More Related Content
Similar to 072 สีลวนาคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
072 สีลวนาคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
สีลวนาคชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. สีลวนาคชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๗๒)
ว่าด้วยพญาช้างสีลวะ
(รุกขเทวดาสถิตอยู่ในไพรสณฑ์นั้นในเวลาที่คนชั่วถูกแผ่นดินสูบจึงกล่าวว่า)
[๗๒] คนอกตัญญูคอยจับผิดอยู่เป็นนิตย์ ถึงจะให้แผ่นดินทั้งหมด
ก็ทาให้เขาพึงพอใจไม่ได้
สีลวนาคชาดกที่ ๒ จบ
--------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
เอกกนิบาตชาดก วรุณวรรค
๒. สีลวนาคชาดก ว่าด้วยคนอกตัญญูมองคนในแง่ร้าย
พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความย่อว่า ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย
พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณของพระตถาคต.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู
แม้ในครั้งก่อนก็เคยเป็นผู้อกตัญญูมาแล้ว ไม่เคยรู้คุณของเรา ไม่ว่าในกาลไหนๆ
แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกาเนิดช้างในหิมวันตประเทศ พอคลอดจากครรภ์มารดา
ก็มีอวัยวะขาวปลอด มีสีเปล่งปลั่งดังเงินยวง นัยน์ตาทั้งคู่ของพระยาช้างนั้น
ปรากฏเหมือนกับแก้วมณี มีประสาทครบ ๕ ส่วนปากเช่นกับผ้ากัมพลแดง
งวงเช่นกับพวงเงินที่ประดับระยับด้วยทอง เท้าทั้ง ๔ เป็นเหมือนย้อมด้วยน้าครั่ง
อัตภาพอันบารมีทั้ง ๑๐ ตกแต่งของพระโพธิสัตว์นั้น
ถึงความงามเลิศด้วยรูปอย่างนี้.
ครั้งนั้น ฝูงช้างในป่าหิมพานต์ทั้งสิ้นมาประชุมกันแล้ว
พากันบารุงพระโพธิสัตว์ผู้ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว
พระโพธิสัตว์จึงมีช้างแปดหมื่นเป็นบริวาร
อยู่อาศัยในหิมวันตประเทศด้วยประการฉะนี้ ภายหลังเห็นโทษในหมู่คณะ
- 2. 2
จึงหลีกออกจากหมู่ สู่ที่สงบสงัดกาย พานักอาศัยอยู่ในป่าแต่ลาพังผู้เดียวเท่านั้น
และเพราะเหตุที่ช้างผู้พระโพธิสัตว์นั้นเป็ นสัตว์มีศีล
จึงได้นามว่า "สีลวนาคราช" พญาช้างผู้มีศีล.
ครั้งนั้น พรานป่าชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่งเข้าสู่ป่าหิมพานต์
เสาะแสวงหาสิ่งของอันเป็นเครื่องยังชีพของตน ไม่อาจกาหนดทิศทางได้ หลงทาง
เป็นผู้กลัวแต่มรณภัย ยกแขนทั้งคู่ร่าร้องคร่าครวญไป.
พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงร้องคร่าครวญของพรานผู้นั้นแล้ว
อันความกรุณาเข้ามาตักเตือนว่า เราจักช่วยบุรุษผู้นี้ให้พ้นจากทุกข์
ก็เดินไปหาเขาใกล้ๆ เขาเห็นพระโพธิสัตว์แล้ววิ่งหนีไป.
พระโพธิสัตว์เห็นเขาวิ่งหนีก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้น
บุรุษนั้นเห็นพระโพธิสัตว์หยุดจึงหยุดยืน พระโพธิสัตว์ก็เดินใกล้เข้าไปอีก
เขาก็วิ่งหนีอีก เวลาพระโพธิสัตว์หยุด เขาก็หยุด แล้วดาริว่า
ช้างนี้เวลาเราหนีก็หยุดยืน เดินมาหาเวลาที่เราหยุด เห็นทีจะไม่มุ่งร้ายเรา
แต่คงปรารถนาจะช่วยเราให้พ้นจากทุกข์นี้เป็นแน่ เขาจึงกล้ายืนอยู่.
พระโพธิสัตว์เข้าไปใกล้เขา ถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ
เหตุไรท่านจึงเที่ยวร่าร้องคร่าครวญไป. เขาตอบว่า ท่านช้างผู้จ่าโขลง
ข้าพเจ้ากาหนดทิศทางไม่ถูก หลงทาง จึงเที่ยวร่าร้องไปเพราะกลัวตาย. ครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์จึงพาเขาไปยังที่อยู่ของตน เลี้ยงดูจนอิ่มหนาด้วยผลาผล ๒-๓
วันแล้วกล่าวว่า อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้าจักพาท่านไปสู่ถิ่นมนุษย์แล้วให้นั่งหลังตน
พาไปส่งถึงถิ่นมนุษย์.
ครั้งนั้นแล พรานป่าเป็ นคนมีสันดานทาลายมิตร จึงคิดมาตลอดทางว่า
ถ้ามีใครถามต้องบอกได้ ดังนี้ นั่งมาบนหลังพระโพธิสัตว์
วางแผนกาหนดที่หมายต้นไม้ ที่หมายภูเขาไว้ถ้วนถี่ทีเดียว.
ครั้นพระโพธิสัตว์พาเขาออกไปจนพ้นป่าแล้ว
หยุดที่ทางใหญ่อันเป็นทางเดินไปสู่พระนครพาราณสี สั่งว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ
ท่านจงไปทางนี้เถิด แต่ถ้ามีใครถามถึงที่อยู่ของเรา ท่านอย่าบอกนะ ดังนี้
ส่งเขาไปแล้ว ก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตน.
ครั้งนั้น บุรุษนั้นไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว ก็ไปถึงถนนช่างสลักงา
เห็นพวกช่างสลักงากาลังทาเครื่องงาหลายชนิด จึงถามว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ถ้าได้งาช้างที่ยังเป็ นๆ ท่านทั้งหลายจะซื้อหรือไม่? พวกช่างสลักงาตอบว่า
ท่านผู้เจริญ ท่านพูดอะไร
ธรรมดางาช้างเป็นมีค่ามากกว่างาช้างที่ตายแล้วหลายเท่า. เขากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
ข้าพเจ้าจักนางาช้างเป็นมาให้พวกท่าน
แล้วจัดเสบียงคือเลื่อยไปสู่ที่อยู่ของพระโพธิสัตว์.
พระโพธิสัตว์เห็นเขามาจึงถามว่า ท่านมาเพื่อประสงค์อะไร?
- 3. 3
เขาตอบว่า ดูก่อนท่านผู้เป็ นจ่าโขลง ข้าพเจ้าเป็นคนยากจนกาพร้า
ไม่อาจดารงชีวิตอยู่ได้ มาขอตัดงาท่าน
ถ้าท่านจักให้ก็จะถืองานั้นไปขายเลี้ยงชีวิตด้วยทุนทรัพย์นั้น.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เอาเถิดพ่อคุณ เราจักให้งาท่าน ถ้ามีเลื่อยสาหรับตัดงา.
เขากล่าวว่า ท่านผู้เป็ นจ่าโขลง ข้าพเจ้าถือเอาเลื่อยเตรียมมาแล้ว.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเอาเลื่อยตัดงาเถิด
แล้วคุกเท้าหมอบลงเหมือนโคหมอบ เขาก็ตัดปลายงาทั้งคู่ของพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์จับงาเหล่านั้นด้วยงวง
พลางตั้งปณิธานเพื่อพระสัพพัญญุตญาณว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ
ใช่ว่าเราจะให้งาคู่นี้ด้วยคิดว่า
งาเหล่านี้ไม่เป็ นที่รักไม่เป็นที่ชอบใจของเราดังนี้ก็หามิได้ แต่ว่า
พระสัพพัญญุตญาณอันสามารถจะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงเป็ นที่รักของเรายิ่งกว่างาเห
ล่านี้ตั้งร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า การให้งานี้เป็นทานของเรานั้น
จงเป็ นไปเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณเถิด
แล้วสละงาทั้งคู่ให้ไป.
เขาถืองานั้นไปขาย ครั้นสิ้นทุนทรัพย์นั้นก็ไปสู่สานักพระโพธิสัตว์อีก
กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง ทุนทรัพย์ที่ได้เพราะขายงาของท่าน
เพียงพอแค่ชาระหนี้ของข้าพเจ้าเท่านั้น โปรดให้งาส่วนที่เหลือแก่ข้าพเจ้าเถิด.
พระโพธิสัตว์ก็รับคาแล้วยอมให้เขาตัด
ยกงาส่วนที่เหลือให้โดยนัยเดียวกับครั้งก่อน.
ถึงเขาจะขายงาเหล่านั้นแล้วก็ยังย้อนมาอีก กล่าวขอว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง
ข้าพเจ้าไม่สามารถดาเนินชีวิตอยู่ได้ โปรดให้โคนงาแก่ข้าพเจ้าเถิด.
พระโพธิสัตว์รับคาแล้วก็หมอบลงโดยนัยก่อน.
คนใจบาปนั้นก็เหยียบงวงอันเปรียบเหมือนพวงเงินของมหาสัตว์
ก้าวขึ้นสู่กระพองอันเปรียบได้กับยอดเขาไกรลาส เอาส้นกระทืบพลายงาทั้งสอง
ฉีกเนื้อตรงสนับงา ลงมาจากกระพอง เอาเลื่อยตัดโคนงาแล้ว ก็หลีกไป.
ก็ในเมื่อคนใจบาปนั้นเดินพ้นไปจากคลองจักษุของพระโพธิสัตว์เท่านั้
น
แผ่นดินอันทึบหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ถึงจะสามารถทรงไว้ซึ่งของหนักแสน
หนัก มีขุนเขาสิเนรุ และยุคนธรเป็ นต้น
และถึงจะทรงไว้ซึ่งสิ่งที่น่าเกลียดมีกลิ่นเหม็น
มีคูถและมูตรเป็นต้นก็เป็นเสมือนไม่สามารถจะทานไว้ได้
ซึ่งกองแห่งโทษมิใช่คุณของบุรุษนั้น จึงแยกให้ช่อง ทันใดนั้นเอง
เปลวไฟแลบออกจากมหานรกอเวจี ห่อหุ้มคลุมบุรุษผู้ทาลายมิตรนั้น
เป็นเหมือนคลุมด้วยผ้ากัมพลสีแดงอันเป็ นของที่ตระกูลให้ก็ปานกัน.
- 4. 4
เวลาที่คนใจบาปเข้าไปสู่แผ่นดินอย่างนี้แล้ว
รุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ราวป่านั้น กาหนดเหตุว่า ถึงจะให้จักรพรรดิราชสมบัติ
ก็ไม่อาจให้บุรุษผู้อกตัญญูนี้ ซึ่งเป็ นผู้ทาลายมิตร พอใจได้.
เมื่อจะแสดงธรรมให้กึกก้องไปทั่วป่า จึงกล่าวคาถานี้ความว่า :-
"ถึงหากจะให้แผ่นดินทั้งหมดแก่คนอกตัญญู
ผู้คอยมองหาช่องอยู่เป็นนิตย์ ก็ไม่ทาให้เขาพอใจได้"
เทวดานั้นแสดงธรรมสนั่นไปทั่วป่าด้วยประการฉะนี้.
พระโพธิสัตว์ดารงอยู่ตราบสิ้นอายุขัยได้ไปตามยถากรรม.
พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู
ถึงในกาลก่อนก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน ดังนี้
ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า
บุรุษผู้ทาลายมิตรในครั้งนั้น ได้มาเป็ น พระเทวทัต
รุกขเทวดาได้มาเป็น พระสารีบุตร
ส่วนพญาช้างผู้มีศีลได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสีลวนาคชาดกที่ ๒
-----------------------------------------------------