SlideShare a Scribd company logo
1
กุมมาสปิณฑิชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๑๐. กุมมาสปิณฑิชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๑๕)
ว่าด้วยอานิสงส์ถวายขนมกุมมาส
(พระราชาทรงอุทานบทเพลงท่ามกลางพสกนิกรว่า)
[๑๔๒] ได้ยินว่า การบารุงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ผู้เห็นธรรมอันไม่ต่าทราม มีผลานิสงส์ไม่น้อยเลย
เชิญดูผลานิสงส์แห่งก้อนขนมกุมมาสทั้งแห้งทั้งจืด
[๑๔๓] ดูเถิด ช้าง โค ม้า จานวนมากเหล่านี้ รวมทั้งทรัพย์ ธัญชาติ
ผืนปฐพีทั้งสิ้น ทั้งเหล่านารีผู้มีรูปงามเทียบด้วยนางอัปสรเหล่านี้
เป็นผลานิสงส์ของก้อนขนมกุมมาส
(พระราชเทวีกราบทูลพระราชาว่า)
[๑๔๔] ขอเดชะพระองค์ผู้องอาจประดุจพญากุญชร
ผู้เป็นใหญ่ในกุศลธรรม พระองค์ตรัสพระคาถาอยู่เนืองๆ
ขอเดชะพระองค์ผู้ผดุงแคว้นให้เจริญ หม่อมฉันขอทูลถามพระองค์
ขอพระองค์ผู้มีพระหทัยเบิกบานอย่างยิ่งตรัสบอกเถิด
(พระราชาตรัสกับพระราชเทวีว่า)
[๑๔๕] เราได้เกิดในตระกูลหนึ่งในเมืองนี้เอง เป็นคนรับจ้าง
ทางานให้คนอื่น เป็ นผู้สารวมศีล
[๑๔๖] เราออกไปทางานได้เห็นสมณะ ๔ รูป
สมบูรณ์ด้วยอาจาระและศีล เยือกเย็น ไม่มีอาสวะ
[๑๔๗] เรายังจิตให้เลื่อมใสในสมณะเหล่านั้น
นิมนต์ให้นั่งบนเครื่องลาดที่ทาด้วยใบไม้ เลื่อมใสแล้ว
ได้ถวายขนมกุมมาสแด่พุทธเจ้าทั้งหลายด้วยมือทั้ง ๒ ของตน
[๑๔๘] กุศลกรรมนั้นได้มีผลแก่เราเช่นนี้ เราได้เสวยราชสมบัตินี้
คือแผ่นดินที่ประเสริฐมั่งคั่งสมบูรณ์
(พระราชเทวีตรัสสดุดีพระราชาว่า)
[๑๔๙] พระองค์เมื่อพระราชทานให้ ก็จงเสวยเถิด อย่าได้ทรงประมาท
ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นใหญ่ในกุศลธรรม
ขอพระองค์ทรงประกาศธรรมจักรให้เป็ นไป
ขอเดชะพระราชาผู้เป็นใหญ่ในกุศลธรรม ขอพระองค์อย่าประพฤติอธรรม
จงทรงรักษาธรรมเถิด
(พระราชาตรัสกับพระราชเทวีว่า)
2
[๑๕๐] พระธิดาของพระเจ้าโกศลผู้งดงาม
เรานั้นได้ประพฤติตามทางที่พระอริยะได้ประพฤติมาแล้วนั้นอย่างสม่าเสมอ
เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นที่ชอบใจของเรา เราต้องการพบท่าน
[๑๕๑] นี่พระราชธิดาผู้แสนดีของพระเจ้าโกศล
พระนางงดงามท่ามกลางหมู่นารี เหมือนเทพอัปสร
พระนางได้กระทากรรมดีอะไรไว้ เพราะเหตุไรเล่า
พระนางจึงมีพระฉวีวรรณงดงามยิ่งนัก
(พระราชเทวีทูลว่า)
[๑๕๒] ขอเดชะจอมกษัตริย์ หม่อมฉันได้เกิดเป็ นทาสี
รับใช้ผู้อื่นแห่งตระกูลเศรษฐีอัมพัฏฐโคตร สารวมแล้ว เลี้ยงชีพโดยชอบธรรม
มีศีล ไม่เหลียวดูความชั่ว
[๑๕๓] ในกาลครั้งนั้น หม่อมฉันได้ถวายข้าว
ที่คดมาเพื่อตนแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต หม่อมฉันเองปลื้มใจ ดีใจ
กรรมของหม่อมฉันนั้นมีผลเช่นนี้
กุมมาสปิณฑิชาดกที่ ๑๐ จบ
--------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
กุมมาสปิณฑชาดก
ว่าด้วย อานิสงส์ถวายขนมกุมมาส
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภพระนางมัลลิกาเทวี จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระนางเป็ นธิดาของหัวหน้านายมาลาการคนหนึ่ง
ในนครสาวัตถี มีรูปโฉมเลอเลิศ มีปัญญามาก เวลาพระนางมีพระชนมายุ ๑๖
พรรษา วันหนึ่ง กาลังไปสวนดอกไม้พร้อมกับหญิงสาวทั้งหลาย
หยิบเอาขนมกุมมาส ๓ ก้อนวางไว้ในกระเช้าดอกไม้เดินไป.
เวลาออกไปจากพระนคร
พระนางเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งรัศมีแห่งพระสรีระ
มีพระภิกษุสงฆ์ห้อมล้อม กาลังเสด็จเข้าพระนคร
จึงน้อมก้อนขนมกุมมาสเหล่านั้นเข้าไปถวาย.
พระศาสดาทรงยื่นบาตรที่ท้าวจาตุมหาราชถวายออกรับ.
ฝ่ายพระนางวันทาพระบาทของพระตถาคตด้วยเศียรเกล้าแล้ว
ได้ยึดเอาปิติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ยืนอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง.
พระศาสดา เมื่อทรงทอดพระเนตรนาง
ได้ทรงกระทาการแย้มให้ปรากฏ.
ท่านพระอานนท์เถระจึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
3
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย
ในการแย้มสรวลของพระตถาคตเจ้า?
ลาดับนั้น พระศาสดาตรัสถึงเหตุแห่งการทรงแย้มแก่พระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์
กุมาริกาคนนี้จักได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าโกศลในวันนี้ทีเดียว
เพราะผลแห่งการถวายก้อนขนมกุมมาสเหล่านี้.
ฝ่ายนางกุมาริกาไปสวนดอกไม้แล้ว. วันนั้นเอง
พระเจ้าโกศลทรงรบกับพระเจ้าอชาตสัตรู ทรงปราชัยในการรบแล้ว
เมื่อทรงล่าถอยได้ทรงม้าต้นเสด็จมา ทรงสดับเสียงเพลงขับของนาง
ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์จึงทรงควบม้าต้นมุ่งหน้าสู่สวนนั้น.
กุมาริกาผู้ถึงพร้อมด้วยบุญ เห็นพระราชาแล้วไม่หนีเลย
มาจับเชือกบังเหียนม้าทรงไว้. พระราชาประทับนั่งบนหลังม้าทรงนั่งเอง
ตรัสถามว่า เธอมีสามีหรือยัง? เมื่อทรงทราบว่ายังไม่มีสามี
จึงได้เสด็จลงจากหลังม้าต้น ทรงอิดโรยเพราะลมและแดด
ทรงบรรทมม่อยหลับไปงีบหนึ่งบนตักของนาง แล้วให้นางนั่งบนหลังม้าทรง
มีพลนิกายแวดล้อมเสด็จเข้าพระนคร
ทรงส่งนางไปยังเรือนของผู้มีตระกูลของตน เวลาเย็น
ทรงส่งยานไปให้นาเอานางมาจากเรือนของผู้มีสกุล
ด้วยสักการะสัมมานะมากให้นั่งใกล้กองรัตนะ ทรงทาการอภิเษกแล้ว
ได้ทรงแต่งตั้งให้เป็ นอัครมเหสี.
จาเดิมแต่นั้นมา
พระนางทรงเป็ นที่โปรดปรานเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระราชา
ทรงเป็นเทพดาของผัวผู้ประกอบด้วยกัลยาณธรรม ๕
ประการมีการตื่นก่อนเป็นต้น ได้ทรงเป็นผู้ใกล้ชิด แม้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
การที่พระนางทรงถวายขนมกุมมาส ๓ ก้อนแด่พระศาสดา
แล้วได้ทรงประสบสมบัตินั้น ได้ระบือไปทั่วพระนคร.
ภายหลังอยู่มาวันหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลายพากันตั้งข้อสนทนากันขึ้นที่ธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโส
พระนางมัลลิกาเทวีทรงถวายขนม ๓ ก้อนแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยผลของการถวายขนมเหล่านั้น ทรงได้รับอภิเษกในวันนั้นเอง.
ความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ น่าอัศจรรย์จริง.
พระศาสดาเสด็จมา แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ด้วยเรื่องชื่อนี้ แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่น่าอัศจรรย์เลย
การที่พระนางมัลลิกาเทวีทรงถวายขนมกุมมาสแก่พระสัพพัญญูพุทธเจ้าพระองค์เ
4
ดียว แล้วทรงได้รับความเป็นพระมเหสีของพระเจ้าโกศล
เพราะเหตุไร? เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเป็นผู้มีพระคุณมาก
ส่วนบัณฑิตในปางก่อน ได้ถวายขนมกุมมาสจืด ไม่ผสมเกลือ
ไม่มีน้ามัน ไม่ผสมน้าอ้อยแก่พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
แล้วได้รับสิริราชสมบัติในแคว้นกาสีประมาณ ๓ โยชน์ ในอัตภาพที่ ๒
เพราะผลการถวายขนมนั้น น่าอัศจรรย์แท้ ดังนี้
แล้วได้ทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลของคนยากจนตระกูลหนึ่ง
เติบโตแล้วอาศัยเศรษฐีคนหนึ่ง ทางานรับจ้างเลี้ยงชีวิต.
อยู่มาวันหนึ่ง เขาถือขนมกุมมาส ๔ ก้อนมาจากตลาด โดยคิดว่า
ขนมเหล่านี้จักเป็ นอาหารเช้าของเรา เมื่อเดินไปทางานได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
๔ องค์กาลังเสด็จมา บ่ายพระพักตร์ไปนครพาราณสีเพื่อประโยชน์แก่ภิกษาจาร
จึงคิดว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้เสด็จไปนครพาราณสีเพื่อต้องการภิกษาจาร
เราก็มีขนมกุมมาส ๔ ก้อนนี้ ถ้ากระไรแล้ว
เราควรถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้ แล้วเข้าไปเฝ้ าท่านทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีขนมกุมมาสในมือ ๔ ก้อน
ข้าพระองค์ขอถวายขนมเหล่านี้แก่พระองค์ทั้งหลาย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระองค์ทั้งหลายจงทรงรับเถิด แม้เมื่อเป็นเช่นนี้
บุญนี้จักมีแก่ข้าพระองค์ เพื่อประโยชน์และความสุขตลอดกาลนาน.
ได้ทราบการทรงรับนิมนต์ของพระองค์ท่านแล้ว ก็ตกแต่งอาสนะ ๔ ที่
โดยพูนทรายขึ้นลาดกิ่งไม้และผ้าเปลือกไม้ไว้บนกองทรายเหล่านั้น
นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้ประทับนั่งตามลาดับแล้ว
เอากระทงใบไม้ตักน้ามาหลั่งทักขิโณทก วางขนมกุมาส ๔ ก้อนลงในบาตร ๔ ใบ
นมัสการแล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ด้วยผลแห่งการถวายขนมกุมมาสเหล่านั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดในเรือนคนจน
ขอจงอย่ามีเลย
ขอให้การถวายทานนี้จงเป็นปัจจัยแห่งการบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ.
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็เสวยทันที ในที่สุดแห่งการเสวย
ทรงทาอนุโมทนาแล้ว ได้ทรงเหาะไปสู่เงื้อมเขานันทมูลนั่นเอง.
พระโพธิสัตว์ประคองอัญชลี
แล้วเอาปิติที่ไปในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็ นอารมณ์
พอพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นละสายตาไปแล้ว ก็ไป ณ ที่ทางานของตน,
แม้ท่านทากรรมเพียงเท่านี้ แต่ราลึกถึงทานนั้นตลอดอายุถึงแก่กรรมแล้ว
ก็ถือกาเนิดในพระอุทรของพระอัครมเหสี ของพระเจ้าพาราณสี.
5
พระญาติทั้งหลายได้ถวายพระนามว่า พรหมทัตกุมาร.
ท้าวเธอ จาเดิมแต่เวลาที่ตนเสด็จดาเนินไปด้วยพระบาท
ทรงเห็นกิริยาอาการของตนในชาติก่อนปรากฏชัดด้วยความรู้ระลึกชาติได้
เหมือนเห็นเงาหน้าในกระจกเงาที่ใสว่า เราได้เป็ นลูกจ้างในนครนี้นั่นเอง
เมื่อเดินไปทางานได้ถวายขนมกุมมาส ๔ ก้อนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
ได้ถือกาเนิดในที่นี้ เพราะผลของกรรมนั้น.
ท้าวเธอทรงเจริญวัย แล้วเสด็จไปยังนครตักกสิลา
ทรงเรียนศิลปะทุกอย่าง แล้วเสด็จกลับมา
ทรงแสดงศิลปะที่ทรงศึกษามาแล้วแก่พระราชบิดา
แล้วพระราชบิดาทรงพอพระราชหฤทัย ทรงสถาปนาไว้ในตาแหน่งอุปราช.
ในกาลต่อมาโดยสิ้นรัชกาลของพระราชบิดา
ก็ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ.
ลาดับนั้น
อามาตย์ทั้งหลายพากันนาพระราชธิดาของพระเจ้าโกศลผู้ทรงเลอโฉม
มาถวายให้เป็นพระอัครมเหสีของพระองค์. ก็ในวันฉัตรมงคลของพระองค์
คนทั้งหลายได้พากันตบแต่งพระนครทั้งนครให้เหมือนเทพนครก็ปานกัน.
พระองค์เสด็จเลียบพระนคร แล้วเสด็จขึ้นปราสาทที่ตบแต่ง
แล้วเสด็จขึ้นพระราชบัลลังก์ ที่ยกเศวตฉัตรขึ้นไว้ ณ ท่ามกลางชั้นที่กว้างใหญ่
ประทับนั่งแล้ว ทอดพระเนตรพสกนิกรทั้งหลาย
ที่พากันยืนเฝ้ าด้านหนึ่งเป็ นอามาตย์ ด้านหนึ่งเป็ นคหบดี
มีพราหมณ์คหบดีเป็นต้น ผู้มีสมบัติต่างๆ กัน มีความรุ่งเรืองสุกใสด้วยสิริวิลาส
ด้านหนึ่งเป็ นประชาชนชาวกรุง มีมือถือเครื่องบรรณาการนานาชนิด
ด้านหนึ่งเป็ นคณะหญิงฟ้ อนจานวนหมื่นหกพันนาง
ปานประหนึ่งสาวอัปสรผู้ตบแต่งแล้ว ฉะนั้น
และสิริราชสมบัตินี้เป็นที่รื่นรมย์พระทัยยิ่งนัก
ทรงราลึกถึงกุศลกรรมที่ตนบาเพ็ญไว้ในปางก่อนแล้ว
ทรงราลึกถึงพระคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายว่า
สิริสมบัติแม้ทั้งหมดนี้ คือ ห่อทองห่อนี้ ๑ ดอกไม้ทอง ๑ เศวตฉัตร ๑
ช้างม้าและรถที่เป็นราชพาหนะเหล่านี้ จานวนหลายพัน ๑
ห้องคลังที่เต็มด้วยแก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น ๑
แผ่นดินใหญ่ที่เต็มไปด้วยธัญชาตินานาชนิด ๑
เหล่านารีที่เทียบเคียงกับสาวอัปสร ๑
เป็นสมบัติของเรา ไม่ใช่ของคนอื่น
แต่เป็นสิ่งที่อาศัยการถวายขนมกุมมาส ๔ ก้อนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔
องค์นั่นเอง สมบัตินั้นเราได้มาเพราะอาศัยพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น
6
ดังนี้แล้วได้กระทากรรมของตนให้ปรากฏแล้ว.
เมื่อพระองค์ทรงราลึกถึงผลกรรมนั้นแล้ว
พระสรีระทั้งสิ้นเต็มเปี่ยมไปด้วยปิติ.
พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยชุ่มเย็นด้วยปิติ.
เมื่อทรงขับเพลงที่ทรงอุทานออกมาที่ท่ามกลางมหาชน ได้ตรัสคาถา ๒
คาถาว่า :-
ได้ยินว่า การปรนนิบัติพระอโนมทัสสีปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
มีผลหาน้อยไม่ เชิญดูผลของการถวายก้อนขนมกุมมาสที่แห้งและมีรสจืดชืดเถิด
โปรดดูผลแห่งการถวายก้อนขนมกุมมาส
ที่เป็นเหตุให้เรามีช้างโคม้าทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย ทั้งแผ่นดินทั้งสิ้น
และนางนารีเหล่านี้ที่เปรียบด้วยนางอัปสร
เชิญดูผลของการถวายก้อนขนมกุมมาสเถิด.
ทักขิณาทานที่ทายกกาหนดคุณของสมณะพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีคุณแล้
ว ยังจิตให้เลื่อมใส ยังเจตนาทั้ง ๓ ของผู้มุ่งหวังการเกิดผลให้ผ่องแผ้ว
แล้วจึงถวาย ชื่อว่ามีผลน้อยไม่มี
มีแต่จะอานวยมหาสมบัติให้ในที่ที่เกิดแล้วเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ในข้อนี้ จึงมีคาที่ท่านกล่าวรับรองไว้ว่า :-
เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว ทักขิณาที่ถวายแล้วในพระตถาคตเจ้า
ในพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือสาวกของพระองค์ก็ตาม ชื่อว่า มีผลน้อยไม่มี.
แต่เพื่อแสดงถึงเนื้อความนั้น ควรนาเรื่องวิมานวัตถุทั้งหลายมาสาธก
มีอาทิอย่างนี้ว่า :-
ดิฉันได้ถวายน้านมแก่ภิกษุผู้เดินไปบิณฑบาต
เชิญชมวิมานของดิฉันนั้นเถิด ดิฉันเป็ นนางอัปสรสาวสวรรค์ ผู้มีผิวพรรณน่ารัก
ดิฉันมีนางอัปสรพันหนึ่งเป็ นบริวาร เชิญดูผลวิบากของบุญทั้งหลายเถิด
ด้วยผลบุญนั้น ผิวพรรณของดิฉันจึงเป็ นเช่นนี้ ด้วยผลบุญนั้น
สิ่งนี้จึงสาเร็จแก่ดิฉัน โภคทั้งหลายไม่ว่าชนิดไหน
ซึ่งเป็ นที่รักเป็ นที่พอใจเกิดขึ้นแก่ดิฉันด้วยผลบุญนั้น
ดิฉันจึงมีอานุภาพรุ่งโรจน์อย่างนี้ และผิวพรรณของดิฉันเปล่งรัศมีไปทั่วทุกทิศ.
และเพราะเหตุนั้นเอง
พระศาสดา เมื่อตรัสพระสูตรในอิติวุตตกะ จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเป็นเช่นนี้
สัตว์ทั้งหลายก็ควรรู้วิบากของการแจกจ่ายทาน ดังที่เราตถาคตรู้ เพราะฉะนั้น
คนทั้งหลายยังไม่ได้ให้ ก็ไม่ควรบริโภค
และไม่ควรให้ความตระหนี่ที่เป็นมลทินครอบงาจิตใจของพวกเขาตั้งอยู่.
ทั้งยังไม่ได้แจกจ่าย แม้จากคาข้าวคาสุดท้าย
7
คาข้าวคาที่กินเสร็จของพวกเขาก็ไม่ควรบริโภค ถ้าพวกเขาพึงมีปฏิคาหก.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่
สัตว์ทั้งหลายไม่รู้วิบากของการแจกจ่ายทานอย่างนี้ เหมือนที่เราตถาคตรู้ ฉะนั้น
สัตว์ทั้งหลายยังไม่ให้ก็บริโภค
และความตระหนี่ที่เป็นมลทินก็ครอบงาจิตใจพวกเขาตั้งอยู่.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงมีปิติปราโมทย์เกิดขึ้นในวันฉัตรมงคลของตน
จึงทรงร้องเพลงพระราชอุทาน ด้วยคาถา ๒ คาถาเหล่านี้. จาเดิมแต่นั้นมา
เหล่าหญิงฟ้ อนของพระโพธิสัตว์พากันร้องเพลงนั้นโดยคิดว่า
เป็นเพลงที่พระราชาทรงโปรด
คือเพลงพระราชนิพนธ์และคนธรรพ์ที่เป็นนักฟ้ อนทั้งหลายเป็ นต้นที่เหลือก็ดี
คนภายในเมืองก็ดี คนที่อยู่ภายในพระนครทั้งหลายก็ดี
คนที่อยู่ภายนอกพระนครทั้งหลายก็ดี พากันร้องเพลงนั้นเหมือนกัน
ที่ร้านเครื่องดื่มภัตตาคารบ้าง ที่บริเวณชุมชนบ้าง โดยคิดว่า
เป็นเพลงที่พระราชาของพวกเราทรงโปรด.
เมื่อเวลาผ่านไปนานแล้วอย่างนี้
พระมเหสีได้มีพระราชประสงค์จะทรงทราบเนื้อร้องของเพลงนั้น
แต่ไม่กล้าทูลถามพระมหาสัตว์.
ต่อมาวันหนึ่ง
พระราชาทรงเลื่อมใสในคุณงามความดีอย่างหนึ่งของพระนาง จึงตรัสว่า
น้องนางเอ๋ย ฉันจะให้พรแก่เธอ ขอให้เธอจงรับพร.
พระนางจึงทูลว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
หม่อมฉันขอรับพระราชทานพระพร
บรรดาช้างม้าเป็นต้น เราจะให้อะไรแก่เธอ
ข้าแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ไม่มีอะไรที่หม่อมฉันไม่มี
เพราะอาศัยเสด็จพี่ หม่อมฉันไม่มีความต้องการสิ่งเหล่านั้น
ถ้าหากเสด็จพี่มีพระราชประสงค์จะพระราชทานพระพร
ขอจงตรัสบอกเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์ พระราชทานหม่อมฉันเถิด.
น้องนาง เธอจะมีประโยชน์อะไรด้วยพรนี้ เธอจงรับเอาพรอื่นเถิด.
ขอเดชะพระอาชญาไม่พ้นเกล้า หม่อมฉันไม่มีความต้องการอย่างอื่น
ต้องการเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์อย่างเดียว.
น้องนาง ดีแล้ว เราจักบอกให้ แต่เราจะไม่บอกแก่เธอคนเดียวในที่ลับ
จักให้ตีกลองป่าวร้องไปในนครพาราณสี ประมาณ ๑๒ โยชน์
ให้สร้างรัตนบัลลังก์ที่พระทวารหลวง
ให้ลาดรัตนบัลลังก์ห้อมล้อมด้วยชาวนครทั้งหลาย มีอามาตย์และพราหมณ์เป็ นต้น
และหญิงหมื่นหกพันนาง นั่งบนรัตนบัลลังก์ ท่ามกลางคนเหล่านั้น แล้วบอก.
8
พระนางทูลรับว่า ดีแล้ว เพคะ.
พระราชาทรงให้ทาอย่างนั้นแล้ว มีหมู่มหาชนแวดล้อม
เหมือนท้าวสักกะเทวราชมีหมู่เทวดาห้อมล้อม ฉะนั้น
แล้วเสด็จประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์.
ฝ่ายพระราชเทวีทรงประดับประดาด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง
ตั้งพระภัทรบิฐทอง ทรงชาเลืองหางพระเนตรดูที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วประทับ ณ
ที่ตามความเหมาะสม ทูลว่า ข้าแต่เสด็จพี่
ขอเสด็จพี่จงตรัสบอกเนื้อร้องของเพลงมงคลที่เสด็จพี่ปลื้มพระทัย
แล้วทรงขับร้องแก่หม่อมฉันให้ชัดแจ้ง
เหมือนให้พระจันทร์โผล่ขึ้นบนท้องฟ้ าก่อน ฉะนั้น
แล้วทูลคาถาที่ ๓ ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงทาความยิ่งใหญ่ เพราะกุศลธรรม
พระองค์ตรัสคาถาทรงเพลงเสมอๆ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพัฒนารัฐ
หม่อมฉันขอทูลถามพระองค์
ขอพระองค์ผู้มีพระราชหฤทัยประกอบด้วยปิติอย่างแรงกล้า
โปรดบอกหม่อมฉันเถิด.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์
เมื่อจะทรงทาเนื้อความของคาถาทั้งหลายให้แจ่มชัดแก่พระนาง จึงได้ภาษิตคาถา
๔ คาถาว่า :-
เราได้เกิดในตระกูลหนึ่งในนครนี้นั่นเอง
ได้เป็นลูกจ้างทางานให้คนอื่น แต่มีสีลสังวร เราออกไปทางานได้เห็นสมณะ ๔
รูปผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและอาจาระ เป็นผู้เยือกเย็น ไม่มีอาสวะ
ยังจิตให้เลื่อมใสในท่านเหล่านั้นแล้ว ได้ให้ท่านนั่งบนอาสนะที่ปูด้วยใบไม้
เลื่อมใสแล้ว
ได้ถวายขนมกุมมาสแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยมือของตนเอง.
ผลของกุศลกรรมนั้นของเรานี้เป็นเช่นนี้
คือเราได้เสวยราชสมบัตินี้ที่มีแผ่นดินอุดมสมบูรณ์กว้างขวาง.
เมื่อพระมหาสัตว์บอกผลกรรมของตน โดยพิสดารอย่างนี้แล้ว
พระเทวีครั้นทรงสดับแล้ว ทรงมีพระทัยเลื่อมใส
เมื่อจะทรงทาการสดุดีพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่มหาราช
ถ้าว่าพระองค์ทรงทราบผลทานโดยประจักษ์อย่างนี้แล้วไซร้
ตั้งแต่บัดนี้เป็ นต้นไป พระองค์ทรงได้ก้อนข้าวก้อนหนึ่งแล้ว
ต้องถวายแก่สมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรมนั้นแหละ จึงจะเสวย ดังนี้แล้ว
ได้ทูลคาถานี้ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็ นอธิบดีในเพราะกุศลธรรม
9
ขอพระองค์จงทรงพระราชทานก่อนจึงเสวย ขอพระองค์อย่าทรงประมาท
ทรงหมุนล้อ คือพระธรรมเถิด
ข้าแต่มหาราชผู้ทรงเป็ นอธิบดีในเพราะกุศลธรรม
ขอพระองค์อย่าได้ทรงดารงอยู่ในอธรรม โปรดรักษาทศพิธราชธรรมไว้เถิด.
พระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงรับพระดารัสของพระนาง จึงตรัสคาถานี้ว่า :-
ดูก่อนพระธิดาของพระเจ้าโกศลผู้เลอโฉม เรานั้นจักประพฤติตามทาง
ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายประพฤติมาแล้ว เสมอๆ นั้นนั่นเอง
พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นที่พอใจของเรา เราต้องการจะได้เห็นท่าน.
มีคาอธิบายไว้ว่า
ดูก่อนพระธิดาของพระเจ้าปัสเสนผู้เจริญ เรานั้นไม่ทาความอิ่มใจว่า
เราถวายทานแล้ว จักประพฤติตามทาง
คือทานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายประพฤติแล้วบ่อยๆ นั้นนั่นเอง.
ด้วยว่าพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นที่ชอบใจ คือน่าทัศนาของเรา
เพราะเป็นทักขิไณยบุคคลผู้ล้าเลิศ เราประสงค์จะเห็นท่านเหล่านั้นนั่นแหละ
เพราะต้องการจะถวายจีวรเป็ นต้น.
ก็แหละพระราชา ครั้นตรัสคานี้แล้ว ทรงตรวจดูสมบัติของพระเทวี
เมื่อตรัสถามว่า ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ
เราบอกกุศลกรรมของตนในภพก่อนอย่างพิสดารแก่เธอแล้ว
แต่ในท่ามกลางหญิงเหล่านี้ ไม่มีหญิงแม้แต่คนเดียวที่เช่นกับเธอ โดยรูปร่าง
หรือโดยเยื้องกราย และกิริยาเสน่หาของหญิง เธอนั้นทากรรมอะไรไว้
จึงได้รับสมบัตินี้ดังนี้
จึงได้ตรัสคาถาซ้าว่า :-
ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ ชาวโกศลคนสวยงาม
เธออุปมาเหมือนสาวอัปสร สวยงามในท่ามกลางหมู่นารี
เหมือนพระเทพเทวีของท้าวสักกเทวราชก็ปานกัน เธอได้ทาความดีอะไรไว้
เพราะเหตุอะไร เธอจึงมีผิวพรรณงาม?
คาถานั้น มีเนื้อความว่า
ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ ชาวโกศลคนสวยงาม
คือผู้เป็นพระราชธิดาคนดีของพระเจ้าโกศล เธออุปมาดังสาวอัปสร โดยรูปสมบัติ
สวยงามเหลือเกิน ในท่ามกลางหมู่นารีนี้
เหมือนเทพธิดาตนใดตนหนึ่งของท้าวสักกเทวราชในสรวงสวรรค์ ในสมัยก่อน
เธอได้ทากรรมดีงามชื่ออะไรไว้ เพราะเหตุอะไร เธอจึงมีผิวพรรณงามอย่างนี้.
ลาดับนั้น พระราชเทวีนั้น เมื่อจะทูลบอกกรรมดีในภพก่อน
ด้วยพระญาณที่ทรงระลึกชาติได้ จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถาที่เหลือว่า :-
ข้าแต่พระมหากษัตริย์ หม่อมฉันได้เป็นทาสี
10
ผู้รับใช้ผู้อื่นของตระกูลกุฎุมพี เป็ นผู้สารวมระวัง เลี้ยงชีพโดยชอบธรรม มีศีล
ไม่พบเห็นบาป. ในครั้งนั้น หม่อมฉันมีจิตเลื่อมใส ได้สารวมใจ
ถวายภัตตาหารที่เขายกให้เป็นส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
ผู้กาลังเดินไปบิณฑบาต ผลแห่งกรรมนั้นของหม่อมฉัน จึงเป็ นเช่นนี้.
ได้ทราบมาว่า แม้พระราชเทวีนั้นก็ทรงระลึกชาติได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น พระนางจึงได้ทูลพระราชา
โดยทรงกาหนดด้วยพระญาณที่ทรงระลึกชาติของตนได้นั่นเอง.
มีคาอธิบายว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อก่อน
หม่อมฉันเป็ นทาสีของตระกูลกุฎุมพีตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ในนครสาวัตถี
ถือเอาภัตตาหารส่วนที่ได้แล้วเดินออกไป เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
กาลังทรงดาเนินไปบิณฑบาต ยังความยินดีของตนให้ห่อเหี่ยวลง
ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม มีความสารวมระวังเป็นต้น เชื่อผลของกรรมอยู่
จึงได้ถวายภัตตาหารนั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น.
หม่อมฉันนั้นดารงอยู่จนตลอดอายุถึงแก่กรรมแล้ว
ได้ถือกาเนิดในพระอุทรของพระมเหสีของพระเจ้าโกศล ในนครสาวัตถีนั้น บัดนี้
กาลังบาเรอบาทของพระองค์ เสวยสมบัติเห็นปานนี้
ผลกรรมของหม่อมฉันนั้นเป็ นอย่างนี้ คือเช่นนี้.
ในเรื่องนั้น
เพื่อแสดงถึงความที่ทานที่บุคคลถวายแล้วแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยคุณความดีว่ามี
ผลมาก ควรอ้างคาถามาให้พิสดาร มีอาทิว่า :-
บุญอันล้าเลิศย่อมเจริญ แก่ชนทั้งหลายผู้เลื่อมใสแล้ว
ในบุคคลผู้ล้าเลิศแล อายุวรรณะ ยศ เกียรติ ความสุขและกาลังอันล้าเลิศ ก็เจริญ.
ผู้มีปัญญา ผู้ให้ของอันล้าเลิศ ตั้งมั่นแล้วในธรรมอันล้าเลิศ เป็ นภูต
คือเทวดาก็ตาม มนุษย์ก็ตามผู้ถึงความล้าเลิศแล้วย่อมบันเทิงใจ
นี่เป็ นขุมทรัพย์ที่อานวยสมบัติ ทุกอย่างแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.
พระราชาและพระมเหสีทั้ง ๒ พระองค์นั้น
ครั้นตรัสกรรมเก่าโดยพิสดารด้วยประการอย่างนี้แล้ว จาเดิมแต่นั้นมา
ทรงให้สร้างศาลา ๖ แห่ง คือที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ที่กลางพระนคร ๑ แห่ง
ที่ประตูพระราชวัง ๑ แห่ง ทรงกระทาชมพูทวีปทั้งสิ้นให้กระฉ่อน
ยังมหาทานให้เป็นไป ทรงรักษาศีล รักษาอุโบสถ ในอวสานแห่งพระชนม์ชีพ
ได้ทรงมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ทรงประชุมชาดกไว้ว่า
11
พระราชเทวีในครั้งนั้น ได้แก่ มารดาพระราหุล
ส่วนพระราชา ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุมมาสปิณฑชาดกที่ ๑๐
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 415 กุมมาสปิณฑิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

258 มันธาตุราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
258 มันธาตุราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...258 มันธาตุราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
258 มันธาตุราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
159 โมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
159 โมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx159 โมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
159 โมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
333 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
333 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx333 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
333 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
306 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
306 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx306 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
306 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
215 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ร.docx
215 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ร.docx215 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ร.docx
215 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ร.docxmaruay songtanin
 
360 สุสันธีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
360 สุสันธีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....360 สุสันธีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
360 สุสันธีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdfmaruay songtanin
 
455 มาตุโปสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
455 มาตุโปสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...455 มาตุโปสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
455 มาตุโปสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
๑๒. ทุติยปติพพตาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๒. ทุติยปติพพตาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๑๒. ทุติยปติพพตาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๒. ทุติยปติพพตาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...maruay songtanin
 
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
457 ธัมมเทวปุตตชา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
457 ธัมมเทวปุตตชา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...457 ธัมมเทวปุตตชา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
457 ธัมมเทวปุตตชา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
๑๘. ทาสีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๑๘. ทาสีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๑๘. ทาสีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๑๘. ทาสีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....maruay songtanin
 
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf
(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf
(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdfmaruay songtanin
 

Similar to 415 กุมมาสปิณฑิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

258 มันธาตุราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
258 มันธาตุราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...258 มันธาตุราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
258 มันธาตุราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
285 มณิสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
159 โมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
159 โมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx159 โมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
159 โมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
176 กฬายมุฏฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
333 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
333 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx333 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
333 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
306 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
306 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx306 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
306 สุชาตาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
429 มหาสุวราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
215 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ร.docx
215 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ร.docx215 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ร.docx
215 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]ร.docx
 
360 สุสันธีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
360 สุสันธีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....360 สุสันธีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
360 สุสันธีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
(๑๒) พระอานันทเถราปทาน มจร.pdf
 
455 มาตุโปสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
455 มาตุโปสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...455 มาตุโปสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
455 มาตุโปสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
๑๒. ทุติยปติพพตาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๒. ทุติยปติพพตาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...๑๒. ทุติยปติพพตาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๒. ทุติยปติพพตาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
 
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
166 อุปสาฬหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
457 ธัมมเทวปุตตชา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
457 ธัมมเทวปุตตชา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...457 ธัมมเทวปุตตชา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
457 ธัมมเทวปุตตชา พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
๑๘. ทาสีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๑๘. ทาสีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๑๘. ทาสีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๑๘. ทาสีวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
 
(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf
(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf
(๒๒) พระเขมาเถรี มจร.pdf
 

More from maruay songtanin

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfmaruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

415 กุมมาสปิณฑิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 กุมมาสปิณฑิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๑๐. กุมมาสปิณฑิชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๑๕) ว่าด้วยอานิสงส์ถวายขนมกุมมาส (พระราชาทรงอุทานบทเพลงท่ามกลางพสกนิกรว่า) [๑๔๒] ได้ยินว่า การบารุงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เห็นธรรมอันไม่ต่าทราม มีผลานิสงส์ไม่น้อยเลย เชิญดูผลานิสงส์แห่งก้อนขนมกุมมาสทั้งแห้งทั้งจืด [๑๔๓] ดูเถิด ช้าง โค ม้า จานวนมากเหล่านี้ รวมทั้งทรัพย์ ธัญชาติ ผืนปฐพีทั้งสิ้น ทั้งเหล่านารีผู้มีรูปงามเทียบด้วยนางอัปสรเหล่านี้ เป็นผลานิสงส์ของก้อนขนมกุมมาส (พระราชเทวีกราบทูลพระราชาว่า) [๑๔๔] ขอเดชะพระองค์ผู้องอาจประดุจพญากุญชร ผู้เป็นใหญ่ในกุศลธรรม พระองค์ตรัสพระคาถาอยู่เนืองๆ ขอเดชะพระองค์ผู้ผดุงแคว้นให้เจริญ หม่อมฉันขอทูลถามพระองค์ ขอพระองค์ผู้มีพระหทัยเบิกบานอย่างยิ่งตรัสบอกเถิด (พระราชาตรัสกับพระราชเทวีว่า) [๑๔๕] เราได้เกิดในตระกูลหนึ่งในเมืองนี้เอง เป็นคนรับจ้าง ทางานให้คนอื่น เป็ นผู้สารวมศีล [๑๔๖] เราออกไปทางานได้เห็นสมณะ ๔ รูป สมบูรณ์ด้วยอาจาระและศีล เยือกเย็น ไม่มีอาสวะ [๑๔๗] เรายังจิตให้เลื่อมใสในสมณะเหล่านั้น นิมนต์ให้นั่งบนเครื่องลาดที่ทาด้วยใบไม้ เลื่อมใสแล้ว ได้ถวายขนมกุมมาสแด่พุทธเจ้าทั้งหลายด้วยมือทั้ง ๒ ของตน [๑๔๘] กุศลกรรมนั้นได้มีผลแก่เราเช่นนี้ เราได้เสวยราชสมบัตินี้ คือแผ่นดินที่ประเสริฐมั่งคั่งสมบูรณ์ (พระราชเทวีตรัสสดุดีพระราชาว่า) [๑๔๙] พระองค์เมื่อพระราชทานให้ ก็จงเสวยเถิด อย่าได้ทรงประมาท ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นใหญ่ในกุศลธรรม ขอพระองค์ทรงประกาศธรรมจักรให้เป็ นไป ขอเดชะพระราชาผู้เป็นใหญ่ในกุศลธรรม ขอพระองค์อย่าประพฤติอธรรม จงทรงรักษาธรรมเถิด (พระราชาตรัสกับพระราชเทวีว่า)
  • 2. 2 [๑๕๐] พระธิดาของพระเจ้าโกศลผู้งดงาม เรานั้นได้ประพฤติตามทางที่พระอริยะได้ประพฤติมาแล้วนั้นอย่างสม่าเสมอ เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นที่ชอบใจของเรา เราต้องการพบท่าน [๑๕๑] นี่พระราชธิดาผู้แสนดีของพระเจ้าโกศล พระนางงดงามท่ามกลางหมู่นารี เหมือนเทพอัปสร พระนางได้กระทากรรมดีอะไรไว้ เพราะเหตุไรเล่า พระนางจึงมีพระฉวีวรรณงดงามยิ่งนัก (พระราชเทวีทูลว่า) [๑๕๒] ขอเดชะจอมกษัตริย์ หม่อมฉันได้เกิดเป็ นทาสี รับใช้ผู้อื่นแห่งตระกูลเศรษฐีอัมพัฏฐโคตร สารวมแล้ว เลี้ยงชีพโดยชอบธรรม มีศีล ไม่เหลียวดูความชั่ว [๑๕๓] ในกาลครั้งนั้น หม่อมฉันได้ถวายข้าว ที่คดมาเพื่อตนแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต หม่อมฉันเองปลื้มใจ ดีใจ กรรมของหม่อมฉันนั้นมีผลเช่นนี้ กุมมาสปิณฑิชาดกที่ ๑๐ จบ -------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา กุมมาสปิณฑชาดก ว่าด้วย อานิสงส์ถวายขนมกุมมาส พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระนางมัลลิกาเทวี จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. ความพิสดารว่า พระนางเป็ นธิดาของหัวหน้านายมาลาการคนหนึ่ง ในนครสาวัตถี มีรูปโฉมเลอเลิศ มีปัญญามาก เวลาพระนางมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา วันหนึ่ง กาลังไปสวนดอกไม้พร้อมกับหญิงสาวทั้งหลาย หยิบเอาขนมกุมมาส ๓ ก้อนวางไว้ในกระเช้าดอกไม้เดินไป. เวลาออกไปจากพระนคร พระนางเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งรัศมีแห่งพระสรีระ มีพระภิกษุสงฆ์ห้อมล้อม กาลังเสด็จเข้าพระนคร จึงน้อมก้อนขนมกุมมาสเหล่านั้นเข้าไปถวาย. พระศาสดาทรงยื่นบาตรที่ท้าวจาตุมหาราชถวายออกรับ. ฝ่ายพระนางวันทาพระบาทของพระตถาคตด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้ยึดเอาปิติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ยืนอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. พระศาสดา เมื่อทรงทอดพระเนตรนาง ได้ทรงกระทาการแย้มให้ปรากฏ. ท่านพระอานนท์เถระจึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
  • 3. 3 ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ในการแย้มสรวลของพระตถาคตเจ้า? ลาดับนั้น พระศาสดาตรัสถึงเหตุแห่งการทรงแย้มแก่พระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ กุมาริกาคนนี้จักได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าโกศลในวันนี้ทีเดียว เพราะผลแห่งการถวายก้อนขนมกุมมาสเหล่านี้. ฝ่ายนางกุมาริกาไปสวนดอกไม้แล้ว. วันนั้นเอง พระเจ้าโกศลทรงรบกับพระเจ้าอชาตสัตรู ทรงปราชัยในการรบแล้ว เมื่อทรงล่าถอยได้ทรงม้าต้นเสด็จมา ทรงสดับเสียงเพลงขับของนาง ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์จึงทรงควบม้าต้นมุ่งหน้าสู่สวนนั้น. กุมาริกาผู้ถึงพร้อมด้วยบุญ เห็นพระราชาแล้วไม่หนีเลย มาจับเชือกบังเหียนม้าทรงไว้. พระราชาประทับนั่งบนหลังม้าทรงนั่งเอง ตรัสถามว่า เธอมีสามีหรือยัง? เมื่อทรงทราบว่ายังไม่มีสามี จึงได้เสด็จลงจากหลังม้าต้น ทรงอิดโรยเพราะลมและแดด ทรงบรรทมม่อยหลับไปงีบหนึ่งบนตักของนาง แล้วให้นางนั่งบนหลังม้าทรง มีพลนิกายแวดล้อมเสด็จเข้าพระนคร ทรงส่งนางไปยังเรือนของผู้มีตระกูลของตน เวลาเย็น ทรงส่งยานไปให้นาเอานางมาจากเรือนของผู้มีสกุล ด้วยสักการะสัมมานะมากให้นั่งใกล้กองรัตนะ ทรงทาการอภิเษกแล้ว ได้ทรงแต่งตั้งให้เป็ นอัครมเหสี. จาเดิมแต่นั้นมา พระนางทรงเป็ นที่โปรดปรานเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระราชา ทรงเป็นเทพดาของผัวผู้ประกอบด้วยกัลยาณธรรม ๕ ประการมีการตื่นก่อนเป็นต้น ได้ทรงเป็นผู้ใกล้ชิด แม้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. การที่พระนางทรงถวายขนมกุมมาส ๓ ก้อนแด่พระศาสดา แล้วได้ทรงประสบสมบัตินั้น ได้ระบือไปทั่วพระนคร. ภายหลังอยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายพากันตั้งข้อสนทนากันขึ้นที่ธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโส พระนางมัลลิกาเทวีทรงถวายขนม ๓ ก้อนแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยผลของการถวายขนมเหล่านั้น ทรงได้รับอภิเษกในวันนั้นเอง. ความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ น่าอัศจรรย์จริง. พระศาสดาเสด็จมา แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่น่าอัศจรรย์เลย การที่พระนางมัลลิกาเทวีทรงถวายขนมกุมมาสแก่พระสัพพัญญูพุทธเจ้าพระองค์เ
  • 4. 4 ดียว แล้วทรงได้รับความเป็นพระมเหสีของพระเจ้าโกศล เพราะเหตุไร? เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเป็นผู้มีพระคุณมาก ส่วนบัณฑิตในปางก่อน ได้ถวายขนมกุมมาสจืด ไม่ผสมเกลือ ไม่มีน้ามัน ไม่ผสมน้าอ้อยแก่พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วได้รับสิริราชสมบัติในแคว้นกาสีประมาณ ๓ โยชน์ ในอัตภาพที่ ๒ เพราะผลการถวายขนมนั้น น่าอัศจรรย์แท้ ดังนี้ แล้วได้ทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลของคนยากจนตระกูลหนึ่ง เติบโตแล้วอาศัยเศรษฐีคนหนึ่ง ทางานรับจ้างเลี้ยงชีวิต. อยู่มาวันหนึ่ง เขาถือขนมกุมมาส ๔ ก้อนมาจากตลาด โดยคิดว่า ขนมเหล่านี้จักเป็ นอาหารเช้าของเรา เมื่อเดินไปทางานได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์กาลังเสด็จมา บ่ายพระพักตร์ไปนครพาราณสีเพื่อประโยชน์แก่ภิกษาจาร จึงคิดว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้เสด็จไปนครพาราณสีเพื่อต้องการภิกษาจาร เราก็มีขนมกุมมาส ๔ ก้อนนี้ ถ้ากระไรแล้ว เราควรถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้ แล้วเข้าไปเฝ้ าท่านทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีขนมกุมมาสในมือ ๔ ก้อน ข้าพระองค์ขอถวายขนมเหล่านี้แก่พระองค์ทั้งหลาย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระองค์ทั้งหลายจงทรงรับเถิด แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ บุญนี้จักมีแก่ข้าพระองค์ เพื่อประโยชน์และความสุขตลอดกาลนาน. ได้ทราบการทรงรับนิมนต์ของพระองค์ท่านแล้ว ก็ตกแต่งอาสนะ ๔ ที่ โดยพูนทรายขึ้นลาดกิ่งไม้และผ้าเปลือกไม้ไว้บนกองทรายเหล่านั้น นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้ประทับนั่งตามลาดับแล้ว เอากระทงใบไม้ตักน้ามาหลั่งทักขิโณทก วางขนมกุมาส ๔ ก้อนลงในบาตร ๔ ใบ นมัสการแล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยผลแห่งการถวายขนมกุมมาสเหล่านั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดในเรือนคนจน ขอจงอย่ามีเลย ขอให้การถวายทานนี้จงเป็นปัจจัยแห่งการบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ. พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็เสวยทันที ในที่สุดแห่งการเสวย ทรงทาอนุโมทนาแล้ว ได้ทรงเหาะไปสู่เงื้อมเขานันทมูลนั่นเอง. พระโพธิสัตว์ประคองอัญชลี แล้วเอาปิติที่ไปในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็ นอารมณ์ พอพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นละสายตาไปแล้ว ก็ไป ณ ที่ทางานของตน, แม้ท่านทากรรมเพียงเท่านี้ แต่ราลึกถึงทานนั้นตลอดอายุถึงแก่กรรมแล้ว ก็ถือกาเนิดในพระอุทรของพระอัครมเหสี ของพระเจ้าพาราณสี.
  • 5. 5 พระญาติทั้งหลายได้ถวายพระนามว่า พรหมทัตกุมาร. ท้าวเธอ จาเดิมแต่เวลาที่ตนเสด็จดาเนินไปด้วยพระบาท ทรงเห็นกิริยาอาการของตนในชาติก่อนปรากฏชัดด้วยความรู้ระลึกชาติได้ เหมือนเห็นเงาหน้าในกระจกเงาที่ใสว่า เราได้เป็ นลูกจ้างในนครนี้นั่นเอง เมื่อเดินไปทางานได้ถวายขนมกุมมาส ๔ ก้อนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ถือกาเนิดในที่นี้ เพราะผลของกรรมนั้น. ท้าวเธอทรงเจริญวัย แล้วเสด็จไปยังนครตักกสิลา ทรงเรียนศิลปะทุกอย่าง แล้วเสด็จกลับมา ทรงแสดงศิลปะที่ทรงศึกษามาแล้วแก่พระราชบิดา แล้วพระราชบิดาทรงพอพระราชหฤทัย ทรงสถาปนาไว้ในตาแหน่งอุปราช. ในกาลต่อมาโดยสิ้นรัชกาลของพระราชบิดา ก็ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ. ลาดับนั้น อามาตย์ทั้งหลายพากันนาพระราชธิดาของพระเจ้าโกศลผู้ทรงเลอโฉม มาถวายให้เป็นพระอัครมเหสีของพระองค์. ก็ในวันฉัตรมงคลของพระองค์ คนทั้งหลายได้พากันตบแต่งพระนครทั้งนครให้เหมือนเทพนครก็ปานกัน. พระองค์เสด็จเลียบพระนคร แล้วเสด็จขึ้นปราสาทที่ตบแต่ง แล้วเสด็จขึ้นพระราชบัลลังก์ ที่ยกเศวตฉัตรขึ้นไว้ ณ ท่ามกลางชั้นที่กว้างใหญ่ ประทับนั่งแล้ว ทอดพระเนตรพสกนิกรทั้งหลาย ที่พากันยืนเฝ้ าด้านหนึ่งเป็ นอามาตย์ ด้านหนึ่งเป็ นคหบดี มีพราหมณ์คหบดีเป็นต้น ผู้มีสมบัติต่างๆ กัน มีความรุ่งเรืองสุกใสด้วยสิริวิลาส ด้านหนึ่งเป็ นประชาชนชาวกรุง มีมือถือเครื่องบรรณาการนานาชนิด ด้านหนึ่งเป็ นคณะหญิงฟ้ อนจานวนหมื่นหกพันนาง ปานประหนึ่งสาวอัปสรผู้ตบแต่งแล้ว ฉะนั้น และสิริราชสมบัตินี้เป็นที่รื่นรมย์พระทัยยิ่งนัก ทรงราลึกถึงกุศลกรรมที่ตนบาเพ็ญไว้ในปางก่อนแล้ว ทรงราลึกถึงพระคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายว่า สิริสมบัติแม้ทั้งหมดนี้ คือ ห่อทองห่อนี้ ๑ ดอกไม้ทอง ๑ เศวตฉัตร ๑ ช้างม้าและรถที่เป็นราชพาหนะเหล่านี้ จานวนหลายพัน ๑ ห้องคลังที่เต็มด้วยแก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น ๑ แผ่นดินใหญ่ที่เต็มไปด้วยธัญชาตินานาชนิด ๑ เหล่านารีที่เทียบเคียงกับสาวอัปสร ๑ เป็นสมบัติของเรา ไม่ใช่ของคนอื่น แต่เป็นสิ่งที่อาศัยการถวายขนมกุมมาส ๔ ก้อนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์นั่นเอง สมบัตินั้นเราได้มาเพราะอาศัยพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น
  • 6. 6 ดังนี้แล้วได้กระทากรรมของตนให้ปรากฏแล้ว. เมื่อพระองค์ทรงราลึกถึงผลกรรมนั้นแล้ว พระสรีระทั้งสิ้นเต็มเปี่ยมไปด้วยปิติ. พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยชุ่มเย็นด้วยปิติ. เมื่อทรงขับเพลงที่ทรงอุทานออกมาที่ท่ามกลางมหาชน ได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า :- ได้ยินว่า การปรนนิบัติพระอโนมทัสสีปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีผลหาน้อยไม่ เชิญดูผลของการถวายก้อนขนมกุมมาสที่แห้งและมีรสจืดชืดเถิด โปรดดูผลแห่งการถวายก้อนขนมกุมมาส ที่เป็นเหตุให้เรามีช้างโคม้าทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย ทั้งแผ่นดินทั้งสิ้น และนางนารีเหล่านี้ที่เปรียบด้วยนางอัปสร เชิญดูผลของการถวายก้อนขนมกุมมาสเถิด. ทักขิณาทานที่ทายกกาหนดคุณของสมณะพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีคุณแล้ ว ยังจิตให้เลื่อมใส ยังเจตนาทั้ง ๓ ของผู้มุ่งหวังการเกิดผลให้ผ่องแผ้ว แล้วจึงถวาย ชื่อว่ามีผลน้อยไม่มี มีแต่จะอานวยมหาสมบัติให้ในที่ที่เกิดแล้วเท่านั้น เพราะฉะนั้น ในข้อนี้ จึงมีคาที่ท่านกล่าวรับรองไว้ว่า :- เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว ทักขิณาที่ถวายแล้วในพระตถาคตเจ้า ในพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือสาวกของพระองค์ก็ตาม ชื่อว่า มีผลน้อยไม่มี. แต่เพื่อแสดงถึงเนื้อความนั้น ควรนาเรื่องวิมานวัตถุทั้งหลายมาสาธก มีอาทิอย่างนี้ว่า :- ดิฉันได้ถวายน้านมแก่ภิกษุผู้เดินไปบิณฑบาต เชิญชมวิมานของดิฉันนั้นเถิด ดิฉันเป็ นนางอัปสรสาวสวรรค์ ผู้มีผิวพรรณน่ารัก ดิฉันมีนางอัปสรพันหนึ่งเป็ นบริวาร เชิญดูผลวิบากของบุญทั้งหลายเถิด ด้วยผลบุญนั้น ผิวพรรณของดิฉันจึงเป็ นเช่นนี้ ด้วยผลบุญนั้น สิ่งนี้จึงสาเร็จแก่ดิฉัน โภคทั้งหลายไม่ว่าชนิดไหน ซึ่งเป็ นที่รักเป็ นที่พอใจเกิดขึ้นแก่ดิฉันด้วยผลบุญนั้น ดิฉันจึงมีอานุภาพรุ่งโรจน์อย่างนี้ และผิวพรรณของดิฉันเปล่งรัศมีไปทั่วทุกทิศ. และเพราะเหตุนั้นเอง พระศาสดา เมื่อตรัสพระสูตรในอิติวุตตกะ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ สัตว์ทั้งหลายก็ควรรู้วิบากของการแจกจ่ายทาน ดังที่เราตถาคตรู้ เพราะฉะนั้น คนทั้งหลายยังไม่ได้ให้ ก็ไม่ควรบริโภค และไม่ควรให้ความตระหนี่ที่เป็นมลทินครอบงาจิตใจของพวกเขาตั้งอยู่. ทั้งยังไม่ได้แจกจ่าย แม้จากคาข้าวคาสุดท้าย
  • 7. 7 คาข้าวคาที่กินเสร็จของพวกเขาก็ไม่ควรบริโภค ถ้าพวกเขาพึงมีปฏิคาหก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่ สัตว์ทั้งหลายไม่รู้วิบากของการแจกจ่ายทานอย่างนี้ เหมือนที่เราตถาคตรู้ ฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายยังไม่ให้ก็บริโภค และความตระหนี่ที่เป็นมลทินก็ครอบงาจิตใจพวกเขาตั้งอยู่. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงมีปิติปราโมทย์เกิดขึ้นในวันฉัตรมงคลของตน จึงทรงร้องเพลงพระราชอุทาน ด้วยคาถา ๒ คาถาเหล่านี้. จาเดิมแต่นั้นมา เหล่าหญิงฟ้ อนของพระโพธิสัตว์พากันร้องเพลงนั้นโดยคิดว่า เป็นเพลงที่พระราชาทรงโปรด คือเพลงพระราชนิพนธ์และคนธรรพ์ที่เป็นนักฟ้ อนทั้งหลายเป็ นต้นที่เหลือก็ดี คนภายในเมืองก็ดี คนที่อยู่ภายในพระนครทั้งหลายก็ดี คนที่อยู่ภายนอกพระนครทั้งหลายก็ดี พากันร้องเพลงนั้นเหมือนกัน ที่ร้านเครื่องดื่มภัตตาคารบ้าง ที่บริเวณชุมชนบ้าง โดยคิดว่า เป็นเพลงที่พระราชาของพวกเราทรงโปรด. เมื่อเวลาผ่านไปนานแล้วอย่างนี้ พระมเหสีได้มีพระราชประสงค์จะทรงทราบเนื้อร้องของเพลงนั้น แต่ไม่กล้าทูลถามพระมหาสัตว์. ต่อมาวันหนึ่ง พระราชาทรงเลื่อมใสในคุณงามความดีอย่างหนึ่งของพระนาง จึงตรัสว่า น้องนางเอ๋ย ฉันจะให้พรแก่เธอ ขอให้เธอจงรับพร. พระนางจึงทูลว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม หม่อมฉันขอรับพระราชทานพระพร บรรดาช้างม้าเป็นต้น เราจะให้อะไรแก่เธอ ข้าแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ไม่มีอะไรที่หม่อมฉันไม่มี เพราะอาศัยเสด็จพี่ หม่อมฉันไม่มีความต้องการสิ่งเหล่านั้น ถ้าหากเสด็จพี่มีพระราชประสงค์จะพระราชทานพระพร ขอจงตรัสบอกเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์ พระราชทานหม่อมฉันเถิด. น้องนาง เธอจะมีประโยชน์อะไรด้วยพรนี้ เธอจงรับเอาพรอื่นเถิด. ขอเดชะพระอาชญาไม่พ้นเกล้า หม่อมฉันไม่มีความต้องการอย่างอื่น ต้องการเนื้อเพลงพระราชนิพนธ์อย่างเดียว. น้องนาง ดีแล้ว เราจักบอกให้ แต่เราจะไม่บอกแก่เธอคนเดียวในที่ลับ จักให้ตีกลองป่าวร้องไปในนครพาราณสี ประมาณ ๑๒ โยชน์ ให้สร้างรัตนบัลลังก์ที่พระทวารหลวง ให้ลาดรัตนบัลลังก์ห้อมล้อมด้วยชาวนครทั้งหลาย มีอามาตย์และพราหมณ์เป็ นต้น และหญิงหมื่นหกพันนาง นั่งบนรัตนบัลลังก์ ท่ามกลางคนเหล่านั้น แล้วบอก.
  • 8. 8 พระนางทูลรับว่า ดีแล้ว เพคะ. พระราชาทรงให้ทาอย่างนั้นแล้ว มีหมู่มหาชนแวดล้อม เหมือนท้าวสักกะเทวราชมีหมู่เทวดาห้อมล้อม ฉะนั้น แล้วเสด็จประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์. ฝ่ายพระราชเทวีทรงประดับประดาด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง ตั้งพระภัทรบิฐทอง ทรงชาเลืองหางพระเนตรดูที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วประทับ ณ ที่ตามความเหมาะสม ทูลว่า ข้าแต่เสด็จพี่ ขอเสด็จพี่จงตรัสบอกเนื้อร้องของเพลงมงคลที่เสด็จพี่ปลื้มพระทัย แล้วทรงขับร้องแก่หม่อมฉันให้ชัดแจ้ง เหมือนให้พระจันทร์โผล่ขึ้นบนท้องฟ้ าก่อน ฉะนั้น แล้วทูลคาถาที่ ๓ ว่า :- ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผู้ทรงทาความยิ่งใหญ่ เพราะกุศลธรรม พระองค์ตรัสคาถาทรงเพลงเสมอๆ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพัฒนารัฐ หม่อมฉันขอทูลถามพระองค์ ขอพระองค์ผู้มีพระราชหฤทัยประกอบด้วยปิติอย่างแรงกล้า โปรดบอกหม่อมฉันเถิด. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงทาเนื้อความของคาถาทั้งหลายให้แจ่มชัดแก่พระนาง จึงได้ภาษิตคาถา ๔ คาถาว่า :- เราได้เกิดในตระกูลหนึ่งในนครนี้นั่นเอง ได้เป็นลูกจ้างทางานให้คนอื่น แต่มีสีลสังวร เราออกไปทางานได้เห็นสมณะ ๔ รูปผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและอาจาระ เป็นผู้เยือกเย็น ไม่มีอาสวะ ยังจิตให้เลื่อมใสในท่านเหล่านั้นแล้ว ได้ให้ท่านนั่งบนอาสนะที่ปูด้วยใบไม้ เลื่อมใสแล้ว ได้ถวายขนมกุมมาสแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยมือของตนเอง. ผลของกุศลกรรมนั้นของเรานี้เป็นเช่นนี้ คือเราได้เสวยราชสมบัตินี้ที่มีแผ่นดินอุดมสมบูรณ์กว้างขวาง. เมื่อพระมหาสัตว์บอกผลกรรมของตน โดยพิสดารอย่างนี้แล้ว พระเทวีครั้นทรงสดับแล้ว ทรงมีพระทัยเลื่อมใส เมื่อจะทรงทาการสดุดีพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่มหาราช ถ้าว่าพระองค์ทรงทราบผลทานโดยประจักษ์อย่างนี้แล้วไซร้ ตั้งแต่บัดนี้เป็ นต้นไป พระองค์ทรงได้ก้อนข้าวก้อนหนึ่งแล้ว ต้องถวายแก่สมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรมนั้นแหละ จึงจะเสวย ดังนี้แล้ว ได้ทูลคาถานี้ว่า :- ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็ นอธิบดีในเพราะกุศลธรรม
  • 9. 9 ขอพระองค์จงทรงพระราชทานก่อนจึงเสวย ขอพระองค์อย่าทรงประมาท ทรงหมุนล้อ คือพระธรรมเถิด ข้าแต่มหาราชผู้ทรงเป็ นอธิบดีในเพราะกุศลธรรม ขอพระองค์อย่าได้ทรงดารงอยู่ในอธรรม โปรดรักษาทศพิธราชธรรมไว้เถิด. พระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงรับพระดารัสของพระนาง จึงตรัสคาถานี้ว่า :- ดูก่อนพระธิดาของพระเจ้าโกศลผู้เลอโฉม เรานั้นจักประพฤติตามทาง ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายประพฤติมาแล้ว เสมอๆ นั้นนั่นเอง พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นที่พอใจของเรา เราต้องการจะได้เห็นท่าน. มีคาอธิบายไว้ว่า ดูก่อนพระธิดาของพระเจ้าปัสเสนผู้เจริญ เรานั้นไม่ทาความอิ่มใจว่า เราถวายทานแล้ว จักประพฤติตามทาง คือทานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายประพฤติแล้วบ่อยๆ นั้นนั่นเอง. ด้วยว่าพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นที่ชอบใจ คือน่าทัศนาของเรา เพราะเป็นทักขิไณยบุคคลผู้ล้าเลิศ เราประสงค์จะเห็นท่านเหล่านั้นนั่นแหละ เพราะต้องการจะถวายจีวรเป็ นต้น. ก็แหละพระราชา ครั้นตรัสคานี้แล้ว ทรงตรวจดูสมบัติของพระเทวี เมื่อตรัสถามว่า ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ เราบอกกุศลกรรมของตนในภพก่อนอย่างพิสดารแก่เธอแล้ว แต่ในท่ามกลางหญิงเหล่านี้ ไม่มีหญิงแม้แต่คนเดียวที่เช่นกับเธอ โดยรูปร่าง หรือโดยเยื้องกราย และกิริยาเสน่หาของหญิง เธอนั้นทากรรมอะไรไว้ จึงได้รับสมบัตินี้ดังนี้ จึงได้ตรัสคาถาซ้าว่า :- ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ ชาวโกศลคนสวยงาม เธออุปมาเหมือนสาวอัปสร สวยงามในท่ามกลางหมู่นารี เหมือนพระเทพเทวีของท้าวสักกเทวราชก็ปานกัน เธอได้ทาความดีอะไรไว้ เพราะเหตุอะไร เธอจึงมีผิวพรรณงาม? คาถานั้น มีเนื้อความว่า ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ ชาวโกศลคนสวยงาม คือผู้เป็นพระราชธิดาคนดีของพระเจ้าโกศล เธออุปมาดังสาวอัปสร โดยรูปสมบัติ สวยงามเหลือเกิน ในท่ามกลางหมู่นารีนี้ เหมือนเทพธิดาตนใดตนหนึ่งของท้าวสักกเทวราชในสรวงสวรรค์ ในสมัยก่อน เธอได้ทากรรมดีงามชื่ออะไรไว้ เพราะเหตุอะไร เธอจึงมีผิวพรรณงามอย่างนี้. ลาดับนั้น พระราชเทวีนั้น เมื่อจะทูลบอกกรรมดีในภพก่อน ด้วยพระญาณที่ทรงระลึกชาติได้ จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถาที่เหลือว่า :- ข้าแต่พระมหากษัตริย์ หม่อมฉันได้เป็นทาสี
  • 10. 10 ผู้รับใช้ผู้อื่นของตระกูลกุฎุมพี เป็ นผู้สารวมระวัง เลี้ยงชีพโดยชอบธรรม มีศีล ไม่พบเห็นบาป. ในครั้งนั้น หม่อมฉันมีจิตเลื่อมใส ได้สารวมใจ ถวายภัตตาหารที่เขายกให้เป็นส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้กาลังเดินไปบิณฑบาต ผลแห่งกรรมนั้นของหม่อมฉัน จึงเป็ นเช่นนี้. ได้ทราบมาว่า แม้พระราชเทวีนั้นก็ทรงระลึกชาติได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น พระนางจึงได้ทูลพระราชา โดยทรงกาหนดด้วยพระญาณที่ทรงระลึกชาติของตนได้นั่นเอง. มีคาอธิบายว่า ข้าแต่มหาราช เมื่อก่อน หม่อมฉันเป็ นทาสีของตระกูลกุฎุมพีตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ในนครสาวัตถี ถือเอาภัตตาหารส่วนที่ได้แล้วเดินออกไป เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง กาลังทรงดาเนินไปบิณฑบาต ยังความยินดีของตนให้ห่อเหี่ยวลง ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม มีความสารวมระวังเป็นต้น เชื่อผลของกรรมอยู่ จึงได้ถวายภัตตาหารนั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น. หม่อมฉันนั้นดารงอยู่จนตลอดอายุถึงแก่กรรมแล้ว ได้ถือกาเนิดในพระอุทรของพระมเหสีของพระเจ้าโกศล ในนครสาวัตถีนั้น บัดนี้ กาลังบาเรอบาทของพระองค์ เสวยสมบัติเห็นปานนี้ ผลกรรมของหม่อมฉันนั้นเป็ นอย่างนี้ คือเช่นนี้. ในเรื่องนั้น เพื่อแสดงถึงความที่ทานที่บุคคลถวายแล้วแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยคุณความดีว่ามี ผลมาก ควรอ้างคาถามาให้พิสดาร มีอาทิว่า :- บุญอันล้าเลิศย่อมเจริญ แก่ชนทั้งหลายผู้เลื่อมใสแล้ว ในบุคคลผู้ล้าเลิศแล อายุวรรณะ ยศ เกียรติ ความสุขและกาลังอันล้าเลิศ ก็เจริญ. ผู้มีปัญญา ผู้ให้ของอันล้าเลิศ ตั้งมั่นแล้วในธรรมอันล้าเลิศ เป็ นภูต คือเทวดาก็ตาม มนุษย์ก็ตามผู้ถึงความล้าเลิศแล้วย่อมบันเทิงใจ นี่เป็ นขุมทรัพย์ที่อานวยสมบัติ ทุกอย่างแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. พระราชาและพระมเหสีทั้ง ๒ พระองค์นั้น ครั้นตรัสกรรมเก่าโดยพิสดารด้วยประการอย่างนี้แล้ว จาเดิมแต่นั้นมา ทรงให้สร้างศาลา ๖ แห่ง คือที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ที่กลางพระนคร ๑ แห่ง ที่ประตูพระราชวัง ๑ แห่ง ทรงกระทาชมพูทวีปทั้งสิ้นให้กระฉ่อน ยังมหาทานให้เป็นไป ทรงรักษาศีล รักษาอุโบสถ ในอวสานแห่งพระชนม์ชีพ ได้ทรงมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกไว้ว่า
  • 11. 11 พระราชเทวีในครั้งนั้น ได้แก่ มารดาพระราหุล ส่วนพระราชา ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถากุมมาสปิณฑชาดกที่ ๑๐ -----------------------------------------------------