More Related Content
Similar to 073 สัจจังกิรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
073 สัจจังกิรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
สัจจังกิรชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๓. สัจจังกิรชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๗๓)
ว่าด้วยความจริงที่ได้ยินมา
(พระฤๅษีโพธิสัตว์ไม่คร่าครวญไม่สะทกสะท้านในที่ตนถูกตีจึงกล่าวว่า)
[๗๓] ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้ ได้กล่าวความจริงไว้อย่างนี้ว่า
ไม้ลอยน้ายังดีกว่า ส่วนคนบางคนที่ประทุษร้ายมิตรไม่ดีเลย
สัจจังกิรชาดกที่ ๓ จบ
------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
เอกกนิบาตชาดก วรุณวรรค
๓. สัจจังกิรชาดก ว่าด้วยไม้ลอยน้าดีกว่าคนอกตัญญู
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระเทวทัตมีความตะเกียกตะกายเพื่อปลงพระชนม์ของพระองค์ ดังนี้.
ความย่อว่า เมื่อภิกษุสงฆ์ประชุมกันในธรรมสภา
สนทนากันถึงโทษมิใช่คุณของพระเทวทัตว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
พระเทวทัตมิได้รู้คุณของพระศาสดา ยังจะพยายามเพื่อจะปลงพระชนม์เสียอีก.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?
เมื่อภิกษุทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่พระเทวทัตพยายามเพื่อจะฆ่าเรา
แม้ในครั้งก่อนก็พยายามแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว
ทรงนาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
พระโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่า "ทุฏฐกุมาร" มีสันดานกักขฬะหยาบคาย
เปรียบได้กับอสรพิษที่ถูกประหาร ยังไม่ได้ด่า ไม่ได้ตีใครแล้ว
จะไม่ยอมตรัสกับใคร ท้าวเธอไม่เป็นที่ชอบใจ
เป็นที่น่าสยดสยองของคนภายในและคนภายนอก เหมือนผงกระเด็นเข้านัยน์ตา
และเหมือนปีศาจร้ายที่มาคอยเคี้ยวกิน.
วันหนึ่ง ท้าวเธอปรารถนาจะเล่นน้าในแม่น้า
ได้เสด็จดาเนินไปสู่ฝั่งน้ากับบริวารเป็ นอันมาก. ขณะนั้น
มหาเมฆก็ตั้งขึ้นทิศทั้งหลายมืดมิด. ท้าวเธอรับสั่งกะผู้รับใช้อย่างทาสว่า เฮ้ย!
มาเถิดจงมาพาข้าพาไปกลางแม่น้า ให้ข้าอาบน้าแล้วพามา.
พวกคนรับใช้ก็พาท้าวเธอไปกลางแม่น้า ปรึกษากันว่า
- 2. 2
พระราชาจักทรงทาอะไรพวกเราได้
พวกเราจงปล่อยให้คนใจร้ายตายเสียในแม่น้านี้แหละ ดังนี้ แล้วกล่าวว่า
คนกาลกรรณีจงไปที่ชอบเถิด แล้วช่วยกันกดลงไปในน้า
แล้วพากันว่ายกลับขึ้นไปยืนอยู่บนฝั่ง
เมื่อมีผู้ถามว่า พระราชกุมารไปไหน? ก็พากันตอบว่า
พวกเราไม่เห็นพระกุมาร ท้าวเธอคงเห็นเมฆตั้งเค้าจึงดาลงในน้า
ชะรอยจักล่วงหน้าไปแล้ว พวกอามาตย์ก็พากันไปยังพระราชสานัก.
พระราชาตรัสถามว่า โอรสของเราไปไหน? พวกอามาตย์กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเกล้า
เมื่อเมฆตั้งเค้าขึ้น พวกข้าพระพุทธเจ้าก็สาคัญว่า
พระราชกุมารคงเสด็จล่วงหน้ามาแล้ว จึงพากันกลับมา พระเจ้าข้า.
พระราชารับสั่งให้เปิดประตู เสด็จไปถึงฝั่งน้า ตรัสว่า พวกเจ้าจงค้นดู
แล้วรับสั่งให้ค้นหาในที่นั้นๆ ไม่มีใครเห็นพระกุมาร
ฝ่ายพระกุมารนั้นเล่า ในเวลาที่เมฆมืดครึ้ม ฝนตกกระหน่า
ลอยไปในแม่น้า เห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่งจึงเกาะท่อนไม้ อันมรณภัยคุกคามแล้ว
ร้องคร่าครวญลอยไป.
ก็ในกาลนั้น เศรษฐีชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่งฝังทรัพย์ ๔๐
โกฏิไว้ที่ฝั่งแม่น้า เพราะความเป็นห่วงทรัพย์
ตายไปจึงไปเกิดเป็นงูอยู่เหนือขุมทรัพย์.
ยังมีอีกผู้หนึ่งฝังสมบัติไว้ตรงนั้นเหมือนกัน ๓๐ โกฏิ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์
ตายไปบังเกิดเป็นหนูอยู่ในที่นั้นเหมือนกัน.
น้าเซาะเข้าไปถึงที่อยู่ของงูและหนูทั้งสองนั้น
สัตว์ทั้งสองก็ออกมาตามทางที่น้าเซาะเข้าไปนั้นแหละ
ว่ายตัดกระแสน้าไปถึงท่อนไม้ที่พระราชกุมารเกาะอยู่นั้น
ต่างตัวต่างขึ้นสู่ปลายท่อนไม้คนละข้าง นอนอยู่เหนือท่อนไม้นั้นแล.
ก็ที่ริมฝั่งแม่น้านั้นเอง มีต้นงิ้วอยู่ต้นหนึ่ง
ลูกนกแขกเต้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น
ถึงต้นงิ้วนั้นก็ถูกน้าเซาะรากโค่นลงเหนือแม่น้า เมื่อฝนกาลังตก
ลูกนกแขกเต้าไม่สามารถบินไปได้ก็ลอยไปเกาะแอบอยู่ด้านหนึ่งของท่อนไม้นั้น.
ด้วยประการดังกล่าวมานี้ จึงเป็ นอันว่ารวมกันเป็น ๔ ล่องลอยไป.
ในกาลนั้น
แม้พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ในแคว้นกาสี
เจริญวัยแล้วบวชเป็ นฤๅษี สร้างศาลาอาศัยอยู่ที่คุ้งน้าตอนหนึ่ง.
ท่านกาลังจงกรมอยู่ในเวลาเที่ยงคืน ได้ยินเสียงร่าไห้ดังสนั่นของพระราชกุมาร
ก็ดาริว่า ในเมื่อดาบสผู้สมบูรณ์ด้วยเมตตากรุณายังอยู่
- 3. 3
จะปล่อยให้บุรุษนี้ตายไม่ควรเลย เราจักช่วยเขาให้ขึ้นจากน้าให้เขารอดชีวิต
แล้วก็ปลอบพระราชกุมารว่าอย่ากลัวเลย
ว่ายตัดกระแสน้าไปเกาะท่อนไม้ที่ปลายข้างหนึ่งฉุดมา
ท่านมีกาลังดังช้างสารสมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง พักเดียวก็ถึงฝั่ง
อุ้มพระกุมารขึ้นไว้บนฝั่ง.
ครั้นเห็นสัตว์ทั้งหลายมีงูเป็ นต้น ก็ช่วยนาขึ้นไปสู่อาศรมบท
ก่อไฟแล้วคิดว่า สัตว์เหล่านี้อ่อนแอกว่าก็ให้งูเป็นต้นผิงไฟก่อน
ให้พระราชกุมารผิงไฟทีหลัง กระทาให้หายหนาว
ถึงเมื่อจะให้อาหารก็ให้แก่งูเป็นต้นก่อน แล้วนาผลไม้ไปให้พระราชกุมารทีหลัง.
พระราชกุมารทรงพระดาริว่า ดาบสโกงผู้นี้
มิได้นับถือเราผู้เป็ นพระราชกุมาร กลับยกย่องพวกสัตว์เดียรัจฉาน
จึงผูกอาฆาตในพระโพธิสัตว์. แต่ต่อจากนั้นล่วงไปได้สอง-สามวัน
ครั้นพระกุมารและสัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด มีเรี่ยวแรงเป็ นปกติแล้ว
กระแสน้าในแม่น้าก็แห้งแล้ว งูไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พระคุณท่านผู้เจริญ
พระคุณเจ้าได้กระทาอุปการะอย่างใหญ่หลวงแก่ข้าพเจ้า
ก็แลข้าพเจ้ามิใช่ผู้ขัดสนฝังเงินไว้ ๔๐ โกฏิในที่ชื่อโน้น
เมื่อพระคุณเจ้าจะใช้สอยทรัพย์
ข้าพเจ้าสามารถถวายทรัพย์แม้ทั้งหมดนั้นแด่พระคุณเจ้าได้
พระคุณเจ้าจงไปที่นั้นแล้วเรียกข้าพเจ้าว่าทีฆะ เถิด แล้วก็ลาไป.
ฝ่ายหนูก็ปวารณาพระดาบสไว้อย่างนั้นเหมือนกัน กล่าวว่า
เมื่อพระคุณเจ้าต้องการจะใช้สอย จงไปยืนอยู่ในที่ชื่อโน้น
เรียกข้าพเจ้าว่า "อุนทุระ" เถิด ดังนี้แล้วก็ลาไป.
ส่วนนกแขกเต้าไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
ข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์ แต่เมื่อพระคุณเจ้าจะต้องการข้าวสาลีแดงละก็
โปรดไปที่อยู่ของข้าพเจ้าในที่ชื่อโน้น
เรียกข้าพเจ้าว่า "สุวะ" ข้าพเจ้าสามารถจะบอกแก่ฝูงญาติให้ช่วยขนข้าวสาลีแดงม
าถวายได้หลายเล่มเกวียน แล้วลาไป.
ฝ่ายพระราชกุมาร
เพราะฝังใจในธรรมของผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นสันดาน คิดได้ว่า
การที่เราจะไม่พูดอะไรๆ บ้างไปเสียเฉยๆ ไม่เหมาะเลย
เราจักฆ่าดาบสเสียเวลาที่ท่านมาหาเรา จึงกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
เมื่อข้าพเจ้าดารงอยู่ในราชสมบัติแล้ว นิมนต์มาเถิด
กระผมจักบารุงพระคุณเจ้าด้วยปัจจัย ๔ แล้วก็ลาไป
พระกุมารนั้นเสด็จไปได้ไม่นานก็ดารงอยู่ในราชสมบัติ.
- 4. 4
พระโพธิสัตว์ดาริว่า เราจักทดสอบคนเหล่านั้น
ดังนี้แล้วจึงไปสู่สานักงูก่อน ยืนอยู่ไม่ห่าง เรียกว่า "ทีฆะ" เพียงคาเดียวเท่านั้น
งูก็เลื้อยออกมาไหว้พระโพธิสัตว์ กล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
ที่ตรงนี้มีทรัพย์อยู่ ๔๐ โกฏิ นิมนต์พระคุณเจ้าขุดค้นขนเอาไปให้หมดเถิด.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เอาไว้อย่างนี้แหละ เมื่อมีกิจเกิดขึ้นจึงจะรู้กัน
บอกให้งูกลับไปแล้วเลยไปสานักของหนู เอ่ยเสียงเรียก.
แม้หนูก็ปฏิบัติดังนั้นเหมือนกัน. พระโพธิสัตว์ก็บอกให้หนูกลับไป.
เลยไปสานักนกแขกเต้า เรียกว่า "สุวะ" เพียงคาเดียวเท่านั้นเหมือนกัน
นกแขกเต้าก็โผลงจากยอดไม้ ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วถามว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
กระผมจักต้องไปหาพวกญาติของกระผมให้ช่วยขนข้าวสาลีที่เกิดเอง
จากหิมวันตประเทศ มาถวายพระคุณเจ้าหรือขอรับ?
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เมื่อต้องการค่อยรู้กัน
บอกให้นกแขกเต้ากลับไปแล้วคิดว่า คราวนี้เราจักทดสอบพระราชา
จึงไปพักอยู่ที่พระราชอุทยาน รุ่งขึ้นก็สารวมมรรยาทเรียบร้อย
เข้าไปสู่พระนครด้วยภิกขาจารวัตร.
ในขณะนั้น พระราชาผู้ทาลายมิตรพระองค์นั้น
ประทับเหนือคอพระคชาธารอันตกแต่งแล้ว
กระทาประทักษิณพระนครด้วยข้าราชบริพารขบวนใหญ่
เห็นพระโพธิสัตว์แต่ไกลทีเดียว ทรงพระดาริว่า
ดาบสผู้นี้คือดาบสโกงคนนั้นคงประสงค์จะอยู่ในสานักของเรา จึงได้มา
ต้องให้ราชบุรุษตัดศีรษะเสียทันที
มิทันให้แกประกาศคุณที่ทาไว้แก่เราในท่ามกลางฝูงคนได้
แล้วทรงมองดูราชบุรุษ ในเมื่อราชบุรุษกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายต้องทาอะไร พระเจ้าข้า? จึงรับสั่งว่า ดาบสโกงนั้น
ชะรอยจะมามุ่งขออะไรเราสักอย่าง
พวกเจ้าต้องไม่ให้ดาบสกาลกรรณีผู้นั้นเห็นเรา จับมันไปมัดมือไพร่หลังเฆี่ยนทุก
๔ แยกนาออกจากพระนคร ตัดหัวมันเสียที่ตะแลงแกง แล้วเอาตัวเสียบหลาวไว้
ราชบุรุษเหล่านั้นรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว
พากันไปมัดพระโพธิสัตว์ผู้ปราศจากความผิด เฆี่ยนไปทุก ๔
แยกแล้วเตรียมจะนาไปสู่ตะแลงแกง.
พระโพธิสัตว์มิได้คร่าครวญเลยว่า พ่อแม่ทั้งหลาย
ในสถานที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ปราศจากความสะทกสะท้าน กล่าวคาถานี้ ความว่า
"เป็นความจริง ดังที่ได้ยินมาว่า คนบางจาพวกในโลกนี้
เคยกล่าวว่าไม้ลอยน้ายังประเสริฐกว่า แต่คนบางคนไม่ประเสริฐเลย" ดังนี้.
- 5. 5
พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้ในที่ที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่งด้วยประการฉะนี้.
ฝูงชนต่างได้ยินคาเป็นคาถานั้น
ท่านพวกที่เป็นบัณฑิตในหมู่นั้นพากันกล่าวว่า ข้าแต่ท่านนักพรตผู้เจริญ
ท่านกระทาคุณอะไรไว้แก่พระราชาของพวกเราหรือ?
พระโพธิสัตว์จึงเล่าเรื่องนั้นแล้วกล่าวว่า
เราเองเป็ นผู้ช่วยพระราชานี้ให้ขึ้นจากห้วงน้าใหญ่
กลับเป็นการทาทุกข์ให้แก่ตนอย่างนี้ เรามาหวลราลึกได้ว่า
เราไม่ได้กระทาตามคาของบัณฑิต แต่ครั้งก่อนสิหนอ จึงกล่าวอย่างนี้.
ชาวพระนครมีกษัตริย์และพราหมณ์เป็นต้น
ฟังคานั้นแล้วพากันกล่าวว่า เพราะอาศัยพระราชาผู้ทาลายมิตรมิได้รู้แม้มาตรว่า
คุณของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยพระคุณ ผู้ให้ชีวิตแก่ตนอย่างนี้พระองค์นี้
พวกเราจะมีความเจริญได้แต่ที่ไหน จับมันเถิด ดังนี้แล้วต่างโกรธแค้น
ลุกฮือขึ้นโดยรอบ ฆ่าพระราชานั้นเสีย ทั้งๆ ที่ยังอยู่บนคอช้างนั่นเอง
ด้วยเครื่องประหารมีลูกศร หอกซัด ก้อนหินและไม้ค้อนเป็ นต้น
แล้วจับเท้ากระชากลงมาโยนทิ้งไปเหนือสันคู
แล้วอภิเษกพระโพธิสัตว์ให้ดารงราชย์สืบแทน.
ส่วนพระโพธิสัตว์ดารงราชย์โดยธรรม
วันหนึ่งทรงปรารภจะทดลองสัตว์มีงูเป็ นต้น จึงเสด็จไปที่อยู่ของงู ตรัสเรียกว่า
"ทีฆะ" งูเลื้อยมาซบไหว้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้มีพระคุณ
เชิญมาขนทรัพย์ของท่านไปเสียเถิด.
พระราชามีพระดารัสให้อามาตย์มารับมอบทรัพย์ ๔๐
โกฏิแล้วเสด็จไปสานักของหนูตรัสเรียกว่า "อุนทูร"
หนูก็มาซบไหว้แล้วมอบถวายสมบัติ ๓๐ โกฏิ
พระราชามีดารัสให้อามาตย์รับมอบทรัพย์แม้นั้นไว้. เสด็จไปที่อยู่ของนกแขกเต้า
รับสั่งเรียกว่า "สุวะ" แม้นกแขกเต้าก็บินมาซบไหว้พระบาทยุคลกราบทูลว่า
ข้าแต่ท่านเจ้าพระคุณ ข้าพเจ้าจะไปนาข้าวสาลีมาให้.
พระราชารับสั่งว่า เมื่อจะต้องการข้าวสาลีจึงค่อยนามา มาเถิด
เรามาพากันไป แล้วทรงพาสัตว์ทั้ง ๓ กับทรัพย์ ๗๐ โกฏิไปพระนคร
รับสั่งให้ทาทะนานทอง พระราชทานเป็ นที่อยู่ของงู ถ้าแก้วผลึกเป็นที่อยู่ของหนู
กรงทองเป็นที่อยู่ของนกแขกเต้า
พระราชทานข้าวตอกคลุกน้าผึ้งใส่จานทองให้งูและนกแขกเต้ากิน
พระราชทานข้าวสารสาลีให้หนูกินทุกวัน ทรงกระทาบุญมีให้ทานเป็นต้น. คนทั้ง
๔ แม้นั้นต่างสมัครสมานกัน ร่าเริงบันเทิงอยู่ชั่วชีวิต
ครั้นสิ้นชีวิตแล้วต่างก็ไปตามยถากรรม.
พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย