More Related Content
Similar to สรุปสถานการณ์ปัญหาตามทฤษฎีพุทธิปัญญานิยม
Similar to สรุปสถานการณ์ปัญหาตามทฤษฎีพุทธิปัญญานิยม (20)
สรุปสถานการณ์ปัญหาตามทฤษฎีพุทธิปัญญานิยม
- 1. ทฤษฎีพุทธิปัญญานิยม
COGNITIVE THEORIES
จัดทำโดย
นำงสำวณัฐมน คำขัน รหัสนักศึกษำ 565050041-2
นำงสำวเนตรชนก อำจวิชัย รหัสนักศึกษำ 565050044-6
นำงสำวศิริประภำ ภูมิผักแว่น รหัสนักศึกษำ 565050048-8
นำงสำวจีรำวรรณ โลหะมำศ รหัสนักศึกษำ 565050038-1
201701 EDUCATIONAL TECHNOLOGY AND INSTRUCTIONAL DESIGN
การออกแบบการสอนเทคโนโลยีการศึกษาและการออกแบบการสอน
สาขาเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- 2. สถานการณ์ปัญหาที่ 1
ครูสุขสวรรค์ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ม.ต้น ได้กาหนดงานเพื่อให้นักเรียนชั้น ม.1
และ ม.3 ประมวลความรู้วิชาวิทยาศาสตร์ในเรื่องที่สนใจ โดยประดิษฐ์ เป็นผลงาน
ขึ้นมาหนึ่งอย่าง ให้แบ่งกลุ่มเป็น 3 คน นาเสนอหัวข้อที่จะทา กาหนดสมมติฐาน ตัว
แปรต้น ตัวแปรตาม และออกแบบการดาเนินงาน ให้เป็นขั้นตอน รวมทั้งงบประมาณที่
ใช้ ระยะเวลา ระบุวิธีการดาเนินการ และสรุปผลการทดลอง โดยให้นาเสนอผลงาน
และข้อค้นพบในท้ายเทอม และจัดเป็นนิทรรศการแสดงผลงานในโรงเรียนด้วย และ
จะต้องมีการรายงานความคืบหน้ากับครูเป็นระยะ ซึ่งผิดกับครูอภิชัยที่ให้เฉพาะ ม.3
ทาโครงงานโดยคิดว่า ม.1 ยังไม่พร้อมที่จะทาโครงงานดังกล่าว
- 4. ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบของบรูเนอร์
• แนวคิดของบรูเนอร์ : การจัดการศึกษาควรคานึงถึงการเชื่อมโยงทฤษฎีพัฒนาการ ทฤษฎีความรู้
ทฤษฎีการสอน และปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับความสามารถในการคิด รวมถึงเลือกใช้วิธีการ
สอนที่เหมาะสมแก่ผู้เรียน
• การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เลือกสิ่งที่สนใจ การเรียนรู้แบนี้จะ
ช่วยให้เกิดการค้นพบเนื่องจากผู้เรียนมีความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่ทาให้สารวจ
สิ่งแวดล้อมและทาให้เกิดการเรียนรู้แบบค้นพบ
• ดังนั้น จากการที่ครูสุขสวรรค์ได้มอบหมายงานให้นักเรียนชั้น ม.1 และ ม.3 ไปประดิษฐ์ผลงาน
ทางวิทยาศาสตร์นั้น ผู้เรียนจะได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองทาให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น
และสนใจที่จะศึกษาเรื่องที่ตนเลือกหัวข้อพร้อมทั้งได้ลงมือกระทาเอง ทาให้เกิดการเรียนรู้แบบ
ค้นพบ
- 5. ทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของเพียเจต์
•แนวคิดของเพียเจต์ : การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมี
พัฒนาการไปตามวัยต่างๆ เป็นลาดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่
ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทาให้
เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็ก
กาลังจะพัฒนาไปสู่ ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
•ดังนั้น การที่ครูอภิชัยที่ให้เฉพาะ ม.3 ทาโครงงานโดยคิดว่า ม.1 ยังไม่พร้อมที่จะทา
โครงงานดังกล่าวนั้น เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เป็นไปตามขั้นตอนการพัฒนาการตามวัย
ของนักเรียน
- 7. ครูผู้สอน ข้อดี ข้อจากัด
ครูสุขสวรรค์ ครูสามารถช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความ
พร้อมได้ โดยไม่ต้องรอเวลา ซึ่งสามารถที่
จะสอนได้ในทุกช่วงของอายุ ถ้ารู้จักเลือก
วิธีการที่เหมาะสม
สาหรับ วัยรุ่น วัยนี้สามารถคิดอย่างมี
เหตุผล แต่อาจจะมิใช่เหตุผลดังที่ผู้ใหญ่
คิดดังนั้น ครูอาจทราบเหตุผลของเด็กได้
โดยการกระตุ้นให้มีการอภิปรายแสดง
ความคิดเห็น อย่างอิสระ และการเขียน
รายงานโดยไม่มีคะแนน
ครูอภิชัย การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการ
ทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตาม
วัยต่าง ๆ เป็นลาดับขั้น พัฒนาการเป็น
สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ
-นักเรียนแต่ละคนมีอัตราพัฒนาการทาง
สติปัญญาที่แตกต่างกัน
- การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะจดจามากกว่า
ที่จะเข้าใจ เป็นการเรียนรู้ที่ไม่แท้จริง
- 10. 2. จงวิเคราะห์ความแตกต่างของพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย พร้อม
ยกตัวอย่างประกอบ มาพอเข้าใจ
•พัฒนาทางการสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัย ซึ่งแบ่งได้ 4 วัย ดังนี้
1. ขั้นรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส (Sensorimotor period) มีอายุอยู่ในช่วง 0-2 ปี มี
ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมโดยประสาทสัมผัส
2. ขั้นก่อนปฏิบัติการการคิด (Preoperational period) มีอายุอยู่ในช่วง 2 – 7 ปี
ใช้สัญลักษณ์แทนวัตถุสิ่งของ มีพัฒนาการทางภาษา ซึ่ง 2 ขั้นนี้จะมีการรับรู้และการ
กระทา
- 11. พัฒนาทางการสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัย ซึ่งแบ่งได้ 4 วัย(ต่อ)
3. ขั้นการคิดแบบรูปธรรม (Concrete
operational period) มีอายุอยู่ในช่วง 7-11 ปี
สามารถสร้างกฎเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อม
ออกเป็นหมวดหมู่ได้
4. ขั้นการคิดแบบนามธรรม(Formal
operational period)มีอายุอยู่ในช่วง11-15 ปี
ขั้นนี้คิดเป็นนามธรรม,ตั้งสมมติฐานและใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้
- 12. 3. ท่านจะแนะนาแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับระดับพัฒนาการ
ของผู้เรียนอย่างไร เพื่อให้ครูผู้สอนเข้าใจ
จัดทาได้ดังนี้
1. การพัฒนาเด็กควรคานึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก และจัดประสบการณ์ ให้
เหมาะสมกับพัฒนาการของเขา ไม่ควรบังคับให้เด็กเรียนในสิ่งที่ยังไม่พร้อมหรือยากเกิน
พัฒนาการตามวัย เพราะจะทาให้เด็กเกิดเจตคติที่ไม่ดีในสิ่งที่เรียน และการจัดประสบการณ์ควร
คานึงถึงสิ่งต่อไปนี้
- การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตามวัยของตนเอง ซึ่งจะช่วยให้เด็ก
พัฒนาไปสู่พัฒนาการขั้นสูงขึ้นได้
- เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการแตกต่างกัน ถึงแม้อายุจะเท่ากันแต่ระดับพัฒนาการอาจไม่
เท่ากัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้ และพัฒนาความสามารถ
ของเขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา
- ผู้สอนควรสอนสิ่งที่เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจลักษณะต่างๆได้ดีขึ้น
- 13. 2. การให้ความสนใจและสังเกตเด็กอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้ทราบลักษณะเฉพาะของเด็ก
3. ในการสอนเด็กเล็กๆเขาจะรับรู้ส่วนรวม (whole) ได้ดีกว่าส่วนย่อย (part) ดังนั้น
ผู้สอนจึงควรสอนภาพรวมก่อนแล้วจึงแยกสอนทีละส่วน
4. ในการสอนสิ่งใดให้กับเด็ก ควรเริ่มจากสิ่งที่เด็กคุ้นเคยหรือมีประสบการณ์มาก่อนแล้วจึง
เสนอสิ่งใหม่ที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งเก่า การทาเช่นนี้จะช่วยเด็กซึมซับและจัดระบบความรู้ได้ดี
5. การเปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์แล้วมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมมากๆ จะช่วย ให้
เด็กซึมซับข้อมูลเข้าสู่โครงสร้างทางสติปัญญา และพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กได้ดี
3. ท่านจะแนะนาแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับระดับพัฒนาการ
ของผู้เรียนอย่างไร เพื่อให้ครูผู้สอนเข้าใจ (ต่อ)
- 14. สถานการณ์ปัญหาที่ 3
ท่านได้รับมอบหมายจากผู้บริหาร ให้นิเทศก์ติดตามการสอนของครูหมวด
วิทยาศาสตร์ โดยใน ชั่วโมงการสอนเรื่องพืชของครูสรยุทธ์ พบว่า จะสอนโดย
วิธีการบรรยาย เขียนกระดานดา และให้นักเรียนดูหนังสือตาม โดยจะ พูดแต่
เนื้อหาไม่บอกสาระสาคัญ ไม่มีการแจ้งจุดประสงค์และโครงเรื่องก่อน ทาให้ยากต่อ
การทาความเข้าใจ ชั่วโมงต่อมาครูสรยุทธ์ก็ได้สอนเนื้อหาที่ซับซ้อนขึ้น และลอง
ถามให้นักเรียนอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนมา นักเรียนไม่สามารถที่จะอธิบายได้
ขาดกรอบในการนาเสนอ และนักเรียนไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในเนื้อหาที่
เรียนผ่านมาแล้วได้กับเนื้อหาใหม่ๆ ที่สอน
- 18. สถานการณ์ปัญหาที่ 4
ในชั่วโมงสอนวิชาเคมีของครูทักษิณตอนนี้กาลังประสบปัญหา
เกี่ยวกับการสอน คือ เวลาสอนเนื้อหาในชั่วโมงเรียน นักเรียน
จะมีความ เข้าใจและจาได้ เมื่อถามคาถาม หรือให้ออกไปแสดง
วิธีทาหน้าชั้นเรียนก็สามารถทาได้ถูกต้อง แต่เมื่อเวลาผ่านไป
เช่นในวันรุ่งขึ้น เมื่อกลับมาถามหรือให้แสดงวิธีทาปรากฏว่าจะ
ตอบไม่ถูก หรือแสดงวิธีทาได้เพียงบางส่วน ยิ่งถ้าเป็นเรื่อง
เกี่ยวกับธาตุทางเคมียิ่งจาไม่ได้
ในฐานะที่ท่าน เป็นนักเทคโนโลยีทางการศึกษา ลอง
พิจารณาหาทางช่วยครูทักษิณแก้ปัญหาดังกล่าว
- 19. 1. จงวิเคราะห์ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นน่าจะนาทฤษฎีใดในกลุ่มพุทธิปัญญานิยมมาใช้
แก้ปัญหา พร้อมทั้งอธิบายหลักการ ทฤษฎี ที่ใช้อย่างละเอียด
ทฤษฎีประมวลสารสนเทศ(Information Processing) : คลอสไม
เออร์ (Klausmeier) กล่าวว่ามนุษย์รับสิ่งเร้าเข้ามาทางประสาท
สัมผัสทั้ง 5 มีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ การรู้จัก (recognition)
และ ความใส่ใจ (attention) ซึ่งจะเลือกข้อมูลที่ตนเองสนใจบันทึก
ไว้ในความจาระยะสั้น ซึ่งวิธีการที่จะช่วยเก็บรักษาข้อมูลไว้ใน
ความจาระยะสั้นให้ช่วงเวลายาวขึ้น แล้วนาไปเก็บไว้ในความจาระยะ
ยาวเพื่อให้สามารถเรียกกลับมาใช้ได้นั้น ได้แก่ การทบทวน การ
ทาซ้าๆ เป็นต้น วิธีการต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมี
ความหมาย ซึ่งเป็นผลที่ทาให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น
- 20. 2. หากคุณพบปัญหาในการเรียนการสอนในวิชาที่คุณสอนเอง คุณจะนาหลักการหรือทฤษฎี
เดียวกับครูทักษิณ ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร จงอธิบายขั้นตอนและยกตัวอย่างประกอบ
ทาได้ดังนี้
1. การนาเสนอสิ่งเร้าที่ผู้เรียนรู้จักจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนหันมาใส่ใจและ รับรู้สิ่งนั้น ซึ่งผู้สอนสามารถ
เชื่อมโยงไปถึงสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นได้ เช่น ครูให้นักเรียนใช้งานอินเตอร์เน็ต นักเรียนรู้ว่า
อินเตอร์เน็ตมีเว็บไซต์ต่างๆมากมาย เป็นต้น
2. ครูจัดสิ่งเร้าในการเรียนรู้ให้ตรงกับความสนใจของผู้เรียน เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้น
3. ข้อมูลที่ผ่านการรับรู้แล้ว จะถูกนาไปเก็บไว้ในความจาระยะสั้น หากต้องการที่จะจาสิ่งนั้นนานๆ
ได้รับการเข้ารหัส เพื่อนาไปเข้าหน่วยความจาระยะยาว เช่น การท่องซ้ากันหลายๆครั้ง เป็นต้น เช่น
(ตัวอย่างข้อ 2-3) ในวิชาเลือกเสรี นักเรียนใช้งานโปรแกรมสร้างการ์ตูน 2D ขั้นตอนการทางานอาจ
ซับซ้อน นักเรียนจึงต้องหมั่นฝึกซ้า เพื่อให้เกิดความจาในระยะยาว เป็นต้น
- 21. สถานการณ์ปัญหาที่ 5
ณ โรงเรียน บ้านหนองขี้กวงประชานุเคราะห์ ในการเรียนการสอนของครูปารวีมี
เหตุการณ์เป็นดังนี้
ชั่วโมงการสอนของครูปารวี ซึ่งสอนเรื่องสถิติ ครูปารวีสอนวิธีหาค่าเฉลี่ยแล้วให้นักเรียน
กลับไปทาเป็นการบ้าน เด็กชายสุวัฒน์ เป็นเด็กที่ขยัน ถ้าหากมีเวลาว่างเขาจะหยิบสมุดการบ้าน
ขึ้นมาทา พออ่านโจทย์แล้ว สุวัฒน์ก็รู้ทันทีว่าเขาจะแก้โจทย์ข้อนี้ได้อย่างไร เพราะพอจะเข้าใจ
จากที่อาจารย์สอน แต่พอลองแทนค่าในสมการแล้วสุวัฒน์ก็ยังไม่ได้คาตอบ สุวัฒน์จึงทบทวน
อ่านโจทย์ใหม่อีกครั้ง เขาถึงรู้ว่าโจทย์ข้อนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาเรียนมา เขาจึงต้องศึกษาเพิ่มเติม
และหาวิธีการแก้โจทย์จากหนังสือคู่มือหลายๆ เล่ม แล้วเลือกวิธีที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่เขาเข้าใจ
มากที่สุด มาใช้แก้โจทย์ข้อนี้ จนได้คาตอบ แล้วทาการตรวจทานคาตอบอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ