคลีสชาดก ว่าด้วยคนพาลกล่าวคาที่ไม่ควรกล่าว
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระโลลุทายีเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า พระเถระนั้น เมื่อกล่าวธรรม มิได้รู้ข้อที่ควรและไม่ควรว่า
ในที่นี้ควรกล่าวข้อนี้ ในที่นี้ไม่ควรกล่าวข้อนี้ ในงานมงคล ก็กล่าวอวมงคล
กล่าวอนุโมทนาอวมงคล นี้ว่า เปรตทั้งหลายพากันยืนอยู่ที่นอกฝาเรือน
และที่กรอบประตูและเช็ดหน้าเป็นต้น ครั้นถึงงานอวมงคล
เมื่อกระทาอนุโมทนากลับกล่าวว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็ นอันมาก
ได้คิดมงคลทั้งหลายกันแล้ว เป็ นต้น แล้วกล่าวย้าว่า
ขอให้พวกท่านสามารถกระทามงคลเห็นปานนั้นให้ได้ร้อยเท่า พันเท่าเถิด.
ครั้นวันหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลายพากันยกเรื่องนี้ขึ้นสนทนากันในโรงธรรมว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย
พระโลลุทายีมิได้รู้ข้อที่ควรและไม่ควร กล่าววาจาที่ไม่น่ากล่าวทั่วไป
ทุกหนทุกแห่ง.
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?
ครั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว.
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่โลลุทายีนี้
มีไหวพริบช้า เมื่อกล่าวก็ไม่รู้ข้อที่ควรและไม่ควร แม้ในครั้งก่อน
ก็ได้เป็นอย่างนี้ เธอเป็นผู้เลื่อนเปื้อนเรื่อยทีเดียว
แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ
- 2. 2
อยู่ในพระนครพาราณสี. พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล
เจริญวัยแล้ว เล่าเรียนสรรพศิลปวิทยาในเมืองตักกสิลา
ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในพระนครพาราณสี บอกศิลปวิทยาแก่มาณพ
๕๐๐.
ครั้งนั้น ในบรรดามาณพเหล่านั้น มีมาณพผู้หนึ่ง มีไหวพริบย่อหย่อน
(ปัญญาอ่อน) เลื่อนเปื้อน เป็นธัมมันเตวาสิก เรียนศิลปะ แต่ไม่อาจจะเล่าเรียนได้
เพราะความเป็นคนทึบ แต่ได้เป็นผู้มีอุปการะต่อพระโพธิสัตว์ ทากิจทุกๆ
อย่างให้เหมือนทาส.
อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์บริโภคอาหารเย็นแล้ว
นอนเหนือเตียงนอน กล่าวกะมาณพนั้น ผู้ทาการนวดมือ เท้าและหลังให้
แล้วจะไปว่า พ่อคุณ เจ้าช่วยหนุนเท้าเตียงให้ก่อน แล้วค่อยไปเถิด.
มาณพหนุนเท้าเตียงข้างหนึ่งแล้ว ไม่ได้อะไรที่จะหนุนเท้าเตียงอีกข้างหนึ่ง
ก็เลยเอาวางไว้บนขาของตน จนตลอดคืน.
พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นในตอนเช้า เห็นเขาแล้ว ถามว่า พ่อคุณ
เจ้านั่งทาไมเล่า?
เขาตอบว่า ท่านอาจารย์ขอรับ ผมหาอะไรหนุนเท้าเตียงไม่ได้
เลยเอาวางไว้บนขาของตน นั่งอยู่.
พระโพธิสัตว์สลดใจ คิดว่า มาณพมีอุปการคุณแก่เรายิ่งนัก
ในกลุ่มมาณพมีประมาณเท่านี้ เจ้านี้คนเดียวโง่กว่าเพื่อน ไม่อาจศึกษาศิลปะได้
ทาอย่างไรเล่าหนอ เราจึงจะทาให้เขาฉลาดขึ้นได้. ครั้นแล้ว
ก็ได้เกิดความคิดขึ้นว่า มีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง เราต้องคอยถามมาณพนี้
ผู้ไปหาฟืนหาผักมาแล้วว่า วันนี้ เจ้าเห็นอะไร เจ้าทาอะไร. เมื่อเป็นเช่นนี้
เขาจะต้องบอกเราว่า วันนี้ ผมเห็นสิ่งชื่อนี้ ทากิจชื่อนี้. ครั้นแล้วเราต้องถามว่า
ที่เจ้าเห็น ที่เจ้าทาเช่นอะไร? เขาจักบอกโดยอุปมาและโดยเหตุว่า อย่างนี้
ด้วยวิธีนี้ เราให้เขากล่าวอุปมาและเหตุแล้ว จักทาให้เขาฉลาดได้ ด้วยอุบายนี้.
ท่านจึงเรียกเขามาบอกว่า พ่อมาณพ ตั้งแต่บัดนี้ไป ในที่ที่เจ้าไปหาฟืนและหาผัก
เจ้าได้เห็นได้กินได้ดื่ม หรือได้เคี้ยวสิ่งใดในที่นั้น ครั้นมาแล้ว
ต้องบอกสิ่งนั้นแก่เรา.
เขารับคาว่า ดีละ ขอรับ. วันหนึ่งไปป่าเพื่อหาฟืนกับมาณพทั้งหลาย
เห็นงูในป่า. ครั้นมาแล้ว ก็บอกว่า ท่านอาจารย์ครับ ผมเห็นงู.
ท่านอาจารย์ถามว่า พ่อคุณ ขึ้นชื่อว่างู เหมือนอะไร?
ตอบว่า แม้นเหมือนงอนไถครับ. อาจารย์ชมว่า ดีแล้ว ดีแล้ว พ่อคุณ
อุปมาที่เจ้านามาว่า งูเหมือนงอนไถเป็นที่พอใจละ. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ดาริว่า
อุปมาน่าพอใจ มาณพนามาได้ เราคงอาจจะทาให้เขาฉลาดได้.
ฝ่ายมาณพ วันหนึ่งเห็นช้างในป่า มาบอกว่า ท่านอาจารย์ครับ
- 3. 3
ผมเห็นช้าง.
อาจารย์ซักว่า ช้างเหมือนอะไรเล่า พ่อคุณ?
ตอบว่า ก็เหมือนงอนไถนั่นแหละ
พระโพธิสัตว์คิดว่า งวงช้างก็เหมือนงอนไถ อื่นๆ เช่นงา เป็นต้น
ก็พอจะมีรูปร่างเช่นนั้นได้ แต่มาณพนี้ไม่อาจจาแนกกล่าวได้ เพราะตนโง่.
ชะรอยจะพูดหมายเอางวงช้าง แล้วก็นิ่งไว้.
อยู่มาวันหนึ่ง มาณพได้กินอ้อยในที่ที่เขาเชิญไป ก็มาบอกว่า
ท่านอาจารย์ครับ วันนี้ ผมได้เคี้ยวอ้อย. เมื่อถูกซักว่า อ้อยเหมือนอะไรเล่า?
ก็กล่าวว่า เหมือนงอนไถอย่างไรเล่าครับ.
อาจารย์คิดว่า มาณพ กล่าวเหตุผลสมควรหน่อย แล้วคงนิ่งไว้.
อีกวันหนึ่ง ในที่ที่ได้รับเชิญ มาณพบางหมู่บริโภคน้าอ้อยงบกับนมส้ม
บางหมู่บริโภคน้าอ้อยกับนมสด. มาณพนั้นมาแล้วกล่าวว่า ท่านอาจารย์ครับ
วันนี้ผมบริโภคทั้งนมส้มและนมสด.
ครั้นถูกซักว่า นมส้ม นมสดเหมือนอะไร? ก็ตอบว่า
เหมือนงอนไถอย่างไรเล่าครับ.
อาจารย์กล่าวว่า มาณพนี้ เมื่อกล่าวว่า งูเหมือนงอนไถ
เป็นอันกล่าวถูกต้องก่อนแล้ว. แม้กล่าวว่า ช้างเหมือนงอนไถ
ก็ยังพอกล่าวได้ด้วยเล่ห์ที่หมายเอางวง. แม้ที่กล่าวว่า อ้อยเหมือนงอนไถ
ก็ยังเข้าท่า. แต่นมส้ม นมสดขาวอยู่เป็นนิจ ทรงตัวอยู่ด้วยภาชนะ
ไม่น่าจะกล่าวอุปมาในข้อนี้ได้ โดยประการทั้งปวงเลย
เราไม่อาจให้คนเลื่อนเปื้อนผู้นี้ศึกษาได้
จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า :-
“คนโง่ ย่อมกล่าวคาที่ไม่ควรกล่าว ทุกอย่างได้ในที่ทุกแห่ง
คนโง่นี้ไม่รู้จักเนยข้น และงอนไถ ย่อมสาคัญ เนยข้นและนมสด
ว่าเหมือนงอนไถ” ดังนี้.
ในคาถานั้นมีความสังเขปดังนี้ :-
วาจาใดที่ไม่เหมาะในที่ทุกแห่ง ด้วยสามารถแห่งอุปมา.
วาจาที่ไม่เหมาะสมในที่ทุกแห่งนั้น คนโง่พูดได้ทุกแห่ง เช่น ถูกถามว่า
นมส้มเหมือนอะไร? ก็ตอบทันทีว่า เหมือนงอนไถอย่างไรเล่า? เมื่อพูดอย่างนี้
เป็นอันไม่รู้จักทั้งนมส้ม ทั้งงอนไถ. เหตุไร? เพราะเหตุว่า แม้นมส้ม
เขายังสาคัญเป็ นงอนไถไปได้. อีกนัยหนึ่ง
เพราะเขามาสาคัญทั้งนมส้มและนมสดว่า เหมือนงอนไถเสียได้
มาณพนี้โง่ถึงอย่างนั้น.
พระโพธิสัตว์คิดว่า ประโยชน์อะไรด้วยมาณพนี้ จึงบอกกล่าวแก่
พวกอันเตวาสิกทั้งหลายให้เสบียง แล้วส่งมาณพนั้นกลับไป.