More Related Content
Similar to 137 พัพพุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
137 พัพพุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
พัพพุชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๗. พัพพุชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๓๗)
ว่าด้วยวิธีทาให้แมวตาย
(พระศาสดาทรงประมวลเรื่องในอดีตมา ตรัสพระคาถานี้ว่า)
[๑๓๗] แมวตัวหนึ่งได้หนูหรือเนื้อในที่ใด แมวตัวที่ ๒ ตัวที่ ๓ และตัวที่
๔ ก็เกิดในที่นั้น แมวเหล่านั้นเอาอกกระแทกปล่องแก้วผลึกนี้แล้วสิ้นชีวิต
พัพพุชาดกที่ ๗ จบ
-------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
พัพพุชาดก
ว่าด้วย วิธีให้แมวตาย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภสิกขาบทที่ทรงบัญญัติด้วยมีกาณมารดาเป็นเหตุ ตรัสพระธรรมเทศนา
นี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า อุบาสิกาในพระนครสาวัตถี
ปรากฏนามตามธิดาว่า กาณมาตา ได้เป็ นอริยสาวิกาผู้โสดาบัน
นางได้ยกลูกสาวชื่อ กาณา ให้แก่ชายผู้มีชาติ คู่ควรกันในหมู่บ้านตาบลหนึ่ง
นางกาณาย้อนกลับมาเรือนของมารดาด้วยกรณียกิจบางอย่าง ต่อมา
สามีของนางกาณาส่งทูตไปว่า นางกาณาจงกลับมา เราต้องการให้นางกาณากลับ
นางกาณาฟังคาของทูตแล้ว บอกลามารดาว่า แม่จ๋า ฉันต้องไปละ.
มารดากล่าวว่า เจ้าอยู่นานปานนี้ จักไปมือเปล่าอย่างไรกัน แล้วทอดขนม.
ขณะนั้นเอง ภิกษุรูปหนึ่งผู้มีปกติเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
ได้ไปถึงที่อยู่ของนาง อุบาสิกานิมนต์ท่านให้นั่งแล้วถวายขนมเต็มบาตร
ภิกษุนั้นออกไปแล้วก็บอกแก่ภิกษุรูปอื่น อุบาสิกาก็ถวายแก่ภิกษุนั้น
โดยทานองเดียวกันนั่นแหละ แม้รูปนั้นก็กลับออกไป แล้วบอกต่อแก่รูปอื่น
อุบาสิกาก็ถวายแก่ภิกษุนั้นเช่นกัน เลยต้องถวายแก่ภิกษุต่อๆ กันอย่างนี้ถึง ๔ รูป
ขนมตามที่ตระเตรียมไว้ก็หมดสิ้นไป นางกาณาก็ยังไม่พร้อมที่จะไปได้.
ครั้งนั้น สามีของนางกาณาก็ส่งทูตไปซ้าเป็นครั้งที่ ๒ พอครั้งที่ ๓
ส่งทูตไปพร้อมกับคาขาดว่า ถ้านางกาณาจักยังไม่ยอมมา
เราจักนาหญิงอื่นมาเป็นภรรยา แม้ตลอดวาระทั้ง ๓
นางกาณาก็ไม่พร้อมที่จะไปได้ ด้วยข้อขัดข้องนั้นแหละ
สามีของนางจึงนาหญิงอื่นมาเป็ นภรรยา นางกาณาได้ฟังเรื่องราวข่าวนั้นแล้ว
ก็ก่นแต่ร้องไห้.
- 2. 2
พระศาสดาทรงทราบเรื่องนั้น ครั้นรุ่งเช้าทรงครองผ้า ถือบาตรจีวร
ไปยังนิเวศน์ของกาณมารดา ประทับนั่งเหนืออาสนะที่จัดถวาย
แล้วตรัสถามมารดานางกาณาว่า กาณานี้ ร้องไห้เพราะเหตุไร? ครั้นทรงสดับว่า
ด้วยเหตุชื่อนี้ จึงตรัสปลอบกาณมารดา แสดงธรรมีกถา
ลุกจากอาสนะกลับพระวิหาร. ครั้งนั้น ความที่ภิกษุทั้ง ๔ รูปนั้น
รับเอาขนมที่ตระเตรียมไว้ จนเป็ นเหตุตัดรอนการไปของนางกาณา
ก็ระบือไปในหมู่ภิกษุ ครั้นวันหนึ่ง
พวกภิกษุจึงยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุ ๔ รูป
ฉันขนมที่มารดานางกาณาทอดไว้ ๓ ครั้ง ทาให้นางกาณาไปไม่ได้ เลยถูกผัวทิ้ง
ทาความโทมนัสให้บังเกิดแก่มหาอุบาสิกา.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอนั่งประชุมสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไร?
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุทั้ง ๔ เหล่านั้นกินของของกาณมารดา
แล้วทาความโทมนัสให้เกิดแก่นาง แม้ในครั้งก่อน
ก็เคยทาให้นางเกิดโทมนัสมาแล้ว ทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลช่างสลักหิน เจริญวัยแล้ว
ศึกษาศิลปะสาเร็จแล้วในนิคมแห่งหนึ่ง ณ แคว้นกาสี
ได้มีเศรษฐีมีสมบัติมากอยู่คนหนึ่ง ฝังเงินไว้ ๔๐ โกฏิ. ภรรยาของเขาตายไปแล้ว
เพราะความห่วงในทรัพย์ จึงเกิดเป็นหนู อยู่บนกองทรัพย์
ตระกูลนั้นทั้งหมดถึงความย่อยยับไปโดยลาดับ ด้วยประการฉะนี้
ผู้สืบสายก็ขาดตอน แม้บ้านนั้นก็ถูกทอดทิ้งไว้จนร้าง
ถึงความเป็นบ้านที่หมดบัญญัติ ขาดความหมาย
ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ขุดหินในบ้านเก่านั้นมาสลัก.
ฝ่ายนางหนูนั้นเที่ยวหากิน เห็นพระโพธิสัตว์บ่อยๆ ก็เกิดความรัก
คิดว่า ทรัพย์ของเรามากมาย จักฉิบหายเสียโดยไร้เหตุ
เราจักร่วมกับบุรุษนี้ใช้จ่ายทรัพย์นี้ วันหนึ่ง นางจึงคาบทรัพย์ ๑
กษาปณ์ไปสู่สานักพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์เห็นนางแล้ว
ก็ปราศรัยด้วยวาจาน่ารัก กล่าวว่า แม่คุณเอ๋ย คาบเอากษาปณ์มาทาไมเล่า?
นางตอบว่า พ่อคุณ ท่านจงรับกษาปณ์นี้ไปใช้ส่วนตนบ้าง นาเนื้อมาเผื่อฉันบ้าง
พระโพธิสัตว์รับคาแล้ว เอากษาปณ์ไปสู่พระนคร ซื้อเนื้อมาสกหนึ่งแล้ว
นามาให้นาง นางรับเอาเนื้อไปสู่ที่อยู่ของตน เคี้ยวกินตามพอใจ นับแต่นั้นมา
หนูก็ให้กษาปณ์แก่พระโพธิสัตว์ทุกวัน โดยทานองนี้แล
- 3. 3
แม้พระโพธิสัตว์ก็นาเนื้อมาให้หนูทุกวัน.
อยู่มาวันหนึ่ง แมวจับนางหนูนั้นได้
ครั้งนั้นนางหนูพูดกับมันอย่างนี้ว่า เพื่อนเอ๋ย ท่านอย่าฆ่าเราเลยนะ แมวถามว่า
เรื่องอะไรเราจะไม่ฆ่า เราหิวอยากกินเนื้อ ไม่อาจจะไว้ชีวิตเจ้าได้ นางหนูถามว่า
ก็ท่านอยากจะได้กินเนื้อเพียงวันเดียวเท่านั้น หรืออยากจะได้กินตลอดไป?
แมวตอบว่า เมื่อได้เราก็อยากได้กินตลอดไป นางหนูจึงพูดว่า ถ้าเช่นนั้น
เราจักให้เนื้อท่านตลอดไป ท่านจงปล่อยเราเถิด ทีนั้นแมวก็กาชับหนูว่า
ถ้าเช่นนั้น เจ้าอย่าลืมเสียนะ แล้วก็ปล่อยไป ตั้งแต่นั้น
นางหนูก็แบ่งเนื้อที่พระโพธิสัตว์นามาให้ตนเป็ นสองส่วน ให้แมวเสียส่วนหนึ่ง
กินเองส่วนหนึ่ง
อยู่มาวันหนึ่ง นางถูกแมวตัวอื่นจับได้อีก
นางหนูก็ต้องร้องขอให้มันตกลงทานองเดียวกัน แล้วให้ปล่อยตน ตั้งแต่นั้น
ก็ต้องแบ่งเนื้อออกเป็นสามส่วน ครั้นถูกแมวอื่นจับได้อีก
ก็คงขอร้องให้ปล่อยตนด้วยวิธีนั้นแหละ จาเดิมแต่นั้น ก็ต้องแบ่งเนื้อออกเป็น ๔
ส่วน ต่อมาถูกแมวอื่นจับได้อีก ก็ขอร้องให้ปล่อยตนด้วยวิธีนั้นอีก นับแต่นั้นมา
ก็ต้องแบ่งกินกันถึง ๕ ส่วน นางหนูกินส่วนที่ ๕ เพราะมีอาหารน้อยจึงลาบาก
ซูบผอม มีเนื้อและเลือดน้อย.
พระโพธิสัตว์เห็นนางหนูนั้นแล้ว กล่าวว่า แม่คุณเอ๋ย
ทาไมจึงซูบเซียวเหี่ยวแห้งไปเล่า? ครั้นนางหนูบอกเหตุแล้ว ก็กล่าวว่า
ทาไมไม่บอกฉัน จนป่านนี้ ฉันจักช่วยทากิจในเรื่องนี้เอง ทาให้นางหนูเบาใจแล้ว
กระทารูถ้าด้วยแก้วผลึกใส นามามอบให้ สั่งว่า แม่คุณ เจ้าจงเข้าไปสู่ถ้านี้
นอนเสียแล้วตวาดแมวที่พากันมา ด้วยวาจาที่หยาบคาย นางแมวก็เข้าถ้านอน
ครั้นแมวตัวที่หนึ่งมาหานางว่า เจ้าจงให้เนื้อแก่เรา นางหนูก็ตวาดมันว่า
ไอ้แมวชั่วตัวร้าย กูเป็นขี้ข้าหาเนื้อให้มึงหรือ จงไปกินเนื้อลูกๆ ของมึงเถิด
แมวไม่รู้ว่า นางนอนในถ้าแก้วผลึก ด้วยอานาจความโกรธ
จึงไปโดยเร็วด้วยหมายจักจับหนูให้ได้
เลยเอาทรวงอกกระแทกเข้ากับถ้าแก้วผลึก หัวใจของมันแตกทันที
ตาทั้งคู่ถลนออกมา มันสิ้นชีวิตตรงนั้นเอง แล้วล่วงไปในที่รกๆ
ข้างหนึ่งด้วยอุบายนี้ แมวทั้ง ๔ แม้แต่ละตัวๆ ต่างก็พากันสิ้นชีวิตหมด
นับแต่นั้นมา หนูก็ปลอดภัย ให้กษาปณ์ ๒-๓ กษาปณ์แก่พระโพธิสัตว์ทุกๆ วัน
ต่อมาก็ได้มอบทรัพย์ทั้งหมดให้แก่พระโพธิสัตว์เพียงผู้เดียว ด้วยอุบายอย่างนี้
ทั้งคู่มิได้ทาลายไมตรีกันจนสิ้นชีวิตแล้ว ต่างก็ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ครั้นตรัสรู้แล้ว
ตรัสพระคาถานี้ ความว่า :-
"แมวตัวหนึ่งได้หนูหรือเนื้อในที่ใด แมวตัวที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔