ว่าด้วยต้นไม้โดดเดี่ยวย่อมแพ้ลม พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงทราบความพินาศใหญ่กำลังจะเกิดแก่พระญาติทั้งหลายของพระองค์ เพราะทะเลาะกันเรื่องน้ำ ก็เสด็จเหาะไปในอากาศ ประทับนั่งโดยบัลลังก์ เบื้องบนแม่น้ำโรหิณี ทรงเปล่งรัศมีสีขาบให้พระญาติทั้งหลายสลดพระทัย แล้วเสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่ง ณ ฝั่งแม่น้ำ ทรงปรารภการทะเลาะนั้น ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ในชาดกที่ยกมานี้เป็นสังเขปนัย ส่วนวิตถานัยจักปรากฏแจ้งใน กุณาลชาดก ก็และในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสเรียกพระญาติทั้งหลายมาตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้นามว่าเป็นญาติกัน ควรจะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกัน เพราะว่าเมื่อพระญาติทั้งหลายยังสามัคคีกันอยู่ หมู่ปัจจามิตรย่อมไม่ได้โอกาส อย่าว่าแต่หมู่มนุษย์เลย แม้ต้นไม้ทั้งหลายอันหาเจตนามิได้ ยังควรจะได้ความสามัคคีกัน เพราะในอดีตกาลที่หิมวันตประเทศ มหาวาตภัยรุกรานป่ารัง แต่เพราะป่ารังนั้นเกี่ยวประสานกันและกันแน่นขนัดไปด้วยลำต้น กอพุ่มและลดาวัลย์ ไม่อาจจะให้ต้นไม้แม้ต้นเดียวโค่นลงได้ พัดผ่านไปตามยอดๆ เท่านั้น แต่ได้พัดเอาไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่บนเนิน แม้จะสมบูรณ์ด้วยกิ่งก้านค่าคบไม้ล้มลงที่พื้นดิน ถอนรากถอนโคนขึ้น เพราะไม่เกี่ยวประสานกันกับต้นไม้อื่นๆ ด้วยเหตุนี้ จึงควรที่พวกท่านทั้งหลายจะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกัน อันพระญาติเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้