More Related Content Similar to บทที่ ๕ บทสรุปและข้อเสนอแนะ ๒๓๐๐
Similar to บทที่ ๕ บทสรุปและข้อเสนอแนะ ๒๓๐๐ (20) More from วัดดอนทอง กาฬสินธุ์
More from วัดดอนทอง กาฬสินธุ์ (20) บทที่ ๕ บทสรุปและข้อเสนอแนะ ๒๓๐๐1. บทที่ ๕
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
เมื่อการปรับพฤติกรรมตามหลักของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
กับการปรับพฤติกรรมของมนุษย์ตามหลักของพระพุทธศาสนามี
ความสัมพันธ์สอดคล้องกันอย่างน่าสนใจ นำามาซึ่งความรู้ ความ
จริง ความดีงาม สำาหรับผู้ที่สนใจศึกษา เนื่องจากเนื้อหาใน
พระพุทธศาสนานอกจากจะมีองค์ความรู้ทางด้านศาสนาแล้ว ยังมี
องค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยาการสมัยใหม่ซึ่งมีรากฐานมาจาก
วิทยาศาสตร์นั้น การศึกษาเชื่อมโยงความรู้ทางด้านจิตวิทยา
ศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างกลมกลืนกัน ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มา
ของการศึกษาวิจัยฉบับนี้ ซึ้งมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ได้แก่ เพื่อ
ศึกษารูปแบบการปรับพฤติกรรมตามหลักของวิทยาการสมัยใหม่
เพื่อศึกษารูปแบบการปรับพฤติกรรมตามหลักของพระพุทธศาสนา
เพื่อศึกษารูปแบบการปรับพฤติกรรมเชิงบูรณาการตามหลัก
พระพุทธศาสนา การศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้ดำาเนินตามหลักการที่ได้
วางแนวทางไว้จนพบประเด็นคำาตอบที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
และข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
๕.๑ บทสรุป
๕.๑.๑ ความหมายของพฤติกรรม
จากการวิจัยทำาให้ทราบถึงการปรับพฤติกรรมตามหลัก
ของวิทยาการสมัยใหม่กับการปรับพฤติกรรมของมนุษย์ตามหลัก
ของพระพุทธศาสนามีความหมายเหมือนกัน คือ หมายถึงการก
ระทำากิจกรรมต่าง ๆ ที่สามารถมองเห็นได้ ถึงแม้พฤติกรรมบาง
อย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ศาสตร์สมัยใหม่ก็มีเครื่องมือวัด
ได้ ในฝ่ายของพระพุทธศาสนาก็สามารถสัมผัสได้ด้วยใจของผู้มี
คุณวิเศษคือผู้ได้ปรวิชานนอภิญญา ที่สามารถรู้วาระจิตของคน
อื่นได้
๕.๑.๒ ประเภทของพฤติกรรม
2. ก. ความเหมือนกัน
ทั้งพระพุทธศาสนาและศาสตร์สมัยใหม่ได้แยกประเภท
ของพฤติกรรมออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ พฤติกรรมภายนอก
กับพฤติกรรมภายใน ถึงแม้พระพุทธศาสนาจะแบ่งแหล่งที่เกิด
ของพฤติกรรมออกเป็น ๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา และทาง
ใจ ก็ตาม เมื่อพิจารณาสรุปแล้วก็ย่อลงเป็น ๒ ประเภทเหมือนกับ
ศาสตร์สมัยใหม่คือ พฤติกรรมทางกาย และวาจา จัดเป็น
พฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมทางใจ จัดเป็นพฤติกรรมภายใน
ส่วนแนวคิดของแบนดูร่ายิ่งใกล้เคียงกับพระพุทธศาสนา
เพราะแบนดูร่าเน้นพฤติกรรมทางใจเป็นสำาคัญเช่นเดียวกับ
พระพุทธศาสนาที่ถือว่าพฤติกรรมทางใจสำาคัญที่สุด
ข. ความต่างกัน
ศาสตร์สมัยใหม่โดยทั่วไปรวมทั้งแบนดูร่าด้วยได้ทำาการ
ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ที่มีผลในปัจจุบันคือสังเกตเห็นได้ด้วยตา
เปล่าไม่ได้ศึกษาลึกลงไปถึงเหตุที่ทำาให้เกิดพฤติกรรมในปัจจุบัน
และผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในภพชาติต่อไป แต่พระพุทธ
ศาสนาศึกษาครบทั้ง ๓ กาล คือเหตุในอดีตกาลที่ทำาให้เกิดผลใน
ปัจจุบันและจะเกิดในอนาคตทั้งในภพนี้และภพหน้า
๕.๑.๓ แนวทัศนะเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ตาม
หลักของแบนดูร่ากับพระพุทธศาสนา
ก. ความเหมือนกัน
ทั้งพระพุทธศาสนาและแบนดูร่า มีแนวคิดเกี่ยวกับ
พฤติกรรมเหมือนกันตรงที่องค์ประกอบ ๓ ส่วนประกอบกัน
กำาหนดกันและกัน มีอิทธิพลต่อกัน กล่าวคือ แบนดูร่า มองว่า
พฤติกรรมมนุษย์เกิดจากสิ่งแวดล้อมและบุคคล ทั้ง ๓ อย่างนี้มี
ความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงถึงกันและกันเป็นลูกโซ่ สอดคล้องกับ
ทัศนะของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับเหตุ ปัจจัย และผล และ
สอดคล้องกับหลักปฏิจจสมุปบาทที่พฤติกรรมแต่ละอย่างมีความ
เกี่ยวเนื่องกันและกัน เช่น เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา เป็น
15
3. ปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ในทางกลับกัน อุปาทานก็เป็นปัจจัยในเกิด
ตัณหา ตัณหาก็เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาได้เช่นเดียวกัน
แบนดูร่ามีความเชื่อว่า พฤติกรรมของคนเรานั้น ไม่ได้
เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อมแต่
เพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยส่วนบุคคล (ปัญญา ชีวภาพ และสิ่ง
ภายในอื่น ๆ) ร่วมด้วย และการร่วมของปัจจัยส่วนบุคคลนั้นจะ
ต้องร่วมกันในลักษณะที่กำาหนดซึ่งกันและกัน (Reciprocal
Determinism) กับปัจจัยทางด้านพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม
สอดคล้องกับพระพุทธศาสนา ที่เน้นพฤติกรรมทางใจหรือ
มโนกรรมเป็นสำาคัญ พฤติกรรมทุกอย่างล้วนออกมาจากใจทั้งนั้น
แบนดูร่ามองว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นตั้งแต่ได้เห็นตัวแบบแล้ว
แม้ยังไม่ได้แสดงออกมาก็ตาม สอดคล้องกับพระพุทธศาสนาที่
ว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อตาเห็นรูปแล้วเกิดจักษุวิญญาณคือความรู้
ทางตา จากนั้นความรู้อันนั้นก็จะถูกส่งไปเก็บในภวังคจิตรอ
โอกาสให้ผลเมื่อถึงคราวที่เหมาะสม
ข. ความต่างกัน
ความต่างกันระหว่างแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับพฤติกรรม
หรือบ่อเกิดพฤติกรรมของแบนดูร่ากับพระพุทธศาสนา ตรงที่แบน
ดูร่ามองว่า พฤติกรรมเกิดจากสิ่งแวดล้อมและบุคคลซึ่งเน้นที่ตัว
บุคคลแต่ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดว่า เหตุที่ทำาให้บุคคลแสดง
พฤติกรรมออกมานั้นคืออะไร หมายความว่า อะไรอยู่เบื้องหลัง
พฤติกรรมเหล่านั้น
ส่วนพระพุทธศาสนาศึกษาลึกลงไปถึงสาเหตุของ
พฤติกรรมอย่างชัดเจนว่า ตัณหา กับฉันทะเป็นสาเหตุของ
พฤติกรรม ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ก็คือองค์ประกอบบุคคลในทัศนะของ
แบนดูร่านั่นเอง เพียงแต่แบนดูร่าได้อธิบายไว้โดยรวมว่า องค์
ประกอบบุคคล ได้แก่ ปัญญา ชีวภาพ และสิ่งภายในอื่น ๆ ซึ่งสิ่ง
ภายในอื่น ๆ นี้แหละที่พระพุทธศาสนาเรียกว่า “สังขาร” การปรุง
แต่งภายใน เป็นบ่อเกิดของพฤติกรรมมนุษย์
๕.๑.๔ การพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ตามหลักของ
แบนดูร่ากับพระพุทธศาสนา
16
5. ๓) การใช้คำาพูดชักจูง
๔) การกระตุ้นทางอารมณ์
ข. ความต่างกัน
๑) กระบวนการความใส่ใจ (Attention Process)
กระบวนการใส่ใจของแบนดูร่า เปรียบเทียบได้กับหลัก
“อิทธิบาท” ในพระพุทธศาสนา อิทธิบาทมี ๔ ประการ คือ ฉันทะ
วิริยะ จิตตะ วิมังสา ฉันทะคือความใส่ใจหรือความชอบใจพอใจ
ในกิจการงานที่จะทำา วิริยะ คือความเพียรพยายามที่จะทำางาน
นั้น ๆ ให้สำาเร็จ จิตตะ เอาใจใส่ต่องานไม่ทอดธุระกลางครัน มีใจ
จดจ่อมุ่งมั่นที่จะทำางานให้สำาเร็จ วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณา
ไตร่ตรองหาช่องทางและวิธีการที่จะทำางานให้สำาเร็จ ถ้าผู้เรียน
ปฏิบัติตามหลักอิทธิบาทเหล่านี้ครบถ้วนก็จะทำาให้ประสบความ
สำาเร็จในการเรียนโดยไม่ยาก การปฏิบัติตามอิทธิบาทจะมีผลสืบ
เนื่องถึงกันอย่างกลมกลืน
๒) กระบวนการจดจำา (Retention Process)
แบนดูรา อธิบายว่า การที่ผู้เรียนหรือผู้สังเกตสามารถที่จะ
เลียนแบบหรือแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบได้ก็เป็นเพราะผู้
เรียนบันทึกสิ่งที่ตนสังเกตจากตัวแบบไว้ในความจำาระยะยาว แบน
ดูรา พบว่าผู้สังเกตที่สามารถอธิบายพฤติกรรม หรือการกระทำา
ของตัวแบบด้วยคำาพูด หรือสามารถมีภาพพจน์สิ่งที่ตนสังเกตไว้
ในใจจะเป็นผู้ที่สามารถจดจำาสิ่งที่เรียนรู้โดยการสังเกตได้ดีกว่าผู้
ที่เพียงแต่ดูเฉย ๆ หรือทำางานอื่นในขณะที่ดูตัวแบบไปด้วย สรุป
แล้วผู้สังเกตที่สามารถระลึกถึงสิ่งที่สังเกตเป็นภาพพจน์ในใจ
(Visual Imagery) และสามารถเข้ารหัสด้วยคำาพูดหรือถ้อยคำา
(Verbal Coding) จะเป็นผู้ที่สามารถแสดงพฤติกรรมเลียนแบบ
จากตัวแบบได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนาน ๆ และนอกจากนี้ถ้าผู้
สังเกตหรือ ผู้เรียนมีโอกาสที่จะได้เห็นตัวแบบแสดงสิ่งที่จะต้อง
เรียนรู้ซำ้าก็จะเป็นการช่วยความจำาให้ดียิ่งขึ้น
18
6. กระบวนการจดจำาเปรียบได้กับหลัก “โยนิโสมนสิการ” ใน
พระพุทธศาสนา คำาว่า โยนิโสมนสิการ คือการใช้ปัญญา
พิจารณาโดยแยบคาย เมื่อมีเหตุการณ์ที่จะต้องตัดสินว่า สิ่งนั้น ๆ
ควรจะดำาเนินการอย่างไรจึงจะประสบความสำาเร็จและเกิด
ประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น หรือว่า เมื่อมีเรื่องราวที่จะตัดสินใจ
เพื่อดำาเนินการตาว่าเรื่องนี้ถูกผิดอย่างไร ใช้ปัญญาพิจารณา
ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนจึงตัดสินใจลงมือทำาหรือเลือกมี
พระพุทธหลายแห่งที่ตรัสถึงประโยชน์ของโยนิโสมนสิการ เช่น
พระพุทธพจน์ว่า “เพราะพูดถึงองค์ประกอบภายใน เราไม่เห็น
องค์ประกอบอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์มากเหมือน
โยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์มาก
นอกจากนี้โยนิโสมนสิการยังเป็นปัจจัยทำาให้เกิดสัมมา
ทิฏฐิได้ ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิมี ๒ ประการ คือ ๑. ปร
โตโฆสะ (การได้สดับจากบุคคลอื่น) ๒. โยนิโสมนสิการ (การ
มนสิการโดยแยบคาย)
นอกจากโยนิโสมนสิการจะเป็นปัจจัยทำาให้เกิดสัมมาทิฏฐิ
แล้วยังเป็นบุพนิมิตแห่งความเกิดขึ้นแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วย
พระพุทธเจ้าเปรียบโยนิโสมนสิการเหมือนกับแสงอรุณโผ่
๓) กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ
(Reproduction Process)
กระบวนเป็นกระบวนการที่ผู้เรียน แปรสภาพ
(Transform) ภาพพจน์ (Visual Image) หรือสิ่งที่จำาไว้เป็นการ
เข้ารหัสเป็นถ้อยคำา (Verbal Coding) ในที่สุดแสดงออกมา
เป็นการกระทำาหรือแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ
กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบของแบนดู
ร่า เปรียบเทียบได้กับหลัก “กัลยาณมิตร” ในพระพุทธศาสนา คำา
ว่า กัลยาณมิตรหรือผู้เป็นกัลยาณมิตร คือผู้เป็นมิตรที่ดี ผู้ตั้ง (ตน)
อยู่ในฝ่ายเจริญ แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล (ผู้อื่น) ไปฝ่ายเดียว
กอบด้วยคุณ ๗ ประการ คือ ๑) เป็นคนน่ารัก ๒) น่าเคารพ ๓)
น่ายกย่อง ๔) เป็นผู้ว่ากล่าว (คนอื่น ไม่เฉยเมย) ๕) เป็นผู้ยอม
19
7. ให้ (คนอื่น) ว่ากล่าว (ไม่หัวดื้อ) ๖) แต่ง (ธรรม) ถกาอันลึกซึ้งได้
๗) ไม่ชักชวน (ผู้อื่น) ในที่อันไม่ควร
๔) กระบวนการจูงใจ (Motivation Process)
แบนดูรา อธิบายว่า แรงจูงใจของผู้เรียนที่จะแสดง
พฤติกรรมเหมือนตัวแบบที่ตนสังเกต เนื่องมาจากความคาดหวังว่า
การเลียนแบบจะนำาประโยชน์มาใช้ เช่น การได้รับแรงเสริมหรือ
รางวัล หรืออาจจะนำาประโยชน์บางสิ่งบางอย่างมาให้ รวมทั้งการ
คิดว่าการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบจะทำาให้ตนหลีกเลี่ยง
ปัญหาได้
กระบวนการจูงใจเปรียบเทียบได้กับพุทธพจน์ว่า “นิคฺคณฺ
เห นิคฺคหารหำ” ข่มบุคคลที่ควรข่ม “ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหำ”
ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ในเตสกุณชาดก พระราชาตรัสถาม
ราชธรรมกับนางนกกุณฑลินีตอนหนึ่งว่า “พระราชาควรทราบ
ความเจริญและความเสื่อมด้วยพระองค์เองควรทรงทราบสิ่งที่ทรง
กระทำาแล้วและยังมิได้ทรงกระทำาด้วยพระองค์เอง พึงข่มคนที่ควร
ข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง”
การควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเอง (Self-
Regulation)
การกำากับตนเอง เป็นแนวคิดที่สำาคัญอีกแนวคิดหนึ่งของ
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคมซึ่ง Bandura เชื่อว่า
พฤติกรรมมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเสริมแรง และลงโทษเพียง
อย่างเดียวหากแต่เป็นการบังคับตนเองให้ทำา แบนดูร่า เรียกว่า
การกำากับตนเอง ซึ่งจะสามารถทำาได้ก็ต่อเมื่อมีการฝึกฝนและ
พัฒนา
กระบวนการสังเกตของตนเอง (Self observation)
บุคคลไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อการกระทำาของตัวเองถ้าเข้าไม่สนใจว่า
เขากำาลังทำาอะไรอยู่ ดังนั้นจุดเริ่มต้นที่สำาคัญของการกำากับตนเอง
คือ บุคคลจะต้องรู้ว่าตนเองกำาลังทำาอะไรอยู่ เพราะความสำาเร็จ
จากการกำากับตนเองนั้นส่วนหนึ่งมาจากความชัดเจนสมำ่าเสมอและ
แม่นยำาของการสังเกตและบันทึกตนเอง การสังเกตควรพิจารณา
20
8. ๔ ด้านคือ ๑) การกระทำา ในด้านคุณภาพ,ความเร็วปริมาณ ฯ ๒)
ความสมำ่าเสมอ ๓) ความใกล้เคียง ๔) ความถูกต้อง
กระบวนการสังเกตของตนเอง (Self observation)
เปรียบเทียบได้กับหลักธรรมหมวดธรรมมีอุปการะมาก ๒ อย่าง คือ
สติ สัมปชัญญะ การที่คนจะสังเกตตนเองได้ต้องมีสติ ความระลึก
ได้ คือมีความระลึกได้อยู่ ๓ ขณะ คือ ขณะก่อนทำา ขณะก่อนพูด
ขณะก่อนคิด ถ้าบุคคลมีสติระลึกได้อย่างนี้จะทำาให้การทำางาน
หรือทำากิจกรรมอื่นใดไม่ผิดพลาด ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่
ตนเองและผู้อื่น
๕.๒ ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาจิตวิทยาพฤติกรรมตามหลักของวิทยาการ
สมัยใหม่เปรียบเทียบแนวพฤติกรรมมนุษย์ตามหลักของพระพุทธ
ศาสนาทำาให้ทราบถึงกระบวนการทางพุทธิปัญญา การปรับ
พฤติกรรมตามหลักของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กับการปรับ
พฤติกรรมตามแนวพุทธศาสนามีเป้าหมายเดียวกันคือ เพื่อสังคมที่
เป็นสุข การปรับพฤติกรรมตามแนวพุทธที่ระดับบุคคลคือ อยู่ใน
ศีล ที่ระดับสังคมคือ การยึดถือปฏิบัติตามจารีต ประเพณี การปรับ
พฤติกรรมตามแนววิทยาการสมัยใหม่ที่ระดับบุคคลคือ การบำาบัด
ที่ระดับสังคมคือ การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบแห่งสังคม ซึ่ง
เป็นกรอบใหญ่แห่งพฤติกรรม
ในงานวิจัยนี้เป็นการศึกษาการปรับพฤติกรรมเชิงเปรียบ
เทียบระหว่างการปรับพฤติกรรมตามศาสตร์สมัยใหม่ของแบนดูร่า
กับการปรับพฤติกรรมตามหลักของพระพุทธศาสนาเพื่อให้ทราบ
ว่าการปรับพฤติกรรมตามหลักของแบนดูร่าเป็นอย่างไร และการ
ปรับพฤติกรรมตามหลักของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร มีความ
เหมือนและความต่างกันอย่างไร เท่านั้น ยังมีรายละเอียดที่น่า
ศึกษาอยู่มากมายที่ยังไม่ได้ศึกษาเพราะมีข้อจำากัดเกี่ยวกับเวลา
ถ้าผู้ที่มีความสนใจจะศึกษาการปรับพฤติกรรมตามหลักของแบนดู
ร่าในเชิงลึกควรศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือ ของ Bandura ชื่อ
ว่า Social Learning Theory, (Englewood Cliffs, New
Jersey : Prentice-Hall, Inc., 1976), และ Social
Foundations of Thought and Action : A Social
21
9. cognitive theory, Social Learning Theory,
(Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc.,
1986), ซึ่งหนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้จะรวบรวมทฤษฎีแนวคิดเกี่ยวกับ
การปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ของแบนดูร่าทั้งหมด ในส่วนของการ
ปรับพฤติกรรมตามหลักของพระพุทธศาสนาก็ควรศึกษาเรื่อง
เจตสิกหรือสังขารขันธ์เพิ่มเติมเพราะสังขารขันธ์ทั้ง ๕๐ อย่างนั้น
เป็นบ่อเกิดของพฤติกรรมมนุษย์ตามระดับชั้นของบุคคล
22
10. cognitive theory, Social Learning Theory,
(Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall, Inc.,
1986), ซึ่งหนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้จะรวบรวมทฤษฎีแนวคิดเกี่ยวกับ
การปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ของแบนดูร่าทั้งหมด ในส่วนของการ
ปรับพฤติกรรมตามหลักของพระพุทธศาสนาก็ควรศึกษาเรื่อง
เจตสิกหรือสังขารขันธ์เพิ่มเติมเพราะสังขารขันธ์ทั้ง ๕๐ อย่างนั้น
เป็นบ่อเกิดของพฤติกรรมมนุษย์ตามระดับชั้นของบุคคล
22