ว่าด้วย ได้รับโทษเพราะประมาท พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระนางมัลลิกาเทวี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ได้ยินว่า วันหนึ่ง พระราชาได้มีการวิวาทโต้เถียงเรื่องสิริกับพระนางมัลลิกาเทวี. บางอาจารย์กล่าวว่า ทรงทะเลาะเรื่องที่บรรทมดังนี้ก็มี. พระราชาทรงกริ้วถึงกับไม่สนพระทัยกับพระนาง. ฝ่ายพระนางมัลลิกาเทวีก็ทรงพระดำริว่า พระศาสดาเห็นจะไม่ทรงทราบว่า พระราชาทรงพิโรธเรา. แม้พระศาสดาก็ทรงทราบ ทรงดำริว่า จักกระทำพระราชาและพระเทวีนี้ให้สมัครสมานกัน ในเวลาเช้า จึงทรงนุ่งแล้วถือบาตรและจีวร มีภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร เสด็จเข้ากรุงสาวัตถีแล้วได้เสด็จไปที่ประตูพระราชนิเวศน์. พระราชาทรงรับบาตรของพระตถาคตแล้วทูลนิมนต์เสด็จเข้าพระนิเวศน์ ให้ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดแล้ว ถวายน้ำทักษิโณทกแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วทรงนำข้าวยาคูและของควรเคี้ยวมาถวาย. พระศาสดาทรงเอาพระหัตถ์ปิดบาตรแล้วตรัสว่า มหาบพิตร พระเทวีเสด็จไปไหน. พระราชาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ประโยชน์อะไรด้วยพระเทวีนั้นผู้มัวเมาด้วยยศของตน. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์ทรงประทานยศยกมาตุคามขึ้นด้วยพระองค์เอง แล้วไม่ทรงอดโทษความผิดที่พระเทวีนั้นกระทำ ดูไม่สมควร. พระราชาทรงสดับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว จึงรับสั่งให้เรียกพระเทวีมา. พระเทวีเสด็จมาทรงอังคาสพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า ควรที่พระองค์ทั้งสองจะเป็นผู้สามัคคีปรองดองกันและกัน ได้ตรัสพรรณนาสามัคคีรสแล้วเสด็จหลีกไป. จำเดิมแต่นั้น พระราชาและพระเทวีทั้งสองพระองค์ก็ทรงอยู่ด้วยความสามัคคีปรองดองกัน. ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระศาสดาได้ทรงกระทำพระราชาและพระเทวีทั้งสองพระองค์ให้สมัครสมานกัน ด้วยพระดำรัสข้อเดียวเท่านั้น. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เราตถาคตก็ได้ทำให้ท้าวเธอทั้งสองนี้มีความสามัคคีปรองดองกัน ด้วยวาทะข้อเดียวเท่านั้น แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้