การเขียนประโยคเกี่ยวกับจานวนให้เป็นประโยคที่ใช้ สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์
มาแล้ว เช่น ประโยค สามเท่าของจานวนจานวนหนึ่งเท่ากับหก เขียนได้เป็น 3x = 6 และ
ประโยค สองเท่าของจานวนจานวนหนึ่งมากกว่าสี่อยู่เจ็ด เขียนได้เป็น 2x – 4 = 7
นอกจากนี้ยังเคยรู้จักสัญลักษณ์ต่อไปนี้

    <        แทนความสัมพันธ์ น้อยกว่า หรือไม่ถึง
    >        แทนความสัมพันธ์ มากกว่า หรือเกิน
และ ≠        แทนความสัมพันธ์ ไม่เท่ากับ หรือไม่เท่ากัน

นอกจากสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้ว เรายังใช้สัญลักษณ์ ≤ แทนความสัมพันธ์น้อยกว่าหรือ
เท่ากับ สัญลักษณ์ ≥ แทนความสัมพันธ์ที่มากกว่าหรือเท่ากับ เช่น

    x ≤ 2 อ่านว่า x น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2
          หมายถึง        x < 2 หรือ x = 2
          อีกนัยหนึ่งคือ x ไม่เกิน 2
และ a ≥ b อ่านว่า a มากกว่าหรือเท่ากับ b
          หมายถึง        a > b หรือ a = b
          อีกนัยหนึ่งคือ a ไม่น้อยกว่า b
ในแต่ละอสมการอาจจะมีตัวเป็นหรือไม่มีตัวแปรก็ได้ ถ้าอสมการมีตัวแปร ตัวแปร
นั้นจะแทนจานวน ในกรณีที่ไม่ระบุเงื่อนไขของตัวแปร ให้ถือว่าตัวแปรนั้นแทนจานวน
จริงใดๆ

     จากประโยคสัญลักษณ์ที่ใช้ในทางคณิตศาสตร์ข้างต้น ประโยคในข้อที่ 1 เป็น
ตัวอย่างของอสมการที่ไม่มีตัวแปร ส่วนประโยคในข้อ 2 ถึงข้อ 6 เป็นตัวอย่างของ
อสมการที่มีตัวเป็น อสมการดังกล่าวจึงเป็นตัวอย่างของ อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
ตัวอย่างอื่นๆ ของอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว เช่น




     อสมการที่มีตัวแปรอาจเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงขึ้นอยู่กับค่าของตัวแปร เช่น
อสมการ x – 2 < 5 เป็นจริง เมื่อแทน x ด้วย 4 หรือ แทน x ด้วย -3 และไม่เป็นจริงเมื่อ
แทน x ด้วย 10 เรียกจานวนที่แทน x ในอสมการ x – 2 < 5 แล้วทาให้ x – 2 < 5 เป็นจริง
ว่า คาตอบของอสมการ x – 2 < 5
อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว อาจมีคาตอบได้หายลักษณะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้


                         จงหาคาตอบของอสมการ a ≠ 30
วิธีทา เนื่องจาก เมื่อแทน a ด้วยจานวนจริงใดๆ ที่ไม่เท่ากับ 30 ใน a ≠ 30
            จะได้อสมการเป็นจริง
ดังนั้น คาตอบของสมการ a ≠ 30 คือจานวนจริงทุกจานวนยกเว้น 30
ตอบ จานวนจริงทุกจานวนยกเว้น 30


                       จงหาคาตอบของอสมการ x ≥ 7
วิธีทา เนื่องจาก เมื่อแทน x ด้วยจานวนจริงใดๆ ที่มากกว่าหรือเท่ากับ 7 ใน X ≥ 7
        แล้วจะได้อสมการที่เป็นจริง
ดังนั้น คาตอบของอสมการ x ≥ 7 คือ จานวนจริงทุกจานวนที่มากกว่าหรือเท่ากับ 7
ตอบ จานวนจริงทุกจานวนที่มากกว่าหรือเท่ากับ 7



                        จงหาคาตอบของอสมการ m + 1 < m + 2
วิธีทา เนื่องจากเมื่อแทน m ด้วยจานวนจริงใดๆ ใน m + 1 < m + 2 แล้วจะได้อสมการ
        ที่เป็นจริงเสมอ
ดังนั้น คาตอบของอสมการ m + 1 < m + 2 คือจานวนจริงทุกจานวน
ตอบ จานวนจริงทุกจานวน
จงหาคาตอบของอสมการ z - 2 > z
วิธีทา เนื่องจากไม่มีจานวนจริงใดแทน z ใน z - 2 > z แล้วทาให้อสมการเป็นจริง
ดังนั้น ไม่มีจานวนจริงใดเป็นคาตอบของอสมการ z - 2 > z
ตอบ ไม่มีจานวนจริงใดเป็นคาตอบ

ตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นถึงอสมการ 3 แบบ ตามลักษณะคาตอบดังนี้
     1) อสมการที่มีจานวนจริงบางจานวนเป็นคาตอบ เช่น อสมการในตัวอย่างที่ 1 และ
ตัวอย่างที่ 2
     2) อสมการที่มีจานวนจริงทุกจานวนเป็นคาตอบ เช่น อสมการในตัวอย่างที่ 3
     3) อสมการที่ไม่มีจานวนจริงใดเป็นคาตอบ เช่น อสมการในตัวอย่างที่ 4
คาตอบของอสมการ อาจแสดงให้เห็นโดยใช้กราฟบนเส้นจานวนแสดงจานวนจริงที่เป็น
คาตอบ ดังตัวอย่าง

1) กราฟแสดงคาตอบของอสมการ m > 2 เป็นดังนี้

กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนที่มากกว่า 2 ซึ่งเป็นคาตอบของ m < 2 เนื่องจาก
2 ไม่ใช่คาตอบ จะเขียนวงกลมเล็กๆ ล้อมรอบจุดที่แทน 2 ไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่ากราฟ
ไม่รวมจุดที่แทน 2

2) กราฟแสดงคาตอบของสมการ w ≤ 3 เป็นดังนี้

กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 ซึ่งเป็นคาตอบของ w
≤3

   เนื่องจาก 3 เป็นคาตอบ จะเขียนรูปวงกลมทึบเล็กๆ ทับบนจุดที่แทน 3 ไว้ เพื่อ
แสดงให้เห็นว่ากราฟรวมจุดที่แทน 3
3) กราฟแสดงคาตอบของอสมการ -2 < x ≤ 5 เป็นดังนี้

กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนที่มีค่ามากกว่า -2 แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 ซึ่ง
เป็นคาตอบของ -2 < x ≤ 5
      เนื่องจาก -2 ไม่ใช่คาตอบ จะเขียนวงกลมเล็กๆ ล้อมรอบจุดที่แทน -2 ไว้ เพื่อแสดง
ว่ากราฟไม่รวมจุดที่แทน -2 และเนื่องจาก -5 เป็นคาตอบจพเขียนรูปวงกลมทึบเล็กๆ ทับ
จุดที่แทน 5 ไว้ เพื่อแสกงว่ากราฟรวมจุดที่แทน 5

4) กราฟแสดงคาตอบของอสมการ y ≠ -1

กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนยกเว้น -1 ซึ่งเป็นคาตอบของ y ≠ -1
     เนื่องจาก -1 ไม่ใช่คาตอบ จะเขียนวงกลมเล็กๆ ล้อมรอบจุดที่แทน -1 ไว้ เพื่อแสดง
ว่ากราฟไม่รวมจุดที่แทน -1




      การแก้อสมการ คือ การหาคาตอบของสมการ ที่ผ่านมาเราแก้สมการโดยลองแทน
ค่าตัวแปรในอสมการ แต่อาจจะไม่สะดวกเมื่ออสมการมีความซับซ้อน เช่น เมื่อต้องการ
แก้อสมการ เราจะพบว่า เป็นการยากที่จะหาคาตอบของอสมการนี้โดยการลองแทน
ค่าตัวแปร

     เพื่อความรวดเร็วในการแก้อสมการ เราจะใช้สมบัติการไม่เท่ากันในการหาคาตอบ
ได้แก่ สมบัติการบวกของการไม่เท่ากันและสมบัติการคูณของการไม่เท่ากัน
ตัวอย่าง ถ้า           10 < 12     แล้ว 10 + 5 < 12 + 5
              หรือ 15 < 17
                 ถ้า 25 ≤ 30       แล้ว 25 + 10 ≤ 30 + 10
              หรือ 35 ≤ 40
    เนื่องจาก a < b มีความหมายเช่นเดียวกับ b > a และ a ≤ b มีความหมายเช่นเดียวกับ
b ≥ a ด้วยดังนี้




1. x - 4 < 20
นา 4 มาบวกทั้งสองข้างของอสมการ
จะได้ x - 4 + 4 < 20 + 4
ดังนั้น        x < 24

2. x + 15 > 10
นา -15 มาบวกทั้งสองข้างของอสมการ
จะได้ x + 15 + (-15) > 10 + (-15)
           x + 15 - 15 > 10 - 15
ดังนั้น              x > -5
3. 30 + x ≤ 12
นา -30 มาบวกทั้งสองข้างของอสมการ
จะได้ 30 + x – 30 ≤ 12 - 30
ดังนั้น           x ≤ -18

4. x - 12 ≥ -4
นา 12 มาบวกทั้งสองข้างอสมการ
จะได้ x - 12 + 12 ≥ -4 + 12
ดังนั้น         x ≥ 8

      จากตัวอย่างข้างต้น เราใช้สมบัติการบวกของการไม่เท่ากัน ทาให้อสมการสุดท้าย
อยู่ในรูป x < c, x ≤ c หรือ x ≥ c ซึ่งคาตอบทุกคาตอบของอสมการสุดท้ายเป็นคอตอบ
ของอสมการแรก และคาตอบทุกคาตอบของอสมการแรกเป็นคาตอบของอสมการ
สุดท้าย ในกรณีนี้เรากล่าวว่า อสมการแรกสมมูล กับอสมการสุดท้าย และเมื่อสามารถ
หาอสมการที่สมมูลกับอสมการที่ต้องการหาคาตอบโดยการคานวณในแต่ ละขั้นตอน
ถูกต้องแล้วก็ไม่จาเป็นต้องตรวจคาตอบ
จากตัวอย่างข้างต้นจะได้อสมการที่สมมูลกันดังนี้
x - 4 < 20 สมมูลกับ x < 24
x + 15 > 10 สมมูลกับ x > -5
30 + x ≤ 12 สมมูลกับ x ≤ -18
x - 12 ≥ -4 สมมูลกับ x ≥ 8
      อสมการบางอสมการไม่สามารถใช้สมบัติการบวกของการไม่ เท่ากันเพียงอย่าง
เดียวในการหาคาตอบ เช่น 8x > 24 ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้สมบัติการคูรของการไม่เท่ากัน
จึงจะสามารถหาคาตอบได้
ตัวอย่าง
1. ถ้า 5< 7           แล้ว 5 x 2 < 7 x 2              จะได้ 10 < 14
2. ถ้า 12 ≤ 15 แล้ว 12 x 3 ≤ 15 x 3                   จะได้ 36 ≤ 45
3. ถ้า 20 < 30 แล้ว 20 x (-4) > 30 x (-14) จะได้ -80 > -120
4. ถ้า 100 ≤ 200 แล้ว 100 x (-5) ≥ 200 > (-5) จะได้ -500 ≥ -1,000
     และเนื่องจาก a < b มีความหมายเช่นเดียวกับ b > a และ a ≤ b มีความหมาย
เช่นเดียวกับ b > b และ a ≥ b ด้วยดังนี้




     เนื่องจากการหารด้วย c เมื่อ c ≠ 0 คือการคูณด้วย เราจึงใช้สมบัติการคูณของการ
ไม่เท่ากันในการแก้อสมการที่อยู่ในรูป cx < b หรือ cx ≤ b เมื่อ c และ b เป็นค่าคงตัว
และ c ≠ 0

     สาหรับการแก้อสมการที่มีเครื่องหมาย ≠ เช่น x - 6 ≠ 28 และ 7x + 4 ≠ 25 เราจะ
ไม่ใช้สมบัติการบวกของการไม่เท่ากันและสมบัติการคูณของการไม่เท่ากัน แต่จะแก้
สมการเพื่อหาคาตอบ ซึ่งจะได้คาตอบของอสมการที่มีเครื่องหมาย ≠ เป็นจานวนทุก
จานวนยกเว้นจานวนที่เป็นคาตอบของสมการ
ในการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวก็สามารถทาได้ โดยมี
ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 วิเคราะห์โจทย์เพื่อหาว่าโจทย์กาหนดอะไรมาให้และให้หาอะไร
ขั้นที่ 2 กาหนดตัวแปรแทนสิ่งที่โจทย์ให้หาหรือแทนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่โจทย์ให้หา
ขั้นที่ 3 เขียนอสมการตามเงื่อนไขในโจทย์
ขั้นที่ 4 แก้อสมการเพื่อหาคาตอบตามที่โจทย์ต้องการ
ขั้นที่ 5 ตรวจสอบคาตอบที่ได้กับเงื่อนไขในโจทย์


                     ปัน ซื้อน้าดื่มขวดมาขาย 200 ขวด เป็นเงิน 1,200 บาท ขายน้า
ขวดเล็กราคาขวดละ 5 บาท ขายน้าขวดกลางราคาขวดละ 8 บาท เมื่อขายหมดได้กาไร
มากกว่า 250 บาท อยากทราบว่าปันซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมากกี่ขวด
ตรวจสอบ
      ถ้าปันซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด จะต้องซื้อน้าขวดกลางมาขายอย่าง
น้อย 200 - 49 =.151 ขวด
ขายน้าขวดเล็ก 49 ขวด เป็นเงิน 5 x 49 = 245 บาท
ขายน้าขวดกลาง 151 ขวด เป็นเงิน 8 x 151 = 1,208 บาท
ขายน้าทั้งหมดได้เงิน 245 + 1,208 = 1,453 บาท
คิดเป็นกาไร 1,453 - 1,200= 253 บาท
กาไร 253 มากกว่า 250 บาท ซึ่งเป็นไปจริงตามเงื่อนไขที่โจทย์กาหนด
ดังนั้น ปันซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด
ตอบ 49 ขวด



                            พิม มีเงินสะสมอยู่จานวนหนึ่ง วันหนึ่งพ่อของพิมให้เงินพิม
เป็นพิเศษ 600 บาท วันรุ่งขึ้นพิมซื้ออาหารให้แมวและนกที่เลี้ยงไว้เป็นเงิน 420 บาท พิม
รู้ว่ายังเหลือเงินอยู่ไม่น้อยกว่าครึ่งของเงินของพิมและเงินที่พ่อให้ รวมกัน จงหาว่า
เดิมพิมมีเงินสะสมอยู่อย่างน้อยกี่บาท
ตรวจสอบ
      ถ้าพิมมีเงินสะสมอยู่อย่างน้อย 240 บาท
เมื่อรวมกับเงินที่พ่อให้ 600 บาท พิมจะมีเงินรวมกันอย่างน้อย 260 + 600 = 860 บาท
หลังจากซื้ออาหารให้แมวและนก 420 บาท
จะเหลือเงินอีกอย่างน้อย 840 – 450 = 420 บาท เงิน 420 บาทไม่น้อยกว่า 1/2 ของ 840
บาท ซึ่งเป็นจริงตามเงื่อนไขในโจทย์
ดังนั้น พิมมีเงินสะสมอยู่อย่างน้อย 240บาท
ตอบ 240 บาท

EX แก้วอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง วันแรกอ่านได้ 2/5 เล่ม วันต่อมาอ่านได้อีก 25 หน้า
รวมสองวันอ่านได้มากกว่า ครึ่งเล่มจงหาว่าหนังสือเล่มนี้มีจานวนหน้าอย่างมากกี่หน้า
วิธทำ
   ี                                           ื ้
         จำกโจทย์ ให ้ x แทนจำนวนหน ้ำของหนั งสอทังหมดเรำสำมำรถเขียนเป็ น
อสมกำรได ้ดังนี้
EXปัญญามีเหรียญบาท และเหรียญห้าบาท อยู่ในกระป๋องออมสินจานวนหนึ่ง เมื่อ

เหรียญเต็มกระป๋อง เขาเทออกมานับพบว่า มีเหรียญ บาทมากกว่า เหรียญ ห้าบาทอยู่ 12

เหรียญ นับเป็นจานวนเงินทั้งหมด ไม่น้อยกว่า 300 บาทจงหาว่า มีเหรียญห้าบาทอยู่อย่าง

น้อยกี่เหรียญ

วิธีทา จากโจทย์ มีเหรียญ 2 ชนิดคือ เหรียญ 1 บาท และ 5 บาท เหรียญทั้งสอง เมื่อเอา

จานวนเหรียญ มาคูณกับค่าของเหรียญ ต้องมีค่าไม่น้อยกว่า คือ มากกว่าหรือเท่ากับ

300 เราให้ x แทนจานวนเหรียญ ได้ อสมการ ดังนี้




ดังนั้นเราจะได้ว่า

เหรียญ 1 บาท = 48 + 12 x 1 = 60 บาท

เหรียญ 5 บาท = 48 x 5    = 240    บาท
EX     ถ้าสองเท่าของจานวนเต็มบวกจานวนหนึ่งมากกว่า 20 อยู่ไม่ถึง 6 จานวนดังกล่าว

เป็นจานวนใดได้บ้าง

วิธีทา จากโจทย์ ให้ x แทนจานวนเต็มบวก ได้สมการดังนี้




จานวนเต็มบวก ที่มีค่าน้อยกว่า 13

คือ     12 , 10 , 8 , 6 , 4 , 2

EX    แม่ค้าต้องการบรรจุมะม่วงใส่ลัง ลังพลาสติกเปล่าแต่ละใบหนัก 2.5 กิโลกรัม

มะม่วงขนาดใกล้เคียงกันแต่ละผลหนัก0.3 กิโลกรัม เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายใน

การขนส่ง ต้องการบรรจุมะม่วงให้มากที่สุด แต่ต้องไม่หนักมากจนเกินไปจนเป็นปัญหา

ในการเคลื่อนย้าย จากประสบการณ์แม่ค้าพบว่าถ้าจะให้คุ้มค่าขนส่งโดยมะม่วงไม่

เสียหาย ต้องบรรจุมะม่วงให้แต่ละลังมีน้าหนักรวมกัน อย่างน้อยลังละ 19 กิโลกรัมแต่

ไม่เกิน 25 กิโลกรัมจงหาว่าแม่ค้า ควรบรรจุมะม่วงใส่ลังอย่างน้อยลังละอย่างมากลังละกี่

ผล
วิธีทา

ถ้าจะให้คุ้มค่าขนส่งโดยมะม่วงไม่ เสียหาย ต้องบรรจุมะม่วงให้แต่ละลังมีน้าหนัก

รวมกัน อย่างน้อยลังละ 19 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัมดังนั้น เมื่อหัก ลังพลาสติก

เปล่าแต่ละใบ หนัก 2.5 กิโลกรัมจะเป็นน้าหนัก ของมะม่วงที่ใส่ลงไป

จะได้       19.00 - 2.5 = 16.5 กก.

            25.00 - 2.5 = 22.5 กก.

เราให้ x แทน จานวนลูก ดังนั้นเราจะได้สมการ




จะได้จานวนลูกของมะม่วงในแต่ละลังที่บรรจุไปแล้วค้มค่า

การขนส่งต้องบรรจุลังละ ประมาณ 55 ถึง 75 ลูก ต่อลัง
EX ป้องซื้อน้าดื่มขวดมาขาย 200 ขวด เป็นเงิน 1,200 บาท ขายน้าขวดเล็กราคาขวดละ 5
บาท ขายน้าขวดกลางราคาขวดละ 8 บาท เมื่อขายหมดได้กาไรมากกว่า 250 บาท อยาก
ทราบว่าป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมากกี่ขวด

วิธีทา      ให้ป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขาย x ขวด

          จะได้ว่า ป้องซื้อน้าขวดกลางมาขาย 200-x ขวด

          ขายน้าขวดเล็กได้เงิน 5x บาท

          ขายน้าขวดกลางได้เงิน 8(200-x) บาท

          ขายน้าทั้งหมดได้กาไรมากกว่า 250 บาท

          จะได้อสมการเป็น
               5x + 8[200-x] – 1,200 > 250

                5x + 1,600 - 8x -1,200 > 250

                          -3x + 400 > 250

                            -3x > 250 - 400

                            -3x > -150

                            x <
                            x < 50
ตรวจสอบ      ถ้าป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด

          จะต้องซื้อน้าขวดกลางมาขายอย่างน้อย 200-49 = 151 ขวด
          ขายน้าขวดเล็ก          49 ขวด         เป็นเงิน 5 49 = 245 บาท
          ขายน้าขวดกลาง 151 ขวด             เป็นเงิน 8 151= 1,208 บาท
ขายน้าทั้งหมดได้เงิน 245+1,208 = 1,453 บาท

คิดเป็นกาไร 1,453-1,200 = 253 บาท

กาไร 253 มากกว่า 250 บาทซึ่งเป็นจริงตามเงื่อนไขในโจทย์

ดังนั้น ป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด

ตอบ 49 ขวด

อสมการ

  • 1.
    การเขียนประโยคเกี่ยวกับจานวนให้เป็นประโยคที่ใช้ สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ มาแล้ว เช่นประโยค สามเท่าของจานวนจานวนหนึ่งเท่ากับหก เขียนได้เป็น 3x = 6 และ ประโยค สองเท่าของจานวนจานวนหนึ่งมากกว่าสี่อยู่เจ็ด เขียนได้เป็น 2x – 4 = 7 นอกจากนี้ยังเคยรู้จักสัญลักษณ์ต่อไปนี้ < แทนความสัมพันธ์ น้อยกว่า หรือไม่ถึง > แทนความสัมพันธ์ มากกว่า หรือเกิน และ ≠ แทนความสัมพันธ์ ไม่เท่ากับ หรือไม่เท่ากัน นอกจากสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้ว เรายังใช้สัญลักษณ์ ≤ แทนความสัมพันธ์น้อยกว่าหรือ เท่ากับ สัญลักษณ์ ≥ แทนความสัมพันธ์ที่มากกว่าหรือเท่ากับ เช่น x ≤ 2 อ่านว่า x น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 หมายถึง x < 2 หรือ x = 2 อีกนัยหนึ่งคือ x ไม่เกิน 2 และ a ≥ b อ่านว่า a มากกว่าหรือเท่ากับ b หมายถึง a > b หรือ a = b อีกนัยหนึ่งคือ a ไม่น้อยกว่า b
  • 2.
    ในแต่ละอสมการอาจจะมีตัวเป็นหรือไม่มีตัวแปรก็ได้ ถ้าอสมการมีตัวแปร ตัวแปร นั้นจะแทนจานวนในกรณีที่ไม่ระบุเงื่อนไขของตัวแปร ให้ถือว่าตัวแปรนั้นแทนจานวน จริงใดๆ จากประโยคสัญลักษณ์ที่ใช้ในทางคณิตศาสตร์ข้างต้น ประโยคในข้อที่ 1 เป็น ตัวอย่างของอสมการที่ไม่มีตัวแปร ส่วนประโยคในข้อ 2 ถึงข้อ 6 เป็นตัวอย่างของ อสมการที่มีตัวเป็น อสมการดังกล่าวจึงเป็นตัวอย่างของ อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ตัวอย่างอื่นๆ ของอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว เช่น อสมการที่มีตัวแปรอาจเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงขึ้นอยู่กับค่าของตัวแปร เช่น อสมการ x – 2 < 5 เป็นจริง เมื่อแทน x ด้วย 4 หรือ แทน x ด้วย -3 และไม่เป็นจริงเมื่อ แทน x ด้วย 10 เรียกจานวนที่แทน x ในอสมการ x – 2 < 5 แล้วทาให้ x – 2 < 5 เป็นจริง ว่า คาตอบของอสมการ x – 2 < 5
  • 3.
    อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว อาจมีคาตอบได้หายลักษณะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ จงหาคาตอบของอสมการ a ≠ 30 วิธีทา เนื่องจาก เมื่อแทน a ด้วยจานวนจริงใดๆ ที่ไม่เท่ากับ 30 ใน a ≠ 30 จะได้อสมการเป็นจริง ดังนั้น คาตอบของสมการ a ≠ 30 คือจานวนจริงทุกจานวนยกเว้น 30 ตอบ จานวนจริงทุกจานวนยกเว้น 30 จงหาคาตอบของอสมการ x ≥ 7 วิธีทา เนื่องจาก เมื่อแทน x ด้วยจานวนจริงใดๆ ที่มากกว่าหรือเท่ากับ 7 ใน X ≥ 7 แล้วจะได้อสมการที่เป็นจริง ดังนั้น คาตอบของอสมการ x ≥ 7 คือ จานวนจริงทุกจานวนที่มากกว่าหรือเท่ากับ 7 ตอบ จานวนจริงทุกจานวนที่มากกว่าหรือเท่ากับ 7 จงหาคาตอบของอสมการ m + 1 < m + 2 วิธีทา เนื่องจากเมื่อแทน m ด้วยจานวนจริงใดๆ ใน m + 1 < m + 2 แล้วจะได้อสมการ ที่เป็นจริงเสมอ ดังนั้น คาตอบของอสมการ m + 1 < m + 2 คือจานวนจริงทุกจานวน ตอบ จานวนจริงทุกจานวน
  • 4.
    จงหาคาตอบของอสมการ z -2 > z วิธีทา เนื่องจากไม่มีจานวนจริงใดแทน z ใน z - 2 > z แล้วทาให้อสมการเป็นจริง ดังนั้น ไม่มีจานวนจริงใดเป็นคาตอบของอสมการ z - 2 > z ตอบ ไม่มีจานวนจริงใดเป็นคาตอบ ตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นถึงอสมการ 3 แบบ ตามลักษณะคาตอบดังนี้ 1) อสมการที่มีจานวนจริงบางจานวนเป็นคาตอบ เช่น อสมการในตัวอย่างที่ 1 และ ตัวอย่างที่ 2 2) อสมการที่มีจานวนจริงทุกจานวนเป็นคาตอบ เช่น อสมการในตัวอย่างที่ 3 3) อสมการที่ไม่มีจานวนจริงใดเป็นคาตอบ เช่น อสมการในตัวอย่างที่ 4 คาตอบของอสมการ อาจแสดงให้เห็นโดยใช้กราฟบนเส้นจานวนแสดงจานวนจริงที่เป็น คาตอบ ดังตัวอย่าง 1) กราฟแสดงคาตอบของอสมการ m > 2 เป็นดังนี้ กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนที่มากกว่า 2 ซึ่งเป็นคาตอบของ m < 2 เนื่องจาก 2 ไม่ใช่คาตอบ จะเขียนวงกลมเล็กๆ ล้อมรอบจุดที่แทน 2 ไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่ากราฟ ไม่รวมจุดที่แทน 2 2) กราฟแสดงคาตอบของสมการ w ≤ 3 เป็นดังนี้ กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 ซึ่งเป็นคาตอบของ w ≤3 เนื่องจาก 3 เป็นคาตอบ จะเขียนรูปวงกลมทึบเล็กๆ ทับบนจุดที่แทน 3 ไว้ เพื่อ แสดงให้เห็นว่ากราฟรวมจุดที่แทน 3
  • 5.
    3) กราฟแสดงคาตอบของอสมการ -2< x ≤ 5 เป็นดังนี้ กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนที่มีค่ามากกว่า -2 แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 ซึ่ง เป็นคาตอบของ -2 < x ≤ 5 เนื่องจาก -2 ไม่ใช่คาตอบ จะเขียนวงกลมเล็กๆ ล้อมรอบจุดที่แทน -2 ไว้ เพื่อแสดง ว่ากราฟไม่รวมจุดที่แทน -2 และเนื่องจาก -5 เป็นคาตอบจพเขียนรูปวงกลมทึบเล็กๆ ทับ จุดที่แทน 5 ไว้ เพื่อแสกงว่ากราฟรวมจุดที่แทน 5 4) กราฟแสดงคาตอบของอสมการ y ≠ -1 กราฟข้างต้นแสดงจานวนจริงทุกจานวนยกเว้น -1 ซึ่งเป็นคาตอบของ y ≠ -1 เนื่องจาก -1 ไม่ใช่คาตอบ จะเขียนวงกลมเล็กๆ ล้อมรอบจุดที่แทน -1 ไว้ เพื่อแสดง ว่ากราฟไม่รวมจุดที่แทน -1 การแก้อสมการ คือ การหาคาตอบของสมการ ที่ผ่านมาเราแก้สมการโดยลองแทน ค่าตัวแปรในอสมการ แต่อาจจะไม่สะดวกเมื่ออสมการมีความซับซ้อน เช่น เมื่อต้องการ แก้อสมการ เราจะพบว่า เป็นการยากที่จะหาคาตอบของอสมการนี้โดยการลองแทน ค่าตัวแปร เพื่อความรวดเร็วในการแก้อสมการ เราจะใช้สมบัติการไม่เท่ากันในการหาคาตอบ ได้แก่ สมบัติการบวกของการไม่เท่ากันและสมบัติการคูณของการไม่เท่ากัน
  • 6.
    ตัวอย่าง ถ้า 10 < 12 แล้ว 10 + 5 < 12 + 5 หรือ 15 < 17 ถ้า 25 ≤ 30 แล้ว 25 + 10 ≤ 30 + 10 หรือ 35 ≤ 40 เนื่องจาก a < b มีความหมายเช่นเดียวกับ b > a และ a ≤ b มีความหมายเช่นเดียวกับ b ≥ a ด้วยดังนี้ 1. x - 4 < 20 นา 4 มาบวกทั้งสองข้างของอสมการ จะได้ x - 4 + 4 < 20 + 4 ดังนั้น x < 24 2. x + 15 > 10 นา -15 มาบวกทั้งสองข้างของอสมการ จะได้ x + 15 + (-15) > 10 + (-15) x + 15 - 15 > 10 - 15 ดังนั้น x > -5
  • 7.
    3. 30 +x ≤ 12 นา -30 มาบวกทั้งสองข้างของอสมการ จะได้ 30 + x – 30 ≤ 12 - 30 ดังนั้น x ≤ -18 4. x - 12 ≥ -4 นา 12 มาบวกทั้งสองข้างอสมการ จะได้ x - 12 + 12 ≥ -4 + 12 ดังนั้น x ≥ 8 จากตัวอย่างข้างต้น เราใช้สมบัติการบวกของการไม่เท่ากัน ทาให้อสมการสุดท้าย อยู่ในรูป x < c, x ≤ c หรือ x ≥ c ซึ่งคาตอบทุกคาตอบของอสมการสุดท้ายเป็นคอตอบ ของอสมการแรก และคาตอบทุกคาตอบของอสมการแรกเป็นคาตอบของอสมการ สุดท้าย ในกรณีนี้เรากล่าวว่า อสมการแรกสมมูล กับอสมการสุดท้าย และเมื่อสามารถ หาอสมการที่สมมูลกับอสมการที่ต้องการหาคาตอบโดยการคานวณในแต่ ละขั้นตอน ถูกต้องแล้วก็ไม่จาเป็นต้องตรวจคาตอบ จากตัวอย่างข้างต้นจะได้อสมการที่สมมูลกันดังนี้ x - 4 < 20 สมมูลกับ x < 24 x + 15 > 10 สมมูลกับ x > -5 30 + x ≤ 12 สมมูลกับ x ≤ -18 x - 12 ≥ -4 สมมูลกับ x ≥ 8 อสมการบางอสมการไม่สามารถใช้สมบัติการบวกของการไม่ เท่ากันเพียงอย่าง เดียวในการหาคาตอบ เช่น 8x > 24 ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้สมบัติการคูรของการไม่เท่ากัน จึงจะสามารถหาคาตอบได้
  • 8.
    ตัวอย่าง 1. ถ้า 5<7 แล้ว 5 x 2 < 7 x 2 จะได้ 10 < 14 2. ถ้า 12 ≤ 15 แล้ว 12 x 3 ≤ 15 x 3 จะได้ 36 ≤ 45 3. ถ้า 20 < 30 แล้ว 20 x (-4) > 30 x (-14) จะได้ -80 > -120 4. ถ้า 100 ≤ 200 แล้ว 100 x (-5) ≥ 200 > (-5) จะได้ -500 ≥ -1,000 และเนื่องจาก a < b มีความหมายเช่นเดียวกับ b > a และ a ≤ b มีความหมาย เช่นเดียวกับ b > b และ a ≥ b ด้วยดังนี้ เนื่องจากการหารด้วย c เมื่อ c ≠ 0 คือการคูณด้วย เราจึงใช้สมบัติการคูณของการ ไม่เท่ากันในการแก้อสมการที่อยู่ในรูป cx < b หรือ cx ≤ b เมื่อ c และ b เป็นค่าคงตัว และ c ≠ 0 สาหรับการแก้อสมการที่มีเครื่องหมาย ≠ เช่น x - 6 ≠ 28 และ 7x + 4 ≠ 25 เราจะ ไม่ใช้สมบัติการบวกของการไม่เท่ากันและสมบัติการคูณของการไม่เท่ากัน แต่จะแก้ สมการเพื่อหาคาตอบ ซึ่งจะได้คาตอบของอสมการที่มีเครื่องหมาย ≠ เป็นจานวนทุก จานวนยกเว้นจานวนที่เป็นคาตอบของสมการ
  • 9.
    ในการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวก็สามารถทาได้ โดยมี ขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1วิเคราะห์โจทย์เพื่อหาว่าโจทย์กาหนดอะไรมาให้และให้หาอะไร ขั้นที่ 2 กาหนดตัวแปรแทนสิ่งที่โจทย์ให้หาหรือแทนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่โจทย์ให้หา ขั้นที่ 3 เขียนอสมการตามเงื่อนไขในโจทย์ ขั้นที่ 4 แก้อสมการเพื่อหาคาตอบตามที่โจทย์ต้องการ ขั้นที่ 5 ตรวจสอบคาตอบที่ได้กับเงื่อนไขในโจทย์ ปัน ซื้อน้าดื่มขวดมาขาย 200 ขวด เป็นเงิน 1,200 บาท ขายน้า ขวดเล็กราคาขวดละ 5 บาท ขายน้าขวดกลางราคาขวดละ 8 บาท เมื่อขายหมดได้กาไร มากกว่า 250 บาท อยากทราบว่าปันซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมากกี่ขวด
  • 10.
    ตรวจสอบ ถ้าปันซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด จะต้องซื้อน้าขวดกลางมาขายอย่าง น้อย 200 - 49 =.151 ขวด ขายน้าขวดเล็ก 49 ขวด เป็นเงิน 5 x 49 = 245 บาท ขายน้าขวดกลาง 151 ขวด เป็นเงิน 8 x 151 = 1,208 บาท ขายน้าทั้งหมดได้เงิน 245 + 1,208 = 1,453 บาท คิดเป็นกาไร 1,453 - 1,200= 253 บาท กาไร 253 มากกว่า 250 บาท ซึ่งเป็นไปจริงตามเงื่อนไขที่โจทย์กาหนด ดังนั้น ปันซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด ตอบ 49 ขวด พิม มีเงินสะสมอยู่จานวนหนึ่ง วันหนึ่งพ่อของพิมให้เงินพิม เป็นพิเศษ 600 บาท วันรุ่งขึ้นพิมซื้ออาหารให้แมวและนกที่เลี้ยงไว้เป็นเงิน 420 บาท พิม รู้ว่ายังเหลือเงินอยู่ไม่น้อยกว่าครึ่งของเงินของพิมและเงินที่พ่อให้ รวมกัน จงหาว่า เดิมพิมมีเงินสะสมอยู่อย่างน้อยกี่บาท
  • 11.
    ตรวจสอบ ถ้าพิมมีเงินสะสมอยู่อย่างน้อย 240 บาท เมื่อรวมกับเงินที่พ่อให้ 600 บาท พิมจะมีเงินรวมกันอย่างน้อย 260 + 600 = 860 บาท หลังจากซื้ออาหารให้แมวและนก 420 บาท จะเหลือเงินอีกอย่างน้อย 840 – 450 = 420 บาท เงิน 420 บาทไม่น้อยกว่า 1/2 ของ 840 บาท ซึ่งเป็นจริงตามเงื่อนไขในโจทย์ ดังนั้น พิมมีเงินสะสมอยู่อย่างน้อย 240บาท ตอบ 240 บาท EX แก้วอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง วันแรกอ่านได้ 2/5 เล่ม วันต่อมาอ่านได้อีก 25 หน้า รวมสองวันอ่านได้มากกว่า ครึ่งเล่มจงหาว่าหนังสือเล่มนี้มีจานวนหน้าอย่างมากกี่หน้า วิธทำ ี ื ้ จำกโจทย์ ให ้ x แทนจำนวนหน ้ำของหนั งสอทังหมดเรำสำมำรถเขียนเป็ น อสมกำรได ้ดังนี้
  • 12.
    EXปัญญามีเหรียญบาท และเหรียญห้าบาท อยู่ในกระป๋องออมสินจานวนหนึ่งเมื่อ เหรียญเต็มกระป๋อง เขาเทออกมานับพบว่า มีเหรียญ บาทมากกว่า เหรียญ ห้าบาทอยู่ 12 เหรียญ นับเป็นจานวนเงินทั้งหมด ไม่น้อยกว่า 300 บาทจงหาว่า มีเหรียญห้าบาทอยู่อย่าง น้อยกี่เหรียญ วิธีทา จากโจทย์ มีเหรียญ 2 ชนิดคือ เหรียญ 1 บาท และ 5 บาท เหรียญทั้งสอง เมื่อเอา จานวนเหรียญ มาคูณกับค่าของเหรียญ ต้องมีค่าไม่น้อยกว่า คือ มากกว่าหรือเท่ากับ 300 เราให้ x แทนจานวนเหรียญ ได้ อสมการ ดังนี้ ดังนั้นเราจะได้ว่า เหรียญ 1 บาท = 48 + 12 x 1 = 60 บาท เหรียญ 5 บาท = 48 x 5 = 240 บาท
  • 13.
    EX ถ้าสองเท่าของจานวนเต็มบวกจานวนหนึ่งมากกว่า 20 อยู่ไม่ถึง 6 จานวนดังกล่าว เป็นจานวนใดได้บ้าง วิธีทา จากโจทย์ ให้ x แทนจานวนเต็มบวก ได้สมการดังนี้ จานวนเต็มบวก ที่มีค่าน้อยกว่า 13 คือ 12 , 10 , 8 , 6 , 4 , 2 EX แม่ค้าต้องการบรรจุมะม่วงใส่ลัง ลังพลาสติกเปล่าแต่ละใบหนัก 2.5 กิโลกรัม มะม่วงขนาดใกล้เคียงกันแต่ละผลหนัก0.3 กิโลกรัม เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายใน การขนส่ง ต้องการบรรจุมะม่วงให้มากที่สุด แต่ต้องไม่หนักมากจนเกินไปจนเป็นปัญหา ในการเคลื่อนย้าย จากประสบการณ์แม่ค้าพบว่าถ้าจะให้คุ้มค่าขนส่งโดยมะม่วงไม่ เสียหาย ต้องบรรจุมะม่วงให้แต่ละลังมีน้าหนักรวมกัน อย่างน้อยลังละ 19 กิโลกรัมแต่ ไม่เกิน 25 กิโลกรัมจงหาว่าแม่ค้า ควรบรรจุมะม่วงใส่ลังอย่างน้อยลังละอย่างมากลังละกี่ ผล
  • 14.
    วิธีทา ถ้าจะให้คุ้มค่าขนส่งโดยมะม่วงไม่ เสียหาย ต้องบรรจุมะม่วงให้แต่ละลังมีน้าหนัก รวมกันอย่างน้อยลังละ 19 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัมดังนั้น เมื่อหัก ลังพลาสติก เปล่าแต่ละใบ หนัก 2.5 กิโลกรัมจะเป็นน้าหนัก ของมะม่วงที่ใส่ลงไป จะได้ 19.00 - 2.5 = 16.5 กก. 25.00 - 2.5 = 22.5 กก. เราให้ x แทน จานวนลูก ดังนั้นเราจะได้สมการ จะได้จานวนลูกของมะม่วงในแต่ละลังที่บรรจุไปแล้วค้มค่า การขนส่งต้องบรรจุลังละ ประมาณ 55 ถึง 75 ลูก ต่อลัง
  • 15.
    EX ป้องซื้อน้าดื่มขวดมาขาย 200ขวด เป็นเงิน 1,200 บาท ขายน้าขวดเล็กราคาขวดละ 5 บาท ขายน้าขวดกลางราคาขวดละ 8 บาท เมื่อขายหมดได้กาไรมากกว่า 250 บาท อยาก ทราบว่าป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมากกี่ขวด วิธีทา ให้ป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขาย x ขวด จะได้ว่า ป้องซื้อน้าขวดกลางมาขาย 200-x ขวด ขายน้าขวดเล็กได้เงิน 5x บาท ขายน้าขวดกลางได้เงิน 8(200-x) บาท ขายน้าทั้งหมดได้กาไรมากกว่า 250 บาท จะได้อสมการเป็น 5x + 8[200-x] – 1,200 > 250 5x + 1,600 - 8x -1,200 > 250 -3x + 400 > 250 -3x > 250 - 400 -3x > -150 x < x < 50 ตรวจสอบ ถ้าป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด จะต้องซื้อน้าขวดกลางมาขายอย่างน้อย 200-49 = 151 ขวด ขายน้าขวดเล็ก 49 ขวด เป็นเงิน 5 49 = 245 บาท ขายน้าขวดกลาง 151 ขวด เป็นเงิน 8 151= 1,208 บาท
  • 16.
    ขายน้าทั้งหมดได้เงิน 245+1,208 =1,453 บาท คิดเป็นกาไร 1,453-1,200 = 253 บาท กาไร 253 มากกว่า 250 บาทซึ่งเป็นจริงตามเงื่อนไขในโจทย์ ดังนั้น ป้องซื้อน้าขวดเล็กมาขายอย่างมาก 49 ขวด ตอบ 49 ขวด