More Related Content
Similar to 263 จูฬปโลภนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
263 จูฬปโลภนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
จูฬปโลภนชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๓. จูฬปโลภนชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๖๓)
ว่าด้วยการประเล้าประโลมของหญิงเพียงครู่เดียว
(อนิตถิกุมารโพธิสัตว์ดาริจะช่วยเหลือดาบสผู้เสื่อมจากฌาน
จึงได้ตรัสว่า)
[๓๗] ตัวท่านเองเดินมาได้บนผิวน้าที่ไม่แตกแยกด้วยฤทธิ์
ครั้นถึงความคลุกคลีกับหญิง จึงจมลงในห้วงน้าใหญ่
[๓๘] ธรรมดาหญิงทั้งหลายมีความหมุนเวียนเปลี่ยนอยู่เสมอ
มีมายามาก ทาพรหมจรรย์ให้กาเริบ ย่อมจมลง(ในนรก)
บุคคลรู้ชัดเนื้อความข้อนั้นแล้ว พึงเว้นให้ห่างไกล
[๓๙] หญิงเหล่านั้นคบหาชายใด ด้วยความพอใจหรือด้วยทรัพย์ก็ตาม
ย่อมตามเผาผลาญชายนั้นทันที เหมือนไฟป่าเผาผลาญพื้นที่ของตน
จูฬปโลภนชาดกที่ ๓ จบ
--------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
จุลลปโลภนชาดก
ว่าด้วย หญิงทาบุรุษให้งงงวย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันจะสึกเหมือนกันรูปหนึ่ง ดังนี้.
ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้น ผู้ถูกนามาที่โรงธรรมสภาว่า
ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอเป็นผู้กระสันจะสึกจริงหรือ
เมื่อภิกษุนั้นทูลรับเป็ นสัตย์แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ชื่อว่าหญิงเหล่านี้ย่อมทาสัตว์ผู้บริสุทธิ์ให้เศร้าหมอง ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้
แม้สัตว์ผู้บริสุทธิ์อันมีในกาลก่อน ก็ทาให้เศร้าหมองเหมือนกัน
อันภิกษุเหล่านั้นทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
เป็นผู้ไม่มีพระโอรส จึงตรัสกับนางสนมของพระองค์ว่า
เธอทั้งหลายจงกระทาความปรารถนาเพื่อให้ได้บุตร.
นางสนมเหล่านั้นจึงพากันปรารถนาบุตร.
เมื่อกาลล่วงไปด้วยอาการอย่างนี้ พระโพธิสัตว์จึงจุติจากพรหมโลก
บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี. พระโพธิสัตว์นั้นพอประสูติ
- 2. 2
พระชนกชนนีให้สรงสนานแล้ว ได้ประทานแก่พระนม เพื่อให้ดื่มถันธารา.
พระโพธิสัตว์นั้นอันแม่นมทั้งหลายให้ดื่มน้านมอยู่ก็ทรงกรรแสง. ลาดับนั้น
จึงได้ทรงประทานพระโพธิสัตว์นั้นให้แก่พระนมอื่น. ในมือของมาตุคาม
พระโพธิสัตว์ไม่เป็ นผู้นิ่งเฉย.
ลาดับนั้น
จึงได้ประทานพระโพธิสัตว์นั้นแก่บุรุษคนหนึ่งผู้เป็ นข้าบาทมูลิกา.
พอข้าบาทมูลิกาคนนั้นรับเอาเท่านั้น พระโพธิสัตว์ก็หยุดนิ่ง.
ครั้นในวันตั้งชื่อพระโพธิสัตว์นั้น
พระชนกชนนีได้ทรงขนานพระนามว่าอนิตถิคันธกุมาร. ตั้งแต่นั้นมา
บุรุษเท่านั้นจึงจะพาพระกุมารนั้นเที่ยวไป เมื่อจะให้ดื่มน้านม
จะปิดและคลุมให้ดื่ม หรือวางถันในพระโอษฐ์ตามช่องพระวิสูตร.
เมื่อพระกุมารแม้ประพฤติพระองค์ไปๆ มาๆ อยู่ ใครๆ
ไม่อาจแสดงมาตุคามให้เห็น ด้วยเหตุนั้น
พระราชาจึงให้สร้างสถานที่ประทับนั่งเป็ นต้นไว้ในที่ว่าง
และให้สร้างฌานาคารหอคอย ไว้ภายนอกเพื่อพระกุมารนั้น.
ในเวลาพระกุมารนั้นมีพระชันษา ๑๖ พรรษา พระราชาทรงพระดาริว่า
เราไม่มีโอรสองค์อื่นอีก ส่วนกุมารนี้ไม่บริโภคกาม แม้ราชสมบัติก็ไม่ปรารถนา
เราได้พระโอรสยากจริงหนอ.
ครั้งนั้น มีหญิงฟ้ อนรุ่นสาวผู้หนึ่ง
ฉลาดในการฟ้ อนการขับร้องและการประโคม
สามารถที่เล้าโลมบุรุษให้ตกอยู่ในอานาจของตนได้ เข้าไปเฝ้ าแล้วกราบทูลว่า
ขอเดชะ พระองค์ทรงพระดาริเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าข้า.
ฝ่ายพระราชาก็ตรัสบอกเหตุนั้น. หญิงฟ้ อนกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
เรื่องนั้นโปรดยกไว้
กระหม่อมฉันจักประเล้าประโลมพระราชกุมารนั้นให้รู้จักกามรส.
พระราชาตรัสว่า
ถ้าเจ้าจักสามารถประเล้าประโลมอนิตถิคันธกุมารผู้โอรสของเราได้ไซร้
พระกุมารนั้นจักเป็นพระราชา ตัวเจ้าจักเป็นอัครมเหสี.
หญิงฟ้ อนกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์เป็นเจ้า
การประเล้าประโลมเป็นภาระของกระหม่อมฉัน พระองค์อย่าทรงปริวิตก
ดังนี้แล้วเข้าไปหาคนผู้ทาหน้าที่อารักขา แล้วกล่าวว่า ในเวลาใกล้รุ่ง
เราจักมายืนที่หอคอยภายนอกพระวิสูตร ใกล้ที่บรรทมของพระลูกเจ้า
แล้วจักขับร้อง ถ้าพระราชกุมารจักทรงกริ้ว พวกท่านพึงบอกเรา
เราจะหลบไปเสีย ถ้าทรงสดับ พวกท่านช่วยบอกแก่เราเช่นเดียวกัน.
คนผู้ทาหน้าที่อารักขาทั้งหลายต่างพากันรับคานาง.
- 3. 3
ฝ่ายหญิงฟ้ อนนั้น ในเวลาใกล้รุ่งได้ไปยืนอยู่ ณ ประเทศที่นั้น
แล้วขับเสียงเพลงประสานกับเสียงพิณ
บรรเลงเสียงพิณประสานกับเสียงเพลงขับด้วยเสียงอันไพเราะ.
พระกุมารทรงบรรทมฟังอยู่ ทรงยอมรับว่า ดี มีประโยชน์. วันรุ่งขึ้น
ทรงสั่งให้นางยืนขับร้องในที่ใกล้ รุ่งขึ้นวันที่สอง รับสั่งให้ยืนขับร้องในหอคอย
รุ่งขึ้นวันที่สาม รับสั่งให้ยืนขับร้องในที่ใกล้กับพระองค์
ด้วยวิธีการอย่างนี้ พระองค์ทรงทาตัณหาให้เกิดขึ้นโดยลาดับๆ
จนถึงซ่องเสพโลกธรรม ได้รู้รสกามเข้าแล้ว ออกพระโอษฐ์ว่า ขึ้นชื่อว่ามาตุคาม
เราจักไม่ยอมให้แก่ชายอื่น ถือพระแสงดาบเสด็จลงสู่ท้องถนน
เที่ยวไล่ติดตามบุรุษทั้งหลาย.
ลาดับนั้น
พระราชารับสั่งให้จับพระกุมารนั้นแล้วให้นาออกไปเสียจากพระนคร
พร้อมกับกุมาริกานั้น. ฝ่ายพระกุมารและชายาทั้งสอง
เสด็จเข้าป่าไปยังแม่น้าคงคาด้านใต้
สร้างอาศรมอยู่ในระหว่างแม่น้าคงคาและมหาสมุทร
โดยมีแม่น้าคงคาอยู่ด้านหนึ่ง และมีมหาสมุทรอยู่ด้านหนึ่ง สาเร็จการอยู่ ณ ที่นั้น
ฝ่ายนางกุมาริกานั่งอยู่ในบรรณศาลา กาลังต้มหัวเผือกเหง้าไม้และผลไม้อยู่
พระโพธิสัตว์นาผลาผลทั้งหลายมาจากป่า.
ครั้นวันหนึ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์แม้นั้นไปเพื่อต้องการผลหมากรากไม้
มีพระดาบสรูปหนึ่งอาศัยอยู่ที่เกาะในมหาสมุทร
เหาะมาทางอากาศในเวลาภิกขาจาร เห็นควันไฟนั้นจึงลงยังอาศรม. ลาดับนั้น
กุมาริกานั้นเชิญพระดาบสนั้นให้นั่ง โดยกล่าวว่า
ท่านจงนั่งรอจนกว่าดิฉันจะต้มเสร็จ แล้วเล้าโลมด้วยความเด่นของหญิง
ให้เสื่อมจากฌาน ทาพรหมจรรย์ของดาบสนั้นให้อันตรธานหายไป.
พระดาบสนั้นเป็นเหมือนกาปีกหัก ไม่อาจละนางกุมาริกานั้นไปได้
คงอยู่ในที่นั้นเองตลอดทั้งวัน
ในเวลาเย็นเห็นพระโพธิสัตว์มา จึงรีบหนีบ่ายหน้าไปทางมหาสมุทร
ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงชักดาบออกไล่ติดตามดาบสนั้นไปด้วยเข้าใจว่า
ผู้นี้จักเป็ นศัตรูของเรา. พระดาบสแสดงอาการจะเหาะขึ้นในอากาศ
จึงตกลงไปในมหาสมุทร.
พระโพธิสัตว์คิดว่า ดาบสผู้นี้จักมาทางอากาศ
เพราะฌานเสื่อมจึงตกลงในมหาสมุทร บัดนี้
เราควรจะเป็ นที่พึ่งอาศัยของดาบสนี้ แล้วยืนที่ชายฝั่ง ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
เมื่อน้าไม่กระเพื่อม ดาบสนี้มาได้ด้วยฤทธิ์เอง
ครั้นถึงความระคนด้วยหญิง ก็จมลงในห้วงมหรรณพ.
- 4. 4
ธรรมดาว่า หญิงเหล่านี้เป็ นผู้ทาบุรุษให้งงงวย มีมายามาก
และยังพรหมจรรย์ให้กาเริบ ย่อมจมลงในอบาย บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้ว
พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล.
หญิงเหล่านั้นย่อมเข้าไปคบหาบุรุษใด เพราะความรักใคร่พอใจ
หรือเพราะทรัพย์เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน
เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่ของตนเองฉะนั้น.
สมจริงดังที่ท่านโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า :-
หญิงทั้งหลายนี้เป็นผู้มีมายาดุจพยับแดด ความโศก โรคและอันตราย
ย่อมเกิดแก่ผู้สมาคมกับหญิงร่าไป
อนึ่ง หญิงทั้งหลายกล้าแข็ง เป็ นดุจเครื่องผูก เป็ นบ่วงแห่งมัจจุราช
และมีมหาภูตรูปดุจคูหาเป็นที่อาศัย
บุรุษใดคุ้นเคยในหญิงเหล่านั้น
บุรุษนั้นเท่ากับคนอาธรรม์ในนรชนทั้งหลาย.
ฝ่ายพระดาบส ครั้นได้ฟังคาของพระโพธิสัตว์อย่างนี้แล้ว
ยืนอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรนั้นเอง ทาฌานที่เสื่อมให้กลับเกิดขึ้นอีก
แล้วไปยังที่อยู่ของตนทางอากาศ.
พระโพธิสัตว์คิดว่า พระดาบสนี้เป็นผู้อบรมมาแล้วอย่างนี้
ไปทางอากาศเหมือนปุยนุ่น แม้เราก็ควรทาฌานให้เกิด
แล้วไปทางอากาศเหมือนพระดาบสนี้.
ครั้นคิดแล้วก็ไปยังอาศรม นาหญิงนั้นไปส่งยังถิ่นมนุษย์
แล้วส่งไปด้วยคาว่า เจ้าจงกลับไปเถิด เสร็จแล้วก็เข้าป่า
สร้างอาศรมในภูมิภาคอันรื่นรมย์ แล้วบวชเป็นฤาษี กระทากสิณบริกรรม
ยังอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิด ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
พระศาสดา
ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจจธรรม ทรงประชุมช
าดก. ในเวลาจบอริยสัจ ภิกษุผู้กระสันจะสึก ได้ดารงอยู่ในโสดาปัตติผล
ก็อนิตถิคันธกุมาร ในกาลนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาจุลลปโลภนชาดกที่ ๓
-----------------------------------------------------