More Related Content
Similar to 177 ตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
177 ตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
ตินทุกชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๗. ตินทุกชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๗๗)
ว่าด้วยอุบายกินผลมะพลับ
(ฝูงลิง ๘๐,๐๐๐ ตัวเห็นพวกมนุษย์ ตกใจกลัวตาย
จึงไปบอกพญาวานรโพธิสัตว์ว่า)
[๕๓] พวกมนุษย์ถือคันธนูและกาลูกธนู ถือดาบอันคมกริบ
พากันล้อมพวกเราไว้ เราจักพ้นได้อย่างไรหนอ
(พญาวานรโพธิสัตว์ได้ฟังคาของพวกลิงแล้วได้ปลอบว่า)
[๕๔] พวกมนุษย์มีกิจการงานมาก
ประโยชน์บางอย่างจะพึงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เวลาที่จะช่วงชิงเอาผลไม้ยังมีอยู่
พวกท่านจงเคี้ยวกินผลมะพลับนั้นเถิด
ตินทุกชาดกที่ ๗ จบ
-------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ตินทุกชาดก
ว่าด้วย อุบาย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภพระปัญญาบารมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิสดารมีอยู่ว่า พระศาสดา
ครั้นทรงสดับวาจาพรรณาพระคุณแห่งปัญญาของพระองค์
เหมือนในมหาโพธิชาดก และอุมมังคชาดกแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตมีปัญญา มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน
ก็มีปัญญาและฉลาดในอุบายเหมือนกัน แล้วทรงนาเรื่องในอดีต มาตรัสเล่า
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์อุบัติในกาเนิดวานร มีวานรแปดหมื่นเป็นบริวาร
อาศัยอยู่ในหิมวันตประเทศ ใกล้หิมวันตประเทศนั้น มีบ้านชายแดนแห่งหนึ่ง
บางครั้งก็มีคนอยู่ บางครั้งก็ไม่มีคนอยู่ ในท่ามกลางหมู่บ้านนั้น
มีต้นมะพลับต้นหนึ่ง กิ่งก้านและค่าคบบริบูรณ์มีผลอร่อย.
ฝูงลิงพากันมากินผลมะพลับนั้นในเวลาที่ไม่มีคนอยู่. ครั้นต่อมาถึงคราวมีผลอีก
บ้านนั้นได้กลับเป็นที่อยู่ของมนุษย์ เรียงรายไปด้วยต้นอ้อ ประกอบไปด้วยประตู
แม้ต้นไม้นั้นก็ออกผลกิ่งลู่น้อมลง.
ฝูงลิงคิดว่า เมื่อก่อนเรากินผลมะพลับที่บ้านโน้น
บัดนี้มะพลับต้นนั้นมีผลหรือยังหนอ บ้านมีคนอยู่หรือไม่หนอ ครั้นคิดดังนั้นแล้ว
- 2. 2
จึงส่งลิงไปตัวหนึ่งโดยกล่าวว่า เจ้าจงไปสืบดูที. ลิงนั้นไปสืบดู
ก็รู้ว่าไม้นั้นออกผลและบ้านมีผู้คนจับจองอยู่ จึงกลับมาบอกแก่พวกลิง.
พวกลิงได้ฟังว่าต้นไม้นั้นออกผล เกิดความอุตสาหะว่า จักกินผลมะพลับอันโอชา
จึงบอกความนั้นแก่พญาวานร. พญาวานรถามว่า บ้านมีคนอยู่หรือไม่ มันบอกว่า
มีจ้ะนาย. พญาวานรบอกว่า ถ้าเช่นนั้นไม่ควรไป
เพราะพวกมนุษย์มีเล่ห์กะเท่มาก. พวกลิงกล่าวว่า
เราจักกินตอนเที่ยงคืนในเวลาที่พวกมนุษย์หลับสนิท ครั้นพญาวานรรับรู้แล้ว
จึงลงจากป่าหิมพานต์ คอยเวลาที่พวกมนุษย์หลับสนิท
นอนอยู่บนหลังแผ่นหินใหญ่ไม่ไกลหมู่บ้านนั้น
ครั้นมัชฌิมยามพวกมนุษย์หลับ จึงพากันขึ้นต้นไม้กินผลไม้.
ทีนั้นชายคนหนึ่งออกจากเรือนโดยจะไปถ่ายอุจจาระ ถึงท่ามกลางบ้านเห็นฝูงลิง
จึงตะโกนบอกพวกมนุษย์. พวกมนุษย์มากมายสอดธนูและลูกศร ถืออาวุธต่างๆ
ทั้งก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น พอรุ่งสว่าง พากันยืนล้อมต้นไม้ด้วยหวังว่า
จักจับฝูงลิง.
ฝูงลิงแปดหมื่นตัวเห็นพวกมนุษย์ ตกใจกลัวตาย
พากันไปหาพญาวานร ด้วยคิดว่า นอกจากพญาวานรแล้ว
ไม่มีผู้อื่นจะเป็ นที่พึ่งของพวกเราได้ แล้วกล่าวคาถาแรกว่า :-
พวกมนุษย์มีมือถือธนูและแล่งธนู ถือดาบอันคมกริบ
พากันมาแวดล้อมพวกเราไว้โดยรอบ พวกเราจะพ้นไปได้ด้วยอุบายอย่างไร.
พญาวานรได้ฟังคาของพวกลิงเหล่านั้นแล้ว ปลอบพวกลิงว่า
พวกเจ้าอย่ากลัวเลย ขึ้นชื่อว่าเหล่ามนุษย์มีการงานมาก แม้วันนี้ก็เพิ่งมัชฌิมยาม
บางทีเมื่อพวกมนุษย์ยืนล้อมเราด้วย คิดว่าจักฆ่าพวกเรา
กิจอื่นอันทาอันตรายแก่กิจนี้พึงเกิดขึ้น.
แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งจะพึงเกิดแก่มนุษย์ผู้มีกิจมากเป็ นแน่
ยังมีเวลาพอที่จะเก็บผลไม้เอามากินได้ พวกท่านจงพากันกินผลมะพลับเถิด.
พระมหาสัตว์ปลอบฝูงลิงไว้ เพราะว่า
เมื่อพวกมันเมื่อไม่ได้การปลอบใจเช่นนี้ ทั้งหมดจะหัวใจแตกถึงแก่ความตาย
พระมหาสัตว์ปลอบฝูงวานรอย่างนี้ แล้วกล่าวว่า พวกเจ้าจับนับลิงทั้งหมดดูที.
เมื่อพวกมันนับก็ไม่เห็นวานรชื่อ เสนกะซึ่งเป็ นหลานของพญาวานร จึงแจ้งว่า
เสนกะไม่มา พญาวานรกล่าวว่า หากเสนกะไม่มา พวกเจ้าไม่ต้องกลัว
เสนกะนั้นจักทาความปลอดภัยให้แก่พวกเจ้าในบัดนี้.
เสนกะหลับในเวลาที่ฝูงลิงมา ภายหลังตื่นขึ้นไม่เห็นใครๆ
จึงเดินตามรอยเท้ามา ครั้นเห็นพวกมนุษย์จึงรู้ว่า ภัยเกิดขึ้นแก่ฝูงลิงเสียแล้ว
จึงไปหาหญิงแก่ซึ่งตามไฟกรอด้ายอยู่ ณ ท้ายเรือนหลังหนึ่ง