More Related Content
Similar to 115 อนุสาสิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
115 อนุสาสิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
อนุสาสิกชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๕. อนุสาสิกชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๑๕)
ว่าด้วยดีแต่สอนคนอื่น
(หัวหน้านกโพธิสัตว์กล่าวตาหนินางนกป่าว่า)
[๑๑๕] นางนกป่าชื่ออนุสาสิกา พร่าสอนนกเหล่าอื่นอยู่เนืองนิตย์
แต่ตนเองกลับโลภจัด จึงถูกล้อรถบดขยี้ขาดเป็น ๒ ท่อนนอนอยู่ที่หนทางใหญ่
อนุสาสิกชาดกที่ ๕ จบ
----------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
อนุสาสิกชาดก
ว่าด้วย ดีแต่สอนผู้อื่น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุณีผู้ชอบพร่าสอนรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุณีนั้นเป็ นกุลธิดานางหนึ่ง ชาวพระนครสาวัตถีบวชแล้ว
ตั้งแต่กาลที่ตนบวชแล้ว ก็มิได้ใส่ใจในสมณธรรม ติดใจในอามิส
เที่ยวไปบิณฑบาตในเอกเทศแห่งพระนคร ที่ภิกษุณีอื่นๆ ไม่พากันไป.
ครั้งนั้น พวกมนุษย์พากันถวายบิณฑบาตอันประณีตแก่เธอ
เธอถูกความอยากในรสผูกพันไว้ คิดว่า ถ้าภิกษุณีอื่นๆ
จักเที่ยวบิณฑบาตในประเทศนี้ ลาภของเราจักเสื่อมถอย
เราควรกระทาให้ภิกษุณีอื่นๆ ไม่มาถึงประเทศนี้ ดังนี้แล้ว
ไปสู่สานักของนางภิกษุณีทั้งหลาย พร่าสั่งสอนนางภิกษุณีทั้งหลายว่า
ดูก่อนแม่เจ้าทั้งหลาย ในที่ตรงโน้นมีช้างดุ มีม้าดุ มีสุนัขดุ ท่องเที่ยวอยู่
เป็นสถานที่มีอันตรายรอบด้าน แม่คุณทั้งหลายอย่าไปเที่ยวบิณฑบาตในที่นั้นเลย
ฟังคาของเธอแล้ว แม้ภิกษุณีสักรูปหนึ่งก็ไม่เหลียวคอมองดูประเทศนั้น.
ครั้นวันหนึ่ง ขณะที่เธอกาลังเที่ยวบิณฑบาต
เข้าไปสู่เรือนหลังหนึ่งโดยเร็ว แพะดุชนเอากระดูกขาหัก
พวกมนุษย์รีบเข้าไปตรวจดู ประสานกระดูกขาที่หักสองท่อนให้ติดกัน
แล้วหามเธอด้วยเตียงนาไปสู่สานักภิกษุณี. พวกภิกษุณีพากันหัวเราะเยาะว่า
ภิกษุณีรูปนี้ชอบพร่าสอนภิกษุณีรูปอื่นๆ ตนเองกลับเที่ยวไปในประเทศนั้น
จนขาหักกลับมา ด้วยเหตุที่เธอกระทาแม้นั้น ก็ปรากฏในหมู่ภิกษุไม่ช้านัก.
ครั้นวันหนึ่ง พวกภิกษุพากันกล่าวโทษของเธอในธรรมสภาว่า
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุณีผู้ชอบสอนพร่าสอนภิกษุณีอื่นๆ
ตนเองเที่ยวไปในประเทศนั้น ถูกแพะดุชนเอากระดูกหัก
- 2. 2
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุณีนั้นก็เอาแต่สั่งสอนคนอื่นๆ
แต่ตนเองไม่ประพฤติ ต้องเสวยทุกข์ตลอดกาลเป็นนิตย์ทีเดียว
แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังนี้ :-
ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกาเนิดนกป่า เจริญวัยแล้ว ได้เป็ นจ่าฝูงนก
มีนกหลายร้อยเป็นบริวาร เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์
ในกาลที่พระโพธิสัตว์อยู่ในป่าหิมพานต์นั้น
นางนกจัณฑาลตัวหนึ่งไปสู่หนทางในดงดึก (ดงดึก =
ป่าลึกเข้าไปไกล.) หาอาหารกิน นางได้เมล็ดข้าวเปลือกและถั่วเป็นต้น
ที่หล่นตกจากเกวียนในที่นั้น แล้วคิดว่า บัดนี้
เราต้องหาวิธีทาให้พวกนกเหล่าอื่นไม่ไปสู่ประเทศนี้ ดังนี้แล้ว
ให้โอวาทแก่ฝูงนกว่า
ขึ้นชื่อว่า ทางใหญ่ในดงดึกเป็ นทางมีภัยเฉพาะหน้า ฝูงสัตว์เป็ นต้นว่า
ช้าง ม้าและยวดยานที่เทียมด้วยโคดุๆ ย่อมผ่านไปมา
ถ้าไม่สามารถจะโผบินขึ้นได้รวดเร็ว ก็ไม่ควรไปในที่นั้น.
ฝูงนกตั้งชื่อให้นางว่า "แม่อนุสาสิกา"
วันหนึ่ง นางกาลังเที่ยวไปในทางใหญ่ในดงดึก
ได้ยินเสียงยานแล่นมาด้วยความเร็วอย่างยิ่ง ก็เหลียวมองดู โดยคิดว่ายังอยู่ไกล
คงเที่ยวเรื่อยไป ครั้งนั้นยานก็พลันถึงตัวนาง ด้วยความเร็วปานลมพัด
นางไม่อาจโผบินขึ้นได้ทัน ล้อทับร่างผ่านไป นกผู้เป็ นจ่าฝูงเรียกประชุมฝูงนก
ไม่เห็นนางก็กล่าวว่า นางอนุสาสิกาไม่ปรากฏ พวกเจ้าจงค้นหานาง.
ฝูงนกพากันค้นหา เห็นนางแยกออกเป็นสองเสี่ยงที่ทางใหญ่ ก็พากันแจ้งแก่จ่าฝูง
จ่าฝูงกล่าวว่า นางห้ามนกอื่นๆ แต่ตนเองเที่ยวไปในที่นั้น
จึงแยกออกเป็นสองเสี่ยง.
แล้วกล่าวคาถานี้ความว่า :-
"นางนกสาลิกาตัวใด สั่งสอนนกตัวอื่นอยู่เนืองๆ
ตัวเองมีปกติเที่ยวไปด้วยความละโมบ นางนกสาลิกาตัวนั้นถูกล้อบดแล้ว
มีปีกหักนอนอยู่" ดังนี้.
พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
นางนกสาลิกาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุณีอนุสาสิกาในครั้งนี้
ส่วนนกจ่าฝูง ได้มาเป็ น เราตถาคต ฉะนี้แล.