More Related Content
Similar to 142 สิงคาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
142 สิงคาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
สิงคาลชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. สิงคาลชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๔๒)
ว่าด้วยสุนัขจิ้งจอกโพธิสัตว์
(สุนัขจิ้งจอกโพธิสัตว์กล่าวติเตียนนักเลงว่า)
[๑๔๒] เหตุที่ท่านนอนลวงเหมือนคนตายนั้นรู้ได้ยาก
ไม้พลองของท่านเมื่อข้าพเจ้าคาบที่ปลายลากมาก็ไม่หลุดจากมือ
สิงคาลชาดกที่ ๒ จบ
----------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
สิคาลชาดก
ว่าด้วย ทาอุบายนอนตาย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารชื่อว่าเวฬุวัน
ทรงปรารภความตะเกียกตะกายเพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์เองของพระเทวทัต
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความย่อว่า พระศาสดาทรงสดับถ้อยคาของภิกษุทั้งหลายในธรรมสภา
แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น
ที่เทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าเรา
แม้ในครั้งก่อนก็เคยตะเกียกตะกายมาแล้วเหมือนกัน แต่ไม่อาจจะฆ่าเราได้
แต่ตนเองต้องลาบากโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกาเนิดหมาจิ้งจอก ได้เป็นพญาสิงคาล
แวดล้อมด้วยหมาจิ้งจอกอยู่ในป่าช้า โดยสมัยนั้น พระนครพาราณสีมีมหรสพ
ฝูงคนพากันดื่มสุราโดยมาก ได้ยินว่า
มหรสพนั้นก็คือมหรสพที่จัดขึ้นเพื่อการดื่มสุรานั่นเอง ครั้งนั้น
พวกนักเลงสุราจานวนมากชวนกันหาสุราและเนื้อมาเป็ นอันมาก
แล้วประดับตกแต่งร่างกาย พากันขับร้องแล้วดื่มสุราไปพลาง
กินเนื้อแกล้มไปพลาง พอสิ้นยามแรก ชิ้นเนื้อของพวกนั้นก็หมด
แต่สุรายังเหลือมากทีเดียว.
ครั้งนั้น นักเลงสุราคนหนึ่งกล่าวว่า ส่งชิ้นเนื้อให้ชิ้นหนึ่งเถิด
เมื่อได้รับคาตอบว่า เนื้อหมดแล้ว ก็พูดว่า เมื่อข้ายังอยู่ต้องไม่มีคาว่าเนื้อหมด
แล้วกล่าวต่อไปว่า ข้าจักฆ่าหมาจิ้งจอกที่มากินเนื้อคนตายในป่าช้าผีดิบ
- 2. 2
เอาเนื้อมันมา คว้าไม้พลองออกจากพระนครทางช่องระบายน้า ไปสู่ป่าช้า
นอนหงายถือพลองทาเป็นคนตาย
ขณะนั้น พระโพธิสัตว์แวดล้อมไปด้วยสุนัขจิ้งจอกไปในที่นั้น
เห็นเขาแล้ว แม้จะรู้ว่า นี่ไม่ใช่คนตาย คิดว่าต้องใคร่ครวญดูให้ละเอียดละออ
จึงไปยืนใต้ลมของเขา สูดกลิ่นตัว ก็ทราบความที่เขายังไม่ตายโดยแน่นอนทีเดียว
คิดว่า ต้องให้เขาได้อาย แล้วจึงจะปล่อยเขาไป จึงเดินไปคาบที่ปลายพลองฉุดมา
นักเลงไม่ยอมปล่อยพลอง แม้จะไม่มองดูพญาจิ้งจอกผู้เข้ามาใกล้
ก็คงยึดพลองนั้นไว้แน่นขึ้น พระโพธิสัตว์ถอยกลับไปแล้ว กล่าวว่า
ดูก่อนท่านผู้เจริญ ถ้าท่านพึงเป็นคนตายแล้วจริง
เมื่อเราลากพลองมาก็ไม่น่าจะยึดไว้มั่นคง ด้วยเหตุนี้ ท่านจะตายหรือยังไม่ตาย
จึงรู้ชัดได้โดยยาก
ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ ความว่า :-
"เหตุที่ท่านทาเป็นเหมือนคนตายนี้ รู้ได้ยากอยู่
เพราะเราคาบปลายไม้พลองฉุดไป ไม้พลองก็ยังไม่หลุดจากมือของท่าน" ดังนี้.
เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว นักเลงนั้นคิดว่า
สุนัขจิ้งจอกตัวนี้รู้ความที่เรายังไม่ตาย ก็ลุกขึ้น ขว้างไม้พลองไป ไม้พลองผิดเป้ า
นักเลงกล่าวว่า ไปเถิดมึง คราวนี้ข้าพลาดไป.
พระโพธิสัตว์หันกลับมาพูดว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ
ถึงแม้ท่านจะพลาดเราไป ท่านก็คงไม่พลาดมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๖
ขุมเป็นแน่นอน แล้วหลบไป นักเลงไม่ได้อะไรออกจากป่าช้า
อาบน้าในคูเข้าสู่พระนครตามเดิม.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
นักเลงในครั้งนั้น ได้มาเป็ น เทวทัต
ส่วนพระยาสิงคาลได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
-----------------------------------------------------