More Related Content
Similar to 254 กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
254 กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๔. กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๕๔)
ว่าด้วยม้าสินธพกินราข้าว
(พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพ่อค้าเมื่อจะทดลองลูกม้าสินธพ จึงกล่าวว่า)
[๑๐] หญ้าอันเป็นเดน ข้าวตัง และราข้าวเจ้าเคยกินมาแล้ว
นั่นเป็ นอาหารของเจ้า เพราะเหตุใดบัดนี้เจ้าจึงไม่กิน
(ลูกม้าสินธพได้กล่าวว่า)
[๑๑] มหาพราหมณ์ สถานที่ใดประชาชนไม่รู้จัก สัตว์เลี้ยงโดยชาติ
โดยวินัย (วินัย ในที่นี้หมายถึงความประพฤติ)
สถานที่นั้นมีข้าวตังและราข้าวอยู่เป็นจานวนมาก
[๑๒] ส่วนท่านรู้จักข้าพเจ้าดีว่า ม้านี้เป็ นม้าชั้นยอดชนิดใด ข้าพเจ้ารู้อยู่
เพราะอาศัยท่านผู้รู้ จึงไม่กินราข้าวของท่าน
กุณฑกกุจฉิสินธวชาดกที่ ๔ จบ
---------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก
ว่าด้วย รู้ว่าเขาดีก็ต้องเลี้ยงให้สมดี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภพระสารีบุตรเถระ จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระนครสาวัตถี
ออกพรรษาแล้วเสด็จเที่ยวจาริกแล้ว เสด็จกลับมาอีก คนทั้งหลายคิดกันว่า
จักกระทาอาคันตุกสักการะ
จึงถวายมหาทานแก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.
พากันตั้งภิกษุผู้ประกาศธรรมรูปหนึ่งไว้ในพระวิหาร.
ภิกษุนั้นจัดภิกษุให้แก่ทายกเท่าจานวนที่ต้องการ.
ครั้งนั้น มีหญิงแก่เข็ญใจคนหนึ่ง
ได้จัดแจงส่วนทานวัตถุไว้เฉพาะส่วนเดียว
เมื่อพระธรรมโฆษกจัดภิกษุให้แก่คนเหล่านั้นแล้ว ในเวลาสาย
นางจึงไปยังสานักของพระธรรมโฆษกแล้วกล่าวว่า
ขอท่านจงจัดภิกษุให้แก่ดิฉันรูปหนึ่งเถิด. พระธรรมโฆษกกล่าวว่า
อาตมาจัดภิกษุให้ไปหมดแล้ว แต่พระสารีบุตรเถระยังอยู่ในวิหาร
ท่านจงถวายภิกษาหารแก่ท่านเถิด.
หญิงชรานั้นดีใจ ยืนอยู่ที่ซุ้มประตูพระเชตวัน ในเวลาพระเถระมา
- 3. 3
ครั้งนั้น พ่อค้าม้าคนนั้นไปถึงหมู่บ้านนั้นแล้วพูดกะหญิงชราว่า
ฉันจะให้ค่าเช่าแก่ท่าน แล้วจับจองการอยู่อาศัยในนิเวศน์ของหญิงชรานั้น
พักม้าทั้งหลายไว้ ณ ส่วนสุดด้านหนึ่ง.
ในวันนั้นเองแม่ม้าอาชาไนยตัวหนึ่งของพ่อค้านั้นตกลูกออกมา. พ่อค้านั้นพักอยู่
๒-๓ วัน พอให้ม้าทั้งหลายมีกาลัง จึงกล่าวว่า ฉันจักไปเฝ้ าพระราชา
จึงพาม้าทั้งหลายไป. ลาดับนั้น หญิงชราได้พูดกับพ่อค้านั้นว่า
ท่านจงให้ค่าเช่าบ้าน. เมื่อพ่อค้ากล่าวว่า ดีละแม่ ฉันจะให้ นางจึงกล่าวว่า
ดูก่อนพ่อ เมื่อท่านจะให้ค่าเช่าบ้านแก่ฉัน จงให้ลูกม้าตัวนี้โดยหักกับค่าเช่าบ้าน
พ่อค้านั้นได้กระทาเหมือนอย่างนั้นแล้วก็หลีกไป.
หญิงชรานั้นเข้าไปตั้งความเสน่หาในลูกม้านั้นประหนึ่งบุตร
เมื่อเป็นอย่างนั้น ได้ให้ภัตรที่เป็นข้าวตังและหญ้าที่เป็นเดนแก่ลูกม้านั้น
ปรนนิบัติอยู่. ครั้นกาลต่อมาอีก พระโพธิสัตว์พาม้า ๕๐๐
ตัวไปจับจองการอยู่อาศัยในเรือนนั้น พอได้กลิ่นจากที่ที่ลูกม้าสินธพกินราอยู่
แม้ม้าสักตัวเดียวก็ไม่อาจเข้าไปยังลานของเรือนนั้น.
พระโพธิสัตว์จึงถามหญิงชรานั้นว่า ดูก่อนแม่
ในเรือนนี้มีม้าบ้างไหม? หญิงชรากล่าวว่า ดูก่อนพ่อ ชื่อว่าม้าตัวอื่นไม่มี
แต่เราปรนนิบัติลูกม้าตัวหนึ่งเหมือนอย่างลูก ลูกม้าตัวนั้นมีอยู่ในเรือนนี้.
พ่อค้ากล่าวว่า ดูก่อนแม่ ลูกม้าตัวนั้นอยู่ที่ไหน. หญิงชราตอบว่า
ไปเที่ยวหากินจ้ะพ่อ. พ่อค้าว่า เวลาใดจักมาล่ะแม่. หญิงชราตอบว่า
ต่อเวลาจวนค่านั่นแหละ จึงจะมานะพ่อ. พระโพธิสัตว์
เมื่อจะคอยการมาของลูกม้าสินธพนั้น จึงพักม้าทั้งหลายไว้ภายนอกแล้วนั่งอยู่.
ฝ่ายลูกม้าสินธพเที่ยวหากินแล้ว ต่อเวลาจวนค่านั่นแล จึงได้กลับมา.
พระโพธิสัตว์เห็นลูกม้าสินธพมีท้องเปื้อนรา พิจารณาลักษณะทั้งหลายแล้วคิดว่า
ม้าสินธพตัวนี้มีค่ามาก เราจะให้มูลค่าแก่หญิงชราแล้ว
ถือเอาลูกม้าสินธพจึงจะควร.
ฝ่ายลูกม้าสินธพก็เข้าเรือนยืนอยู่ในที่อยู่ของตนเท่านั้น ขณะนั้น
ม้าเหล่านั้นไม่อาจเข้าไปยังเรือน.
พระโพธิสัตว์พักอยู่ ๒-๓ วัน ทาม้าทั้งหลายให้อิ่มหนาแล้ว
เมื่อจะไปจึงกล่าวว่า แม่ท่านจงเอามูลค่าแล้วให้ลูกม้าตัวนี้แก่ฉัน. หญิงชราว่า
ท่านพูดว่าอะไรพ่อ ขึ้นชื่อว่าบุตร คนที่จะขายย่อมไม่มี. พ่อค้าว่า แม่
ท่านให้ลูกม้าตัวนี้กินอะไรปรนนิบัติอยู่. หญิงชราว่า ดูก่อนพ่อ เราให้กินราข้าว
ข้าวตังและหญ้าที่เป็ นเดนและให้ดื่มข้าวยาคูต้มด้วยราข้าวปรนนิบัติอยู่. พ่อค้าว่า
ดูก่อนแม่ ฉันได้ลูกม้าตัวนี้แล้วจักให้บริโภคโภชนะมีรสอร่อยทั้งก้อน
แล้วขึงเพดานผ้าตรงที่ที่เขายืน แล้วให้ยืนตั่งที่ลาดไว้. หญิงชราว่า ดูก่อนพ่อ
เมื่อเป็นอย่างนั้น บุตรของเราจงเสวยสุขอันเกิดจากโภคะ ท่านจงพาเอาไปเถิด.
- 4. 4
ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงวางถึงทรัพย์หกพัน โดยเป็นมูลค่าของเท้าทั้ง
๔ เท้า หางและศีรษะของลูกม้านั้นแห่งละพัน แล้วให้หญิงชรานุ่งห่มผ้าใหม่
ตกแต่งแล้วให้ยืนอยู่ข้างหน้าลูกม้าสินธพ.
ลูกม้าสินธพนั้นลืมตาดูมารดาหลั่งน้าตา ฝ่ายหญิงชราลูบหลังลูกม้าอาชาไนยนั้น
แล้วกล่าวว่า เราได้ทาการเลี้ยงดูเหมือนดังลูก เจ้าจงไปเถิดพ่อ. ขณะนั้น
ลูกม้าสินธพนั้นได้ไปแล้ว
วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์จัดแจงโภชนะมีรสสาหรับลูกม้านั้น คิดว่า
เราจักทดลองลูกม้านั้นดูก่อน ลูกม้านั้นจะรู้กาลังของตนหรือไม่
จึงให้เทข้าวยาคูที่ต้มด้วยราลงในรางแล้วให้กิน.
ลูกม้าสินธพนั้นคิดว่า เราจักไม่กินโภชนะนี้
จึงไม่ปรารถนาจะดื่มข้าวยาคูนั้น.
พระโพธิสัตว์ เมื่อจะทดลองลูกม้าสินธพนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ท่านกินหญ้าที่เป็นเดน กินข้าวตังและรา นี้เป็นอาหารของท่าน บัดนี้
เพราะเหตุไรท่านจึงไม่บริโภค.
ลูกม้าสินธพได้ฟังดังนั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถา นอกนี้ว่า :-
ข้าแต่ท่านมหาพราหมณ์ ในที่ใดชนทั้งหลายไม่รู้จักสัตว์เลี้ยงโดยชาติ
หรือโดยวินัย ในที่นั้น ราและข้าวตังมีอยู่เป็นอันมาก.
ท่านก็รู้จักข้าพเจ้าดีแล้วว่า ม้าตัวนี้เป็ นม้าสูงส่งเพียงไร
ข้าพเจ้ารู้สึกตัว เพราะอาศัยท่านผู้รู้ จึงไม่บริโภคราของท่าน.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงปลอบโยนลูกม้าสินธพนั้นว่า
เราทาดังนั้นเพื่อจะทดลอง เจ้าอย่าโกรธเลย แล้วให้บริโภคโภชนะดี
พาไปพระลานหลวง กันม้า ๕๐๐ ตัวไว้ด้านหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งแวดวงด้วยม่านอันวิจิตร ลาดเครื่องลาดข้างล่าง
เบื้องบนดาดเพดานผ้าให้ลูกม้าสินธพยืนอยู่ในนั้น.
พระราชาเสด็จมาทอดพระเนตรดูฝูงม้าตรัสถามว่า เหตุไฉน
ม้าตัวนี้จึงแยกไว้ต่างหาก ได้ทรงสดับว่า ม้าตัวนี้เป็ นม้าสินธพ
ถ้าไม่แยกไว้ในฝูงม้าเหล่านี้ก็จักหลุดหนีไป จึงตรัสถามว่า พ่อมหาจาเริญ
ม้าสินธพงดงามว่องไวหรือ? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า งดงามว่องไวดี พระเจ้าข้า.
เมื่อพระองค์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะดูความว่องไวของม้าสินธพตัวนี้
จึงผูกม้านั้นแล้วขึ้นขี่ พลางกราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตร
แล้วให้พวกมนุษย์หลีกออกไป แล้วควบขับไปในพระลานหลวง
พระลานหลวงทั้งหมดได้เป็นเหมือนแถวม้าติดกันไปหมด.
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอเดชะ
ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรกาลังเร็วของลูกม้าสินธพ พระเจ้าข้า
แล้วปล่อยออกไปอีก แม้คนสักคนหนึ่งก็แลไม่เห็นลูกม้าสินธพนั้น
- 6. 6
ม้าสินธพในกาลนั้น ได้เป็ น พระสารีบุตร.
พระราชาในกาลนั้น ได้เป็ น พระอานนท์ ในบัดนี้
ส่วนพ่อค้าม้า คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุณฑกกุจฉิสินธวชาดกที่ ๔
-----------------------------------------------------