SlideShare a Scribd company logo
1
มาตังคชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๑๕. วีสตินิบาต
๑. มาตังคชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๙๗)
ว่าด้วยอานุภาพของฤๅษีมาตังคะ
(มัณฑัพยกุมารตรัสกับมาตังคดาบสว่า)
[๑] ท่านมาจากไหนหนอ นุ่งผ้าเก่าขาดกะรุ่งกะริ่งเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น
สวมใส่เศษผ้าจากกองขยะไว้จนถึงคอ ท่านไม่ใช่ทักขิไณยบุคคล เป็นใครกันแน่
(พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
[๒] ขอถวายพระพรพระองค์ผู้เพียบพร้อมด้วยยศ
พราหมณ์ทั้งหลายย่อมขบฉันและดื่มกินอาหาร ที่พระองค์ทรงตระเตรียมไว้
พระองค์ก็ทรงรู้ว่า อาตมาอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีวิต
ขอคนจัณฑาลจงได้ก้อนข้าวที่ต้องการลุกขึ้นยืนรับเถิด
(มัณฑัพยกุมารตรัสว่า)
[๓] อาหารนี้เราตระเตรียมไว้สาหรับพราหมณ์ทั้งหลาย
อาหารนี้ย่อมเป็ นไปเพื่อประโยชน์แก่ตน สาหรับเราผู้เชื่อมั่น
ท่านจงหลีกไปแต่ที่นี้เถิด จะยืนอยู่ทาไม พราหมณ์ผู้ชั่วช้า
คนเช่นเราจะไม่ให้ท่าน
(พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
[๔] คนทั้งหลายเมื่อหวังผลย่อมหว่านพืชลงในนาดอน ๑ ในนาลุ่ม ๑
ในที่ไม่ใกล้แม่น้า ๑ ด้วยความเชื่อนั้น ขอพระองค์จงให้ทาน
พึงให้ทักขิไณยบุคคลยินดีได้แน่แท้
(มัณฑัพยกุมารตรัสว่า)
[๕] เรารู้แจ้งเนื้อนาบุญเป็นที่ประดิษฐานเมล็ดพืชทั้งหลายในโลก
เนื้อนาบุญ คือ พราหมณ์ทั้งหลายที่เกิดโดยชาติและมนต์
นับว่าเป็ นเนื้อนาบุญที่มีศีลเป็นที่รักยิ่ง
(พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
[๖] ก็อคุณธรรมเหล่านี้ คือ ความเมาเพราะชาติ ๑ ความมีมานะจัด ๑
โลภะ ๑ โทสะ ๑ มทะ ๑ โมหะ ๑ ทุกอย่างมีอยู่ในเนื้อนาบุญเหล่าใด
เนื้อนาบุญเหล่านั้นนับว่าเป็นเนื้อนาบุญที่ไม่มีศีลเป็นที่รักในโลก
[๗] อคุณธรรมเหล่านี้ คือ ความเมาเพราะชาติ ๑ ความมีมานะจัด ๑
โลภะ ๑ โทสะ ๑ มทะ ๑ โมหะ ๑ ทุกอย่างไม่มีอยู่ในเนื้อนาบุญเหล่าใด
เนื้อนาบุญเหล่านั้นนับว่าเป็นเนื้อนาบุญที่มีศีลเป็นที่รักในโลก
2
(เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวความนี้ซ้าอีก
มัณฑัพยกุมารทรงกริ้วแล้วตรัสว่า)
[๘] เจ้าอุปโชติยะ เจ้าอุปัชฌายะ และเจ้าภัณฑกุจฉิไปไหนกันหมด
พวกเจ้าจงเฆี่ยนตี จงทาร้ายเจ้าดาบสนี้ แล้วจับคอเจ้าคนชั่ว ไสหัวมันออกไป
(พระโพธิสัตว์เหาะไปอยู่ในอากาศกราบทูลว่า)
[๙] พระองค์ทรงด่าว่าฤๅษีชื่อว่าขุดภูเขาด้วยเล็บ
เคี้ยวกินก้อนเหล็กด้วยฟันและพยายามกลืนกินไฟ
(พระศาสดาทรงประกาศข้อความนั้นว่า)
[๑๐] มาตังคฤๅษีครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มีความบากบั่นแน่วแน่ในสัจจะ
เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายเห็นอยู่ ได้เหาะหนีไปในอากาศ
(นางทิฏฐมังคลิการีบเสด็จไปโดยเร็วเห็นว่า)
[๑๑] ศีรษะบิดกลับไปข้างหลัง แขนกางออกใช้การไม่ได้
นัยน์ตาขาวเหมือนนัยน์ตาของคนตายแล้ว
ใครหนอได้กระทาบุตรของดิฉันนี้ให้เป็ นอย่างนี้
(ชนผู้อยู่ในที่นั้นบอกนางว่า)
[๑๒] สมณะนุ่งผ้าเก่าขาดกะรุ่งกะริ่งเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น
สวมใส่เศษผ้าจากกองขยะไว้จนถึงคอได้มา ณ ที่นี้
สมณะรูปนั้นได้กระทาบุตรของท่านนี้ให้เป็นอย่างนี้
(นางทิฏฐมังคลิกาถามว่า)
[๑๓] พ่อมาณพ สมณะผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดิน
ได้ไปยังทิศไหนเสียเล่า ขอท่านโปรดบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะไปขอโทษท่าน ทาอย่างไร ข้าพเจ้าจึงจะได้ชีวิตของบุตรนั้นคืนมา
(มาณพทั้งหลายผู้อยู่ในที่นั้นบอกว่า)
[๑๔] ฤๅษีผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดินได้เหาะไป
ดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญลอยอยู่ท่ามกลางนภากาศ อีกอย่างหนึ่ง
ฤๅษีผู้เป็นคนดีแม้รูปนั้น ปฏิญญามั่นอยู่ด้วยสัจจะ ได้ไปทางทิศบูรพา
(นางทิฏฐมังคลิกาจะถามพระโพธิสัตว์ว่า)
[๑๕] ศีรษะบิดกลับไปข้างหลัง แขนกางออกใช้การไม่ได้
นัยน์ตาขาวเหมือนนัยน์ตาของคนตายแล้ว
ใครหนอได้กระทาบุตรของดิฉันนี้ให้เป็ นอย่างนี้
(พระโพธิสัตว์มาตังคบัณฑิตกล่าวตอบนางว่า)
[๑๖] ยักษ์ทั้งหลายผู้มีอานุภาพมากยังมีอยู่แล
ก็ยักษ์เหล่านั้นได้ติดตามฤๅษีทั้งหลายผู้เป็นคนดี
ทราบว่าบุตรของท่านมีจิตประทุษร้าย โกรธเคืองจึงได้ทาให้เป็ นอย่างนี้
(นางทิฏฐมังคลิกากล่าวว่า)
3
[๑๗] ก็ยักษ์ทั้งหลายได้กระทาบุตรของดิฉันให้เป็นอย่างนี้
ส่วนพระคุณเจ้าผู้ประพฤติพรหมจรรย์อย่าโกรธบุตรดิฉันเลย
พระคุณเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ดิฉันขอถึงพระคุณเจ้าเท่านั้นเป็ นที่พึ่งที่ระลึก
เป็นบาทเบื้องต้น ดิฉันได้ติดตามมาด้วยความโศกถึงบุตร
(พระโพธิสัตว์มาตังคบัณฑิตกล่าวว่า)
[๑๘] ทั้งในกาลนั้น ทั้งเดี๋ยวนี้ การคิดประทุษร้ายทางใจบางอย่าง
ของอาตมาก็ไม่มีแก่อาตมา
ส่วนบุตรของท่านเป็ นผู้มัวเมาเพราะความเมาในพระเวท
เรียนจบพระเวทแล้วหารู้จักประโยชน์ไม่
(นางทิฏฐมังคลิกากล่าวว่า)
[๑๙] แน่นอน ท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ธรรมดาคนเรา
สัญญาย่อมเลือนไปเพียงชั่วครู่ พระคุณเจ้าผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดิน
ขอพระคุณเจ้าจงอดโทษสักครั้งหนึ่งเถิด
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่มีความโกรธรุนแรง
(พระโพธิสัตว์มาตังคบัณฑิตผู้ถูกนางทิฏฐมังคลิกาอ้อนวอนขอโทษให้บุตร
จึงกล่าวว่า)
[๒๐] นี้ก้อนข้าวที่อาตมาฉันเหลือ
มัณฑัพยบุตรของท่านผู้มีปัญญาน้อยจงบริโภค
ยักษ์ทั้งหลายไม่พึงเบียดเบียนมัณฑัพยบุตรของท่าน
และบุตรของท่านจักเป็นผู้ไม่มีโรค
(ลาดับนั้น มารดากล่าวกับบุตรว่า)
[๒๑] พ่อมัณฑัพยะ เจ้าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา
ไม่ฉลาดต่อบุคคลผู้เป็นเนื้อนาบุญ
ได้ให้ทานในบุคคลผู้มีกิเลสเพียงดังน้าฝาดมากมาย ผู้มีการงานเศร้าหมอง
ไม่สารวม
[๒๒] บางพวกเกล้าผมเป็นชฎา บางพวกนุ่งหนังสัตว์
บางพวกปากมีหนวดรุงรังเหมือนบ่อน้าเก่า เจ้าจงดูหมู่ชนนี้ มีรูปทราม
มวยผมและหนังสัตว์คุ้มครองคนมีปัญญาทรามไม่ได้
[๒๓] ชนเหล่าใดคลายราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้ว
ชนเหล่านั้นมีอาสวะสิ้นแล้ว เป็ นพระอรหันต์
ทานที่บุคคลถวายแล้วในท่านเหล่านั้นมีผลมาก
มาตังคชาดกที่ ๑ จบ
----------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
4
มาตังคชาดก
ว่าด้วย อานุภาพของมาตังคฤาษี
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภอุเทนราชวงศ์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า ในกาลครั้งนั้น
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะมาจากพระเชตวันมหาวิหารทางอากาศ
ไปสู่พระราชอุทยานของพระเจ้าอุเทนในเมืองโกสัมพี
เพื่อพักผ่อนในเวลากลางวันโดยมาก.
ได้ยินว่า ในภพก่อนๆ พระเถรเจ้าเคยเสวยราชย์
ครอบครองสมบัติมีบริวารเป็นอันมากในพระราชอุทยานนั้นตลอดกาลนาน
ด้วยบุรพจรรยาที่ได้เคยสั่งสมมา
พระเถระจึงมักไปนั่งพักผ่อนกลางวันในพระราชอุทยานนั้นเสมอมา
ให้กาลเวลาล่วงไปด้วยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติโดยมาก.
วันหนึ่ง
เมื่อพระเถระไปนั่งพักผ่อนอยู่ที่โคนต้นรังอันมีดอกบานสะพรั่งดี
ในพระราชอุทยานนั้น พระเจ้าอุเทนทรงพระดาริว่า เราจักดื่มน้าจัณฑ์ฉลองใหญ่
แล้วเล่นอุยยานกีฬาตลอด ๗ วัน แล้วจึงเสด็จไปยังพระราชอุทยาน
พร้อมด้วยราชบริพารเป็ นอันมาก ทรงซบพระเศียรลงบนตักของนางสนมคนหนึ่ง
บนแท่นมงคลศิลาอาสน์ แล้วทรงนิทราหลับสนิท
เพราะความเมามายในการเสวยน้าจัณฑ์.
เหล่านางสนมที่นั่งขับกล่อม ต่างวางเครื่องดุริยางคดนตรีไว้แล้ว
เข้าไปสู่พระราชอุทยาน กาลังเลือกเก็บดอกไม้และผลไม้เป็นต้นอยู่
เห็นพระเถระแล้ว พากันไปกราบไหว้แล้วนั่งอยู่.
พระเถระจึงนั่งแสดงธรรมกถาแก่หญิงเหล่านั้น.
ฝ่ายนางสนมที่นั่งให้พระเจ้าอุเทนหนุนตัก
จึงสั่นพระเพลาให้กระเทือน เตือนพระราชาให้ตื่นบรรทม
เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า หญิงถ่อยเหล่านั้นไปไหนกันหมด?
จึงกราบทูลว่า หญิงเหล่านั้นไปนั่งล้อมสมณะรูปหนึ่งอยู่.
ท้าวเธอสดับดังนั้นก็ทรงพระพิโรธ เสด็จไปด่าบริภาษพระเถระ
แล้วตรัสว่า เอาเถิด เราจักให้มดแดงรุมต่อยสมณะรูปนี้
แล้วตรัสสั่งให้เอารังมดแดง มาแกล้งทาให้กระจายลงที่ร่างกายพระเถระ
ด้วยอานาจแห่งความพิโรธ. พระเถระเหาะขึ้นไปยืนในอากาศ
ให้โอวาทพระราชา แล้วเหาะลอยไปลงตรงประตูพระคันธกุฎีที่พระเชตวันนั่นเอง
เมื่อพระตถาคตเจ้าตรัสถามว่า
5
เธอมาจากไหนจึงกราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบ.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภารทวาชะ
พระเจ้าอุเทนเบียดเบียนบรรพชิตทั้งหลาย แต่ในชาตินี้เท่านั้นก็หามิได้
แม้ในชาติก่อนก็เบียดเบียนมาแล้วเหมือนกัน
พระปิณโฑลภารทวาชะทูลอาราธนา
จึงทรงนาอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี
พระมหาสัตว์บังเกิดในกาเนิดตระกูลคนจัณฑาลภายนอกพระนคร.
มารดาบิดาขนานนามเขาว่า มาตังคมาณพ.
ในเวลาต่อมา มาตังคมาณพเจริญวัยแล้ว
ได้มีนามปรากฏว่า มาตังคบัณฑิต.
ในกาลนั้น ธิดาเศรษฐีในเมืองพาราณสี
ชื่อทิฏฐมังคลิกา เมื่อถึงวาระเดือนหนึ่งหรือกึ่งเดือน
ก็พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก จะไปยังอุทยานเพื่อเล่นสนุกสนานกัน.
อยู่มาวันหนึ่ง
พระมหาสัตว์มาตังคบัณฑิตเดินทางเข้าไปยังพระนครด้วยกิจธุระบางประการ
ได้เห็นนางทิฏฐมังคลิกา ระหว่างประตู จึงหลบไปยืนแอบอยู่ ณ เอกเทศหนึ่ง.
นางทิฏฐมังคลิกามองดูตามช่องม่าน เห็นพระโพธิสัตว์จึงถามว่า
นั่นเป็ นใคร?
เมื่อบริวารชนตอบว่า ข้าแต่แม่เจ้า ผู้นั้นเป็ นคนจัณฑาล จึงคิดว่า
เราเห็นคนที่ไม่สมควรจะเห็นแล้วหนอดังนี้แล้ว จึงล้างตาด้วยน้าหอม
กลับแค่นั้น. ส่วนมหาชนที่ออกไปกับธิดาของท่านเศรษฐี บริภาษว่า
เฮ้ยไอ้คนจัณฑาลชาติชั่ว เพราะอาศัยเจ้าแท้ๆ
วันนี้พวกเราจึงไม่ได้ลิ้มสุราและกับแกล้มที่ไม่ต้องซื้อหา
อันความโกรธครอบงาแล้ว จึงรุมซ้อมมาตังคบัณฑิต ด้วยมือและเท้า
จนถึงสลบแล้วหลีกไป.
มาตังคบัณฑิตสลบไปชั่วครู่ กลับฟื้นขึ้นรู้ตัว คิดว่า
บริวารชนของนางทิฏฐมังคลิกาโบยตีเราผู้ไม่มีความผิด โดยหาเหตุมิได้
เราได้นางทิฏฐมังคลิกาเป็ นภรรยาแล้วนั่นแหละ จึงจะยอมลุกขึ้น
ถ้าไม่ได้จักไม่ยอมลุกขึ้นเลย ครั้นตั้งใจดังนี้แล้ว
จึงเดินไปนอนที่ประตูเรือนบิดาของนางทิฏฐมังคลิกานั้น.
เมื่อเศรษฐีผู้บิดาของนางทิฏฐมังคลิกา มาถามว่า เพราะเหตุไร
เจ้าจึงมานอนที่นี่?
มาตังคบัณฑิตจึงตอบว่า เหตุอย่างอื่นไม่มี
แต่ข้าพเจ้าต้องการนางทิฏฐมังคลิกาเป็ นภรรยา.
6
ล่วงมาได้วันหนึ่ง เศรษฐีนั้นก็มาถามอีก
พระโพธิสัตว์ก็ตอบยืนยันอยู่อย่างนั้น จนล่วงมาถึงวันที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖
พระโพธิสัตว์ก็ยังคงนอนและตอบยืนยันอย่างนั้น.
ธรรมดาว่าการอธิษฐานของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมสาเร็จ เพราะเหตุนั้น
เมื่อครบ ๗ วัน คนทั้งหลายมีท่านเศรษฐีเป็นต้น
จึงนานางทิฏฐมังคลิกามามอบให้มาตังคบัณฑิต.
ลาดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกากล่าวกะมาตังคบัณฑิตว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็ นสามี เชิญท่านลุกขึ้นเถิด เราจะไปเรือนของท่าน.
มาตังคบัณฑิตจึงกล่าวว่า นางผู้เจริญ
เราถูกบริวารชนของเจ้าโบยตีเสียยับเยินจนทุพพลภาพ
เจ้าจงยกเราขึ้นหลังแล้วพาไปเถิด. นางก็ทาตามสั่ง
เมื่อชาวพระนครกาลังมองดูอยู่นั่นแล
ก็พามาตังคบัณฑิตออกจากพระนครไปสู่จัณฑาลคาม.
ลาดับนั้น
พระมหาสัตว์มิได้ล่วงเกินนางให้ผิดประเพณีแห่งเผ่าพันธุ์วรรณะ
ให้นางพักอยู่ในเรือนสอง-สามวัน แล้วคิดว่า
เมื่อตัวเราจักกระทาให้นางถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภยศ จาต้องบวชเสียก่อน
จึงจักสามารถกระทาได้ นอกจากนี้แล้วไม่มีทาง.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์จึงเรียกนางมากล่าวว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ
เมื่อเรายังไม่ได้นาอะไรๆ ออกมาจากป่า
การครองชีพของเราทั้งสองย่อมเป็นไปไม่ได้
เจ้าอย่ากระสันวุ่นวายไปจนกว่าเราจะกลับมา เราจักเข้าไปสู่ป่าดังนี้แล้ว
กล่าวเตือนบริวารว่า แม้พวกเจ้าผู้อยู่เฝ้ าเรือนก็อย่าละเลย
ช่วยดูนางผู้เป็ นภรรยาของเราด้วย ดังนี้แล้วก็เข้าไปสู่ป่าบรรพชาเพศเป็นสมณะ
มิได้ประมาทมัวเมา บาเพ็ญสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดขึ้นในวันที่ ๗ คิดว่า
บัดนี้ เราจักสามารถเป็ นที่พึ่งแก่นางทิฏฐมังคลิกาได้
จึงเหาะมาด้วยฤทธิ์ไปลงตรงประตูจัณฑาลคาม
แล้วได้เดินไปสู่ประตูเรือนของนางทิฏฐมังคลิกา.
นางได้ยินข่าว การมาของมาตังคบัณฑิตแล้วจึงออกจากเรือน
แล้วร้องไห้คร่าครวญว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็ นสามี เหตุไฉนท่านจึงไปบวช
ทิ้งฉันไว้ไร้ที่พึ่งเล่า. ลาดับนั้น มาตังคดาบสจึงปลอบโยนนางว่า
ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ เจ้าอย่าเสียใจไปเลย
คราวนี้เราจักกระทาให้เจ้ามียศใหญ่ยิ่งกว่ายศที่มีอยู่เก่าของเจ้า ก็แต่ว่า
เจ้าจักสามารถประกาศแม้ข้อความเพียงเท่านี้ในท่ามกลางบริษัทได้ไหมว่า
มาตังคบัณฑิตไม่ใช่สามีของเรา ท้าวมหาพรหมเป็นสามีของเรา ดังนี้.
7
นางรับคาว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็ นสามี ดิฉันสามารถประกาศได้.
มาตังคดาบสจึงกล่าวว่า คราวนี้ ถ้ามีผู้ถามว่า สามีของเธอไปไหน?
ก็จงตอบว่า ไปพรหมโลก
เมื่อเขาถามว่า เมื่อไรจักมา จงบอกเขาว่า นับแต่วันนี้ไปอีก ๗ วัน
ท้าวมหาพรหมผู้เป็นสามีของเราจักแหวกพระจันทร์มาในวันเพ็ญ.
ครั้นมหาสัตว์เจ้ากล่าวกะนางอย่างนี้แล้ว
ก็เหาะกลับไปสู่หิมวันตประเทศทันที.
ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาก็เที่ยวไปยืนประกาศข้อความตามที่พระโพธิสัตว์สั่งไว้
ในที่ทุกหนทุกแห่งท่ามกลางมหาชน ในพระนครพาราณสี.
มหาชนชาวพาราณสีพากันเชื่อว่า ท้าวมหาพรหมของเรามีอยู่จริง
จะยังไม่ได้เป็นอะไรกันกับนางทิฏฐมังคลิกา ข้อนั้นจักเป็นความจริงอย่างนี้แน่.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ครั้นถึงวันบุรณมีดิถีเพ็ญ ๑๕ ค่า
ในยามเมื่อพระจันทร์ตั้งอยู่ท่ามกลางทิฆัมพร ก็เนรมิตอัตภาพเป็นท้าวมหาพรหม
บันดาลแว่นแคว้นกาสิกรรัฐทั้งสิ้น ซึ่งมีอาณาเขต กว้างยาว ๑๒ โยชน์
ให้รุ่งโรจน์สว่างไสวเป็นอันเดียวกัน แล้วแหวกมณฑลแห่งพระจันทร์
เหาะลงมาเวียนวนเบื้องบน พระนครพาราณสี ๓ รอบ
เมื่อมหาชนบูชาอยู่ด้วยเครื่องสักการะ
มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ได้บ่ายหน้าไปหมู่บ้านจัณฑาลคาม.
บรรดาประชาชนที่นับถือพระพรหม ก็ประชุมกัน
พากันไปยังหมู่บ้านจัณฑาลคาม ช่วยกันเอาผ้าขาวที่บริสุทธิ์สะอาด
ปิดบังมุงเรือนของนางทิฏฐมังคลิกา แล้วไล้ทาพื้นเรือนด้วยของหอมจตุรชาติ
โปรยดอกไม้เรี่ยรายไว้ จัดแจงปักไม้ดาดเพดานเบื้องบน
แต่งตั้งที่นอนใหญ่ไว้แล้วจุดตามประทีปด้วยน้ามันหอม
แล้วช่วยกันขนทรายขาวราวกับแผ่นเงินมาโปรยไว้ที่ประตูเรือน
แล้วแขวนพวงดอกไม้ ผูกธงทิวปลิวไสวงดงาม.
เมื่อมหาชนตกแต่งบ้านเรือนอย่างนี้เสร็จแล้ว
พระมหาสัตว์เจ้าจึงเลื่อนลอยลงจากนภากาศ เข้าไปภายใน
แล้วนั่งบนที่นอนหน่อยหนึ่ง. ในกาลนั้น นางทิฏฐมังคลิกากาลังมีระดู.
ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เอาหัวแม่มือเบื้องขวาลูบคลานาภีของนาง นางตั้งครรภ์ทันที
ต่อมาพระมหาสัตว์จึงเรียกนางมาบอกว่า น้องนางผู้เจริญ
เจ้าตั้งครรภ์แล้วจักคลอดบุตรเป็นชาย
ทั้งตัวเจ้าและบุตรจักเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยลาภยศอันเลิศล้า
น้าสาหรับล้างเท้าของเจ้าจักเป็นน้าอภิเษก สรงของพระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น
สาหรับน้าอาบของเจ้า จักเป็นโอสถอมตะ
ชนเหล่าใดนาน้าอาบของเจ้าไปรดศีรษะ
8
ชนเหล่านั้นจักหายจากโรคทุกๆ อย่างทั้งปราศจากเสนียดจัญไรกาลกรรณี อนึ่ง
ผู้คนที่วางศีรษะลงบนหลังเท้าของเจ้า กราบไหว้อยู่ จักให้ทรัพย์พันหนึ่ง
ผู้ที่ยืนไหว้ในระยะทางที่ฟังเสียงได้ยิน จักให้ทรัพย์แก่เจ้าหนึ่งร้อย
ผู้ที่ยืนไหว้ในชั่วคลองจักษุ จักให้ทรัพย์หนึ่งกหาปณะ เจ้าจงเป็ นผู้ไม่ประมาท
ครั้นให้โอวาทนางแล้วก็ออกจากเรือน
เมื่อมหาชนกาลังมองดูอยู่นั่นเทียว ก็เหาะลอยเข้าไปสู่จันทรมณฑล.
ประชาชนที่นับถือพระพรหม ต่างยืนประชุมกันอยู่จนเวลารัตติกาลผ่านไป
ครั้นเวลาเช้าจึงเชิญนางทิฏฐมังคลิกาขึ้นสู่วอทอง
แล้วยกขึ้นด้วยเศียรเกล้า พาเข้าไปสู่พระนคร.
มหาชนต่างพากันหลั่งไหลเข้าไปหานาง
ด้วยสาคัญว่าเป็นภรรยาของท้าวมหาพรหม
แล้วบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของหอมระเบียบดอกไม้เป็นต้น.
คนทั้งหลายผู้ได้ซบศีรษะบนหลังเท้า กราบไหว้ ได้ให้ถุงกหาปณะพันหนึ่ง
ผู้ที่ยืนไหว้อยู่ในระยะโสตสดับเสียงได้ยินให้ร้อยกหาปณะ
ผู้ที่ยืนไหว้ในชั่วระยะคลองจักษุให้หนึ่งกหาปณะ ประชาชนผู้พานางทิฏฐมังคลิกา
เที่ยวไปในพระนครพาราณสี อันมีอาณาเขต ๑๒ โยชน์ ได้ทรัพย์นับได้ ๑๘
โกฏิด้วยอาการอย่างนี้.
ลาดับนั้น ประชาชนทั้งหลาย
ครั้นพานางทิฏฐมังคลิกาเที่ยวไปรอบพระนครแล้ว
จึงนาเอาทรัพย์นั้นมาสร้างมหามณฑปใหญ่ท่ามกลางพระนคร
แวดวงด้วยม่านปูลาดที่นอนใหญ่ไว้
แล้วเชิญนางทิฏฐมังคลิกาให้อยู่อาศัยในมณฑปนั้นด้วยสิริโสภาคอันใหญ่ยิ่ง
แล้วเริ่มจัดการก่อสร้างปราสาท ๗ ชั้นมีประตูซุ้มถึง ๗ แห่งไว้ ณ
ที่ใกล้มหามณฑปนั้น การก่อสร้างอย่างมโหฬารได้มีแล้วในครั้งนั้น.
นางทิฏฐมังคลิกาก็คลอดบุตรในมณฑปนั่นเอง.
ต่อมาในวันที่จะตั้งชื่อกุมาร
พราหมณ์ทั้งหลายจึงมาประชุมกันขนานนามกุมารว่า มัณฑัพยกุมาร เพราะเหตุที่
คลอดในมณฑป แม้ปราสาทนั้นก็สร้างสาเร็จโดยเวลา ๑๐ เดือนพอดี
จาเดิมแต่นั้นมา นางก็อยู่ในปราสาทนั้น ด้วยยศบริวารเป็นอันมาก.
แม้มัณฑัพยกุมารก็เจริญวัย พรั่งพร้อมด้วยหมู่บริวารเป็ นอันมาก.
ในเวลาที่มัณฑัพยกุมารมีอายุได้ ๗-๘ ปี
อาจารย์ผู้อุดมด้วยวิทยาการทั้งหลายในพื้นชมพูทวีป
จึงประชุมกันให้กุมารนั้นเรียนไตรเพท ๓ พระคัมภีร์. มัณฑัพยมาณพ
นั้นนับแต่อายุครบ ๑๖ ปีบริบูรณ์ ก็เริ่มตั้งนิตยภัตสาหรับพวกพราหมณ์ทั้งหลาย.
พราหมณ์หมื่นหกพันคนก็ได้บริโภคอาหารในสานักของมัณฑัพยมาณพเป็นประ
9
จา
เขาถวายทานแก่พราหมณ์ทั้งหลายที่ซุ้มประตูที่ ๔.
ต่อมาในวันประชุมใหญ่คราวหนึ่ง
มัณฑัพยมาณพให้จัดเตรียมข้าวปายาสไว้ในเรือนเป็ นอันมาก.
พราหมณ์ทั้งหมื่นหกพันก็นั่ง ณ ซุ้มประตูที่ ๔
บริโภคข้าวปายาสอันปรุงดีแล้วด้วยเนยข้น เนยใส และน้าผึ้ง
น้าตาลกรวดที่เขาจัดมาถวายด้วยถาดทองคา.
แม้มัณฑัพยมาณพก็ประดับประดาตกแต่งด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง
สวมรองเท้าทอง มือถือไม้เท้าทอง เที่ยวตรวจตราการเลี้ยงดู สั่งบริวารชนว่า
ท่านทั้งหลายจงให้เนยใสในสารับนี้ จงให้น้าผึ้งที่สารับนี้ ดังนี้.
ขณะนั้น มาตังคบัณฑิตนั่งอยู่ที่อาศรมบทในหิมวันตประเทศ
ตรวจดูว่า
ความประพฤติแห่งบุตรของนางทิฏฐมังคลิกาเป็นอย่างไร? เห็นการกระทาของเ
ขาโน้มเอียงไปในลัทธิอันไม่สมควรแล้วคิดว่า วันนี้แหละ
เราจักไปทรมานมาณพให้บริจาคทานในเขตที่บุคคลให้แล้วมีผลมาก
แล้วจึงจักกลับมา ดังนี้แล้วเหาะไปสู่สระอโนดาตโดยทางอากาศ
ทากิจวัตรมีการล้างหน้าเป็นต้นแล้ว ยืนอยู่ที่พื้นมโนศิลา ครองจีวรสองชั้น
คาดรัดประคดมั่น แล้วห่มผ้าสังฆาฏิ อันเป็นผ้าบังสุกุล
เสร็จแล้วถือเอาบาตรดินเหาะมาทางอากาศ เลื่อนลอยลงตรงโรงทานที่ซุ้มประตูที่
๔ แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง
มัณฑัพยมาณพกาลังตรวจตราดูแลทางโน้นทางนี้อยู่
แลเห็นพระดาบสนั้นแต่ไกล คิดว่า
บรรพชิตรูปนี้มีรูปร่างคล้ายยักษ์ปีศาจเปื้อนฝุ่นเห็นปานนี้ มาสู่ที่นี่
ท่านมาจากที่ไหนหนอ ดังนี้แล้ว
เมื่อจะสนทนาปราศรัยกับมาตังคดาบสนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ความว่า
ท่านมีปกตินุ่งห่มไม่สมควร ดุจปีศาจเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นละออง
สวมใส่ผ้าขี้ริ้วที่ได้จากกองขยะไว้ที่คอ มาจากไหน ท่านเป็ นใคร
เป็นผู้ไม่สมควรแก่ทักษิณาทานเลย ดังนี้.
พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้น เมื่อจะสนทนากับมัณฑัพยมาณพ
ด้วยจิตที่เยือกเย็นอ่อนโยน จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ความว่า
ข้าวน้านี้ท่านจัดไว้เพื่อท่านผู้เรืองยศ
พราหมณ์ทั้งหลายย่อมขบเคี้ยวบริโภคและดื่มข้าวน้าของท่านนั้น
ท่านรู้จักข้าพเจ้าว่า เป็นผู้อาศัยโภชนะที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีวิต
แม้ถึงจะเป็นคนจัณฑาล ก็ขอจงได้ก้อนข้าวบ้างเถิด ดังนี้.
ลาดับนั้น มัณฑัพยกุมารจึงกล่าวคาถา ความว่า
10
ข้าวน้าของเรานี้ เราจัดไว้เพื่อพราหมณ์ทั้งหลาย ทานวัตถุนี้ เราเชื่อว่า
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ตน ท่านจงหลีกไปเสียจากที่นี่
จะมายืนอยู่ที่นี่เพื่ออะไร เจ้าคนเลว คนอย่างเราย่อมไม่ให้ทานแก่เจ้าดังนี้.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวคาถาความว่า
ชาวนาทั้งหลายเมื่อหวังผลในข้าวกล้า
ย่อมหว่านพืชพันธุ์ธัญญาหารลงในที่ดอนบ้าง ในที่ลุ่มบ้าง ในที่เสมอไม่ลุ่มๆ
ดอนๆ บ้างฉันใด ท่านจงให้ทานแก่ปฏิคาหกทั้งหลาย
ด้วยศรัทธานี้ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อให้ทานอยู่อย่างนี้
ไฉนจะพึงได้ทักขิเณยบุคคลที่น่ายินดีเล่า ดังนี้.
มีอรรถาธิบายดังนี้ ดูก่อนกุมาร ชาวนาทั้งหลาย
เมื่อหวังผลข้าวกล้าย่อมหว่านพืชพันธุ์ธัญญาหารลงในเนื้อที่นา แม้ทั้ง ๓ อย่าง
ในกาลที่ฝนตกมากเกินไป ข้าวกล้าในนาดอนนั้น ย่อมสาเร็จผล
ข้าวกล้าในนาลุ่มย่อมเสียหาย ส่วนข้าวกล้าที่อาศัยแม่น้าและพึงกระทาในที่เสมอ
ไม่ลุ่มไม่ดอน ย่อมถูกห้วงน้าพัดไปเสีย
ในเมื่อฝนตกเล็กน้อย ข้าวกล้าในนาดอนย่อมเสียหายไม่ได้ผล
ข้าวกล้าในนาลุ่มย่อมได้ผลเล็กน้อย ส่วนข้าวกล้าในนาที่ไม่ลุ่มไม่ดอน
คงได้ผลดีทีเดียว
ในกาลที่ฝนตกสม่าเสมอไม่มากไม่น้อย
ข้าวกล้าในนาดอนได้ผลเล็กน้อย แต่ข้าวกล้าในนานอกนี้ ย่อมได้ผลบริบูรณ์ดี
เพราะฉะนั้น ชาวนาทั้งหลาย เมื่อหวังผลข้าวกล้า
ย่อมเพาะหว่านในเนื้อนาทั้ง ๓ อย่างฉันใด
แม้ท่านก็จงบริจาคทานแก่ปฏิคาหกทั้งหลายผู้มาแล้วๆ ทั้งหมด
ด้วยศรัทธาคือผลนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อท่านบริจาคทานอยู่อย่างนี้
ไฉนเล่าจะพึงให้ยินดี คือได้ทักขิเณยบุคคลที่ดี ดังนี้.
ลาดับนั้น มัณฑัพยมาณพจึงกล่าวคาถาต่อไปความว่า
เราย่อมตั้งไว้ซึ่งพืชทั้งหลายในเขตเหล่าใด
เขตเหล่านั้นเรารู้แจ้งแล้วในโลก พราหมณ์เหล่าใด สมบูรณ์ด้วยชาติแลมนต์
พราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่าเป็นเขต มีศีลเป็นที่รักในโลกนี้ ดังนี้.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
กิเลสทั้งหลายเหล่านี้ คือ ชาติมทะ ความเมาเพราะชาติ ๑ อติมานะ
ความดูหมิ่นท่าน ๑ โลภะ ความโลภอยากได้ของเขา ๑ โทสะ
ความคิดประทุษร้าย ๑ มทะ ความประมาทมัวเมา ๑ โมหะ ความหลง
๑ ทั้งหมดเป็นโทษมิใช่คุณ
ย่อมมีในเขตเหล่าใด เขตเหล่านั้นไม่ใช่เขตอันดีมีศีลเป็นที่รักในโลกนี้ กิเลสทั้งห
ลายเหล่านี้คือ ชาติมทะ อติมานะ โลภะ โทสะ มทะ
11
และโมหะ ทั้งหมดเป็นโทษมิใช่คุณ
ไม่มีในเขตเหล่าใด เขตเหล่านั้นจัดว่าเป็นเขตมีศีล เป็นที่รักในโลกนี้ ดังนี้.
เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวอยู่บ่อยๆ เช่นนี้
มัณฑัพยมาณพนั้นขุ่นเคืองจึงพูดว่า ดาบสผู้นี้พูดเพ้อเจ้อมากเกินไป
คนรักษาประตูเหล่านี้ไปไหนหมด จงมานาเอาคนจัณฑาลนี้ออกไป
แล้วกล่าวคาถา ความว่า
คนเฝ้ าประตูทั้งสาม คือ อุปโชติยะ อุปวัชฌะและภัณฑกุจฉิ
ไปไหนกันเสียหมดเล่า ท่านทั้งหลายจงลงอาญา และเฆี่ยนตีคนจัณฑาลนี้
แล้วลากคอคนลามกนี้ไสหัวไปให้พ้น ดังนี้.
ฝ่ายคนเฝ้ าประตูเหล่านั้นได้ยินถ้อยคาของมัณฑัพยมาณพแล้ว
ก็รีบมาไหว้แล้ว กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ จะสั่งให้พวกผมทาอะไร?
มัณฑัพยมาณพจึงบอกว่า
ท่านทั้งหลายเห็นคนจัณฑาลชาติชั่วคนนี้ที่ไหน?
พวกนายประตูกล่าวว่า ท่านผู้ประเสริฐ
พวกกระผมไม่เห็นเลยจึงไม่รู้ว่า เขามาจากที่ไหน?
เขาดาริว่า ชะรอยมันจะเป็นนักเล่นกล
หรือโจรวิชาธรบางคนเป็นแน่ดังนี้ กล่าวสาทับพวกนายประตูว่า
บัดนี้พวกเจ้ายังจะยืนเฉยอยู่ทาไม?
นายประตูทั้งสามจึงถามว่า ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ
จะโปรดให้พวกผมทาอะไร?
มัณฑัพยมาณพตอบว่า
พวกท่านจงโบยตีตบต่อยปากเจ้าคนถ่อยจัณฑาลผู้นี้ทีเดียว
แล้วเอาเรียวไม้ไผ่สาหรับลงอาญาโบย ถลกหนังมันขึ้น แล้วฆ่ามันเสีย
จับคอลากเจ้าคนลามกนี้ไปให้พ้นจากที่นี่. เมื่อนายประตูทั้ง ๓ ยังไม่ทันมาใกล้ชิด
พระมหาสัตว์ก็เหาะลอยขึ้นไปยืนอยู่บนอากาศกล่าวคาถาความว่า
ผู้ใดบริภาษฤาษี ผู้นั้นชื่อว่าขุดภูเขาด้วยเล็บ
ชื่อว่าเคี้ยวกินก้อนเหล็กด้วยฟัน ชื่อว่าพยายามกลืนกินไฟ.
ก็แล ครั้นพระมหาสัตว์กล่าวดังนี้แล้ว
เมื่อมาณพและพราหมณ์ทั้งหลายกาลังแลดูอยู่นั่นแล ได้แล่นลอยไปในอากาศ.
เมื่อจะประกาศความข้อนี้ พระศาสดาจึงตรัสว่า
มาตังคฤาษีผู้มีสัจจะเป็ นเครื่องก้าวไปเบื้องหน้าเป็นสภาพ ครั้นกล่าวค
าถานี้แล้ว เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายแลดูอยู่ ได้เหาะหลีกผ่านไปในอากาศ.
มาตังคดาบสนั้นแล บ่ายหน้ามุ่งสู่ทิศปราจีน เหาะไปลง ณ
ถนนสายหนึ่ง แล้วอธิษฐานว่า ขอรอยเท้าของเราจงปรากฏ
แล้วบิณฑบาตใกล้ประตูด้านทิศปราจีน รวบรวมอาหารที่เจือปนกัน
12
แล้วไปนั่งฉันภัตตาหารที่เจือปนกัน ณ ศาลาแห่งหนึ่ง.
เทพยดาผู้รักษาพระนครทั้งหลายกล่าวกันว่า
มัณฑัพยกุมารผู้นี้พูดก้าวร้าวเบียดเบียนพระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย ดังนี้
อดทนไม่ได้ จึงมาประชุมกัน
ลาดับนั้น
ยักขเทวดาผู้เป็นหัวหน้าก็พากันจับคอของมัณฑัพยกุมารบิดกลับเสีย.
เทวดาที่เหลือก็พากันจับคอของพราหมณ์ที่เหลือทั้งหลาย
บิดกลับเสียอย่างนั้นเหมือนกัน
แต่เพราะเทวดาเหล่านั้นมีจิตอ่อนน้อมในพระโพธิสัตว์
จึงไม่ฆ่ามัณฑัพยมาณพเสีย ด้วยคิดว่าเป็ นบุตรของพระโพธิสัตว์
เพียงแต่ทาให้ทรมานลาบากอย่างเดียวเท่านั้น.
ศีรษะของมัณฑัพยมาณพบิดกลับไป มีหน้าอยู่เบื้องหลัง
มือและเท้าเหยียดตรงแข็งทื่อตั้งอยู่
กระดูกทั้งหลายก็กลับกลายเป็นเหมือนกระดูกของคนที่ตายแล้ว
เขามีร่างกายแข็งกระด้างนอนแซ่วอยู่.
ถึงพราหมณ์ทั้งหลายก็สารอกน้าลายไหลออกทางปาก กระเสือกกระสนไปมา.
คนทั้งหลายรีบไปแจ้งเรื่องราวแก่นางทิฏฐมังคลิกาว่า ข้าแต่แม่เจ้า
บุตรของท่านเกิดเป็นอะไรไปไม่ทราบได้? นางทิฏฐมังคลิการีบมาโดยเร็ว
เห็นบุตรแล้วกล่าวว่า นี่อะไรกัน?
แล้วกล่าวคาถาความว่า
ศีรษะของลูกเราบิดกลับไปอยู่เบื้องหลัง แขนเหยียดตรงไม่ไหวติง
นัยน์ตาขาวเหมือนคนตาย ใครมาทาบุตรของเราให้เป็นอย่างนี้.
ลาดับนั้น คนผู้ยืนอยู่ในที่นั้น เพื่อจะแจ้งให้นางทราบ จึงกล่าวคาถานี้
ความว่า
สมณะรูปหนึ่ง มีปกตินุ่งห่มไม่สมควรสกปรกดุจปีศาจ
เปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นละออง สวมใส่ผ้าขี้ริ้วที่ได้จากกองขยะไว้ที่คอ ได้มา ณ ที่นี้
สมณะรูปนั้นได้ทาบุตรของท่านให้เป็ นอย่างนี้.
นางทิฏฐมังคลิกาได้ฟังคานั้นแล้วคิดว่า นี้ไม่ใช่พลังของผู้อื่น
คงจักเป็นมาตังคบัณฑิตสามีของเราโดยไม่ต้องสงสัย ก็แต่ว่า
ท่านมาตังคบัณฑิตนั้นเป็นนักปราชญ์ สมบูรณ์ด้วยเมตตาภาวนา
คงจักทรมานคนพวกนี้ให้ลาบากแล้วไปเสีย และท่านจักไปทิศไหนเล่าหนอ
แต่นั้น เมื่อนางจะถามถึงมาตังคบัณฑิต จึงกล่าวคาถาความว่า
ดูก่อนมาณพทั้งหลาย
สมณะผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดินได้ไปแล้วสู่ทิศใด
ท่านทั้งหลายจงบอกเนื้อความนั้นแก่เรา เราจักไปยังสานักของท่าน
13
ขอให้ท่านอดโทษนั้นเสีย ไฉนหนอ เราจะพึงได้ชีวิตบุตรคืนมา.
ลาดับนั้น มาณพทั้งหลายผู้ยืนอยู่ในที่นั้น เมื่อจะบอกความนั้นแก่นาง
ได้กล่าวคาถาความว่า
ฤาษีผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน ได้ไปแล้วในอากาศวิถี
ราวกะว่าพระจันทน์ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่า อันตั้งอยู่ท่ามกลางระหว่างอากาศ อนึ่ง
พระฤาษีผู้มีปฏิญาณมั่นในสัจจะ ทรงคุณธรรมอันดีงามนั้น ได้ไปทางทิศบูรพา.
นางทิฏฐมังคลิกานั้นสดับคาของมาณพเหล่านั้นแล้ว จึงคิดว่า
เราจักไปค้นหาสามีของเรา
จึงใช้ให้ทาสีถือเอาน้าเต้าทองคากับขันน้าทองคาแวดล้อมด้วยหมู่ทาสี
เดินไปจนถึงสถานที่ที่พระโพธิสัตว์อธิษฐานเหยียบรอยเท้าไว้
จึงเดินตามรอยเท้านั้นไป
เมื่อพระโพธิสัตว์กาลังนั่งฉันภัตตาหารอยู่บนตั่งที่ศาลานั้น
นางจึงเดินเข้าไปสู่ที่ใกล้พระมหาสัตว์ ทาความเคารพแล้วยืนอยู่.
พระโพธิสัตว์เห็นนางแล้ว จึงเหลือข้าวสุกไว้ในบาตรหน่อยหนึ่ง.
นางทิฏฐมังคลิกาจึงถวายน้าแก่พระโพธิสัตว์ด้วยน้าเต้าทอง.
พระโพธิสัตว์จึงล้างมือบ้วนปากลงในบาตรนั้นเอง.
ลาดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกา เมื่อจะถามพระโพธิสัตว์ว่า
ใครกระทาบุตรของตนให้ถึงอาการอันแปลกประหลาดนั้น จึงกล่าวคาถาความว่า
ศีรษะของลูกเราบิดกลับไปอยู่เบื้องหลัง แขนเหยียดตรงไม่ไหวติง
นัยน์ตาขาวเหมือนคนตาย ใครมาทาบุตรของเราให้เป็นอย่างนี้.
ชื่อว่าคาถาอันเป็นคาถามและคาตอบของชนทั้งสองที่ยิ่งไปกว่านั้นมีดัง
นี้
พระโพธิสัตว์ได้สดับแล้วจึงตอบนางทิฏฐมังคลิกา โดยคาถาว่า
ยักษ์ทั้งหลายผู้มีอานุภาพมากมีอยู่แล
ยักษ์เหล่านั้นพากันติดตามพระฤาษี มีคุณธรรม มาแล้ว รู้ว่าบุตรของท่าน
มีจิตคิดประทุษร้ายโกรธเคือง จึงทาบุตรของท่านให้เป็นอย่างนี้แล.
นางทิฏฐมังคลิกากล่าวว่า
ถ้ายักษ์ทั้งหลายได้ทาบุตรของดิฉันให้เป็นอย่างนี้
ขอท่านผู้เป็นพรหมจารีเท่านั้น อย่าได้โกรธบุตรดิฉันเลย
ดิฉันขอถึงฝ่าเท้าของท่านนั่นแหละเป็ นที่พึ่ง ข้าแต่ท่านผู้เป็ นภิกษุ
ดิฉันตามมาก็เพราะความเศร้าโศกถึงบุตร.
พระมหาสัตว์มาตังคบัณฑิตกล่าวตอบว่า
ในคราวที่บุตรของท่านด่าเราก็ดีและเมื่อท่านมาอ้อนวอนอยู่ ณ
บัดนี้ก็ดี จิตคิดประทุษร้ายแม้หน่อยหนึ่งมิได้มีแก่เราเลย
แต่บุตรของท่านเป็ นคนประมาท เพราะความมัวเมาว่าเรียนจบไตรเพท
14
แม้จะเรียนจบไตรเพทแล้ว ก็ยังไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์.
นางทิฏฐมังคลิกาได้สดับดังนั้นแล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็นภิกษุ
ความจาของบุรุษย่อมหลงลืมได้โดยครู่เดียวเป็นแน่แท้
ท่านผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน ขอได้โปรดอดโทษสักครั้งเถิด
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่เป็นผู้มีความโกรธเป็นกาลัง.
พระมหาสัตว์
ผู้อันนางทิฏฐมังคลิกาอ้อนวอนขอโทษบุตรชายอยู่อย่างนี้ จึงกล่าวว่า
ถ้าเช่นนั้นเราจักให้อมฤตโอสถไปเพื่อขับไล่ยักษ์ทั้งหลายเหล่านั้นให้หนีไป
แล้วกล่าวคาถา ความว่า
มัณฑัพยมาณพบุตรของท่านผู้มีปัญญาน้อย
จงบริโภคก้อนข้าวที่เราฉันเหลือนี้เถิด
ยักษ์ทั้งหลายจะไม่พึงเบียดเบียนบุตรของท่านเลย อนึ่ง
บุตรของท่านจะหายโรคในทันที.
นางทิฏฐมังคลิกาฟังถ้อยคาของมหาสัตว์แล้ว จึงน้อมขันทองเข้าไป
กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นสามี ท่านได้โปรดให้อมฤตโอสถเถิด.
พระมหาสัตว์จึงเทข้าวสุกที่ฉันเหลือกับน้าล้างมือลงในขันทองนั้น แล้วสั่งว่า
ท่านจงหยอดน้าครึ่งหนึ่งจากส่วนนี้ ใส่ในปากบุตรของท่านก่อนทีเดียว
ส่วนที่เหลือจงเอาน้าผสมใส่ไว้ในตุ่มให้หยอดลงในปากพราหมณ์ที่เหลือทั้งหลาย
ชนเหล่านั้นทั้งหมด ก็จะเป็นผู้หายโรคภัยไข้เจ็บทันที
ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ก็เหาะลอยกลับไปสู่หิมวันตประเทศในทันที.
ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาก็เอาศีรษะทูนขันทองนั้น กล่าวว่า
เราได้อมฤตโอสถแล้ว รีบไปยังนิเวศน์ของตน
หยอดน้าข้าวล้างมือใส่ในปากบุตรชายของตนก่อน.
ยักษ์ผู้เป็นหัวหน้ารักษาพระนครก็หนีไป
มัณฑัพยมาณพลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เปื้อนกายแล้วถามว่า ข้าแต่คุณแม่
นี่อะไรกัน?
นางจึงกล่าวกะบุตรชายว่า เจ้านั่นแหละจักรู้สิ่งที่ตนทาไว้
มาเถิดพ่อคุณ เจ้าจงไปดูความวิบัติแห่งทักขิเณยยชนของเจ้าบ้าง.
มัณฑัพยมาณพเห็นพราหมณ์เหล่านั้น เสือกสนสลบอยู่
ก็ได้เป็นผู้มีวิปฏิสาร เดือดร้อนใจ ลาดับนั้น
นางทิฏฐมังคลิกาผู้มารดาจึงกล่าวกะมัณฑัพยมาณพว่า พ่อมัณฑัพยกุมาร
เจ้าเป็นคนโง่เขลา ไม่รู้จักสถานที่จะให้ทานมีผลมาก
ขึ้นชื่อว่าทักขิเณยยบุคคลทั้งหลาย มิใช่ผู้มีสภาพเห็นปานนี้
ต้องเป็นเช่นกับมาตังคบัณฑิต นับแต่นี้ต่อไป
15
เจ้าอย่าให้ทานแก่คนทุศีลจาพวกนี้เลย จงให้ทานแก่ผู้มีศีลทั้งหลายเถิด ดังนี้
แล้วกล่าวคาถาความว่า
พ่อมัณฑัพยะ เจ้ายังเป็นคนโง่เขลามีปัญญาน้อย
เจ้าเป็นผู้ไม่ฉลาดในเขตบุญทั้งหลาย ได้ให้ทานในหมู่ชนผู้ประกอบด้วยกิเลส
ดุจน้าฝาดใหญ่ มีกรรมเศร้าหมอง ไม่สารวม
บรรดาทักขิเณยยบุคคลของเจ้าบางพวกเกล้าผมเป็นเซิง
นุ่งห่มหนังเสือ ปากรกรุงรังไปด้วยหนวดเครา ดังปากบ่อน้าเก่ารกไปด้วยกอหญ้า
เจ้าจงดูหมู่ชนที่มีรูปร่างน่าเกลียดนี้ การเกล้าผมผูกเป็นเซิง
หาป้ องกันผู้มีปัญญาน้อยได้ไม่
ท่านเหล่าใดสารอกราคะโทสะและอวิชชาแล้ว หรือเป็นพระอรหันต์ผู้
มีอาสวะสิ้นแล้ว ทานที่บุคคลถวายในท่านเหล่านั้น ย่อมมีผลมาก.
นางทิฏฐมังคลิกากล่าวต่อไปว่า ดูก่อนลูกรัก เพราะเหตุนั้น
จาเดิมแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้ให้ทานแก่บุคคลผู้ทุศีลเห็นปานนี้
จงให้ทานแก่สมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘
และแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในโลกเหล่านั้น มาเถิดลูกรัก
เราจักให้พวกพราหมณ์ทั้งหลายซึ่งเป็ นผู้คุ้นเคยชอบพอของเจ้า
ดื่มอมฤตโอสถแล้วทาให้หายโรคเสียให้หมด ดังนี้แล้ว
จึงให้เอาข้าวสุกที่เป็ นเดนเทใส่ลงในตุ่มน้า
แล้วให้หยอดลงในปากของพราหมณ์ทั้งหลาย ทั้งหมื่นหกพันคน.
พราหมณ์แต่ละคนได้สติลุกขึ้นปัดฝุ่นที่กายของตนๆ. ลาดับนั้น
พราหมณ์ทั้งหลายเหล่าอื่นพากันติเตียนว่า
พราหมณ์เหล่านี้พากันดื่มกินน้าเดนเหลือของคนจัณฑาล
แล้วยกโทษทาไม่ให้เป็นพราหมณ์ต่อไป.
พราหมณ์เหล่านั้นมีความละอายจึงออกจากพระนครพาราณสี
ไปสู่แคว้นเมชฌรัฐ แล้วพานักอยู่ในสานักของพระเจ้าเมชฌราช.
ส่วนมัณฑัพยมาณพยังคงอยู่ในพระนครพาราณสีนั้นต่อไปตามเดิม.
ในครั้งนั้น
มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ ชาติมันต์ บวชเป็นดาบสอยู่ที่ริมฝั่งน้าเวตตวตีนที
อาศัยเวตตวตีนครเป็นแหล่งโคจร อาศัยชาติเป็นเหตุก่อเกิดมานะยิ่งใหญ่.
พระมหาสัตว์มาตังคบัณฑิตคิดว่า เราจักทาลายมานะของพราหมณ์นี้
จึงไปยังสถานที่นั้น อาศัยอยู่ด้านเหนือน้า ใกล้สานักของชาติมันตดาบส.
อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์เคี้ยวไม้สีฟันแล้วอธิษฐานว่า
ไม้สีฟันนี้จงลอยไปติดอยู่ที่ชฎาของดาบสชาติมันต์
ดังนี้แล้วทิ้งไม้สีฟันนั้นลงไปในแม่น้า.
ไม้สีฟันก็ลอยไปติดอยู่ที่ชฎาของชาติมันตดาบสผู้กาลังอาบน้าชาระกายอยู่.
16
ชาติมันตดาบสเห็นดังนั้นก็กล่าวบริภาษว่า คนฉิบหาย คนวายร้าย แล้วคิดว่า
ไอ้คนกาลกรรณีนี้ มันมาจากไหน เราต้องไปตรวจดูจึงเดินไปตามฝั่งเหนือน้า
พบพระมหาสัตว์แล้วถามว่า ท่านเป็ นชาติอะไร?
พระมหาสัตว์ตอบว่า เราเป็นชาติจัณฑาล.
ชาติมันตดาบสถามว่า ท่านทิ้งไม้สีฟันลงไปในแม่น้าใช่ไหม?
พระมหาสัตว์ตอบว่า ใช่ ข้าพเจ้าทิ้งไปเอง.
ชาติมันตดาบสจึงบริภาษว่า คนฉิบหาย คนวายร้าย คนจัณฑาล
คนกาลกรรณี เจ้าอย่าอยู่ในสถานที่นี้เลย จงไปอยู่เสียที่ฝั่งใต้น้าทางโน้น
เมื่อพระมหาสัตว์ไปอยู่ฝั่งใต้นที ทิ้งไม้สีฟันลงไปในแม่น้า
ไม้สีฟันนั้นกลับลอยทวนน้าขึ้นไปติดอยู่ในชฎาของดาบสนั้นอีก
ชาติมันตดาบสโกรธ กล่าวว่าไอ้คนฉิบหาย ไอ้คนถ่อย ถ้าเจ้ายังอยู่ในที่นี้
ศีรษะของเจ้าจักแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงภายในเจ็ดวัน.
พระมหาสัตว์ดาริว่า ถ้าเราจักโกรธดาบสผู้นี้
ศีลของเราจักขาดไม่เป็นอันรักษา เราจะทาลายมานะของดาบสด้วยอุบายวิธี
ครั้นถึงวันที่ ๗ จึงบันดาลฤทธิ์ ห้ามมิให้พระอาทิตย์ขึ้น.
มนุษย์ทั้งหลายพากันวุ่นวาย เข้าไปหาชาติมันตดาบส ถามว่า
ท่านขอรับ ท่านห้ามมิให้พระอาทิตย์ขึ้นหรือ?
ดาบสตอบว่า กรรมนั้นไม่ใช่ของเรา
แต่มีดาบสจัณฑาลผู้หนึ่งอาศัยอยู่ที่ริมฝั่งนที
ชะรอยกรรมนี้จักเป็ นของดาบสจัณฑาลผู้นั้น.
มนุษย์ทั้งหลายพากันเข้าไปหาพระมหาสัตว์เจ้าถามว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ให้พระอาทิตย์อุทัยขึ้นหรือ?
พระมหาสัตว์รับว่า ใช่ เราห้ามไม่ให้ขึ้นไปเอง.
พวกมนุษย์จึงถามว่า เพราะเหตุอะไร?
พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า
พระดาบสผู้คุ้นเคยในตระกูลของท่านทั้งหลายได้สาปแช่งข้าพเจ้าผู้หาความผิดมิ
ได้ เมื่อดาบสผู้นั้นมาหมอบลงแทบเท้าของข้าพเจ้าเพื่อขอขมาโทษ
ข้าพเจ้าจึงจักปล่อยพระอาทิตย์ให้อุทัยขึ้น.
มนุษย์เหล่านั้นพากันไปฉุดลากชาติมันตดาบสนามา
บังคับให้หมอบลงแทบเท้าของพระมหาสัตว์ให้ขอขมาโทษ แล้วจึงกล่าวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านโปรดปล่อยพระอาทิตย์ให้อุทัยขึ้นเถิด.
พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า เรายังไม่อาจที่จะปล่อยได้ ถ้าหากว่า
เราจักปล่อยพระอาทิตย์ขึ้นไซร้ ศีรษะของดาบสผู้นี้จักแตกออกเป็ นเจ็ดเสี่ยง.
ลาดับนั้น มนุษย์ทั้งหลายจึงถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น
ข้าพเจ้าทั้งหลายจะทาอย่างไร?
17
พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงนาเอาก้อนดินเหนียวมา
ครั้นให้นามาแล้ว สั่งว่าจงเอาดินเหนียววางไว้บนศีรษะของดาบสนี้
แล้วบังคับให้ลงไปยืนในน้า แล้วจึงปล่อยพระอาทิตย์ให้อุทัยขึ้น.
ก็เมื่อพระอาทิตย์อุทัยขึ้นไปกระทบเข้าเท่านั้น
ก้อนดินเหนียวก็แตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง ดาบสก็ดาลงไปในน้า.
ครั้นพระมหาสัตว์เจ้าทรมานดาบสนั้นแล้ว จึงใคร่ครวญว่า
พราหมณ์หมื่นหกพันเหล่านั้นไปอยู่ ณ ที่แห่งใดหนอ? ทราบว่า
ไปอยู่ในสานักของพระเจ้าเมชฌราช คิดว่า เราจักไปทรมานพราหมณ์เหล่านั้น
แล้วเหาะไปด้วยฤทธิ์ลงที่ใกล้พระนคร
ถือบาตรสัญจรไปเพื่อบิณฑบาตในเวตตวตีนคร.
พราหมณ์ทั้งหลายเห็นพระมหาสัตว์แล้วคิดว่า
แม้เมื่อพระดาบสนี้มาอยู่ในที่นี้เพียงวันสองวัน ก็จักทาให้เราทั้งหลายไม่มีที่พึ่ง
จึงพากันไปยังราชสานักโดยเร็ว กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
มีวิชาธรนักเล่นกลตนหนึ่งเป็ นโจร มาอาศัยอยู่ในพระนครนี้
ขอพระองค์โปรดตรัสสั่งให้จับมันเถิด.
พระราชก็ตรัสรับรองว่า ดีละ เราจะจัดการ.
พระมหาสัตว์ได้มิสสกภัตแล้ว จึงนามานั่งบนตั่ง พิงฝาแห่งหนึ่งฉันอยู่.
ลาดับนั้น ราชบุรุษที่พระราชาส่งมา ติดตามมา
เอาดาบฟันคอพระมหาสัตว์ซึ่งกาลังบริโภคอาหารอยู่ มิได้ระมัดระวังตัว
ให้ถึงชีพิตักษัย.
พระมหาสัตว์นั้นทากาลกิริยาแล้วไปเกิดในพรหมโลก.
ได้ยินว่า ในชาดกนี้พระโพธิสัตว์ได้เป็ นผู้ทรมานโกณฑพราหมณ์แล้ว
และถึงซึ่งชีพิตักษัย เพราะเป็ นผู้ขวนขวายที่จะทรมานผู้อื่นเท่านั้น
เทพยดาทั้งหลายพากันโกรธเคืองจึงบันดาลให้ฝนเถ้ารึงอันร้อนตกลงในเมชฌรัฐ
ทั้งสิ้น ทาให้แว่นแคว้นพินาศไปสิ้น.
สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เมื่อพระเจ้าเมชฌราช เข้าไปทาลายชีวิตท่านมาตังคบัณฑิตผู้ยงยศ
วงศ์กษัตริย์เมชฌราชพร้อมด้วยราชบริษัท ก็ได้ขาดสูญในกาลครั้งนั้น.
พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า
มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน
พระเจ้าอุเทนราชก็ทรงเบียดเบียนบรรพชิตเหมือนกัน
แล้วทรงประชุมชาดกว่า
มัณฑัพยกุมารในครั้งนั้น ได้มาเป็ น พระเจ้าอุเทน
ส่วนมาตังคบัณฑิตได้มาเป็น เราผู้สัมมาสัมพุทธเจ้า นี้แล.
18
จบอรรถกถามาตังคชาดกที่ ๑
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 497 มาตังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

346 เกสวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
346 เกสวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx346 เกสวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
346 เกสวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
138 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
138 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx138 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
138 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
140 กากชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
140 กากชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx140 กากชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
140 กากชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
413 ธูมการิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
413 ธูมการิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....413 ธูมการิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
413 ธูมการิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
109 กุณฑปูวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
109 กุณฑปูวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....109 กุณฑปูวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
109 กุณฑปูวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
456 ชุณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
456 ชุณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx456 ชุณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
456 ชุณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
325 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
325 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx325 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
325 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 

Similar to 497 มาตังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

346 เกสวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
346 เกสวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx346 เกสวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
346 เกสวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
330 สีลวีมังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
138 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
138 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx138 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
138 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
140 กากชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
140 กากชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx140 กากชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
140 กากชาดกพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
413 ธูมการิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
413 ธูมการิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....413 ธูมการิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
413 ธูมการิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
225 ขันติวัณณนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
109 กุณฑปูวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
109 กุณฑปูวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....109 กุณฑปูวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
109 กุณฑปูวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
๑๐. มหาเวสสันดรชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุ...
 
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
086 สีลวีมังสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
456 ชุณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
456 ชุณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx456 ชุณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
456 ชุณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
260 ทูตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
443 จูฬโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
029 กัณหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
325 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
325 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx325 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
325 โคธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
271 อุทปานทูสกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 

More from maruay songtanin

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfmaruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

497 มาตังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 มาตังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๑๕. วีสตินิบาต ๑. มาตังคชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๙๗) ว่าด้วยอานุภาพของฤๅษีมาตังคะ (มัณฑัพยกุมารตรัสกับมาตังคดาบสว่า) [๑] ท่านมาจากไหนหนอ นุ่งผ้าเก่าขาดกะรุ่งกะริ่งเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น สวมใส่เศษผ้าจากกองขยะไว้จนถึงคอ ท่านไม่ใช่ทักขิไณยบุคคล เป็นใครกันแน่ (พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า) [๒] ขอถวายพระพรพระองค์ผู้เพียบพร้อมด้วยยศ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมขบฉันและดื่มกินอาหาร ที่พระองค์ทรงตระเตรียมไว้ พระองค์ก็ทรงรู้ว่า อาตมาอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีวิต ขอคนจัณฑาลจงได้ก้อนข้าวที่ต้องการลุกขึ้นยืนรับเถิด (มัณฑัพยกุมารตรัสว่า) [๓] อาหารนี้เราตระเตรียมไว้สาหรับพราหมณ์ทั้งหลาย อาหารนี้ย่อมเป็ นไปเพื่อประโยชน์แก่ตน สาหรับเราผู้เชื่อมั่น ท่านจงหลีกไปแต่ที่นี้เถิด จะยืนอยู่ทาไม พราหมณ์ผู้ชั่วช้า คนเช่นเราจะไม่ให้ท่าน (พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า) [๔] คนทั้งหลายเมื่อหวังผลย่อมหว่านพืชลงในนาดอน ๑ ในนาลุ่ม ๑ ในที่ไม่ใกล้แม่น้า ๑ ด้วยความเชื่อนั้น ขอพระองค์จงให้ทาน พึงให้ทักขิไณยบุคคลยินดีได้แน่แท้ (มัณฑัพยกุมารตรัสว่า) [๕] เรารู้แจ้งเนื้อนาบุญเป็นที่ประดิษฐานเมล็ดพืชทั้งหลายในโลก เนื้อนาบุญ คือ พราหมณ์ทั้งหลายที่เกิดโดยชาติและมนต์ นับว่าเป็ นเนื้อนาบุญที่มีศีลเป็นที่รักยิ่ง (พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า) [๖] ก็อคุณธรรมเหล่านี้ คือ ความเมาเพราะชาติ ๑ ความมีมานะจัด ๑ โลภะ ๑ โทสะ ๑ มทะ ๑ โมหะ ๑ ทุกอย่างมีอยู่ในเนื้อนาบุญเหล่าใด เนื้อนาบุญเหล่านั้นนับว่าเป็นเนื้อนาบุญที่ไม่มีศีลเป็นที่รักในโลก [๗] อคุณธรรมเหล่านี้ คือ ความเมาเพราะชาติ ๑ ความมีมานะจัด ๑ โลภะ ๑ โทสะ ๑ มทะ ๑ โมหะ ๑ ทุกอย่างไม่มีอยู่ในเนื้อนาบุญเหล่าใด เนื้อนาบุญเหล่านั้นนับว่าเป็นเนื้อนาบุญที่มีศีลเป็นที่รักในโลก
  • 2. 2 (เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวความนี้ซ้าอีก มัณฑัพยกุมารทรงกริ้วแล้วตรัสว่า) [๘] เจ้าอุปโชติยะ เจ้าอุปัชฌายะ และเจ้าภัณฑกุจฉิไปไหนกันหมด พวกเจ้าจงเฆี่ยนตี จงทาร้ายเจ้าดาบสนี้ แล้วจับคอเจ้าคนชั่ว ไสหัวมันออกไป (พระโพธิสัตว์เหาะไปอยู่ในอากาศกราบทูลว่า) [๙] พระองค์ทรงด่าว่าฤๅษีชื่อว่าขุดภูเขาด้วยเล็บ เคี้ยวกินก้อนเหล็กด้วยฟันและพยายามกลืนกินไฟ (พระศาสดาทรงประกาศข้อความนั้นว่า) [๑๐] มาตังคฤๅษีครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มีความบากบั่นแน่วแน่ในสัจจะ เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายเห็นอยู่ ได้เหาะหนีไปในอากาศ (นางทิฏฐมังคลิการีบเสด็จไปโดยเร็วเห็นว่า) [๑๑] ศีรษะบิดกลับไปข้างหลัง แขนกางออกใช้การไม่ได้ นัยน์ตาขาวเหมือนนัยน์ตาของคนตายแล้ว ใครหนอได้กระทาบุตรของดิฉันนี้ให้เป็ นอย่างนี้ (ชนผู้อยู่ในที่นั้นบอกนางว่า) [๑๒] สมณะนุ่งผ้าเก่าขาดกะรุ่งกะริ่งเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น สวมใส่เศษผ้าจากกองขยะไว้จนถึงคอได้มา ณ ที่นี้ สมณะรูปนั้นได้กระทาบุตรของท่านนี้ให้เป็นอย่างนี้ (นางทิฏฐมังคลิกาถามว่า) [๑๓] พ่อมาณพ สมณะผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดิน ได้ไปยังทิศไหนเสียเล่า ขอท่านโปรดบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปขอโทษท่าน ทาอย่างไร ข้าพเจ้าจึงจะได้ชีวิตของบุตรนั้นคืนมา (มาณพทั้งหลายผู้อยู่ในที่นั้นบอกว่า) [๑๔] ฤๅษีผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดินได้เหาะไป ดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญลอยอยู่ท่ามกลางนภากาศ อีกอย่างหนึ่ง ฤๅษีผู้เป็นคนดีแม้รูปนั้น ปฏิญญามั่นอยู่ด้วยสัจจะ ได้ไปทางทิศบูรพา (นางทิฏฐมังคลิกาจะถามพระโพธิสัตว์ว่า) [๑๕] ศีรษะบิดกลับไปข้างหลัง แขนกางออกใช้การไม่ได้ นัยน์ตาขาวเหมือนนัยน์ตาของคนตายแล้ว ใครหนอได้กระทาบุตรของดิฉันนี้ให้เป็ นอย่างนี้ (พระโพธิสัตว์มาตังคบัณฑิตกล่าวตอบนางว่า) [๑๖] ยักษ์ทั้งหลายผู้มีอานุภาพมากยังมีอยู่แล ก็ยักษ์เหล่านั้นได้ติดตามฤๅษีทั้งหลายผู้เป็นคนดี ทราบว่าบุตรของท่านมีจิตประทุษร้าย โกรธเคืองจึงได้ทาให้เป็ นอย่างนี้ (นางทิฏฐมังคลิกากล่าวว่า)
  • 3. 3 [๑๗] ก็ยักษ์ทั้งหลายได้กระทาบุตรของดิฉันให้เป็นอย่างนี้ ส่วนพระคุณเจ้าผู้ประพฤติพรหมจรรย์อย่าโกรธบุตรดิฉันเลย พระคุณเจ้าผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ดิฉันขอถึงพระคุณเจ้าเท่านั้นเป็ นที่พึ่งที่ระลึก เป็นบาทเบื้องต้น ดิฉันได้ติดตามมาด้วยความโศกถึงบุตร (พระโพธิสัตว์มาตังคบัณฑิตกล่าวว่า) [๑๘] ทั้งในกาลนั้น ทั้งเดี๋ยวนี้ การคิดประทุษร้ายทางใจบางอย่าง ของอาตมาก็ไม่มีแก่อาตมา ส่วนบุตรของท่านเป็ นผู้มัวเมาเพราะความเมาในพระเวท เรียนจบพระเวทแล้วหารู้จักประโยชน์ไม่ (นางทิฏฐมังคลิกากล่าวว่า) [๑๙] แน่นอน ท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ธรรมดาคนเรา สัญญาย่อมเลือนไปเพียงชั่วครู่ พระคุณเจ้าผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดิน ขอพระคุณเจ้าจงอดโทษสักครั้งหนึ่งเถิด บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่มีความโกรธรุนแรง (พระโพธิสัตว์มาตังคบัณฑิตผู้ถูกนางทิฏฐมังคลิกาอ้อนวอนขอโทษให้บุตร จึงกล่าวว่า) [๒๐] นี้ก้อนข้าวที่อาตมาฉันเหลือ มัณฑัพยบุตรของท่านผู้มีปัญญาน้อยจงบริโภค ยักษ์ทั้งหลายไม่พึงเบียดเบียนมัณฑัพยบุตรของท่าน และบุตรของท่านจักเป็นผู้ไม่มีโรค (ลาดับนั้น มารดากล่าวกับบุตรว่า) [๒๑] พ่อมัณฑัพยะ เจ้าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ฉลาดต่อบุคคลผู้เป็นเนื้อนาบุญ ได้ให้ทานในบุคคลผู้มีกิเลสเพียงดังน้าฝาดมากมาย ผู้มีการงานเศร้าหมอง ไม่สารวม [๒๒] บางพวกเกล้าผมเป็นชฎา บางพวกนุ่งหนังสัตว์ บางพวกปากมีหนวดรุงรังเหมือนบ่อน้าเก่า เจ้าจงดูหมู่ชนนี้ มีรูปทราม มวยผมและหนังสัตว์คุ้มครองคนมีปัญญาทรามไม่ได้ [๒๓] ชนเหล่าใดคลายราคะ โทสะ และอวิชชาได้แล้ว ชนเหล่านั้นมีอาสวะสิ้นแล้ว เป็ นพระอรหันต์ ทานที่บุคคลถวายแล้วในท่านเหล่านั้นมีผลมาก มาตังคชาดกที่ ๑ จบ ---------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
  • 4. 4 มาตังคชาดก ว่าด้วย อานุภาพของมาตังคฤาษี พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุเทนราชวงศ์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ความพิสดารว่า ในกาลครั้งนั้น ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะมาจากพระเชตวันมหาวิหารทางอากาศ ไปสู่พระราชอุทยานของพระเจ้าอุเทนในเมืองโกสัมพี เพื่อพักผ่อนในเวลากลางวันโดยมาก. ได้ยินว่า ในภพก่อนๆ พระเถรเจ้าเคยเสวยราชย์ ครอบครองสมบัติมีบริวารเป็นอันมากในพระราชอุทยานนั้นตลอดกาลนาน ด้วยบุรพจรรยาที่ได้เคยสั่งสมมา พระเถระจึงมักไปนั่งพักผ่อนกลางวันในพระราชอุทยานนั้นเสมอมา ให้กาลเวลาล่วงไปด้วยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติโดยมาก. วันหนึ่ง เมื่อพระเถระไปนั่งพักผ่อนอยู่ที่โคนต้นรังอันมีดอกบานสะพรั่งดี ในพระราชอุทยานนั้น พระเจ้าอุเทนทรงพระดาริว่า เราจักดื่มน้าจัณฑ์ฉลองใหญ่ แล้วเล่นอุยยานกีฬาตลอด ๗ วัน แล้วจึงเสด็จไปยังพระราชอุทยาน พร้อมด้วยราชบริพารเป็ นอันมาก ทรงซบพระเศียรลงบนตักของนางสนมคนหนึ่ง บนแท่นมงคลศิลาอาสน์ แล้วทรงนิทราหลับสนิท เพราะความเมามายในการเสวยน้าจัณฑ์. เหล่านางสนมที่นั่งขับกล่อม ต่างวางเครื่องดุริยางคดนตรีไว้แล้ว เข้าไปสู่พระราชอุทยาน กาลังเลือกเก็บดอกไม้และผลไม้เป็นต้นอยู่ เห็นพระเถระแล้ว พากันไปกราบไหว้แล้วนั่งอยู่. พระเถระจึงนั่งแสดงธรรมกถาแก่หญิงเหล่านั้น. ฝ่ายนางสนมที่นั่งให้พระเจ้าอุเทนหนุนตัก จึงสั่นพระเพลาให้กระเทือน เตือนพระราชาให้ตื่นบรรทม เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า หญิงถ่อยเหล่านั้นไปไหนกันหมด? จึงกราบทูลว่า หญิงเหล่านั้นไปนั่งล้อมสมณะรูปหนึ่งอยู่. ท้าวเธอสดับดังนั้นก็ทรงพระพิโรธ เสด็จไปด่าบริภาษพระเถระ แล้วตรัสว่า เอาเถิด เราจักให้มดแดงรุมต่อยสมณะรูปนี้ แล้วตรัสสั่งให้เอารังมดแดง มาแกล้งทาให้กระจายลงที่ร่างกายพระเถระ ด้วยอานาจแห่งความพิโรธ. พระเถระเหาะขึ้นไปยืนในอากาศ ให้โอวาทพระราชา แล้วเหาะลอยไปลงตรงประตูพระคันธกุฎีที่พระเชตวันนั่นเอง เมื่อพระตถาคตเจ้าตรัสถามว่า
  • 5. 5 เธอมาจากไหนจึงกราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภารทวาชะ พระเจ้าอุเทนเบียดเบียนบรรพชิตทั้งหลาย แต่ในชาตินี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติก่อนก็เบียดเบียนมาแล้วเหมือนกัน พระปิณโฑลภารทวาชะทูลอาราธนา จึงทรงนาอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้. ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี พระมหาสัตว์บังเกิดในกาเนิดตระกูลคนจัณฑาลภายนอกพระนคร. มารดาบิดาขนานนามเขาว่า มาตังคมาณพ. ในเวลาต่อมา มาตังคมาณพเจริญวัยแล้ว ได้มีนามปรากฏว่า มาตังคบัณฑิต. ในกาลนั้น ธิดาเศรษฐีในเมืองพาราณสี ชื่อทิฏฐมังคลิกา เมื่อถึงวาระเดือนหนึ่งหรือกึ่งเดือน ก็พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก จะไปยังอุทยานเพื่อเล่นสนุกสนานกัน. อยู่มาวันหนึ่ง พระมหาสัตว์มาตังคบัณฑิตเดินทางเข้าไปยังพระนครด้วยกิจธุระบางประการ ได้เห็นนางทิฏฐมังคลิกา ระหว่างประตู จึงหลบไปยืนแอบอยู่ ณ เอกเทศหนึ่ง. นางทิฏฐมังคลิกามองดูตามช่องม่าน เห็นพระโพธิสัตว์จึงถามว่า นั่นเป็ นใคร? เมื่อบริวารชนตอบว่า ข้าแต่แม่เจ้า ผู้นั้นเป็ นคนจัณฑาล จึงคิดว่า เราเห็นคนที่ไม่สมควรจะเห็นแล้วหนอดังนี้แล้ว จึงล้างตาด้วยน้าหอม กลับแค่นั้น. ส่วนมหาชนที่ออกไปกับธิดาของท่านเศรษฐี บริภาษว่า เฮ้ยไอ้คนจัณฑาลชาติชั่ว เพราะอาศัยเจ้าแท้ๆ วันนี้พวกเราจึงไม่ได้ลิ้มสุราและกับแกล้มที่ไม่ต้องซื้อหา อันความโกรธครอบงาแล้ว จึงรุมซ้อมมาตังคบัณฑิต ด้วยมือและเท้า จนถึงสลบแล้วหลีกไป. มาตังคบัณฑิตสลบไปชั่วครู่ กลับฟื้นขึ้นรู้ตัว คิดว่า บริวารชนของนางทิฏฐมังคลิกาโบยตีเราผู้ไม่มีความผิด โดยหาเหตุมิได้ เราได้นางทิฏฐมังคลิกาเป็ นภรรยาแล้วนั่นแหละ จึงจะยอมลุกขึ้น ถ้าไม่ได้จักไม่ยอมลุกขึ้นเลย ครั้นตั้งใจดังนี้แล้ว จึงเดินไปนอนที่ประตูเรือนบิดาของนางทิฏฐมังคลิกานั้น. เมื่อเศรษฐีผู้บิดาของนางทิฏฐมังคลิกา มาถามว่า เพราะเหตุไร เจ้าจึงมานอนที่นี่? มาตังคบัณฑิตจึงตอบว่า เหตุอย่างอื่นไม่มี แต่ข้าพเจ้าต้องการนางทิฏฐมังคลิกาเป็ นภรรยา.
  • 6. 6 ล่วงมาได้วันหนึ่ง เศรษฐีนั้นก็มาถามอีก พระโพธิสัตว์ก็ตอบยืนยันอยู่อย่างนั้น จนล่วงมาถึงวันที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ พระโพธิสัตว์ก็ยังคงนอนและตอบยืนยันอย่างนั้น. ธรรมดาว่าการอธิษฐานของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมสาเร็จ เพราะเหตุนั้น เมื่อครบ ๗ วัน คนทั้งหลายมีท่านเศรษฐีเป็นต้น จึงนานางทิฏฐมังคลิกามามอบให้มาตังคบัณฑิต. ลาดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกากล่าวกะมาตังคบัณฑิตว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็ นสามี เชิญท่านลุกขึ้นเถิด เราจะไปเรือนของท่าน. มาตังคบัณฑิตจึงกล่าวว่า นางผู้เจริญ เราถูกบริวารชนของเจ้าโบยตีเสียยับเยินจนทุพพลภาพ เจ้าจงยกเราขึ้นหลังแล้วพาไปเถิด. นางก็ทาตามสั่ง เมื่อชาวพระนครกาลังมองดูอยู่นั่นแล ก็พามาตังคบัณฑิตออกจากพระนครไปสู่จัณฑาลคาม. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์มิได้ล่วงเกินนางให้ผิดประเพณีแห่งเผ่าพันธุ์วรรณะ ให้นางพักอยู่ในเรือนสอง-สามวัน แล้วคิดว่า เมื่อตัวเราจักกระทาให้นางถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภยศ จาต้องบวชเสียก่อน จึงจักสามารถกระทาได้ นอกจากนี้แล้วไม่มีทาง. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์จึงเรียกนางมากล่าวว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เมื่อเรายังไม่ได้นาอะไรๆ ออกมาจากป่า การครองชีพของเราทั้งสองย่อมเป็นไปไม่ได้ เจ้าอย่ากระสันวุ่นวายไปจนกว่าเราจะกลับมา เราจักเข้าไปสู่ป่าดังนี้แล้ว กล่าวเตือนบริวารว่า แม้พวกเจ้าผู้อยู่เฝ้ าเรือนก็อย่าละเลย ช่วยดูนางผู้เป็ นภรรยาของเราด้วย ดังนี้แล้วก็เข้าไปสู่ป่าบรรพชาเพศเป็นสมณะ มิได้ประมาทมัวเมา บาเพ็ญสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดขึ้นในวันที่ ๗ คิดว่า บัดนี้ เราจักสามารถเป็ นที่พึ่งแก่นางทิฏฐมังคลิกาได้ จึงเหาะมาด้วยฤทธิ์ไปลงตรงประตูจัณฑาลคาม แล้วได้เดินไปสู่ประตูเรือนของนางทิฏฐมังคลิกา. นางได้ยินข่าว การมาของมาตังคบัณฑิตแล้วจึงออกจากเรือน แล้วร้องไห้คร่าครวญว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็ นสามี เหตุไฉนท่านจึงไปบวช ทิ้งฉันไว้ไร้ที่พึ่งเล่า. ลาดับนั้น มาตังคดาบสจึงปลอบโยนนางว่า ดูก่อนน้องนางผู้เจริญ เจ้าอย่าเสียใจไปเลย คราวนี้เราจักกระทาให้เจ้ามียศใหญ่ยิ่งกว่ายศที่มีอยู่เก่าของเจ้า ก็แต่ว่า เจ้าจักสามารถประกาศแม้ข้อความเพียงเท่านี้ในท่ามกลางบริษัทได้ไหมว่า มาตังคบัณฑิตไม่ใช่สามีของเรา ท้าวมหาพรหมเป็นสามีของเรา ดังนี้.
  • 7. 7 นางรับคาว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็ นสามี ดิฉันสามารถประกาศได้. มาตังคดาบสจึงกล่าวว่า คราวนี้ ถ้ามีผู้ถามว่า สามีของเธอไปไหน? ก็จงตอบว่า ไปพรหมโลก เมื่อเขาถามว่า เมื่อไรจักมา จงบอกเขาว่า นับแต่วันนี้ไปอีก ๗ วัน ท้าวมหาพรหมผู้เป็นสามีของเราจักแหวกพระจันทร์มาในวันเพ็ญ. ครั้นมหาสัตว์เจ้ากล่าวกะนางอย่างนี้แล้ว ก็เหาะกลับไปสู่หิมวันตประเทศทันที. ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาก็เที่ยวไปยืนประกาศข้อความตามที่พระโพธิสัตว์สั่งไว้ ในที่ทุกหนทุกแห่งท่ามกลางมหาชน ในพระนครพาราณสี. มหาชนชาวพาราณสีพากันเชื่อว่า ท้าวมหาพรหมของเรามีอยู่จริง จะยังไม่ได้เป็นอะไรกันกับนางทิฏฐมังคลิกา ข้อนั้นจักเป็นความจริงอย่างนี้แน่. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ครั้นถึงวันบุรณมีดิถีเพ็ญ ๑๕ ค่า ในยามเมื่อพระจันทร์ตั้งอยู่ท่ามกลางทิฆัมพร ก็เนรมิตอัตภาพเป็นท้าวมหาพรหม บันดาลแว่นแคว้นกาสิกรรัฐทั้งสิ้น ซึ่งมีอาณาเขต กว้างยาว ๑๒ โยชน์ ให้รุ่งโรจน์สว่างไสวเป็นอันเดียวกัน แล้วแหวกมณฑลแห่งพระจันทร์ เหาะลงมาเวียนวนเบื้องบน พระนครพาราณสี ๓ รอบ เมื่อมหาชนบูชาอยู่ด้วยเครื่องสักการะ มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ได้บ่ายหน้าไปหมู่บ้านจัณฑาลคาม. บรรดาประชาชนที่นับถือพระพรหม ก็ประชุมกัน พากันไปยังหมู่บ้านจัณฑาลคาม ช่วยกันเอาผ้าขาวที่บริสุทธิ์สะอาด ปิดบังมุงเรือนของนางทิฏฐมังคลิกา แล้วไล้ทาพื้นเรือนด้วยของหอมจตุรชาติ โปรยดอกไม้เรี่ยรายไว้ จัดแจงปักไม้ดาดเพดานเบื้องบน แต่งตั้งที่นอนใหญ่ไว้แล้วจุดตามประทีปด้วยน้ามันหอม แล้วช่วยกันขนทรายขาวราวกับแผ่นเงินมาโปรยไว้ที่ประตูเรือน แล้วแขวนพวงดอกไม้ ผูกธงทิวปลิวไสวงดงาม. เมื่อมหาชนตกแต่งบ้านเรือนอย่างนี้เสร็จแล้ว พระมหาสัตว์เจ้าจึงเลื่อนลอยลงจากนภากาศ เข้าไปภายใน แล้วนั่งบนที่นอนหน่อยหนึ่ง. ในกาลนั้น นางทิฏฐมังคลิกากาลังมีระดู. ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เอาหัวแม่มือเบื้องขวาลูบคลานาภีของนาง นางตั้งครรภ์ทันที ต่อมาพระมหาสัตว์จึงเรียกนางมาบอกว่า น้องนางผู้เจริญ เจ้าตั้งครรภ์แล้วจักคลอดบุตรเป็นชาย ทั้งตัวเจ้าและบุตรจักเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยลาภยศอันเลิศล้า น้าสาหรับล้างเท้าของเจ้าจักเป็นน้าอภิเษก สรงของพระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น สาหรับน้าอาบของเจ้า จักเป็นโอสถอมตะ ชนเหล่าใดนาน้าอาบของเจ้าไปรดศีรษะ
  • 8. 8 ชนเหล่านั้นจักหายจากโรคทุกๆ อย่างทั้งปราศจากเสนียดจัญไรกาลกรรณี อนึ่ง ผู้คนที่วางศีรษะลงบนหลังเท้าของเจ้า กราบไหว้อยู่ จักให้ทรัพย์พันหนึ่ง ผู้ที่ยืนไหว้ในระยะทางที่ฟังเสียงได้ยิน จักให้ทรัพย์แก่เจ้าหนึ่งร้อย ผู้ที่ยืนไหว้ในชั่วคลองจักษุ จักให้ทรัพย์หนึ่งกหาปณะ เจ้าจงเป็ นผู้ไม่ประมาท ครั้นให้โอวาทนางแล้วก็ออกจากเรือน เมื่อมหาชนกาลังมองดูอยู่นั่นเทียว ก็เหาะลอยเข้าไปสู่จันทรมณฑล. ประชาชนที่นับถือพระพรหม ต่างยืนประชุมกันอยู่จนเวลารัตติกาลผ่านไป ครั้นเวลาเช้าจึงเชิญนางทิฏฐมังคลิกาขึ้นสู่วอทอง แล้วยกขึ้นด้วยเศียรเกล้า พาเข้าไปสู่พระนคร. มหาชนต่างพากันหลั่งไหลเข้าไปหานาง ด้วยสาคัญว่าเป็นภรรยาของท้าวมหาพรหม แล้วบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของหอมระเบียบดอกไม้เป็นต้น. คนทั้งหลายผู้ได้ซบศีรษะบนหลังเท้า กราบไหว้ ได้ให้ถุงกหาปณะพันหนึ่ง ผู้ที่ยืนไหว้อยู่ในระยะโสตสดับเสียงได้ยินให้ร้อยกหาปณะ ผู้ที่ยืนไหว้ในชั่วระยะคลองจักษุให้หนึ่งกหาปณะ ประชาชนผู้พานางทิฏฐมังคลิกา เที่ยวไปในพระนครพาราณสี อันมีอาณาเขต ๑๒ โยชน์ ได้ทรัพย์นับได้ ๑๘ โกฏิด้วยอาการอย่างนี้. ลาดับนั้น ประชาชนทั้งหลาย ครั้นพานางทิฏฐมังคลิกาเที่ยวไปรอบพระนครแล้ว จึงนาเอาทรัพย์นั้นมาสร้างมหามณฑปใหญ่ท่ามกลางพระนคร แวดวงด้วยม่านปูลาดที่นอนใหญ่ไว้ แล้วเชิญนางทิฏฐมังคลิกาให้อยู่อาศัยในมณฑปนั้นด้วยสิริโสภาคอันใหญ่ยิ่ง แล้วเริ่มจัดการก่อสร้างปราสาท ๗ ชั้นมีประตูซุ้มถึง ๗ แห่งไว้ ณ ที่ใกล้มหามณฑปนั้น การก่อสร้างอย่างมโหฬารได้มีแล้วในครั้งนั้น. นางทิฏฐมังคลิกาก็คลอดบุตรในมณฑปนั่นเอง. ต่อมาในวันที่จะตั้งชื่อกุมาร พราหมณ์ทั้งหลายจึงมาประชุมกันขนานนามกุมารว่า มัณฑัพยกุมาร เพราะเหตุที่ คลอดในมณฑป แม้ปราสาทนั้นก็สร้างสาเร็จโดยเวลา ๑๐ เดือนพอดี จาเดิมแต่นั้นมา นางก็อยู่ในปราสาทนั้น ด้วยยศบริวารเป็นอันมาก. แม้มัณฑัพยกุมารก็เจริญวัย พรั่งพร้อมด้วยหมู่บริวารเป็ นอันมาก. ในเวลาที่มัณฑัพยกุมารมีอายุได้ ๗-๘ ปี อาจารย์ผู้อุดมด้วยวิทยาการทั้งหลายในพื้นชมพูทวีป จึงประชุมกันให้กุมารนั้นเรียนไตรเพท ๓ พระคัมภีร์. มัณฑัพยมาณพ นั้นนับแต่อายุครบ ๑๖ ปีบริบูรณ์ ก็เริ่มตั้งนิตยภัตสาหรับพวกพราหมณ์ทั้งหลาย. พราหมณ์หมื่นหกพันคนก็ได้บริโภคอาหารในสานักของมัณฑัพยมาณพเป็นประ
  • 9. 9 จา เขาถวายทานแก่พราหมณ์ทั้งหลายที่ซุ้มประตูที่ ๔. ต่อมาในวันประชุมใหญ่คราวหนึ่ง มัณฑัพยมาณพให้จัดเตรียมข้าวปายาสไว้ในเรือนเป็ นอันมาก. พราหมณ์ทั้งหมื่นหกพันก็นั่ง ณ ซุ้มประตูที่ ๔ บริโภคข้าวปายาสอันปรุงดีแล้วด้วยเนยข้น เนยใส และน้าผึ้ง น้าตาลกรวดที่เขาจัดมาถวายด้วยถาดทองคา. แม้มัณฑัพยมาณพก็ประดับประดาตกแต่งด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง สวมรองเท้าทอง มือถือไม้เท้าทอง เที่ยวตรวจตราการเลี้ยงดู สั่งบริวารชนว่า ท่านทั้งหลายจงให้เนยใสในสารับนี้ จงให้น้าผึ้งที่สารับนี้ ดังนี้. ขณะนั้น มาตังคบัณฑิตนั่งอยู่ที่อาศรมบทในหิมวันตประเทศ ตรวจดูว่า ความประพฤติแห่งบุตรของนางทิฏฐมังคลิกาเป็นอย่างไร? เห็นการกระทาของเ ขาโน้มเอียงไปในลัทธิอันไม่สมควรแล้วคิดว่า วันนี้แหละ เราจักไปทรมานมาณพให้บริจาคทานในเขตที่บุคคลให้แล้วมีผลมาก แล้วจึงจักกลับมา ดังนี้แล้วเหาะไปสู่สระอโนดาตโดยทางอากาศ ทากิจวัตรมีการล้างหน้าเป็นต้นแล้ว ยืนอยู่ที่พื้นมโนศิลา ครองจีวรสองชั้น คาดรัดประคดมั่น แล้วห่มผ้าสังฆาฏิ อันเป็นผ้าบังสุกุล เสร็จแล้วถือเอาบาตรดินเหาะมาทางอากาศ เลื่อนลอยลงตรงโรงทานที่ซุ้มประตูที่ ๔ แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง มัณฑัพยมาณพกาลังตรวจตราดูแลทางโน้นทางนี้อยู่ แลเห็นพระดาบสนั้นแต่ไกล คิดว่า บรรพชิตรูปนี้มีรูปร่างคล้ายยักษ์ปีศาจเปื้อนฝุ่นเห็นปานนี้ มาสู่ที่นี่ ท่านมาจากที่ไหนหนอ ดังนี้แล้ว เมื่อจะสนทนาปราศรัยกับมาตังคดาบสนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ความว่า ท่านมีปกตินุ่งห่มไม่สมควร ดุจปีศาจเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นละออง สวมใส่ผ้าขี้ริ้วที่ได้จากกองขยะไว้ที่คอ มาจากไหน ท่านเป็ นใคร เป็นผู้ไม่สมควรแก่ทักษิณาทานเลย ดังนี้. พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้น เมื่อจะสนทนากับมัณฑัพยมาณพ ด้วยจิตที่เยือกเย็นอ่อนโยน จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ความว่า ข้าวน้านี้ท่านจัดไว้เพื่อท่านผู้เรืองยศ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมขบเคี้ยวบริโภคและดื่มข้าวน้าของท่านนั้น ท่านรู้จักข้าพเจ้าว่า เป็นผู้อาศัยโภชนะที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีวิต แม้ถึงจะเป็นคนจัณฑาล ก็ขอจงได้ก้อนข้าวบ้างเถิด ดังนี้. ลาดับนั้น มัณฑัพยกุมารจึงกล่าวคาถา ความว่า
  • 10. 10 ข้าวน้าของเรานี้ เราจัดไว้เพื่อพราหมณ์ทั้งหลาย ทานวัตถุนี้ เราเชื่อว่า ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ตน ท่านจงหลีกไปเสียจากที่นี่ จะมายืนอยู่ที่นี่เพื่ออะไร เจ้าคนเลว คนอย่างเราย่อมไม่ให้ทานแก่เจ้าดังนี้. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวคาถาความว่า ชาวนาทั้งหลายเมื่อหวังผลในข้าวกล้า ย่อมหว่านพืชพันธุ์ธัญญาหารลงในที่ดอนบ้าง ในที่ลุ่มบ้าง ในที่เสมอไม่ลุ่มๆ ดอนๆ บ้างฉันใด ท่านจงให้ทานแก่ปฏิคาหกทั้งหลาย ด้วยศรัทธานี้ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อให้ทานอยู่อย่างนี้ ไฉนจะพึงได้ทักขิเณยบุคคลที่น่ายินดีเล่า ดังนี้. มีอรรถาธิบายดังนี้ ดูก่อนกุมาร ชาวนาทั้งหลาย เมื่อหวังผลข้าวกล้าย่อมหว่านพืชพันธุ์ธัญญาหารลงในเนื้อที่นา แม้ทั้ง ๓ อย่าง ในกาลที่ฝนตกมากเกินไป ข้าวกล้าในนาดอนนั้น ย่อมสาเร็จผล ข้าวกล้าในนาลุ่มย่อมเสียหาย ส่วนข้าวกล้าที่อาศัยแม่น้าและพึงกระทาในที่เสมอ ไม่ลุ่มไม่ดอน ย่อมถูกห้วงน้าพัดไปเสีย ในเมื่อฝนตกเล็กน้อย ข้าวกล้าในนาดอนย่อมเสียหายไม่ได้ผล ข้าวกล้าในนาลุ่มย่อมได้ผลเล็กน้อย ส่วนข้าวกล้าในนาที่ไม่ลุ่มไม่ดอน คงได้ผลดีทีเดียว ในกาลที่ฝนตกสม่าเสมอไม่มากไม่น้อย ข้าวกล้าในนาดอนได้ผลเล็กน้อย แต่ข้าวกล้าในนานอกนี้ ย่อมได้ผลบริบูรณ์ดี เพราะฉะนั้น ชาวนาทั้งหลาย เมื่อหวังผลข้าวกล้า ย่อมเพาะหว่านในเนื้อนาทั้ง ๓ อย่างฉันใด แม้ท่านก็จงบริจาคทานแก่ปฏิคาหกทั้งหลายผู้มาแล้วๆ ทั้งหมด ด้วยศรัทธาคือผลนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อท่านบริจาคทานอยู่อย่างนี้ ไฉนเล่าจะพึงให้ยินดี คือได้ทักขิเณยบุคคลที่ดี ดังนี้. ลาดับนั้น มัณฑัพยมาณพจึงกล่าวคาถาต่อไปความว่า เราย่อมตั้งไว้ซึ่งพืชทั้งหลายในเขตเหล่าใด เขตเหล่านั้นเรารู้แจ้งแล้วในโลก พราหมณ์เหล่าใด สมบูรณ์ด้วยชาติแลมนต์ พราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่าเป็นเขต มีศีลเป็นที่รักในโลกนี้ ดังนี้. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า กิเลสทั้งหลายเหล่านี้ คือ ชาติมทะ ความเมาเพราะชาติ ๑ อติมานะ ความดูหมิ่นท่าน ๑ โลภะ ความโลภอยากได้ของเขา ๑ โทสะ ความคิดประทุษร้าย ๑ มทะ ความประมาทมัวเมา ๑ โมหะ ความหลง ๑ ทั้งหมดเป็นโทษมิใช่คุณ ย่อมมีในเขตเหล่าใด เขตเหล่านั้นไม่ใช่เขตอันดีมีศีลเป็นที่รักในโลกนี้ กิเลสทั้งห ลายเหล่านี้คือ ชาติมทะ อติมานะ โลภะ โทสะ มทะ
  • 11. 11 และโมหะ ทั้งหมดเป็นโทษมิใช่คุณ ไม่มีในเขตเหล่าใด เขตเหล่านั้นจัดว่าเป็นเขตมีศีล เป็นที่รักในโลกนี้ ดังนี้. เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวอยู่บ่อยๆ เช่นนี้ มัณฑัพยมาณพนั้นขุ่นเคืองจึงพูดว่า ดาบสผู้นี้พูดเพ้อเจ้อมากเกินไป คนรักษาประตูเหล่านี้ไปไหนหมด จงมานาเอาคนจัณฑาลนี้ออกไป แล้วกล่าวคาถา ความว่า คนเฝ้ าประตูทั้งสาม คือ อุปโชติยะ อุปวัชฌะและภัณฑกุจฉิ ไปไหนกันเสียหมดเล่า ท่านทั้งหลายจงลงอาญา และเฆี่ยนตีคนจัณฑาลนี้ แล้วลากคอคนลามกนี้ไสหัวไปให้พ้น ดังนี้. ฝ่ายคนเฝ้ าประตูเหล่านั้นได้ยินถ้อยคาของมัณฑัพยมาณพแล้ว ก็รีบมาไหว้แล้ว กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ จะสั่งให้พวกผมทาอะไร? มัณฑัพยมาณพจึงบอกว่า ท่านทั้งหลายเห็นคนจัณฑาลชาติชั่วคนนี้ที่ไหน? พวกนายประตูกล่าวว่า ท่านผู้ประเสริฐ พวกกระผมไม่เห็นเลยจึงไม่รู้ว่า เขามาจากที่ไหน? เขาดาริว่า ชะรอยมันจะเป็นนักเล่นกล หรือโจรวิชาธรบางคนเป็นแน่ดังนี้ กล่าวสาทับพวกนายประตูว่า บัดนี้พวกเจ้ายังจะยืนเฉยอยู่ทาไม? นายประตูทั้งสามจึงถามว่า ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ จะโปรดให้พวกผมทาอะไร? มัณฑัพยมาณพตอบว่า พวกท่านจงโบยตีตบต่อยปากเจ้าคนถ่อยจัณฑาลผู้นี้ทีเดียว แล้วเอาเรียวไม้ไผ่สาหรับลงอาญาโบย ถลกหนังมันขึ้น แล้วฆ่ามันเสีย จับคอลากเจ้าคนลามกนี้ไปให้พ้นจากที่นี่. เมื่อนายประตูทั้ง ๓ ยังไม่ทันมาใกล้ชิด พระมหาสัตว์ก็เหาะลอยขึ้นไปยืนอยู่บนอากาศกล่าวคาถาความว่า ผู้ใดบริภาษฤาษี ผู้นั้นชื่อว่าขุดภูเขาด้วยเล็บ ชื่อว่าเคี้ยวกินก้อนเหล็กด้วยฟัน ชื่อว่าพยายามกลืนกินไฟ. ก็แล ครั้นพระมหาสัตว์กล่าวดังนี้แล้ว เมื่อมาณพและพราหมณ์ทั้งหลายกาลังแลดูอยู่นั่นแล ได้แล่นลอยไปในอากาศ. เมื่อจะประกาศความข้อนี้ พระศาสดาจึงตรัสว่า มาตังคฤาษีผู้มีสัจจะเป็ นเครื่องก้าวไปเบื้องหน้าเป็นสภาพ ครั้นกล่าวค าถานี้แล้ว เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายแลดูอยู่ ได้เหาะหลีกผ่านไปในอากาศ. มาตังคดาบสนั้นแล บ่ายหน้ามุ่งสู่ทิศปราจีน เหาะไปลง ณ ถนนสายหนึ่ง แล้วอธิษฐานว่า ขอรอยเท้าของเราจงปรากฏ แล้วบิณฑบาตใกล้ประตูด้านทิศปราจีน รวบรวมอาหารที่เจือปนกัน
  • 12. 12 แล้วไปนั่งฉันภัตตาหารที่เจือปนกัน ณ ศาลาแห่งหนึ่ง. เทพยดาผู้รักษาพระนครทั้งหลายกล่าวกันว่า มัณฑัพยกุมารผู้นี้พูดก้าวร้าวเบียดเบียนพระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย ดังนี้ อดทนไม่ได้ จึงมาประชุมกัน ลาดับนั้น ยักขเทวดาผู้เป็นหัวหน้าก็พากันจับคอของมัณฑัพยกุมารบิดกลับเสีย. เทวดาที่เหลือก็พากันจับคอของพราหมณ์ที่เหลือทั้งหลาย บิดกลับเสียอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เพราะเทวดาเหล่านั้นมีจิตอ่อนน้อมในพระโพธิสัตว์ จึงไม่ฆ่ามัณฑัพยมาณพเสีย ด้วยคิดว่าเป็ นบุตรของพระโพธิสัตว์ เพียงแต่ทาให้ทรมานลาบากอย่างเดียวเท่านั้น. ศีรษะของมัณฑัพยมาณพบิดกลับไป มีหน้าอยู่เบื้องหลัง มือและเท้าเหยียดตรงแข็งทื่อตั้งอยู่ กระดูกทั้งหลายก็กลับกลายเป็นเหมือนกระดูกของคนที่ตายแล้ว เขามีร่างกายแข็งกระด้างนอนแซ่วอยู่. ถึงพราหมณ์ทั้งหลายก็สารอกน้าลายไหลออกทางปาก กระเสือกกระสนไปมา. คนทั้งหลายรีบไปแจ้งเรื่องราวแก่นางทิฏฐมังคลิกาว่า ข้าแต่แม่เจ้า บุตรของท่านเกิดเป็นอะไรไปไม่ทราบได้? นางทิฏฐมังคลิการีบมาโดยเร็ว เห็นบุตรแล้วกล่าวว่า นี่อะไรกัน? แล้วกล่าวคาถาความว่า ศีรษะของลูกเราบิดกลับไปอยู่เบื้องหลัง แขนเหยียดตรงไม่ไหวติง นัยน์ตาขาวเหมือนคนตาย ใครมาทาบุตรของเราให้เป็นอย่างนี้. ลาดับนั้น คนผู้ยืนอยู่ในที่นั้น เพื่อจะแจ้งให้นางทราบ จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า สมณะรูปหนึ่ง มีปกตินุ่งห่มไม่สมควรสกปรกดุจปีศาจ เปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นละออง สวมใส่ผ้าขี้ริ้วที่ได้จากกองขยะไว้ที่คอ ได้มา ณ ที่นี้ สมณะรูปนั้นได้ทาบุตรของท่านให้เป็ นอย่างนี้. นางทิฏฐมังคลิกาได้ฟังคานั้นแล้วคิดว่า นี้ไม่ใช่พลังของผู้อื่น คงจักเป็นมาตังคบัณฑิตสามีของเราโดยไม่ต้องสงสัย ก็แต่ว่า ท่านมาตังคบัณฑิตนั้นเป็นนักปราชญ์ สมบูรณ์ด้วยเมตตาภาวนา คงจักทรมานคนพวกนี้ให้ลาบากแล้วไปเสีย และท่านจักไปทิศไหนเล่าหนอ แต่นั้น เมื่อนางจะถามถึงมาตังคบัณฑิต จึงกล่าวคาถาความว่า ดูก่อนมาณพทั้งหลาย สมณะผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดินได้ไปแล้วสู่ทิศใด ท่านทั้งหลายจงบอกเนื้อความนั้นแก่เรา เราจักไปยังสานักของท่าน
  • 13. 13 ขอให้ท่านอดโทษนั้นเสีย ไฉนหนอ เราจะพึงได้ชีวิตบุตรคืนมา. ลาดับนั้น มาณพทั้งหลายผู้ยืนอยู่ในที่นั้น เมื่อจะบอกความนั้นแก่นาง ได้กล่าวคาถาความว่า ฤาษีผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน ได้ไปแล้วในอากาศวิถี ราวกะว่าพระจันทน์ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่า อันตั้งอยู่ท่ามกลางระหว่างอากาศ อนึ่ง พระฤาษีผู้มีปฏิญาณมั่นในสัจจะ ทรงคุณธรรมอันดีงามนั้น ได้ไปทางทิศบูรพา. นางทิฏฐมังคลิกานั้นสดับคาของมาณพเหล่านั้นแล้ว จึงคิดว่า เราจักไปค้นหาสามีของเรา จึงใช้ให้ทาสีถือเอาน้าเต้าทองคากับขันน้าทองคาแวดล้อมด้วยหมู่ทาสี เดินไปจนถึงสถานที่ที่พระโพธิสัตว์อธิษฐานเหยียบรอยเท้าไว้ จึงเดินตามรอยเท้านั้นไป เมื่อพระโพธิสัตว์กาลังนั่งฉันภัตตาหารอยู่บนตั่งที่ศาลานั้น นางจึงเดินเข้าไปสู่ที่ใกล้พระมหาสัตว์ ทาความเคารพแล้วยืนอยู่. พระโพธิสัตว์เห็นนางแล้ว จึงเหลือข้าวสุกไว้ในบาตรหน่อยหนึ่ง. นางทิฏฐมังคลิกาจึงถวายน้าแก่พระโพธิสัตว์ด้วยน้าเต้าทอง. พระโพธิสัตว์จึงล้างมือบ้วนปากลงในบาตรนั้นเอง. ลาดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกา เมื่อจะถามพระโพธิสัตว์ว่า ใครกระทาบุตรของตนให้ถึงอาการอันแปลกประหลาดนั้น จึงกล่าวคาถาความว่า ศีรษะของลูกเราบิดกลับไปอยู่เบื้องหลัง แขนเหยียดตรงไม่ไหวติง นัยน์ตาขาวเหมือนคนตาย ใครมาทาบุตรของเราให้เป็นอย่างนี้. ชื่อว่าคาถาอันเป็นคาถามและคาตอบของชนทั้งสองที่ยิ่งไปกว่านั้นมีดัง นี้ พระโพธิสัตว์ได้สดับแล้วจึงตอบนางทิฏฐมังคลิกา โดยคาถาว่า ยักษ์ทั้งหลายผู้มีอานุภาพมากมีอยู่แล ยักษ์เหล่านั้นพากันติดตามพระฤาษี มีคุณธรรม มาแล้ว รู้ว่าบุตรของท่าน มีจิตคิดประทุษร้ายโกรธเคือง จึงทาบุตรของท่านให้เป็นอย่างนี้แล. นางทิฏฐมังคลิกากล่าวว่า ถ้ายักษ์ทั้งหลายได้ทาบุตรของดิฉันให้เป็นอย่างนี้ ขอท่านผู้เป็นพรหมจารีเท่านั้น อย่าได้โกรธบุตรดิฉันเลย ดิฉันขอถึงฝ่าเท้าของท่านนั่นแหละเป็ นที่พึ่ง ข้าแต่ท่านผู้เป็ นภิกษุ ดิฉันตามมาก็เพราะความเศร้าโศกถึงบุตร. พระมหาสัตว์มาตังคบัณฑิตกล่าวตอบว่า ในคราวที่บุตรของท่านด่าเราก็ดีและเมื่อท่านมาอ้อนวอนอยู่ ณ บัดนี้ก็ดี จิตคิดประทุษร้ายแม้หน่อยหนึ่งมิได้มีแก่เราเลย แต่บุตรของท่านเป็ นคนประมาท เพราะความมัวเมาว่าเรียนจบไตรเพท
  • 14. 14 แม้จะเรียนจบไตรเพทแล้ว ก็ยังไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์. นางทิฏฐมังคลิกาได้สดับดังนั้นแล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นภิกษุ ความจาของบุรุษย่อมหลงลืมได้โดยครู่เดียวเป็นแน่แท้ ท่านผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน ขอได้โปรดอดโทษสักครั้งเถิด บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่เป็นผู้มีความโกรธเป็นกาลัง. พระมหาสัตว์ ผู้อันนางทิฏฐมังคลิกาอ้อนวอนขอโทษบุตรชายอยู่อย่างนี้ จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเราจักให้อมฤตโอสถไปเพื่อขับไล่ยักษ์ทั้งหลายเหล่านั้นให้หนีไป แล้วกล่าวคาถา ความว่า มัณฑัพยมาณพบุตรของท่านผู้มีปัญญาน้อย จงบริโภคก้อนข้าวที่เราฉันเหลือนี้เถิด ยักษ์ทั้งหลายจะไม่พึงเบียดเบียนบุตรของท่านเลย อนึ่ง บุตรของท่านจะหายโรคในทันที. นางทิฏฐมังคลิกาฟังถ้อยคาของมหาสัตว์แล้ว จึงน้อมขันทองเข้าไป กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นสามี ท่านได้โปรดให้อมฤตโอสถเถิด. พระมหาสัตว์จึงเทข้าวสุกที่ฉันเหลือกับน้าล้างมือลงในขันทองนั้น แล้วสั่งว่า ท่านจงหยอดน้าครึ่งหนึ่งจากส่วนนี้ ใส่ในปากบุตรของท่านก่อนทีเดียว ส่วนที่เหลือจงเอาน้าผสมใส่ไว้ในตุ่มให้หยอดลงในปากพราหมณ์ที่เหลือทั้งหลาย ชนเหล่านั้นทั้งหมด ก็จะเป็นผู้หายโรคภัยไข้เจ็บทันที ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ก็เหาะลอยกลับไปสู่หิมวันตประเทศในทันที. ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาก็เอาศีรษะทูนขันทองนั้น กล่าวว่า เราได้อมฤตโอสถแล้ว รีบไปยังนิเวศน์ของตน หยอดน้าข้าวล้างมือใส่ในปากบุตรชายของตนก่อน. ยักษ์ผู้เป็นหัวหน้ารักษาพระนครก็หนีไป มัณฑัพยมาณพลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เปื้อนกายแล้วถามว่า ข้าแต่คุณแม่ นี่อะไรกัน? นางจึงกล่าวกะบุตรชายว่า เจ้านั่นแหละจักรู้สิ่งที่ตนทาไว้ มาเถิดพ่อคุณ เจ้าจงไปดูความวิบัติแห่งทักขิเณยยชนของเจ้าบ้าง. มัณฑัพยมาณพเห็นพราหมณ์เหล่านั้น เสือกสนสลบอยู่ ก็ได้เป็นผู้มีวิปฏิสาร เดือดร้อนใจ ลาดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกาผู้มารดาจึงกล่าวกะมัณฑัพยมาณพว่า พ่อมัณฑัพยกุมาร เจ้าเป็นคนโง่เขลา ไม่รู้จักสถานที่จะให้ทานมีผลมาก ขึ้นชื่อว่าทักขิเณยยบุคคลทั้งหลาย มิใช่ผู้มีสภาพเห็นปานนี้ ต้องเป็นเช่นกับมาตังคบัณฑิต นับแต่นี้ต่อไป
  • 15. 15 เจ้าอย่าให้ทานแก่คนทุศีลจาพวกนี้เลย จงให้ทานแก่ผู้มีศีลทั้งหลายเถิด ดังนี้ แล้วกล่าวคาถาความว่า พ่อมัณฑัพยะ เจ้ายังเป็นคนโง่เขลามีปัญญาน้อย เจ้าเป็นผู้ไม่ฉลาดในเขตบุญทั้งหลาย ได้ให้ทานในหมู่ชนผู้ประกอบด้วยกิเลส ดุจน้าฝาดใหญ่ มีกรรมเศร้าหมอง ไม่สารวม บรรดาทักขิเณยยบุคคลของเจ้าบางพวกเกล้าผมเป็นเซิง นุ่งห่มหนังเสือ ปากรกรุงรังไปด้วยหนวดเครา ดังปากบ่อน้าเก่ารกไปด้วยกอหญ้า เจ้าจงดูหมู่ชนที่มีรูปร่างน่าเกลียดนี้ การเกล้าผมผูกเป็นเซิง หาป้ องกันผู้มีปัญญาน้อยได้ไม่ ท่านเหล่าใดสารอกราคะโทสะและอวิชชาแล้ว หรือเป็นพระอรหันต์ผู้ มีอาสวะสิ้นแล้ว ทานที่บุคคลถวายในท่านเหล่านั้น ย่อมมีผลมาก. นางทิฏฐมังคลิกากล่าวต่อไปว่า ดูก่อนลูกรัก เพราะเหตุนั้น จาเดิมแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้ให้ทานแก่บุคคลผู้ทุศีลเห็นปานนี้ จงให้ทานแก่สมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ และแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในโลกเหล่านั้น มาเถิดลูกรัก เราจักให้พวกพราหมณ์ทั้งหลายซึ่งเป็ นผู้คุ้นเคยชอบพอของเจ้า ดื่มอมฤตโอสถแล้วทาให้หายโรคเสียให้หมด ดังนี้แล้ว จึงให้เอาข้าวสุกที่เป็ นเดนเทใส่ลงในตุ่มน้า แล้วให้หยอดลงในปากของพราหมณ์ทั้งหลาย ทั้งหมื่นหกพันคน. พราหมณ์แต่ละคนได้สติลุกขึ้นปัดฝุ่นที่กายของตนๆ. ลาดับนั้น พราหมณ์ทั้งหลายเหล่าอื่นพากันติเตียนว่า พราหมณ์เหล่านี้พากันดื่มกินน้าเดนเหลือของคนจัณฑาล แล้วยกโทษทาไม่ให้เป็นพราหมณ์ต่อไป. พราหมณ์เหล่านั้นมีความละอายจึงออกจากพระนครพาราณสี ไปสู่แคว้นเมชฌรัฐ แล้วพานักอยู่ในสานักของพระเจ้าเมชฌราช. ส่วนมัณฑัพยมาณพยังคงอยู่ในพระนครพาราณสีนั้นต่อไปตามเดิม. ในครั้งนั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ ชาติมันต์ บวชเป็นดาบสอยู่ที่ริมฝั่งน้าเวตตวตีนที อาศัยเวตตวตีนครเป็นแหล่งโคจร อาศัยชาติเป็นเหตุก่อเกิดมานะยิ่งใหญ่. พระมหาสัตว์มาตังคบัณฑิตคิดว่า เราจักทาลายมานะของพราหมณ์นี้ จึงไปยังสถานที่นั้น อาศัยอยู่ด้านเหนือน้า ใกล้สานักของชาติมันตดาบส. อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์เคี้ยวไม้สีฟันแล้วอธิษฐานว่า ไม้สีฟันนี้จงลอยไปติดอยู่ที่ชฎาของดาบสชาติมันต์ ดังนี้แล้วทิ้งไม้สีฟันนั้นลงไปในแม่น้า. ไม้สีฟันก็ลอยไปติดอยู่ที่ชฎาของชาติมันตดาบสผู้กาลังอาบน้าชาระกายอยู่.
  • 16. 16 ชาติมันตดาบสเห็นดังนั้นก็กล่าวบริภาษว่า คนฉิบหาย คนวายร้าย แล้วคิดว่า ไอ้คนกาลกรรณีนี้ มันมาจากไหน เราต้องไปตรวจดูจึงเดินไปตามฝั่งเหนือน้า พบพระมหาสัตว์แล้วถามว่า ท่านเป็ นชาติอะไร? พระมหาสัตว์ตอบว่า เราเป็นชาติจัณฑาล. ชาติมันตดาบสถามว่า ท่านทิ้งไม้สีฟันลงไปในแม่น้าใช่ไหม? พระมหาสัตว์ตอบว่า ใช่ ข้าพเจ้าทิ้งไปเอง. ชาติมันตดาบสจึงบริภาษว่า คนฉิบหาย คนวายร้าย คนจัณฑาล คนกาลกรรณี เจ้าอย่าอยู่ในสถานที่นี้เลย จงไปอยู่เสียที่ฝั่งใต้น้าทางโน้น เมื่อพระมหาสัตว์ไปอยู่ฝั่งใต้นที ทิ้งไม้สีฟันลงไปในแม่น้า ไม้สีฟันนั้นกลับลอยทวนน้าขึ้นไปติดอยู่ในชฎาของดาบสนั้นอีก ชาติมันตดาบสโกรธ กล่าวว่าไอ้คนฉิบหาย ไอ้คนถ่อย ถ้าเจ้ายังอยู่ในที่นี้ ศีรษะของเจ้าจักแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงภายในเจ็ดวัน. พระมหาสัตว์ดาริว่า ถ้าเราจักโกรธดาบสผู้นี้ ศีลของเราจักขาดไม่เป็นอันรักษา เราจะทาลายมานะของดาบสด้วยอุบายวิธี ครั้นถึงวันที่ ๗ จึงบันดาลฤทธิ์ ห้ามมิให้พระอาทิตย์ขึ้น. มนุษย์ทั้งหลายพากันวุ่นวาย เข้าไปหาชาติมันตดาบส ถามว่า ท่านขอรับ ท่านห้ามมิให้พระอาทิตย์ขึ้นหรือ? ดาบสตอบว่า กรรมนั้นไม่ใช่ของเรา แต่มีดาบสจัณฑาลผู้หนึ่งอาศัยอยู่ที่ริมฝั่งนที ชะรอยกรรมนี้จักเป็ นของดาบสจัณฑาลผู้นั้น. มนุษย์ทั้งหลายพากันเข้าไปหาพระมหาสัตว์เจ้าถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ให้พระอาทิตย์อุทัยขึ้นหรือ? พระมหาสัตว์รับว่า ใช่ เราห้ามไม่ให้ขึ้นไปเอง. พวกมนุษย์จึงถามว่า เพราะเหตุอะไร? พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า พระดาบสผู้คุ้นเคยในตระกูลของท่านทั้งหลายได้สาปแช่งข้าพเจ้าผู้หาความผิดมิ ได้ เมื่อดาบสผู้นั้นมาหมอบลงแทบเท้าของข้าพเจ้าเพื่อขอขมาโทษ ข้าพเจ้าจึงจักปล่อยพระอาทิตย์ให้อุทัยขึ้น. มนุษย์เหล่านั้นพากันไปฉุดลากชาติมันตดาบสนามา บังคับให้หมอบลงแทบเท้าของพระมหาสัตว์ให้ขอขมาโทษ แล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านโปรดปล่อยพระอาทิตย์ให้อุทัยขึ้นเถิด. พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า เรายังไม่อาจที่จะปล่อยได้ ถ้าหากว่า เราจักปล่อยพระอาทิตย์ขึ้นไซร้ ศีรษะของดาบสผู้นี้จักแตกออกเป็ นเจ็ดเสี่ยง. ลาดับนั้น มนุษย์ทั้งหลายจึงถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะทาอย่างไร?
  • 17. 17 พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงนาเอาก้อนดินเหนียวมา ครั้นให้นามาแล้ว สั่งว่าจงเอาดินเหนียววางไว้บนศีรษะของดาบสนี้ แล้วบังคับให้ลงไปยืนในน้า แล้วจึงปล่อยพระอาทิตย์ให้อุทัยขึ้น. ก็เมื่อพระอาทิตย์อุทัยขึ้นไปกระทบเข้าเท่านั้น ก้อนดินเหนียวก็แตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง ดาบสก็ดาลงไปในน้า. ครั้นพระมหาสัตว์เจ้าทรมานดาบสนั้นแล้ว จึงใคร่ครวญว่า พราหมณ์หมื่นหกพันเหล่านั้นไปอยู่ ณ ที่แห่งใดหนอ? ทราบว่า ไปอยู่ในสานักของพระเจ้าเมชฌราช คิดว่า เราจักไปทรมานพราหมณ์เหล่านั้น แล้วเหาะไปด้วยฤทธิ์ลงที่ใกล้พระนคร ถือบาตรสัญจรไปเพื่อบิณฑบาตในเวตตวตีนคร. พราหมณ์ทั้งหลายเห็นพระมหาสัตว์แล้วคิดว่า แม้เมื่อพระดาบสนี้มาอยู่ในที่นี้เพียงวันสองวัน ก็จักทาให้เราทั้งหลายไม่มีที่พึ่ง จึงพากันไปยังราชสานักโดยเร็ว กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า มีวิชาธรนักเล่นกลตนหนึ่งเป็ นโจร มาอาศัยอยู่ในพระนครนี้ ขอพระองค์โปรดตรัสสั่งให้จับมันเถิด. พระราชก็ตรัสรับรองว่า ดีละ เราจะจัดการ. พระมหาสัตว์ได้มิสสกภัตแล้ว จึงนามานั่งบนตั่ง พิงฝาแห่งหนึ่งฉันอยู่. ลาดับนั้น ราชบุรุษที่พระราชาส่งมา ติดตามมา เอาดาบฟันคอพระมหาสัตว์ซึ่งกาลังบริโภคอาหารอยู่ มิได้ระมัดระวังตัว ให้ถึงชีพิตักษัย. พระมหาสัตว์นั้นทากาลกิริยาแล้วไปเกิดในพรหมโลก. ได้ยินว่า ในชาดกนี้พระโพธิสัตว์ได้เป็ นผู้ทรมานโกณฑพราหมณ์แล้ว และถึงซึ่งชีพิตักษัย เพราะเป็ นผู้ขวนขวายที่จะทรมานผู้อื่นเท่านั้น เทพยดาทั้งหลายพากันโกรธเคืองจึงบันดาลให้ฝนเถ้ารึงอันร้อนตกลงในเมชฌรัฐ ทั้งสิ้น ทาให้แว่นแคว้นพินาศไปสิ้น. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อพระเจ้าเมชฌราช เข้าไปทาลายชีวิตท่านมาตังคบัณฑิตผู้ยงยศ วงศ์กษัตริย์เมชฌราชพร้อมด้วยราชบริษัท ก็ได้ขาดสูญในกาลครั้งนั้น. พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเจ้าอุเทนราชก็ทรงเบียดเบียนบรรพชิตเหมือนกัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า มัณฑัพยกุมารในครั้งนั้น ได้มาเป็ น พระเจ้าอุเทน ส่วนมาตังคบัณฑิตได้มาเป็น เราผู้สัมมาสัมพุทธเจ้า นี้แล.