More Related Content
Similar to 143 วิโรจนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
143 วิโรจนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
วิโรจนชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๓. วิโรจนชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๔๓)
ว่าด้วยคนถูกเยาะเย้ยว่ารุ่งเรือง
(พญาไกรสรราชสีห์โพธิสัตว์กล่าวกะสุนัขจิ้งจอกว่า)
[๑๔๓] มันสมองของเจ้าทะลักออกมา กระหม่อมของเจ้าก็ถูกทาลาย
ซี่โครงของเจ้าก็หักหมด วันนี้ เจ้าช่างรุ่งโรจน์เหลือเกิน
วิโรจนชาดกที่ ๓ จบ
----------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
วิโรจนชาดก
ว่าด้วย ผู้ถูกเยาะเย้ย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารชื่อว่าเวฬุวัน
ทรงปรารภความที่พระเทวทัตแสดงท่าทางอย่างพระสุคต อยู่ในคยาสีสประเทศ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระเทวทัตมีฌานเสื่อมแล้ว
ก็พลอยเสื่อมจากลาภสักการะไปด้วย คิดว่า ยังมีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ดังนี้แล้ว
กราบทูลขอวัตถุ ๕ ประการกะพระศาสดา เมื่อไม่ได้ ก็ชวนภิกษุ ๕๐๐ รูป
ผู้เป็ นสัทธิวิหาริกของพระอัครสาวกทั้งสอง ซึ่งบวชได้ไม่นาน
ยังไม่ฉลาดในพระธรรมวินัย ไปสู่คยาสีสประเทศ แยกหมู่กระทาสังฆกรรม
แผนกหนึ่งในสีมาเดียวกัน
พระศาสดาทรงทราบเวลาที่ความรู้ของภิกษุเหล่านั้นแก่กล้า
ทรงส่งพระอัครสาวกทั้งสองไป พระเทวทัตเห็นพระอัครสาวกทั้งสองแล้วดีใจ
คิดว่า เมื่อเราแสดงธรรมตลอดคืน จักทาทีท่าอย่างพระพุทธเจ้า ดังนี้แล้ว
เมื่อจะแสดงท่าทางอย่างพระสุคต จึงกล่าวว่า ท่านสารีบุตร
ภิกษุสงฆ์ยังไม่ง่วงเหงาหาวนอน
ธรรมิกถาจงอาศัยท่านแจ่มกระจ่างแก่ภิกษุทั้งหลายเถิด เราเมื่อยหลังนัก
จักขอเหยียดหลังสักหน่อย แล้วเข้านอน
พระอัครสาวกทั้งสองแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น
ให้ตื่นทั่วกันด้วยมรรคผลทั้งหลาย
แล้วพากันกลับมาสู่พระเวฬุวันวิหารทั้งหมดทีเดียว
พระโกกาลิกะเห็นวิหารว่างจึงไปสู่สานักพระเทวทัต พูดว่า ท่านเทวทัต
อัครสาวกทั้งสองของท่านทาลายบริษัทของท่านเสียแล้ว ไปกันหมดจนวิหารว่าง
ส่วนท่านยังมัวนอนหลับอยู่อีก แล้วกระตุกผ้าห่มพระเทวทัตออก
- 2. 2
เอาส้นกระทืบลงไปที่ตรงหัวใจ เหมือนตอกตะปูที่ฝาเรือน ทันใดนั้นเอง
เลือดก็ทะลักออกจากปากของพระเทวทัต ต่อจากนั้น พระเทวทัตก็เป็นไข้
พระศาสดาตรัสถามพระเถระว่า สารีบุตร เวลาที่เธอพากันไป เทวทัตทาอะไร?
พระเถระเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระเทวทัตเห็นข้าพระองค์ทั้งสองแล้ว คิดจักกระทาลีลาอย่างพระองค์
เมื่อแสดงท่าทางอย่างพระสุคต เลยถึงความพินาศใหญ่หลวง. พระศาสดาตรัสว่า
ดูก่อนสารีบุตร มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น
ที่เทวทัตทาตามอย่างเราแล้วถึงความพินาศ แม้ในครั้งก่อน
ก็เคยถึงความพินาศมาแล้วเหมือนกัน.
พระเถระเจ้ากราบทูลอาราธนา จึงทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นไกรษรสีหราช อาศัยอยู่ในถ้าทอง
ในประเทศหิมพานต์ วันหนึ่งออกจากถ้าทอง สะบัดกาย มองดูทิศทั้งสี่
บรรลือสีหนาท แล้วเหยาะย่างออกหาอาหาร ฆ่ากระบือใหญ่กินเนื้อแล้ว
ลงสู่สระดื่มน้ามีสีเหมือนแก้วมณีเต็มท้องแล้ว มุ่งเดินไปสู่ถ้า
ครั้งนั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเที่ยวขวนขวายหาเหยื่อ
เผชิญหน้ากับราชสีห์เข้าทันที ไม่อาจจะหลีกหนีได้ทัน
ก็เลยนอนหมอบลงแทบเท้า เบื้องหน้าราชสีห์ เมื่อราชสีห์ทักว่า อะไรหรือ
เจ้าจิ้งจอก? ก็บอกว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้ามาหมายจะรับใช้ท่าน. ราชสีห์กล่าวว่า
ดีแล้วมาเถิด จงรับใช้เราเถิด เราจักให้เจ้าได้กินเนื้อดีๆ
แล้วพาสุนัขจิ้งจอกไปสู่ถ้าทอง จาเดิมแต่นั้นมา สุนัขจิ้งจอกก็กินเดนราชสีห์
ล่วงมาได้สอง-สามวัน ก็มีร่างกายอ้วนพี ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ราชสีห์นอนอยู่ในถ้า
บอกมันว่า ไปซี เจ้าจิ้งจอก เจ้าขึ้นไปยืนบนยอดเขา อยากจะกินเนื้อของสัตว์ใด
ในบรรดาช้าง ม้า กระบือเป็นต้น ที่ท่องเที่ยวอยู่ที่เชิงเขา จงมองหาสัตว์นั้น
แล้วมาบอกเราว่า ข้าพเจ้าอยากกินเนื้อสัตว์อย่างโน้น แล้วจงบอกว่า นาย
ท่านจงแผดเสียงเถิด ดังนี้แล้ว เราจักฆ่าสัตว์นั้น กินเนื้ออร่อยๆ
แล้วแบ่งให้เจ้าบ้าง
สุนัขจิ้งจอกจึงขึ้นไปสู่ยอดเขา มองดูฝูงมฤคนานาชนิด
ครั้นนึกอยากกินเนื้อของสัตว์ชนิดใด ก็เข้าไปสู่ถ้าทองบอกสัตว์นั้นแก่ราชสีห์
แล้วหมอบลงแทบเท้า กล่าวว่า นายขอรับ เชิญท่านแผดเสียงเถิด
ราชสีห์วิ่งไปโดยเร็ว ถ้าแม้เป็นช้างตก มันก็ฆ่าให้ตายตรงนั้น ตนเองกินเนื้อดีๆ
บ้าง ให้สุนัขจิ้งจอกบ้าง สุนัขจิ้งจอกกินเนื้อจนอิ่มท้องแล้ว เข้าถ้านอนหลับ.
ครั้นเวลาล่วงนานผ่านไป สุนัขจิ้งจอกก็ชักกาเริบ เกิดมานะว่า
- 3. 3
แม้ตัวเราก็เป็นสัตว์ ๔ เท้าเหมือนกัน เหตุไรจะต้องให้ผู้อื่นเขาช่วยเลี้ยงอยู่ทุกๆ
วันเล่า นับแต่นี้ไป เราจักฆ่าช้างเป็ นต้นกินเนื้อ แม้แต่ราชสีห์ผู้เป็นมฤคราช
อาศัยข้อที่เรากล่าวว่า นายขอรับ เชิญท่านแผดเสียงเถิด ดังนี้เท่านั้น
ก็ฆ่าช้างทั้งหลายได้ เราต้องให้ราชสีห์พูดกะเราบ้างว่า จิ้งจอกเอ๋ย
เชิญแผดเสียงเถิด ดังนี้ ก็จักฆ่าช้างตัวหนึ่งกินเนื้อได้
มันเข้าไปหาราชสีห์แล้วกล่าวดังนี้ว่า นายขอรับ
ข้าพเจ้ากินเนื้อช้างพลายที่ท่านฆ่าตายมานานแล้ว
ข้าพเจ้าก็อยากจะฆ่าช้างตัวหนึ่งกินเนื้อมันบ้าง เหตุนั้น
ข้าพเจ้าต้องขอนอนในถ้าทอง บนที่ที่ท่านนอน ท่านช่วยดูช้างพลายที่ท่องเที่ยว ณ
เชิงเขาแล้วมาสู่สานักข้าพเจ้า บอกว่าจิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด
ขอเพียงเท่านี้แหละ ท่านอย่าได้หวงแหนเลย.
ครั้งนั้น ราชสีห์บอกมันว่า จิ้งจอกเอ๋ย เจ้าไม่สามารถจะฆ่าช้างได้ดอก
ขึ้นชื่อว่า หมาจิ้งจอกที่บังเกิดในสกุลสีหะ
สามารถฆ่าช้างกินเนื้อได้ไม่มีเลยในโลก เจ้าอย่าชอบใจอย่างนี้เลย
อยู่คอยกินเนื้อช้างที่เราฆ่าแล้วไปถ่ายเดียวเถิด ถึงแม้ราชสีห์จะกล่าวชี้แจงอย่างนี้
มันก็ไม่ล้มความตั้งใจ คงเซ้าซี้อยู่นั่นเอง ราชสีห์ เมื่อไม่อาจห้ามมันได้ก็รับคา
กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปที่อยู่ของเรานอนคอยเถิด ให้จิ้งจอกนอนในถ้าทอง
ตนเองคอยดูช้างซับมันอยู่ที่เชิงเขา แล้วไปที่ประตูถ้าบอกว่า จิ้งจอกเอ๋ย
เชิญแผดเสียงเถิด สุนัขจิ้งจอก ออกจากถ้าทอง สะบัดกาย มองสี่ทิศ หอน ๓ คาบ
คิดว่า เราต้องกระโดดลงตรงกระพองช้างซับมัน พลาดไปตกที่ใกล้เท้าช้าง
ช้างยกเท้าขวาขึ้นเหยียบหัวมัน กะโหลกศีรษะแตกแหลกเป็ นจุณ ทีนั้น
ช้างก็เอาเท้าคลึงร่างของมันทาเป็นกองไว้ ขี้รดข้างบนแล้ว
ร้องก้องโกญจนาทเข้าป่าไป
พระโพธิสัตว์เห็นความเป็นไปนี้ กล่าวว่า จิ้งจอกเอ๋ย
คราวนี้เชิญเจ้าแผดเสียงไปเถิด ดังนี้แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า
"มันสมองของเจ้าไหลออกแล้ว กระหม่อมของเจ้าก็ถูกทาลายแล้ว
ซี่โครงของเจ้าหักพังไปหมดแล้ว วันนี้เจ้าช่างรุ่งเรืองแท้" ดังนี้.
พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้แล้ว ดารงอยู่ตลอดอายุ
แล้วไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
หมาจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้มาเป็น เทวทัต
ส่วนราชสีห์ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
-----------------------------------------------------