More Related Content
Similar to 258 มันธาตุราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
258 มันธาตุราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
มันธาตุราชชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๘. มันธาตุราชชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๕๘)
ว่าด้วยพระเจ้ามันธาตุ
(พระศาสดาครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนาแล้ว จึงได้ตรัสว่า)
[๒๒] ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์โคจรรอบภูเขาสิเนรุ
ส่องแสงสว่างไสวไปทั่วทิศมีกาหนดประมาณเท่าไร
สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยแผ่นดินอยู่ในที่มีกาหนดประมาณเท่านั้น
ล้วนเป็นทาสของพระเจ้ามันธาตุหมดทั้งนั้น
[๒๓] ขึ้นชื่อว่าความอิ่มในกามทั้งหลายไม่มีแม้ด้วยฝนกหาปณะ
กามทั้งหลายมีความยินดีน้อยแต่มีทุกข์มาก บัณฑิตรู้ชัดแล้วอย่างนี้
[๒๔] สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ยินดีในกามทั้งหลายแม้ที่เป็นทิพย์ แต่ยินดีในความสิ้นตัณหา
มันธาตุราชชาดกที่ ๘ จบ
----------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
มันธาตุราชชาดก
ว่าด้วย กามมีความสุขน้อยมีทุกข์มาก
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันจะสึกรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี
เห็นสตรีผู้หนึ่งตกแต่งประดับประดาสวยงาม จึงเกิดความกระสันรัญจวนใจ.
ลาดับนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงนาภิกษุรูปนั้นมายังธรรมสภา
แล้วแสดงแก่พระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้กระสันอยากจะสึก
พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสถามว่า ได้ยินว่า เธอกระสันอยากจะสึกจริงหรือภิกษุ.
เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ครองเรือนจักอาจทาตัณหาให้เต็มได้
เมื่อไร เพราะขึ้นชื่อว่ากามตัณหานี้ เต็มได้ยาก ประดุจมหาสมุทร
ด้วยว่าโปราณกบัณฑิตทั้งหลายครองราชย์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมหาทวีปทั้ง
๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร ได้ครองราชย์ในเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกา
มีมนุษย์เป็นบริวารเท่านั้น
- 2. 2
ทั้งครองเทวราชสมบัติในสถานที่ประทับอยู่ของท้าวสักกะ ๓๖
พระองค์ในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ ไม่สามารถเลยที่จะทากามตัณหาของตนให้เต็ม
ก็ได้ทากาลกิริยาตายไป
ก็เธอเล่า เมื่อไร อาจทากามตัณหานั้นให้เต็มได้
แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งปฐมกัป
ได้มีพระราชาพระนามว่าพระเจ้ามหาสมมตราช โอรสของพระองค์พระนามว่าโร
ชะ. โอรสของพระเจ้าโรชะ พระนามว่า วรโรชะ. โอรสของพระเจ้าวรโรชะ
พระนามว่า กัลยาณะ. โอรสของพระเจ้ากัลยาณะ พระนามว่าวรกัลยาณะ.
โอรสของพระเจ้าวรกัลยาณะ พระนามว่า อุโปสถ. โอรสของพระเจ้าอุโปสถ
พระนามว่า วรอุโปสถ. โอรสของพระเจ้าวรอุโปสถ ได้มีพระนามว่า มันธาตุ
พระเจ้ามันธาตุนั้นทรงประกอบด้วยรัตนะ ๗ และอิทธิฤทธิ์ ๔
ครองราชย์เป็ นพระเจ้าจักรพรรดิ ในเวลาที่พระองค์ทรงคู้พระหัตถ์ซ้าย
ปรบด้วยพระหัตถ์ขวาฝนรัตนะ ๗ ก็ตกลงมาประมาณเข่า
ดุจเมฆฝนทิพย์ในอากาศ พระเจ้ามันธาตุได้เป็นมนุษย์อัศจรรย์เห็นปานนี้.
ก็พระเจ้ามันธาตุนั้นทรงเล่นเป็ นเด็กอยู่แปดหมื่นสี่พันปี
ทรงครองความเป็นอุปราชอยู่แปดหมื่นสี่พันปี
ทรงครองราชย์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแปดหมื่นสี่พันปี.
ก็พระองค์ทรงมีพระชนมายุหนึ่งอสงไขย.
วันหนึ่ง พระเจ้ามันธาตุนั้นไม่สามารถทากามตัณหาให้เต็มได้
จึงทรงแสดงอาการระอาพระทัย. อามาตย์ทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ
พระองค์ทรงระอาเพราะเหตุอะไร? พระเจ้ามันธาตุตรัสว่า
เมื่อเรามองเห็นกาลังบุญของเราอยู่ ราชสมบัตินี้จักทาอะไรได้
สถานที่ไหนหนอจึงจะน่ารื่นรมย์ อามาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
เทวโลกน่ารื่นรมย์ พระเจ้าข้า.
ท้าวเธอจึงทรงพุ่งจักรรัตนะไปยังเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกาพร้อมด้ว
ยบริษัท.
ลาดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทรงถือดอกไม้และของหอมอันเป็นทิพย์
ห้อมล้อมด้วยหมู่เทพกระทาการต้อนรับ
นาพระเจ้ามันธาตุนั้นไปยังเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกา
ได้ถวายราชสมบัติในเทวโลก.
เมื่อพระเจ้ามันธาตุนั้นห้อมล้อมด้วยบริษัทของพระองค์ครองราชสมบัติอยู่ในชั้น
จาตุมมหาราชิกานั้น กาลเวลาล่วงไปช้านาน
พระองค์ไม่สามารถทาตัณหาให้เต็มในชั้นจาตุมมหาราชิกานั้นได้
จึงทรงแสดงอาการเบื่อระอา.
- 3. 3
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงทูลถามว่า ข้าแต่มหาราช
พระองค์ทรงเบื่อระอาเพราะอะไรหนอ. พระเจ้ามันธาตุตรัสว่า จากเทวโลกนี้
ที่ไหนน่ารื่นรมย์กว่า. ท้าวมหาราชทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
พวกข้าพระองค์เป็ นบริษัทผู้คอยอุปัฏฐากผู้อื่น
ขึ้นชื่อว่าเทวโลกชั้นดาวดึงส์น่ารื่นรมย์
พระเจ้ามันธาตุจึงพุ่งจักรรัตนะออกไป
ห้อมล้อมด้วยบริษัทของพระองค์ บ่ายหน้าไปยังภพดาวดึงส์.
ลาดับนั้น
ท้าวสักกะเทวราชทรงถือดอกไม้และของหอมทิพย์ห้อมล้อมด้วยหมู่เทพ
ทรงทาการต้อนรับรับพระเจ้ามันธาตุนั้น ทรงจับพระองค์ที่พระหัตถ์แล้วตรัสว่า
ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงเสด็จมาทางนี้
ในเวลาที่พระราชาอันหมู่เทพห้อมล้อมเสด็จไป
ปริณายกขุนพลพาจักรแก้วลงมายังถิ่นมนุษย์
พร้อมกับบริษัทเข้าไปเฉพาะยังนครของตนๆ.
ท้าวสักกะทรงนาพระเจ้ามันธาตุไปยังภพดาวดึงส์
ทรงทาเทวดาให้เป็น ๒ ส่วน
ทรงแบ่งเทวราชสมบัติของพระองค์กึ่งหนึ่งถวายพระเจ้ามันธาตุ.
ตั้งแต่นั้นมา พระราชา ๒ พระองค์ ทรงครองราชสมบัติ
(ในภพดาวดึงส์นั้น). เมื่อกาลเวลาล่วงไปด้วยประการอย่างนี้
ท้าวสักกะทรงให้พระชนมายุสั้นไปสามโกฏิหกหมื่นปีก็จุติ.
ท้าวสักกะพระองค์อื่นก็มาบังเกิดแทน.
แม้ท้าวสักกะพระองค์นั้นก็ครองราชสมบัติในเทวโลก แล้วก็จุติไป
โดยสิ้นพระชนมายุ. โดยอุบายนี้ ท้าวสักกะถึง ๓๖ พระองค์จุติไปแล้ว.
ส่วนพระเจ้ามันธาตุยังคงครองราชสมบัติในเทวโลกโดยร่างกายของมนุษย์นั่นเอง
.
เมื่อเวลาล่วงไปด้วยประการอย่างนี้
กามตัณหาก็ยังเกิดขึ้นแก่พระองค์โดยเหลือประมาณยิ่งขึ้น พระองค์จึงทรงดาริว่า
เราจะได้ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติในเทวโลกกึ่งหนึ่ง เราจักฆ่าท้าวสักกะเสีย
ครองราชสมบัติในเทวโลกคนเดียวเถิด ท้าวเธอไม่อาจฆ่าท้าวสักกะได้.
ก็ตัณหาคือความอยากนี้เป็นมูลรากของความวิบัติ ด้วยเหตุนั้น
อายุสังขารของท้าวเธอจึงเสื่อมไป ความชราก็เบียดเบียนพระองค์
ก็ธรรมดาร่างกายมนุษย์ย่อมไม่แตกดับในเทวโลก.
ลาดับนั้น
พระเจ้ามันธาตุนั้นจึงพลัดจากเทวโลกตกลงในพระราชอุทยาน
พนักงานผู้รักษาพระราชอุทยาน
- 4. 4
จึงกราบทูลความที่พระเจ้ามันธาตุนั้นเสด็จมาให้ราชตระกูลทราบ
ราชตระกูลเสด็จมา พากันปูลาดที่บรรทมในพระราชอุทยานนั่นเอง
พระราชาทรงบรรทมโดยอนุฏฐานไสยาศน์ อามาตย์ทั้งหลายทูลถามว่า ขอเดชะ
ข้าพระองค์ทั้งหลายจะกล่าวว่าอย่างไร เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ พระเจ้าข้า.
พระเจ้ามันธาตุตรัสว่า ท่านทั้งหลายพึงบอกข่าวสาสน์นี้แก่มหาชนว่า
พระเจ้ามันธาตุมหาราชครองราชสมบัติเป็ นพระเจ้าจักรพรรดิในมหาทวีปทั้งสี่
มีทวีปน้อยสองพันเป็ นบริวาร
ครองราชสมบัติในเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกาตลอดกาลนาน
แล้วได้ครองราชสมบัติในเทวโลก
ตามปริมาณพระชนมายุของท้าวสักกะถึง ๓๖ องค์ ยังทาตัณหา
คือความอยากให้เต็มไม่ได้เลย ได้สวรรคตไปแล้ว.
ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนี้แล้ว ก็สวรรคตเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งแล้ว
ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
พระจันทร์ พระอาทิตย์ (ย่อมเวียนรอบเขาสิเนรุราช)
ส่องรัศมีสว่างไสวไปทั่วทิศโดยที่มีกาหนดเท่าใด
สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยแผ่นดินอยู่ในที่มีกาหนดเท่านั้น
ล้วนเป็นทาสของพระเจ้ามันธาตุราชทั้งสิ้น
ความอิ่มในกามทั้งหลายย่อมไม่มี เพราะฝนคือกหาปณะ
กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก บัณฑิตย่อมรู้ชัดอย่างนี้.
ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ย่อมไม่ถึงความยินดีในกามทั้งหลาย แม้ที่เป็นทิพย์
เป็นผู้ยินดีในความสิ้นไปแห่งตัณหา.
พระศาสดา
ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ๔ แล้วทรงประชุมชาดก
ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะสึกตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
คนเป็นอันมากแม้เหล่าอื่นก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น.
พระเจ้ามันธาตุมหาราชในกาลนั้น คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามันธาตุราชชาดกที่ ๘
--------------------------------------