More Related Content
Similar to 071 วรุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
071 วรุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
วรุณชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๘. วรุณวรรค
หมวดว่าด้วยไม้กุ่ม
๑. วรุณชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๗๑)
ว่าด้วยมาณพหักไม้กุ่ม
(พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้ฟังการงานที่มาณพกระทา
จึงบอกถึงเหตุแห่งความเสื่อมว่า)
[๗๑] งานซึ่งควรทาก่อนเขาทาทีหลัง เขาจะเดือดร้อนในภายหลัง
เหมือนมาณพหักไม้กุ่ม
วรุณชาดกที่ ๑ จบ
-------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
เอกกนิบาตชาดก วรุณวรรค
๑. วรุณชาดก ว่าด้วยการทาไม่ถูกขั้นตอน
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระติสสเถระบุตรกุฎุมพี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีเป็ นสหายกันประมาณ
๓๐ คน ถือของหอมดอกไม้และผ้าเป็นต้น คิดกันว่า
พวกเราจักฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา อันมหาชนห้อมล้อม
พากันไปสู่วิหารเชตวัน นั่งพักในโรงชื่อนาคมาฬกะและวิสาลมาฬกะเป็นต้น.
พอเวลาเย็น
เมื่อพระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎีอันอบแล้วด้วยกลิ่นหอม
เสด็จดาเนินไปสู่ธรรมสภา ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อันตกแต่งแล้ว
จึงพากันไปสู่ธรรมสภาพร้อมด้วยบริวาร
บูชาพระศาสดาด้วยของหอมและดอกไม้
ถวายบังคมแทบบาทยุคลอันประดับด้วยจักร์ ทรงพระสิริเสมอด้วยดอกบัวบาน
แล้วนั่งฟังพระธรรมอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
พวกเขาพากันปริวิตกว่า เราทั้งหลายต้องบวช
ถึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วได้กว้างขวาง.
ในเวลาที่พระตถาคตเสด็จออกจากธรรมสภา
พวกกุลบุตรเหล่านั้นก็พากันเข้าไปเฝ้ า ถวายบังคมทูลขอบรรพชา.
พระศาสดาทรงประทานบรรพชาแก่พวกเขา.
- 2. 2
พวกเขากระทาให้อาจารย์และอุปัชฌาย์โปรดปรานแล้วได้อุปสมบทอยู่
ในสานักของอาจารย์และอุปัชฌาย์ ๕ พรรษา ท่องมาติกาทั้ง ๒ คล่องแคล่ว
รู้สิ่งที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ เรียนอนุโมทนา ๓ เย็นย้อมจีวร
แล้วกราบลาอาจารย์และอุปัชฌาย์ว่า
พวกกระผมจักบาเพ็ญสมณธรรมแล้วพากันเข้าเฝ้ าพระศาสดา
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลวิงวอนว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์เอือมระอาในภพทั้งหลาย
กลัวแต่ความเกิดความแก่ความเจ็บและความตาย
ขอพระองค์จงตรัสบอกพระกรรมฐาน
เพื่อปลดเปลื้องตนจากสังสารทุกข์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเหล่านั้นเถิด พระเจ้าข้า.
พระศาสดาทรงทราบสัปปายะ
จึงตรัสบอกพระกรรมฐานข้อหนึ่งในกรรมฐาน ๓๘ ประการแก่ภิกษุเหล่านั้น.
ภิกษุเหล่านั้นเรียนพระกรรมฐานในสานักของพระศาสดา
แล้วถวายบังคมพระศาสดา กระทาประทักษิณ ไปสู่บริเวณ
อาลาอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ ถือเอาบาตรและจีวร
ออกจากวิหารไปด้วยตั้งใจว่าพวกเราจักบาเพ็ญสมณธรรม.
ครั้งนั้น ในระหว่างภิกษุเหล่านั้น
มีภิกษุรูปหนึ่งโดยชื่อเรียกกันว่า กุฏุมพิกปุตตติสสเถระ เป็นผู้เกียจคร้าน
มีความเพียรทราม ติดรสอาหาร เธอคิดอย่างนี้ว่า เราจักไม่สามารถเพื่ออยู่ในป่า
ไม่อาจจะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการเที่ยวภิกษาจาร
การไปป่าไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่เราเลย เราจักกลับ
เธอทอดทิ้งความเพียรเสียแล้ว เดินตามภิกษุเหล่านั้นไปได้หน่อยหนึ่ง
แล้วกลับเสีย.
ฝ่ายภิกษุเหล่านั้นพากันจาริกไปในแคว้นโกศล
ถึงหมู่บ้านชายแดนตาบลหนึ่ง ก็เข้าอาศัยหมู่บ้านนั้นจาพรรษา
อยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เป็ นผู้ไม่ประมาท
เพียรพยายามอยู่ตลอดระยะกาลภายในไตรมาส ถือเอาห้องวิปัสสนา
ยังปฐพีให้บันลือลั่น บรรลุพระอรหัตต์แล้ว
พอออกพรรษาปวารณาแล้วปรึกษากันว่า
จักกราบทูลคุณที่ตนได้บรรลุแล้วแด่พระศาสดา
จึงพากันออกจากปัจจันตคามถึงพระเชตวันมหาวิหารโดยลาดับ
เก็บบาตรและจีวรเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าพบอาจารย์และพระอุปัชฌาย์
ปรารถนาจะเฝ้ าพระตถาคตเจ้า พากันไปยังสานักของพระศาสดา
ถวายบังคมแล้วนั่งเฝ้ าอยู่.
พระศาสดาได้ทรงกระทาปฏิสันถารด้วยพระดารัสอันไพเราะกับภิกษุเ
- 3. 3
หล่านั้น.
ภิกษุเหล่านั้นได้รับปฏิสันถารแล้ว
จึงกราบทูลคุณที่ตนได้แล้วแด่พระตถาคต.
พระศาสดาทรงสรรเสริญภิกษุเหล่านั้น.
พระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระเห็นพระศาสดาตรัสสรรเสริญคุณของภิกษุเ
หล่านั้น แม้ตนเองก็ประสงค์จะบาเพ็ญสมณธรรมบ้าง.
ฝ่ายภิกษุทั้งหลาย แม้เหล่านั้นกราบทูลลาพระศาสดาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จักไปอยู่ที่ชายป่านั้น.
พระศาสดาทรงอนุญาตแล้ว.
พวกภิกษุเหล่านั้นถวายบังคมพระศาสดา แล้วได้พากันไปสู่บริเวณ.
ครั้งนั้น
พระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระนั้นบาเพ็ญเพียรจัดในระหว่างเวลารัตติกาล
บาเพ็ญสมณธรรมโดยรีบเร่งเกินไป พอถึงเวลาระยะมัชฌิมยาม ทั้งๆ
ที่ยืนพิงแผ่นกระดานสาหรับพัก หลับไป กลิ้งตกลงมา กระดูกขาของท่านแตก
เกิดเวทนามากมาย.
เมื่อภิกษุเหล่านั้นต้องช่วยปฏิบัติเธอ การเดินทางก็ชะงัก.
ครั้งนั้น
พระศาสดาตรัสถามภิกษุเหล่านั้นผู้พากันมาในเวลาเป็นที่บารุงว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอบอกลาเมื่อวานว่า จักพากันไปในวันพรุ่งนี้
มิใช่หรือ?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า เช่นนั้น
ก็แต่ว่าท่านติสสเถระบุตรกุฏุมพีสหายของข้าพระองค์ทั้งหลาย
กระทาสมณธรรมอย่างรีบเร่งในเวลามิใช่กาล ถูกความง่วงครอบงา กลิ้งตกลงไป
กระดูกขาแตก เพราะเธอเป็นเหตุ พวกข้าพระองค์จึงจาต้องงดการเดินทาง.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุนี้รีบเร่งกระทาความเพียรในเวลามิใช่กาล
เพราะความที่ตนเป็ นผู้มีความเพียรย่อหย่อน
จึงกระทาอันตรายการเดินทางของพวกเธอ
แม้ในครั้งก่อนภิกษุนี้ก็ได้ทาอันตรายการเดินทางของพวกเธอมาแล้วเหมือนกัน.
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอารธนา.จึงทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์
ให้มาณพ ๕๐๐ คนเล่าเรียนศิลปะอยู่ในเมืองตักกสิลา แคว้นคันธาระ.
ครั้นวันหนึ่ง มาณพเหล่านั้นพากันไปป่าเพื่อหาฟืนรวบรวมฟืนไว้
ในระหว่างมาณพเหล่านั้น มีมาณพผู้เกียจคร้านอยู่คนหนึ่ง เห็นต้นกุ่มใหญ่
- 4. 4
สาคัญว่า ต้นไม้นี้เป็ นต้นไม้แห้ง คิดว่านอนเสียชั่วครูหนึ่งก่อนก็ได้
ทีหลังค่อยขึ้นต้นหักฟืนทิ้งลงหอบเอาไป จึงปูลาดผ้าห่มลงนอนกรนหลับสนิท.
ส่วนมาณพนอกนี้พากันผูกฟืนเป็นมัดๆ แล้วแบกไป
เอาเท้ากระทืบมาณพนั้นที่หลัง ปลุกให้ตื่นแล้วพากันไป มาณพผู้เกียจคร้าน
ลุกขึ้นขยี้ตา จนหายง่วงแล้ว ก็ปี นขึ้นต้นกุ่ม จับกิ่งเหนี่ยวมาตรงหน้าตน
พอหักแล้ว ปลายไม้ที่ลัดขึ้น ก็ดีดเอานัยน์ตาของตนแตกไป
เอามือข้างหนึ่งปิดตาไว้ ข้างหนึ่งหักฟืนสดๆ ลงจากต้น มัดเป็ นมัดแบกไปโดยเร็ว
เอาไปทิ้งทับบนฟืนที่พวกมาณพเหล่านั้นกองกันไว้อีกด้วย.
ก็ในวันนั้น ตระกูลหนึ่งจากบ้านในชนบทนิมนต์อาจารย์ไว้ว่า
พรุ่งนี้พวกกระผมจักกระทาการสวดมนต์ พราหมณ์.
อาจารย์จึงกล่าวกะพวกมาณพว่า พ่อทั้งหลาย พรุ่งนี้ต้องไปถึงหมู่บ้านตาบลหนึ่ง
แต่พวกเธอไม่ได้กินอาหารก่อน จักไม่อาจไปได้
ต้องให้เขาต้มข้าวแต่เช้าตรู่ไปที่นั่น ถือเอาส่วนที่ตนจะต้องได้รับ
และส่วนที่ถึงแก่เรา แล้วรีบพากันมาเถิด.
พวกมาณพเหล่านั้นปลุกทาสีให้ลุกขึ้นต้มข้าวต้มแต่เช้าตรู่
สั่งว่าเจ้าจงรีบต้มข้าวต้มให้แก่พวกเราโดยเร็ว.
ทาสีนั้นไปหอบฟืนก็หอบเอาฟืนไม้กุ่มสดไป แม้จะใช้ปากเป่าลมบ่อยๆ
ก็ไม่อาจให้ไฟลุกได้ จนดวงอาทิตย์ขึ้น. พวกมาณพเห็นว่า สายนักแล้ว บัดนี้
พวกเราไม่อาจจะไปได้ จึงพากันไปสานักท่านอาจารย์.
ท่านอาจารย์ถามว่า พ่อเอ๋ย พวกเจ้าไม่ได้ไปกันดอกหรือ?
พวกมาณพตอบว่า ครับ ท่านอาจารย์ พวกกระผมไม่ได้ไป อาจารย์ถามว่า
เพราะเหตุไร? จึงตอบว่า มาณพเกียจคร้านโน่นไปป่าเพื่อหาฟืนกับพวกผม
ไปนอนหลับเสียที่โคนกุ่ม ทีหลังจึงรีบขึ้นไป ไม้ลัดเอาตาแตก หอบเอาไม้สด
มาโยนไว้ข้างบนฟืนที่พวกผมหามา คนต้มข้าวขนเอาฟืนสดๆ
นั้นไปด้วยสาคัญว่าเป็ นฟืนแห้ง จนดวงอาทิตย์ขึ้นสูง ก็ไม่อาจก่อไฟให้ลุกได้
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง.
ท่านอาจารย์ฟังสิ่งที่มาณพกระทาผิดพลาดแล้ว กล่าวว่า
ความเสื่อมเสียเห็นปานนี้ย่อมมีได้ เพราะอาศัยกรรมของพวกอันธพาล
แล้วกล่าวคาถานี้ความว่า :-
กิจที่จะต้องรีบกระทาก่อน ผู้ใดใคร่จะกระทาภายหลัง
ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลัง เหมือนมาณพหักไม้กุ่ม เดือดร้อนอยู่ฉะนี้ ดังนี้
บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ว่า กิจนี้ต้องทาก่อน
กิจนี้ต้องทาภายหลัง เอากิจที่ต้องทาก่อน
คือกรรมที่ต้องกระทาทีแรกนั่นแหละมากระทาในภายหลัง
บุคคลนั้นเป็นพาลบุคคล ย่อมเดือดร้อน คือโศกเศร้าร่าไห้ในภายหลัง