ว่าด้วย มงคล พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภมหามงคลสูตร จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. ความพิสดารว่า ในพระนครราชคฤห์ บุรุษผู้หนึ่งอยู่ท่ามกลางมหาชนที่ประชุมกัน ณ เรือนรับแขก พูดขึ้นว่า วันนี้มงคลกิริยาจะมีแก่เรา ดังนี้ แล้วลุกขึ้นเดินไปด้วยกรณียกิจอย่างหนึ่ง. บุรุษอีกคนหนึ่งได้ฟังคำบุรุษนั้นแล้วกล่าวว่า บุรุษนี้กล่าวว่ามงคล แล้วก็ไปเสีย อะไรหนอที่ชื่อว่ามงคล? บุรุษอีกคนหนึ่ง นอกจากสองคนที่กล่าวแล้วกล่าวว่า การเห็นรูปเป็นมงคลอย่างยิ่ง ความจริงคนบางคนลุกขึ้นแต่เช้าทีเดียว ได้เห็นโคเผือกก็ดี หญิงมีครรภ์นอนอยู่ก็ดี ปลาตะเพียนก็ดี หม้อเต็มด้วยน้ำก็ดี เนยข้นก็ดี เนยใสก็ดี ผ้าใหม่ก็ดี ข้าวปายาสก็ดี การเห็นอย่างนี้ชื่อว่าเป็นมงคล นอกจากนี้ไม่ชื่อว่าเป็นมงคล. คนบางพวกก็พากันยินดีถ้อยคำที่ผู้นั้นพูดว่า พูดถูก. อีกคนหนึ่งคัดค้านว่า นั่นไม่ใช่มงคล การสดับฟังชื่อว่าเป็นมงคล คนบางคนได้ฟังคำคนกล่าวว่า สมบูรณ์ เจริญ สบาย บริโภค เคี้ยวกิน ดังนี้ การได้ฟังอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นมงคล นอกจากนั้นไม่ชื่อว่าเป็นมงคล. คนบางพวกก็พากันยินดีถ้อยคำนี้ผู้นั้นพูดว่า พูดถูก. อีกคนหนึ่งคัดค้านว่า นั่นไม่ใช่มงคล การจับต้องชื่อว่าเป็นมงคล ความจริงคนบางคนลุกขึ้นแต่เช้าทีเดียว ได้จับต้องแผ่นดินหรือหญ้าเขียวๆ โคมัยสด ผ้าที่สะอาด ปลาตะเพียน ทอง เงิน หรือโภชนะ การจับต้องอย่างนี้ชื่อว่าเป็นมงคล นอกจากนี้ไม่ชื่อว่าเป็นมงคล. คนบางพวกก็พากันยินดีถ้อยคำที่ผู้นั้นพูดว่า พูดถูก. คนทั้งหลายได้มีความเห็นแตกต่างกัน เป็น ๓ จำพวก ๓ อย่างนี้ คือ พวกทิฏฐมังคลิกะ พวกสุตมังคลิกะ และพวกมุตมังคลิกะ ต่างไม่อาจมีความเห็นร่วมกันได้ เทวดาทั้งหลายตั้งต้นแต่ภุมมเทวดาตลอดถึงพรหมโลก ก็ไม่รู้โดยถ่องแท้ว่า สิ่งนี้เป็นมงคล.