More Related Content
Similar to 184 คิริทัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (15)
More from maruay songtanin (20)
184 คิริทัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
คิริทัตตชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๔. คิริทัตตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๘๔)
ว่าด้วยม้าเลียนแบบนายคิริทัตต์
(อามาตย์โพธิสัตว์ตรวจดูอาการของม้าพิการแล้ว กราบทูลพระราชาว่า)
[๖๗] ม้ามงคลชื่อปัณฑวะของพระเจ้าสาม
ถูกนายคิริทัตต์ประทุษร้ายแล้ว จึงละปกติเดิมของตน เลียนแบบนายคิริทัตต์นั้น
(พระโพธิสัตว์กราบทูลให้หาคนเลี้ยงม้าที่ดีมาว่า)
[๖๘] ถ้าคนประกอบด้วยอาการอันงดงามที่สมควรแก่ม้านั้น
พึงจับม้านั้นที่บังเหียน แล้วจูงไปรอบๆ สนามม้าไซร้
ม้านั้นจะละอาการเขยกแล้วเลียนแบบคนเลี้ยงม้านั้นโดยพลัน
คิริทัตตชาดกที่ ๔ จบ
-----------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
คิริทัตตชาดก
ว่าด้วย การเอาอย่าง
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภภิกษุคบพวกผิดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
เรื่องราวกล่าวไว้แล้วใน มหิฬามุขชาดก ในหนหลัง.
แต่ในเรื่องนี้ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนี้คบพวกผิดมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน ภิกษุนี้ก็คบพวกผิดเหมือนกัน
แล้วทรงนาเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล
พระราชาพระนามว่าสามะ ครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี. ในครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอามาตย์ ครั้นเจริญวัย
ก็ได้เป็นผู้สอนอรรถและธรรมของพระราชา.
ก็พระราชามีม้ามงคลตัวหนึ่งชื่อปัณฑวะ.
คนเลี้ยงม้าของพระองค์ชื่อคิริทัต เขามีขาพิการ.
ม้าเห็นนายคิริทัตถือบังเหียนเดินไปข้างหน้า สาคัญว่า
คนนี้สอนเราจึงเรียนตามเขากลายเป็นม้าขาพิการไป.
นายคิริทัตจึงกราบทูลถึงความพิการของม้าให้พระราชาทรงทราบ.
พระราชาจึงทรงส่งแพทย์ไปตรวจอาการ.
พวกแพทย์ไปตรวจดูก็ไม่เห็นโรคในตัวม้า จึงกราบทูลพระราชาว่า
พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่พบโรคของม้า พระเจ้าข้า.
- 2. 2
พระราชาจึงทรงส่งพระโพธิสัตว์ไปว่า
ท่านจงไปดูเหตุการณ์ของม้าในร่างกายนี้ พระโพธิสัตว์ไปตรวจดูก็รู้ว่า
ม้านั้นพิการเพราะเกี่ยวกับคนเลี้ยงม้าขาพิการ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา
เมื่อจะแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างนี้ เพราะโทษที่เกี่ยวข้องกัน
จึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
ม้าชื่อปัณฑวะของพระเจ้าสามะ ถูกคนเลี้ยงชื่อคิริทัตประทุษร้าย
จึงละปกติเดิมของตน ศึกษาเอาอย่างคนเลี้ยงม้านั่นเอง.
ลาดับนั้น พระราชาจึงรับสั่งถาม บัดนี้จะควรทาอย่างไรแก่ม้านั้น.
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ได้คนเลี้ยงม้าที่ดีแล้วจักเป็ นเหมือนเดิม พระพุทธเจ้าข้า.
แล้วกล่าวคาถาที่สองว่า :-
ถ้าบุรุษผู้บริบูรณ์ด้วยอาการอันงดงามสมควรแก่ม้านั้น
ตกแต่งร่างกายงดงาม จับจูงม้านั้นที่บังเหียนพาเวียนไปรอบๆ สนามม้า
ไม่ช้าเท่าไร ม้าก็จะละความเป็นกระจอกเสีย ศึกษาเอาอย่างบุรุษนั้นทีเดียว.
บุรุษนั้นตกแต่งผมและหนวดด้วยอาการอันน่ารัก คืองดงาม
จะพึงจับม้านั้นที่บังเหียนจูงเดินเวียนไปในบริเวณของม้า
ม้านี้จักละความพิการนี้เสียทันที จะเอาอย่าง คือสาเหนียกคนเลี้ยงม้า
คือจักตั้งอยู่ในความเป็นปกติ โดยสาคัญว่า คนเลี้ยงม้าผู้น่ารัก
ถึงพร้อมด้วยมารยาทนี้ ให้เราเอาอย่าง.
พระราชารับสั่งให้ทาอย่างนั้น ม้าก็ตั้งอยู่ในความปกติ
พระราชาทรงโปรดปรานว่า ท่านผู้นี้รู้อัธยาศัยแม้กระทั่งสัตว์เดียรัจฉาน
จึงได้พระราชทานยศแก่พระโพธิสัตว์เป็นอันมาก.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก
คิริทัตในครั้งนั้นได้เป็น เทวทัต ในครั้งนี้
ม้าได้เป็นภิกษุผู้คบพวกผิด
พระราชาได้เป็น อานนท์
ส่วนอามาตย์บัณฑิต คือ เราตถาคต นี้แล.
-----------------------------------------------------