More Related Content
Similar to 182 สังคามาวจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
182 สังคามาวจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
สังคามาวจรชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. สังคามาวจรชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๘๒)
ว่าด้วยช้างเข้าสู่สงคราม
(พระโพธิสัตว์ผู้เป็นคนฝึกช้างของพระราชาสอนช้างว่า)
[๖๓] พญากุญชร ท่านได้ชื่อว่าเจนสงคราม กล้าหาญ มีกาลังมาก
ทาไมหนอ มาใกล้เขื่อนประตูแล้วจึงถอยกลับเสียเล่า
[๖๔] พญากุญชร ท่านจงหักลิ่มกลอน จงถอนเสาระเนียด
จงเหยียบทาลายซุ้มประตู และจงเข้าไปในเมืองโดยเร็ว
สังคามาวจรชาดกที่ ๒ จบ
----------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
สังคามาวจรชาดก
ว่าด้วย ช้างเข้าสงคราม
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระนันทเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
เรื่องพิสดารมีอยู่ว่า เมื่อพระศาสดาเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์
โดยเสด็จไปเป็นครั้งแรก ทรงให้นันทกุมารพระกนิษฐภาดาทรงผนวช
แล้วเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ เสด็จไปประทับ ณ กรุงสาวัตถีโดยลาดับ.
ท่านพระนันทะระลึกถึงวาจาที่นางชนปทกัลยาณีผู้สดับข่าว
ในคราวที่ท่านนันทะถือบาตรออกจากพระตาหนักกับพระตถาคตว่า
นัยว่านันทกุมารเสด็จไปพร้อมกับพระศาสดา แล้วมองดูทางหน้าต่าง ทั้งๆ
ที่เกล้าผมได้ครึ่งเดียว ร้องขึ้นว่า ข้าแต่พระเจ้าพี่กลับมาเร็วๆ จึงเกิดกระสัน
ไม่มีความยินดี เกิดพระโรคผอมเหลือง มีพระกายสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น.
พระศาสดาทรงทราบเรื่องของพระนันทะแล้ว จึงทรงดาริว่า ถ้ากระไร
เราจักให้นันทะดารงอยู่ในอรหัตผล แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนนันทะ
เธอไม่ยินดีในศาสนานี้กระมัง. กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
ข้าพระองค์มีจิตปฏิพัทธ์นางชนปทกัลยาณี จึงไม่ยินดี. ตรัสถามว่า ดูก่อนนันทะ
เธอเคยจาริกไปป่าหิมพานต์หรือเปล่า. กราบทูลว่า ไม่เคยไปเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ตรัสว่า ดูก่อนนันทะ ถ้าเช่นนั้นเราไปกัน. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีฤทธิ์จะไปได้อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนนันทะ
เราจะพาเธอไปด้วยกาลังฤทธิ์ของเราเอง
แล้วทรงจับมือพระนันทะเหาะขึ้นไปสู่อากาศ
- 2. 2
ทรงแสดงถึงนาที่ถูกไฟไหม้แห่งหนึ่ง ในระหว่างทาง
แล้วทรงแสดงถึงนางลิงตัวหนึ่งซึ่งมีจมูกและหางด้วน มีขนถูกไฟไหม้
มีผิวเป็นริ้วรอย หุ้มห่อไว้เพียงแต่หนัง นั่งจับเจ่าอยู่บนตอไฟไหม้
แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนนันทะ เธอเห็นลิงตัวนั้นไหม. กราบทูลว่า
เห็นพระพุทธเจ้าข้า. ตรัสว่า เธอจงกาหนดไว้ให้ดี.
ครั้นแล้วก็ทรงพาพระนันทะไป ทรงชี้ให้ดูพื้นมโนสิลา
ประมาณหกสิบโยชน์ สระใหญ่เจ็ดสระ มีสระอโนดาตเป็ นต้น แม่น้าใหญ่ห้าสาย
และภูเขาหิมพานต์อันน่ารื่มรมย์หลายร้อยลูก ซึ่งเรียงรายไปด้วยเขาทอง
เขาเงินและเขาแก้วมณี แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนนันทะ
เธอเคยเห็นภพดาวดึงส์หรือ. กราบทูลว่า ไม่เคยเห็น พระพุทธเจ้าข้า. ตรัสว่า
ดูก่อนนันทะ เธอจงมาเราจักแสดงภพดาวดึงส์แก่เธอ
แล้วทรงพาไปถึงภพดาวดึงส์ ประทับนั่งเหนือมัณฑุกัมพลศิลาอาสน์.
ท้าวสักกเทวราช พร้อมด้วยหมู่เทวดาในเทวโลกทั้งสอง
ก็พากันเสด็จมาถวายบังคม ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ส่วนหนึ่ง
เหล่าเทพอัปสรประมาณ ๕๐๐ มีสีเท้าเหมือนสีเท้านกพิราบ ผู้เป็นนางบาเรอ
นับได้สองร้อยห้าสิบโกฏิ ก็พากันมาถวายบังคมนั่งอยู่ข้างหนึ่ง.
พระศาสดาทรงให้พระนันทะดูนางอัปสร ๕๐๐ เหล่านั้นบ่อยๆ
ด้วยอานาจกิเลส ตรัสถามว่า นันทะ
เธอเห็นนางอัปสรสีเท้านกพิราบเหล่านี้ไหมเล่า. กราบทูลว่า เห็นพระพุทธเจ้าข้า.
ตรัสถามว่า นางอัปสรเหล่านี้งาม หรือนางชนปทกัลยาณีงาม. กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ นางลิงขนเกรียนเทียบกับนางชนปทกัลยาณีฉันใด
นางชนปทกัลยาณีก็ฉันนั้น เมื่อเทียบกับนางอัปสรเหล่านี้
(ก็เทียบได้เพียงนางลิง). ตรัสถามว่า นันทะ บัดนี้เธอจักทาอย่างไรเล่า.
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ทากรรมอะไรจึงจะได้นางอัปสรเหล่านี้. ตรัสว่า
บาเพ็ญสมณธรรมซิ. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
หากพระผู้มีพระภาคเป็นผู้รับรองเพื่อให้นางเหล่านี้
ข้าพระพุทธเจ้าจักบาเพ็ญสมณธรรม.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนนันทะ จงบาเพ็ญสมณธรรมเถิด
เราจะเป็ นผู้รับรองเธอ.
พระเถระถือพระตถาคตเป็นผู้รับรองในท่ามกลางหมู่เทวดา แล้วจึงกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์อย่าทาให้เนิ่นช้านัก เชิญเสด็จมา ไปกันเถิด
ข้าพระองค์จักบาเพ็ญสมณธรรม.
พระศาสดาพาพระนันทะกลับไปสู่พระเชตวันอย่างเดิม
พระเถระเริ่มบาเพ็ญสมณธรรม.
พระศาสดาตรัสเรียกพระธรรมเสนาบดีมา แล้วตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร
- 3. 3
นันทะน้องชายของเราได้ยึดเราเป็นผู้รับรอง เพราะเรื่องนางเทพอัปสรทั้งหลาย
ในท่ามกลางหมู่เทวดาในดาวดึงสเทวโลก โดยอุบายนี้แหละ
พระองค์ทรงแจ้งแก่ภิกษุที่เหลือโดยมากแก่อสีติมหาสาวกเป็นต้นว่า
พระมหาโมคคัลลานะเถระ พระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทธเถระ
พระอานนท์ผู้เป็นคลังพระธรรม.
พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเข้าไปหาพระนันทเถระกล่าวว่า ท่านนันทะ
นัยว่า ท่านยึดเอาพระทศพลเป็นผู้รับรอง ณ
ท่ามกลางหมู่เทวดาในดาวดึงสเทวโลกว่า
เมื่อได้นางเทพอัปสรจักบาเพ็ญสมณธรรม จริงหรือ แล้วย้าว่า
เมื่อเป็นอย่างนี้การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ของท่าน ก็เกี่ยวข้องด้วยมาตุคาม
มิใช่หรือ ท่านนั้นไม่ต่างอะไรกับกรรมกรผู้รับจ้างทาการงานเพื่อต้องการสตรี
ได้ทาให้พระเถระละอายยอมจานน. พระอสีติมหาสาวกและภิกษุที่เหลือทั้งสิ้น
ได้ทาให้ท่านพระนันทะละอายโดยอุบายนี้.
พระนันทะราพึงว่า เราทากรรมอันไม่สมควรหนอ
แล้วประคองความเพียรให้มั่นคงด้วยหิริและโอตัปปะ เจริญวิปัสสนา
แล้วบรรลุพระอรหัต เข้าไปเฝ้ าพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระพุทธเจ้าขอถอนคารับรองของพระองค์.
แม้พระศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนนันทะ ก็เธอบรรลุพระอรหัตเมื่อใด
เมื่อนั้นเราก็พ้นจากคารับรอง.
ภิกษุทั้งหลาย ครั้นทราบความนี้แล้ว จึงประชุมกันในโรงธรรมว่า
ดูก่อนอาวุโส ท่านพระนันทะรูปนี้ อดทนต่อคาสอน ตั้งมั่นหิริและโอตัปปะ
ไว้ด้วยโอวาทครั้งเดียวเท่านั้น แล้วบาเพ็ญสมณธรรมบรรลุพระอรหัต.
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นันทะอดทนต่อคาสอน มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น
แม้แต่ก่อนก็อดทนต่อคาสอนเหมือนกัน แล้วทรงนาเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลคนฝึกช้าง ครั้นเจริญวัย สาเร็จศิลปะฝึกช้างแล้ว
รับราชการกับพระราชาผู้เป็ นศัตรูของพระเจ้าพาราณสีพระองค์หนึ่ง.
พระโพธิสัตว์ฝึกหัดช้างมงคลของพระราชานั้นไว้แล้วเป็ นอย่างดี.
พระราชานั้นทรงดาริว่า จักยึดราชสมบัติในกรุงพาราณสี
จึงชวนพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นช้างมงคล
เสด็จไปล้อมกรุงพาราณสีด้วยกองทัพใหญ่
แล้วทรงส่งสาส์นถึงพระราชาพรหมทัตว่า จะยกราชสมบัติถวาย หรือจะรบ.
พระราชาพรหมทัตตอบว่า เราจักรบ แล้วรับสั่งให้พลนิกายประจาที่ประตูกาแพง
- 4. 4
และป้ อมค่าย เตรียมรบ. พระราชาผู้มีศัตรู เอาเกราะหนังสวมช้างมงคล
แม้พระองค์เองก็สวมหนังเสด็จขึ้นคอช้าง ทรงพระแสงขอคม ทรงไสช้าง
มุ่งสู่พระนครด้วยทรงหมายพระทัยว่า จักทาลายล้างพระนคร
ปราบปัจจามิตรให้ถึงสิ้นชีวิต และยึดเอาราชสมบัติให้จนได้.
ช้างมงคลเห็นทหารซัดทรายอันร้อนเป็นต้น
ปล่อยหินยนต์และเครื่องประหารหลายๆ อย่าง ก็หวาดกลัวต่อความตาย
ไม่อาจเข้าใกล้ได้ จึงหลีกไป.
ครั้งนั้น นายหัตถาจารย์เข้าไปหาช้างมงคล พูดปลอบว่า
เจ้าก็กล้าหาญเข้าสงคราม ชื่อว่า การล่าถอยอย่างนี้ ไม่สมควร.
เมื่อจะสอนช้าง จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
ดูก่อนกุญชร ท่านปรากฏว่าเป็ นผู้เคยเข้าสงคราม มีความแกล้วกล้า
มีกาลังมาก เข้ามาใกล้เขื่อนประตูแล้ว เหตุไรจึงถอยกลับเสียเล่า.
ดูก่อนกุญชร ท่านจงหักลิ่มกลอนถอน
เสาระเนียดและทาลายเขื่อนทั้งหลาย แล้วเข้าประตูให้ได้โดยเร็วเถิด.
ช้างมงคลได้ฟังดังนั้น ก็หันกลับเพราะคาสอนของพระโพธิสัตว์
เพียงคาเดียวเท่านั้น แล้วใช้งวงพันเสาระเนียดถอนขึ้น เหมือนดังถอนเห็ดฉะนั้น
แล้วทาลายเสาค่าย ถอดกลอน พังประตูเมืองเข้าพระนคร
ยึดราชสมบัติถวายพระราชา.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก
ช้างในครั้งนั้น ได้เป็น นันทะ ในครั้งนี้
พระราชาได้เป็น พระอานนท์
ส่วนนายหัตถาจารย์ คือ เราตถาคต นี้แล.
จบ อรรถกถาสังคามาวจรชาดกที่ ๒
-----------------------------------------------------