More Related Content
Similar to 050 ทุมเมธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
050 ทุมเมธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
ทุมเมธชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๑๐. ทุมเมธชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๕๐)
ว่าด้วยคนโง่
(พรหมทัตตกุมารโพธิสัตว์เมื่อจะประกาศเรื่องให้ควักหัวใจคนโง่ทาการบวงสรวง
เทวดา จึงกล่าวว่า)
[๕๐] การบูชายัญข้าพเจ้าได้บนไว้แล้วด้วยคนโง่ ๑,๐๐๐ คน บัดนี้
คนที่ไม่ประพฤติธรรมมีอยู่เป็นจานวนมาก เราจักบูชายัญ
ทุมเมธชาดกที่ ๑๐ จบ
---------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
เอกกนิบาตชาดก อัตถกามวรรค
๑๐. ทุมเมธชาดก ว่าด้วยคนโง่ถูกบูชายัญเพราะคนอธรรม
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภการบาเพ็ญประโยชน์แก่โลก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี.
พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี
แห่งพระราชาพระองค์นั้น. ครั้นประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว
พระประยูรญาติได้ขนานพระนามให้ว่า “พรหมทัตกุมาร”. พอมีพระชนม์ ๑๖
พรรษา ก็ได้ทรงศึกษาศิลปะในเมืองตักกสิลา ทรงเจนจบไตรเพท
และทรงสาเร็จศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ.
ต่อมาพระราชบิดาทรงพระราชทานตาแหน่งอุปราชแก่พระองค์.
ในครั้งนั้น ประชาชนในกรุงพาราณสี นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ
พากันนอบนบเทวดา ฆ่าแพะ แกะ ไก่และหมูเป็นต้นมากมาย
กระทาการบวงสรวง ด้วยดอกไม้และของหอมนานาชนิด และด้วยเนื้อและโลหิต.
พระโพธิสัตว์ทรงดาริว่า บัดนี้ ประชาราษฎร์นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ
พากันฆ่าสัตว์ มหาชนฝังใจในอธรรมถ่ายเดียวโดยมาก เราได้ราชสมบัติ
เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว จักไม่ให้สัตว์แม้สักตัวเดียวได้ลาบาก
ต้องหาอุบายไม่ให้ใครๆ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้จงได้.
อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ทรงรถเสด็จออกจากพระนคร
ทอดพระเนตรเห็นมหาชนชุมนุมกันที่ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ใครอยากได้สิ่งใดๆ
ในบรรดาลูกชาย ลูกหญิง ยศและทรัพย์เป็ นต้น
ก็พากันบนในสานักของเทวดาอันสิงอยู่ ณ ต้นไทรนั้น พระองค์จึงเสด็จลงจากรถ
- 2. 2
ทรงดาเนินเข้าไปใกล้ต้นไม้ ทรงบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ สรงสนาน
กระทาประทักษิณต้นไม้ เหมือนกับพวกที่ถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ บังคมเทวดาแล้ว
เสด็จขึ้นทรงรถกลับเข้าพระนคร.
ตั้งแต่นั้นมา ก็เสด็จไปที่ต้นไม้นั้น ทุกๆ ขณะเวลาที่ว่าง
ทรงทาการบูชา เหมือนเป็นผู้นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ ดังพรรณนามาแล้วนั่นแล.
โดยสมัยต่อมา พระราชบิดาสวรรคต พระองค์ก็ได้เสวยราชย์
ทรงเว้นอคติ ๔ ประการ ทรงประพฤติทศพิธราชธรรมเคร่งครัด
ดารงราชโดยธรรม ทรงพระดาริว่า มโนรถของเราถึงที่สุดแล้ว
เราดารงในราชสมบัติแล้ว. แต่ข้อหนึ่งที่เราคิดไว้ครั้งก่อนนั้น ก็จะต้องให้ถึงที่สุด
ในบัดนี้ พลางมีพระราชกระแสเรียกพวกอามาตย์และประชาชน มีพราหมณ์
คฤหบดีเป็นต้น มาประชุมกัน ตรัสประกาศว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
พวกท่านทราบกันไหมว่า เหตุใดเราจึงได้ราชสมบัติ?
ประชาชนพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเกล้าฯ พระเจ้าข้า.
รับสั่งถามว่า เมื่อเราบูชาต้นไทรต้นโน้นด้วยของหอมเป็นต้น
ประคองกระพุ่มมือนบไหว้อยู่ พวกท่านเคยเห็นหรือไม่เล่า?
ขอเดชะ เคยเห็น พระเจ้าข้า.
พระองค์มีพระราชดารัสต่อไปว่า ในครั้งนั้น
เราตั้งความปรารถนาไว้ว่า ถ้าได้ราชสมบัติ จักกระทาพลีกรรม
เราได้ราชสมบัตินี้ด้วยอานุภาพของเทวดานั้น บัดนี้
เราจักกระทาพลีกรรมแก่ท้าวเธอ พวกท่านอย่าชักช้าเลย
พากันเตรียมพลีกรรมแก่เทวดา เป็นการเร็วเถิด.
พวกอามาตย์เป็นต้นทูลถามว่า ขอเดชะ
พวกข้าพระพุทธเจ้าจักจัดสิ่งใดเล่า พระเจ้าข้า?
รับสั่งว่า ท่านทั้งหลาย เมื่อเราบนเทวดา เราได้อ้อนวอนไว้ว่า
ข้าพเจ้าจักฆ่าหมู่คนที่พากันประพฤติยึดถือกรรมแห่งคนทุศีล ๕
ประการมีฆ่าสัตว์เป็ นต้น และที่พากันประพฤติยึดถืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
ในรัชกาลของข้าพเจ้า แล้วจักทาพลีกรรมด้วยลาไส้และเลือดเนื้อของคนเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น พวกท่านจงตีฆ้องประกาศไปว่า พระราชาของพวกเรา
ครั้งดารงพระยศเป็ นอุปราชอยู่นั่นแล ทรงบนเทวดาไว้อย่างนี้ว่า
ถ้าทรงครองราชสมบัติ จักให้ฆ่าคนที่ปรากฏว่า ทุศีลในรัชกาลให้หมด
แล้วกระทาพลีกรรม บัดนี้ พระองค์มีพระราชประสงค์จะให้ฆ่าคนที่ประพฤติ
ยึดถือกรรมของคนทุศีล ๕ ประการ ซึ่งเป็ นคนทุศีลประมาณพันคน
แล้วให้เอาเครื่องในมีหัวใจเป็นต้นของคนเหล่านั้น
ไปทรงกระทาพลีกรรมแก่เทวดา ชาวพระนครทั้งหลายจงรู้ไว้อย่างนี้เถิด.
- 3. 3
ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงประกาศพระราชประสงค์ว่า
คราวนี้นับแต่บัดนี้ไป
เราจักต้องฆ่าคนที่ประพฤติกรรมของคนทุศีลให้ถึงพันคน
บูชายัญจึงจักพ้นจากการบน.
ได้ตรัสพระคาถานี้ ว่า :-
“ เราเข้าไปบนไว้ ถึงการบูชายัญ ด้วยคนโง่ๆ พันคน บัดนี้เล่า
เราจักต้องบูชายัญละ คนที่ประพฤติอธรรม มีมากนัก ” ดังนี้.
พวกอามาตย์ฟังพระดารัสของพระโพธิสัตว์แล้ว
ก็รับพระบรมราชโองการว่า ชอบด้วยเกล้าฯ พระเจ้าข้า.
แล้วเที่ยวตีกลองป่าวประกาศ ไปทั่วเมืองพาราณสี อันมีปริมณฑล ๑๒โยชน์.
ชาวประชาทั่วไปฟังอาญาจากการตีกลองป่าวประกาศแล้ว
จะหาคนที่ยึดถือทุศีลกรรมแม้เพียงข้อเดียว สักคนหนึ่งก็ไม่ได้.
ด้วยกุสโลบายอันแนบเนียนนี้ ตลอดเวลาที่พระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติอยู่
บุคคลที่กระทากรรมในบรรดาทุศีลกรรม ๕ ประการหรือ ๑๐ ประการ
แม้เพียงข้อเดียว ก็ไม่ปรากฏเลย.
พระโพธิสัตว์มิได้ทรงให้บุคคล แม้เพียงคนเดียวลาบาก
โปรดชาวแว่นแคว้นทั่วหน้าให้รักษาศีล. แม้พระองค์เองก็ทรงบาเพ็ญบุญ
มีการให้ทานเป็นต้น ในเวลาสิ้นพระชนม์
ก็ทรงพาบริษัทของพระองค์ไปแน่นเทวนคร ด้วยประการฉะนี้.
แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่โลก
แม้ในกาลก่อนก็ประพฤติแล้วเหมือนกัน.
ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดก ว่า
บริษัทในครั้งนั้น ได้มาเป็ น พุทธบริษัท ในบัดนี้
ส่วนพระเจ้ากรุงพาราณสีได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๑๐
-----------------------------------------------------