More Related Content
Similar to 121 กุสนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
121 กุสนาฬิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
กุสนาฬิชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๑๓. กุสนาฬิวรรค
หมวดว่าด้วยกอหญ้า
๑. กุสนาฬิชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๒๑)
ว่าด้วยเทวดาที่ต้นรุจาผูกมิตรกับเทวดาที่กอหญ้า
(รุกขเทวดาสรรเสริญมิตตธรรมของพระโพธิสัตว์ว่า)
[๑๒๑] บุคคลเสมอกัน ประเสริฐกว่ากัน หรือเลวกว่ากันก็ตาม
ก็ควรทามิตรไมตรีกันไว้ เพราะว่า มิตรเหล่านั้นเมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น
ก็พึงทาประโยชน์อันอุดมให้ได้ เหมือนเราผู้เป็นเทวดาสถิตอยู่ที่ต้นรุจา
กับเทวดาผู้สถิตอยู่ที่กอหญ้าทามิตรไมตรีกัน
กุสนาฬิชาดกที่ ๑ จบ
------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
เอกกนิบาตชาดก กุสนาฬิวรรค
๑. กุสนาฬิชาดก ว่าด้วยประโยชน์ของการผูกมิตร
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภมิตรผู้ชี้ขาดการงานของท่านอนาถบิณฑิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้
ดังนี้.
ความโดยย่อมีว่า พวกมิตรผู้คุ้นเคย
ญาติพวกพ้องของท่านอนาถบิณฑิกะ ร่วมกันห้ามปรามบ่อยๆ ว่า ท่านมหาเศรษฐี
คนผู้นี้ไม่ทัดเทียมกับท่าน โดยชาติ โคตร ทรัพย์และธัญญชาติเป็นต้น
ทั้งไม่เหมือนท่านไปได้เลย เหตุไร ท่านจึงทาความสนิทสนมกับคนผู้นี้
อย่ากระทาเลย. ฝ่ายท่านอนาถบิณฑิกะกลับพูดว่า ธรรมดา
ความสนิทสนมกันฉันท์มิตรกับคนที่ต่ากว่าก็ดี คนที่เสมอกันก็ดี คนที่สูงกว่าก็ดี
ควรกระทาทั้งนั้น แล้วไม่เชื่อถือถ้อยคาของคนพวกนั้น เมื่อจะไปบ้านส่วย
ก็ตั้งบุรุษผู้นั้นให้เป็ นผู้ดูแลสมบัติ แล้วจึงไป.
เรื่องราวทั้งหมด
พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในเรื่องกาฬกรรณี นั่นแล.
แปลกแต่ว่า ในเรื่องนี้
เมื่อท่านอนาถบิณฑิกะกราบทูลเรื่องราวในเรือนของตนแล้ว.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ธรรมดา
มิตรที่จะเป็นคนเล็กน้อยไม่มี ก็ความเป็ นผู้สามารถรักษามิตรธรรมไว้ได้
เป็นประมาณในเรื่องมิตรนี้. ธรรมดา มิตรเสมอด้วยตนก็ดี ต่ากว่าตนก็ดี
- 2. 2
ยิ่งกว่าตนก็ดี ควรคบไว้ เหตุว่า มิตรเหล่านั้นแม้ทั้งหมด
ย่อมช่วยแบ่งเบาภาระที่มาถึงตนได้ทั้งนั้น. บัดนี้
ท่านอาศัยมิตรผู้ชี้ขาดการงานของตน จึงเป็นเจ้าของขุมทรัพย์ได้สืบไป.
ส่วนโบราณกบัณฑิตอาศัยมิตรผู้ชี้ขาด จึงเป็ นเจ้าของวิมานได้ ดังนี้
อันท่านอนาถบิณฑิกะกราบทูลอาราธนา จึงทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเทวดาที่กอหญ้าคา ในอุทยานของพระราชา
ก็ในอุทยานนั้นแล มีต้นรุจมงคล อาศัยมงคลศิลา มีลาต้นตั้งตรง
ถึงพร้อมด้วยปริมณฑล กิ่งก้านและค่าคบ ได้รับการยกย่องจากราชสานัก
เรียกกันว่า ต้นสมุขกะ (ต้นไม้พูดได้? เพราะมีเทวดาสิงอยู่) บ้าง.
เทวราชผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง บังเกิดที่ต้นไม้นั้น
พระโพธิสัตว์ได้มีความสนิทสนมกับเทวราชนั้น. ครั้งนั้น
พระราชาเสด็จประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว เสาของปราสาทนั้นหวั่นไหว.
ครั้งนั้น พวกราชบุรุษพากันกราบทูลความหวั่นไหวของเสานั้นแด่พระราชา.
พระราชารับสั่งให้หาพวกนายช่างมาเฝ้ า ตรัสว่า พ่อคุณ
เสาแห่งมงคลปราสาทเสาเดียวหวั่นไหวเสียแล้ว
พวกเจ้าจงเอาเสาไม้แก่นมาต้นหนึ่ง ทาเสานั้นไม่ให้หวั่นไหวเถิด.
พวกช่างเหล่านั้น กราบทูลรับพระดารัสของพระราชาว่า ดีแล้ว
พระเจ้าข้า. แล้วพากันแสวงหาต้นไม้ที่เหมาะแก่เสานั้น ไม่พบในที่อื่น
จึงเข้าไปสู่อุทยาน เห็นต้นสมุขกะนั้นแล้ว พากันไปสานักพระราชา.
เมื่อมีพระดารัสถามว่า อย่างไรเล่า พ่อทั้งหลาย
ต้นไม้ที่เหมาะสมแก่เรานั้น พวกเจ้าเห็นแล้วหรือ? จึงกราบทูลว่า
เห็นแล้วพระเจ้าข้า ก็แต่ว่า ไม่อาจตัดต้นไม้นั้นได้.
รับสั่งถามว่า เพราะเหตุไรเล่า?
พากันกราบทูลว่า พวกข้าพระองค์ ไม่เห็นต้นไม้ในที่อื่น
พากันเข้าสู่พระอุทยาน ในพระอุทยานนั้นเล่า เว้นต้นมงคลพฤกษ์แล้ว
ก็ไม่เห็นต้นไม้อื่นๆ ดังนั้น โดยที่เป็นมงคลพฤกษ์
พวกข้าพระองค์จึงไม่กล้าตัดต้นไม้นั้น พระเจ้าข้า.
รับสั่งว่า จงพากันไปตัดเถิด ทาปราสาทให้มั่นคงเถิด เราจักตั้งต้นอื่น
เป็นมงคลพฤกษ์แทน.
พวกช่างไม้เหล่านั้นรับพระดารัส
แล้วพากันถือเครื่องพลีกรรมไปสู่อุทยาน ตกลงกันว่า จักตัดในวันพรุ่งนี้
แล้วกระทาพลีกรรมแก่ต้นไม้ เสร็จพากันออกไป.
- 3. 3
รุกขเทวดารู้เหตุนั้นแล้ว คิดว่า พรุ่งนี้ วิมานของเราจักฉิบหาย
เราจักพาพวกเด็กๆ ไปที่ไหนกันเล่า เมื่อไม่เห็นที่ควรไปได้ ก็กอดคอลูกน้อยๆ
ร่าไห้.
หมู่รุกขเทวดาที่รู้จักมักคุ้นของเทวดานั้น ก็พากันไต่ถามว่า
เรื่องอะไรเล่า? ครั้นฟังเรื่องนั้น แม้พวกตนก็มองไม่เห็นอุบายที่จะห้ามช่างไม่ได้
พากันทอดทิ้งเทวดานั้น เริ่มร้องไห้ไปตามกัน
ในสมัยนั้น พระโพธิสัตว์ดาริว่า เราจักไปเยี่ยมรุกขเทวดา จึงไปที่นั้น
ฟังเหตุนั้นแล้ว ก็ปลอบเทวดาเหล่านั้นว่า ช่างเถิด อย่ามัวเสียใจเลย.
เราจักไม่ให้ตัดต้นไม้นั้น พรุ่งนี้ เวลาพวกช่างมา
พวกท่านคอยดูเหตุการณ์ของเราเถิด.
ครั้นรุ่งขึ้น เวลาที่พวกช่างไม้พากันมา ก็แปลงตัวเป็ นกิ้งก่า
วิ่งนาหน้าพวกช่างไม้ไป เข้าไปสู่โคนของมงคลพฤกษ์ กระทาประหนึ่งว่า
ต้นไม้นั้นเป็ นโพรง ไต่ขึ้นตามไส้ของต้นไม้ โผล่ออกทางยอด นอนผงกหัวอยู่.
นายช่างใหญ่เห็นกิ้งก่านั้นแล้ว ก็เอามือตบต้นไม้นั้น
แล้วตาหนิต้นไม้ใหญ่มีแก่นทึบตลอดว่า ต้นไม้นี้มีโพรงไร้แก่น เมื่อวาน
ไม่ทันได้ตรวจถ้วนถี่ หลงทาพลีกรรมกันเสียแล้ว พากันหลีกไป.
รุกขเทวดาอาศัยพระโพธิสัตว์ คงเป็นเจ้าของวิมานอยู่ได้
เพื่อเป็นการต้อนรับ รุกขเทวดานั้น เทวดาที่รู้จักมักคุ้นจานวนมากประชุมกัน.
รุกขเทวดาดีใจว่า เราได้วิมานแล้ว.
เมื่อจะกล่าวคุณของพระโพธิสัตว์ ในท่ามกลางที่ประชุมเทวดาเหล่านั้น
จึงกล่าวว่า ดูก่อนเทพยเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย ชาวเราถึงจะเป็ นเทวดามเหศักดิ์
ก็มิได้รู้อุบายนี้ เพราะปัญญาทึบ.
ส่วนเทวดากุสนาฬิได้กระทาให้เราเป็ นเจ้าของวิมานได้
เพราะญาณสมบัติของตน.
ธรรมดามิตร ไม่เลือกว่าเท่าเทียมกัน ยิ่งกว่า หรือต่ากว่า
ควรคบไว้ทั้งนั้น มิตรแม้ทุกๆ คน อาจบาบัดทุกข์ที่บังเกิดแก่เพื่อนฝูง
ให้คงคืนตั้งอยู่ในความสุขได้ ตามกาลังของตนทีเดียว
ครั้นพรรณนามิตรธรรมแล้ว กล่าวคาถานี้ ความว่า :-
บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากัน หรือเลวกว่ากัน ก็ควรคบกันไว้
เพราะมิตรเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทาประโยชน์อันอุดมให้ได้.
ดูเราผู้เป็ นรุกขเทวดา และเทวดาผู้เกิดที่กอหญ้าคาคบกัน ฉะนั้น ดังนี้.
ความว่า ถึงจะเป็ นคนต่าต้อย ด้วยชาติเป็ นต้น คนหนึ่ง
ก็พึงกระทามิตรธรรมไว้ ท่านแสดงความหมายว่า เหตุนั้น คนเหล่านี้แม้ทั้งหมด
ควรทาให้เป็นมิตรไว้ทั้งนั้น.
ถามว่า เพราะอะไร?
- 4. 4
ตอบว่า เพราะมิตรเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น
ก็พึงทาประโยชน์อันอุดมให้ได้. ขยายความว่า ก็เพราะคนเหล่านี้ทั้งหมด
เมื่อความพิบัติเกิดขึ้นแก่สหายแล้ว ก็ช่วยแบ่งเบาภาระที่มาถึงตน
กระทาประโยชน์อย่างสูงให้ได้ คือช่วยปลดเปลื้องสหายนั้นจากทุกข์กาย
ทุกข์ใจได้ เพราะเหตุนั้น มิตรแม้จะต่าต้อยกว่า ก็ควรคบไว้ทีเดียว
จะป่วยกล่าวไปใย ถึงมิตรนอกนี้.
ในข้อนั้น มีเรื่องนี้เป็นข้ออุปมาเหมือนข้าพเจ้าเป็นเทวดาเกิดที่ไม้รุจา
และเทวดาเกิดที่กอหญ้าคา มีศักดาน้อย ต่างกระทาความสนิทสนมฉันมิตรกันไว้
ถึงในเราสองคนนั้น ข้าพเจ้าแม้จะมีศักดามาก ก็ไม่อาจบาบัดทุกข์ที่เกิดแก่ตนได้
เพราะเป็นคนเขลา ไม่ฉลาดในอุบาย แต่ได้อาศัยเทวดาผู้นี้ แม้จะมีศักดาน้อย
ก็เป็นบัณฑิต จึงพ้นจากทุกข์ได้ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น แม้คนอื่นๆ
ประสงค์จะพ้นทุกข์ ก็ไม่จาต้องคานึงถึงความเสมอกัน และความวิเศษกว่ากัน
พึงคบมิตรทั้งต่า ทั้งประณีต.
รุจาเทวดาแสดงธรรมแก่หมู่เทวดาด้วยคาถานี้ ดารงอยู่ชั่วอายุขัยแล้ว
ไปตามยถากรรมพร้อมกับกุสนาฬิเทวดา.
พระศาสดา ทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก ว่า
รุจาเทวดาในครั้งนั้น ได้มาเป็ น อานนท์
ส่วนกุสนาฬิเทวดาได้มาเป็ น เราตถาคต ฉะนี้แล.
--------------------------------------------