SlideShare a Scribd company logo
1 of 16
1
กุรุธัมมชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๖. กุรุธัมมชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๗๖)
ว่าด้วยธรรมของชาวกุรุ
(พราหมณ์ทั้งหลายสรรเสริญคุณของพระอุปราชโพธิสัตว์ว่า)
[๗๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าเหล่าชน
ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบศรัทธาและศีลของพระองค์แล้ว
จะขอรับพระราชทานแลกเปลี่ยนทองคากับพญาช้างอัญชนวรรณ
นาไปไว้ในแคว้นกาลิงคะ พระเจ้าข้า
(พระอุปราชโพธิสัตว์ตอบว่า)
[๗๗] สัตว์ทั้งหมดนั้นที่พึงเลี้ยงด้วยข้าวก็ดี ไม่พึงเลี้ยงด้วยข้าวก็ดี
ในมนุษยโลกนี้ ตัวใดเจาะจงไปหาเราไม่ควรปฏิเสธ นี้เป็นคาของบูรพาจารย์
[๗๘] พราหมณ์ทั้งหลาย เราจะให้พญาช้างนี้ที่สมควรแก่พระราชา
เหมาะที่พระราชาจะทรงใช้สอย มียศ ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
ปกคลุมกระพองด้วยข่ายทองคาแก่พวกท่านพร้อมทั้งนายควาญ
พวกท่านจงไปตามปรารถนาเถิด
กุรุธัมมชาดกที่ ๖ จบ
--------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
กุรุธรรมชาดก
ว่าด้วย ให้ช้างแก่ท้าวกาลิงคราช
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
มีสหาย ๒ คนชาวเมืองสาวัตถี
บรรพชาในสานักภิกษุทั้งหลายแล้วได้อุปสมบท โดยมากเที่ยวไปด้วยกัน.
วันหนึ่ง ภิกษุ ๒ สหายนั้นไปยังแม่น้าอจิรวดีอาบน้า นั่งผิงแดดอยู่ที่เนินทราย
กล่าวถ้อยคาให้ระลึกกันและกันอยู่.
ขณะนั้น หงส์ ๒ ตัวบินมาทางอากาศ. ลาดับนั้น
ภิกษุรูปหนึ่งจับก้อนกรวดมาแล้วกล่าวว่า ผมจะดีดลูกตาของหงส์ตัวหนึ่ง
ภิกษุนอกนี้กล่าวว่า ท่านจักไม่สามารถ. ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า
นัยน์ตาข้างนี้จงยกไว้ ผมจะดีดนัยน์ตาข้างโน้น. ภิกษุนอกนี้ก็กล่าวว่า
แม้นัยน์ตาข้างนี้ ท่านก็จักไม่อาจดีดได้. ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า
ถ้าอย่างนั้นท่านคอยดู ว่าแล้วก็หยิบก้อนกรวด ๓
เหลี่ยมมาดีดไปทางเบื้องหลังของหงส์. หงส์ได้ยินเสียงกรวดจึงเหลียวมองดู.
2
ลาดับนั้น ภิกษุนั้นก็เอาก้อนกรวดอีกก้อนหนึ่งดีดหงส์นั้นที่นัยน์ตาด้านนอก
ทะลุออกทางนัยน์ตาด้านใน. หงส์ร้องม้วนตกลงมาแทบเท้าของภิกษุทั้งสองนั้น.
ภิกษุทั้งหลายที่ยืนอยู่ในที่นั้นเห็นเข้า จึงพากันมาแล้วกล่าวว่า ผู้มีอายุ
ท่านบวชในพระพุทธศาสนา ทาปาณาติบาต ชื่อว่ากระทากรรมอันไม่สมควร
แล้วพาภิกษุผู้ดีดหงส์นั้นไปแสดงแก่พระตถาคตทันที.
พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า
เธอกระทาปาณาติบาตจริงหรือ? เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เพราะเหตุไร
เธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนาออกจากทุกข์เห็นปานนี้ จึงได้กระทาอย่างนี้
แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น
อยู่อย่างเศร้าหมองในท่ามกลางเรือน ยังกระทาความรังเกียจในฐานะทั้งหลาย
แม้มีประมาณน้อย ส่วนเธอบวชในศาสนาเห็นปานนี้ไม่ได้กระทา
แม้มาตรว่าความรังเกียจ ธรรมดาภิกษุพึงเป็นผู้สารวมกาย วาจาและใจ
มิใช่หรือ? แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระราชาพระนามว่า ธนัญชัยโกรัพย์
ครองราชสมบัติอยู่ในพระนครอินทปัฏฏ์ ในแคว้นกุรุ
พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชานั้น
ถึงความรู้เดียงสาโดยลาดับ แล้วเรียนศิลปะทั้งปวงในเมืองตักกสิลา
พระบิดาทรงแต่งตั้งให้ดารงอยู่ในตาแหน่งอุปราช.
ในกาลต่อมา เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว ได้ดารงอยู่ในราชสมบัติ
มิได้ทรงกระทาทศพิธราชธรรมให้กาเริบ ทรงประพฤติในกุรุธรรมอยู่ ศีลห้า
ชื่อว่ากุรุธรรม.
พระโพธิสัตว์ทรงรักษาศีลห้านั้นให้บริสุทธิ์.
พระมารดาของพระโพธิสัตว์ พระอัครมเหสี
พระอุปราชผู้เป็นพระอนุชา พราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิต อามาตย์ผู้รังวัดนา สารถี
เศรษฐี มหาอามาตย์ผู้ตวงข้าว นายประตู นางวัณณทาสีผู้เป็นนครโสเภณี
ก็เหมือนพระโพธิสัตว์
รวมความว่า ชนเหล่านี้รักษาศีลห้าเหมือนดังพระโพธิสัตว์
ชน ๑๑ คน คือ พระราชา ๑ พระชนนี ๑ พระอัครมเหสี ๑ พระอุปราช
๑ ปุโรหิต ๑ อามาตย์ผู้รังวัด ๑ สารถี ๑ เศรษฐี ๑ อามาตย์ผู้ตวงข้าว ๑ นายประตู
๑ และนางคณิกา ๑ ดารงอยู่ในกุรุธรรม.
ชนแม้ทั้งหมดเหล่านี้ รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ด้วยประการดังนี้.
พระราชาให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ที่ประตูพระนครทั้ง ๔
ที่กลางเมือง ที่ประตูพระนิเวศน์ ทรงสละพระราชทรัพย์หกแสนทุกวันๆ
ทรงบริจาคทานกระทาชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ไม่ต้องทาไร่ไถนา
3
ก็ความที่พระโพธิสัตว์นั้นมีพระอัธยาศัยยินดีในการบริจาคทาน
ได้แผ่คลุมไปทั่วชมพูทวีป.
ในกาลนั้น พระเจ้ากาลิงคราชครองราชสมบัติในทันตปุรนคร
ในแคว้นกาลิงคะ ในแคว้นของพระเจ้ากาลิงคราชนั้น ฝนไม่ตก
ก็เกิดความอดอยากไปทั่วแคว้น.
ก็เพราะอาหารวิบัติ โรคจึงเกิดขึ้นแก่มวลมนุษย์.
ภัย ๓ ประการ คือ ฉาตกภัย ภัยคือความอดอยาก โรคภัย ภัยคือโรค
ทุพภิกขภัย ภัยคือข้าวยากหมากแพง ก็เกิดขึ้น. มนุษย์ทั้งหลายหมดที่ยึดถือ
ต่างพากันจูงมือเด็กๆ เที่ยวเร่ร่อนไป.
ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้นรวมกันไปยังพระนครทันตปุระ
พากันส่งเสียงร้องอยู่ที่ประตูพระราชวัง พระราชาประทับยืนพิงพระแกล
ทรงสดับเสียงนั้น จึงตรัสถามว่า คนเหล่านี้เที่ยวไปเพราะเหตุอะไรกัน
พวกอามาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ภัยเกิดขึ้นทั่วแว่นแคว้นทั้งสิ้น ฝนไม่ตก
ข้าวกล้าวิบัติเสียหาย เกิดความอดอยาก มนุษย์ทั้งหลายกินอยู่ไม่ดี
ถูกโรคภัยครอบงา หมดที่ยึดถือระส่าระสาย พากันจูงมือลูกๆ เที่ยวไป
ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงยังฝนให้ตกเถิด พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามว่า พระราชาแต่เก่าก่อนทั้งหลาย เมื่อฝนไม่ตก
ทรงกระทาอย่างไร? พวกอามาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
พระราชาแต่เก่าก่อนทั้งหลาย เมื่อฝนไม่ตก ได้ทรงบริจาคทาน
อธิษฐานอุโบสถสมาทานศีลแล้ว เสด็จเข้าสู่ห้องสิริไสยาศน์
ทรงบรรทมเหนือเครื่องลาดซึ่งทาด้วยไม้ตลอด ๗ วัน ในกาลนั้น ฝนก็ตกลงมา.
พระราชาทรงรับว่าดีละ แล้วได้ทรงกระทาอย่างนั้น
แม้ทรงกระทาอย่างนั้น ฝนก็มิได้ตก. พระราชาตรัสกะอามาตย์ทั้งหลายว่า
เราได้กระทากิจที่ควรกระทาแล้ว ฝนก็ไม่ตก เราจะกระทาอย่างไรต่อไป.
พวกอามาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยราชในนครอินทปัฏ
มีช้างมงคลหัตถีชื่อว่า อัญชนสันนิภะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจักนาช้างมงคลเชือ
กนั้นมา เมื่อเป็ นเช่นนั้น ฝนก็จักตก.
พระราชาตรัสว่า พระราชาพระองค์นั้นทรงสมบูรณ์ด้วยพลพาหนะ
ใครๆ จะข่มได้ยาก พวกเราจักนาช้างพระราชาพระองค์นั้นมาได้อย่างไร.
พวกอามาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
ไม่มีกิจที่จะต้องทาการรบกับพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยราชนั้น
พระราชาพระองค์นั้นมีพระอัธยาศัยยินดีในการบริจาคทาน เป็นผู้ถูกเขาขอ
แม้พระเศียรอันประดับแล้วก็ทรงตัดให้ได้
แม้ดวงพระเนตรอันสมบูรณ์ด้วยประสาทก็ทรงควักให้ได้
4
แม้ราชสมบัติทั้งสิ้นก็ทรงมอบให้ได้ ในเรื่องช้างมงคลไม่จาต้องพูดถึงเลย
ทูลขอแล้วจักทรงประทานให้แน่แท้.
พระราชาตรัสว่า ใครจะสามารถไปขอช้างมงคลนั้น.
อามาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พวกพราหมณ์ พระเจ้าข้า.
พระราชารับสั่งให้เรียกพราหมณ์ ๘ คนมาจากที่อยู่ของพราหมณ์
แล้วทรงกระทาสักการะสัมมานะ แล้วทรงส่งไปเพื่อให้ขอช้างมงคล.
พราหมณ์เหล่านั้นถือเอาเสบียงเดินทาง ปลอมเพศเป็นคนเดินทาง รีบเดินทางไป
โดยพักแรมอยู่ราตรีหนึ่งในที่ทุกแห่ง บริโภคอาหารในโรงทานที่ประตูพระนคร
บารุงร่างกายให้อิ่มหนาสิ้นเวลา ๒-๓ วันแล้วถามว่า
เมื่อไรพระราชาจักเสด็จมาโรงทาน?
พวกมนุษย์บอกว่า พระราชาจะเสด็จมาในวัน ๑๔ ค่า ๑๕ ค่าและวัน ๘
ค่า ตลอด ๓ วันแห่งปักษ์หนึ่งๆ ก็พรุ่งนี้ เป็ นวันเพ็ญ ๑๕ ค่า เพราะฉะนั้น
พระราชาจักเสด็จมาในวันพรุ่งนี้.
วันรุ่งขึ้น พวกพราหมณ์รีบไปแต่เช้าตรู่
ยืนอยู่ที่ประตูด้านทิศตะวันออก.
พระโพธิสัตว์ทรงสนานและลูบไล้พระวรกายแต่เช้าตรู่
ทรงประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เสด็จขึ้นคอช้างมงคลหัตถีอันประดับแล้ว
เสด็จไปยังโรงทานทางประตูด้านทิศตะวันออก ด้วยบริวารอันยิ่งใหญ่
เสด็จลงจากคอช้างแล้วได้ประทานอาหารด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ แก่ชน ๗-๘
คน แล้วรับสั่งว่า พวกท่านจงให้โดยทานองนี้นะ
แล้วได้เสด็จขึ้นช้างไปยังประตูด้านทิศใต้.
พวกพราหมณ์ไม่ได้โอกาสที่ประตูด้านทิศตะวันออก
เพราะมีการอารักขาแข็งแรง จึงได้ไปยังประตูด้านทิศใต้เหมือนกัน
ยืนอยู่ในที่สูงไม่ไกลเกินไปจากประตูคอยดูพระราชาเสด็จมา
พอพระราชาเสด็จมาประจวบเข้าก็ยกมือถวายชัยมงคลว่า
ขอพระมหาราชเจ้าจงทรงพระเจริญ จงมีชัยชานะเถิด พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงเอาพระแสงขอเพ็ชร เหนี่ยวช้างให้หันกลับ
เสด็จไปยังที่ใกล้พราหมณ์เหล่านั้น แล้วตรัสถามว่า พราหมณ์ทั้งหลายผู้เจริญ
ท่านทั้งหลายต้องการอะไร?
พราหมณ์ทั้งหลาย เมื่อจะพรรณนาคุณของพระโพธิสัตว์
จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าประชาชน
ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบศรัทธาและศีลของพระองค์แล้ว
จึงขอรับพระราชทานเอาทองคาแลกกับช้างมีสีดังดอกอัญชัน
นาไปในแว่นแคว้นกาลิงคราช.
5
ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าประชาชน ด้วยว่า
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทราบศรัทธาและศีลของพระองค์ แล้วคิดว่า
พระราชาพระองค์นั้นทรงสมบูรณ์ด้วยศรัทธาและศีลอย่างนี้
จะทูลขอแล้วจักพระราชทานช้างตัวประเสริฐมีสีเหมือนดอกอัญชัน
แก่พวกเราเป็นแน่ แล้วพูดกันว่า
เราทั้งหลายจักนาช้างตัวประเสริฐไปในสานักของพระเจ้ากาลิงคราช
จึงเอาทรัพย์และธัญญาหารเป็ นอันมากแลกกับช้างซึ่งมีสีเหมือนดอกอัญชันเชือก
นี้ เสมือนเป็ นของๆ ตน คือใช้จ่ายทรัพย์และธัญญาหารเป็ นอันมาก
และใส่ปากใส่ท้องเลี้ยงดูกัน. ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะขอช้างนั้นอย่างนี้
จึงได้มาในที่นี้ขอพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
โปรดทรงทราบกิจที่จะพึงทรงกระทาในเรื่องช้างนั้น.
อีกนัยหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทราบพระคุณ
คือศรัทธาคุณและศีลคุณของพระองค์ จึงคิดกันว่า
พระราชาผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ แม้แต่ชีวิตถูกขอแล้วก็จะประทานให้
จะป่วยกล่าวไปใยถึงช้างตัวประเสริฐอันเป็นสัตว์ดิรัจฉานเล่า
จึงจะขอแลกคือเปรียบเทียบทองแก่พระองค์กับช้างอันมีสีเหมือนดอกอัญชันนี้
ไปไว้ในสานักของพระเจ้ากาลิงคราชด้วยประการอย่างนี้ ด้วยเหตุนั้น
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงได้มาในที่นี้.
พระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น จึงทรงเล้าโลมให้เบาใจว่า
ดูก่อนพราหมณ์ทั้งหลาย หากท่านทั้งหลายใช้จ่ายทรัพย์
เพราะจะแลกเปลี่ยนช้างตัวประเสริฐเชือกนี้ เป็ นการใช้จ่ายไปดีแล้ว
อย่าได้เสียใจเลย
เราจักให้ช้างตัวประเสริฐตามที่ประดับแล้วทีเดียวแก่ท่านทั้งหลาย
แล้วได้กล่าวคาถา ๒ คาถานอกนี้ว่า :-
สัตว์ที่พึงเลี้ยงด้วยข้าวก็ดี ที่ไม่ได้เลี้ยงก็ดี ผู้ใดในโลกนี้ ตั้งใจมาหาเรา
สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด เราก็มิได้ห้ามเลย นี้เป็นถ้อยคาของท่านบูรพาจารย์.
ดูก่อนพราหมณ์ทั้งหลาย เราจะให้ช้างเชือกนี้อันควรเป็นราชพาหนะ
เป็นราชบริโภคพระราชาควรใช้สอย ประกอบไปด้วยยศ
ประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับปกคลุมตะพองด้วยตาข่ายทอง
พร้อมทั้งนายหัตถาจารย์แก่ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงไปตามปรารถนาเถิด.
อธิบายว่า จะพึงไม่ปฏิเสธอย่างนี้ว่า พวกท่านจงหลีกไป
เราจักไม่ให้พวกท่าน.
อธิบายว่า คนห้าร้อยตะกูลมีหมอช้างเป็นต้น อาศัยช้างนั้นเลี้ยงชีวิต
เราจักให้ท่านทั้งหลาย พร้อมทั้งคนห้าร้อยตระกูลนั้น.
6
เราจะให้แก่พวกท่าน พร้อมทั้งสารถี คืออาจารย์ผู้ฝึกช้างนั้น
เพราะฉะนั้น พวกท่านเป็นผู้พร้อมด้วยสารถี คือควาญช้าง
พาเอาช้างนี้พร้อมทั้งบริวารไปตามความต้องการเถิด.
พระมหาสัตว์ประทับอยู่บนคอช้างตัวประเสริฐ
ตรัสให้ด้วยพระวาจาอย่างนี้แล้ว กลับเสด็จลงจากคอช้าง ทรงดาเนินเวียนขวาไป
๓ รอบ ทรงพิจารณาว่า
หากที่ที่ยังไม่ได้ประดับตกแต่งยังมีอยู่จักประดับตกแต่งก่อนแล้วจึงจะให้
ครั้นไม่ได้ทรงเห็นที่ที่ยังไม่ได้ตกแต่งที่ช้างนั้น จึงทรงเอางวงของช้างนั้น
วางบนมือของพราหมณ์ทั้งหลาย แล้วได้เอาพระสุวรรณภิงคารพระเต้าน้าทอง
หลั่งน้าอันอบด้วยดอกไม้และของหอมแล้วพระราชทานไป.
พราหมณ์ทั้งหลายรับช้างพร้อมทั้งบริวาร แล้วนั่งบนหลังช้าง
ได้ไปยังทันตปุรนครถวายช้างแก่พระราชา. ช้างแม้มาแล้ว ฝนก็ยังไม่ตก.
พระราชาจึงทรงคาดคั้นถามว่า มีเหตุอะไรหนอ ได้ทรงสดับว่า
พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยราชทรงรักษากุรุธรรม ด้วยเหตุนั้น
ฝนจึงตกในแว่นแคว้นของพระองค์ ทุกกึ่งเดือน ทุก ๑๐ วัน
เพราะอานุภาพแห่งคุณความดีของพระราชาดอก ฝนจึงตก ก็สัตว์ดิรัจฉานนี้
แม้มีคุณอยู่ก็จะมีสักเท่าไร จึงรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น
ท่านทั้งหลายจงนาช้างตามที่ประดับแล้วนี้แล
พร้อมทั้งบริวารคืนไปถวายแก่พระราชา
แล้วจดกุรุธรรมที่พระองค์รักษาลงในแผ่นทองแล้วนามา
แล้วทรงส่งพวกพราหมณ์และอามาตย์ทั้งหลายไป.
พราหมณ์และอามาตย์เหล่านั้นไปมอบถวายแด่พระราชา
แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อช้างนี้แม้ไปถึงแล้ว
ฝนก็ยังมิได้ตกในแว่นแคว้นของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ทราบเกล้าว่า
พระองค์ทรงรักษากุรุธรรม พระราชาแม้ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ก็ทรงประสงค์จะรักษากุรุธรรมนั้น จึงทรงส่งมาด้วยรับสั่งว่า
จงจดใส่ในแผ่นทองนามา
ขอพระองค์จงประทานกุรุธรรมนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย เรารักษากุรุธรรมนั้นจริง
แต่บัดนี้ เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมนั้นอยู่ กุรุธรรมนั้นไม่ทาจิตของเราให้ยินดี
เพราะฉะนั้น เราไม่อาจให้กุรุธรรมนั้นแก่ท่านทั้งหลาย.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ศีลนั้นจึงไม่ทาให้พระราชาทรงยินดี?
ตอบว่า นัยว่า ในครั้งนั้น พระราชาทั้งหลายมีการมหรสพเดือน ๑๒
ทุกๆ ๓ ปี พระราชาทั้งหลาย เมื่อจะเล่นมหรสพนั้น
ทรงประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ถือเอาเพศเป็นเทวดา
7
ยืนอยู่ในสานักของยักษ์ชื่อว่าจิตตราช
แล้วยิงศรอันวิจิตรประดับด้วยดอกไม้ในทิศทั้ง ๔.
พระราชาแม้พระองค์นี้ เมื่อจะทรงเล่นมหรสพนั้น
จึงประทับยืนในสานักของจิตตราชยักษ์ ใกล้แนวบึงแห่งหนึ่ง
แล้วทรงยิงจิตตศรไปในทิศทั้ง ๔.
บรรดาลูกศรเหล่านั้น พระองค์ทรงเห็นลูกศร ๓
ลูกที่ยิงไปในทิศที่เหลือ แต่ไม่เห็นลูกศรที่ยิงไปบนหลังพื้นน้า.
พระราชาทรงรังเกียจว่า ลูกศรที่เรายิงไป
คงจะตกลงในตัวปลากระมังหนอ พระองค์ทรงปรารภถึงศีลเภท
เพราะกรรมคือทาสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป เพราะฉะนั้น
ศีลจึงไม่ทาพระราชาให้ยินดี.
พระโพธิสัตว์นั้นจึงตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย
เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมอยู่ แต่พระมารดาของเรารักษาไว้ได้เป็นอย่างดี
พวกท่านจงถือเอาในสานักของพระมารดาเราเถิด.
ทูตทั้งหลายจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
พระองค์ไม่มีเจตนาว่าจักฆ่าสัตว์ เพราะเว้นเจตนานั้นจึงชื่อว่าไม่เป็นปาณาติบาต
ขอพระองค์จงให้กุรุธรรมที่ทรงรักษาแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น จงเขียนเอาเถิดพ่อ
แล้วให้จารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏว่า
ปาโณ น หนฺตพฺโพ ไม่พึงฆ่าสัตว์ ๑
อทินฺน นาทาตพฺพ ไม่พึงถือสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ๑
กาเมสุมิจฺฉาจาโร น
จริตพฺโพ ไม่พึงประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ๑
มุสาวาโท น ภาสิตพฺโพ ไม่พึงกล่าวคาเท็จ ๑
มชฺชปาน น ปาตพพ ไม่พึงดื่มน้าเมา ๑.
ก็แลครั้นให้จารึกแล้วจึงตรัสว่า แม้เป็นอย่างนี้
ศีลก็ยังเราให้ยินดีไม่ได้ พวกท่านจงไปเฝ้ าพระมารดาของเราเถิด.
ทูตทั้งหลายถวายบังคมพระราชาแล้วไปยังสานักของพระมารดาของพ
ระโพธิสัตว์ กราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ได้ยินว่า พระองค์ทรงรักษากุรุธรรม
ขอพระองค์จงประทานกุรุธรรมนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
พระเทวีตรัสว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย เรารักษากุรุธรรมก็จริง แต่บัดนี้
เราเกิดความรังเกียจในกุรุธรรมนั้น กุรุธรรมนั้นไม่ทาเราให้ยินดี เพราะเหตุนั้น
เราจึงไม่อาจให้แก่ท่านทั้งหลาย.
ได้ยินว่า พระเทวีนั้นมีพระโอรส ๒ องค์
คือพระราชาผู้เป็นพระเชษฐาและอุปราชผู้เป็นพระกนิษฐา. ครั้งนั้น
8
มีพระราชาองค์หนึ่งทรงส่งแก่นจันทน์อันมีค่าแสนหนึ่ง
และดอกไม้ทองมีค่าพันหนึ่งมาถวายพระโพธิสัตว์.
พระองค์ทรงคิดว่าจักบูชาพระมารดา
จึงทรงส่งของทั้งหมดนั้นไปถวายพระราชมารดา. พระราชมารดาทรงพระดาริว่า
เราจะไม่ลูบไล้แก่นจันทน์ จะไม่ทัดทรงดอกไม้
จักให้แก่นจันทน์และระเบียบดอกไม้นั้นแก่สะใภ้ทั้งสอง.
ลาดับนั้น พระเทวีได้มีความดาริดังนี้ว่า สะใภ้คนโตของเราเป็นใหญ่
ดารงอยู่ในตาแหน่งอัครมเหสี เราจักให้ระเบียบดอกไม้ทองแก่สะใภ้คนโต
ส่วนสะใภ้คนเล็กเป็นคนยากจน เราจักให้แก่นจันทน์แก่สะใภ้คนเล็ก.
พระนางจึงประทานระเบียบดอกไม้ทองแก่พระเทวีของพระราชา
ได้ประทานแก่นจันทน์แก่พระมเหสีของพระอุปราช.
ก็แหละครั้นประทานไปแล้วพระราชมารดาได้มีความรังเกียจว่า
เรารักษากุรุธรรม ความที่หญิงสะใภ้เหล่านั้น ยากจนหรือไม่ยากจน
ไม่เป็นประมาณสาหรับเรา ก็การกระทาเชษฐาปจายิกกรรมเท่านั้นสมควรแก่เรา
เพราะความที่เราไม่ทาเชษฐาปจายิกกรรมนั้น
ศีลของเราจะแตกทาลายบ้างไหมหนอ. เพราะฉะนั้น
พระราชมารดาจึงตรัสอย่างนั้น.
ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกราบทูลพระราชมารดาว่า
ขึ้นชื่อว่าของของตนบุคคลย่อมให้ได้ตามชอบใจ
พระองค์ทรงกระทาความรังเกียจด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้
จักทรงกระทากรรมอันลามกอย่างอื่นได้อย่างไร
ธรรมดาศีลย่อมไม่แตกทาลายด้วยเหตุเห็นปานนี้
ขอพระองค์จงประทานกุรุธรรมแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด
แล้วถือเอากุรุธรรมในสานักของพระราชมารดา
แม้นั้นจดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ก็แหละพวกทูตอันพระราชมารดาตรัสว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย
เมื่อเป็นอย่างนั้น กุรุธรรมก็ยังไม่ทาให้เรายินดีพอใจได้
แต่พระสุณิสาของเรารักษากุรุธรรมนั้นได้เป็นอย่างดี
ท่านทั้งหลายจงถือเอาในสานักของพระสุณิสานั้นเถิด.
จึงพากันไปเฝ้ าพระอัครมเหสีทูลขอกุรุธรรมโดยนัยก่อนนั้นแหละ.
ฝ่ายพระอัครมเหสีตรัสโดยนัยก่อนเหมือนกัน แล้วตรัสว่า
ชื่อว่าศีลย่อมไม่ทาเราให้ยินดีพอใจ เพราะเหตุนั้น เราไม่อาจให้พวกท่าน.
ได้ยินว่า พระอัครมเหสีนั้น วันหนึ่ง ประทับยืนที่สีหบัญชร
ได้ทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชประทับนั่งบนหลังช้างเบื้องหลังพระราชาผู้
กาลังทรงประทักษิณเลียบพระนคร บังเกิดความโลภอยากขึ้น ทรงพระดาริว่า
9
ถ้าเราได้ทาความเชยชิดกับพระมหาอุปราชนี้ไซร้ เมื่อพระเชษฐาสวรรคตไป
พระมหาอุปราชนี้ดารงอยู่ในราชสมบัติจะได้สงเคราะห์เรา.
ลาดับนั้น พระอัครมเหสีนั้นได้มีความรังเกียจว่า
เรากาลังรักษากุรุธรรมอยู่ ทั้งเป็นผู้มีพระสวามีอยู่ ยังแลดูชายอื่นด้วยอานาจกิเลส
ศีลของเราคงจะต้องแตกทาลาย เพราะฉะนั้น พระอัครมเหสีจึงได้ตรัสอย่างนั้น.
ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกราบทูลพระอัครมเหสีว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า
ธรรมดาว่าการประพฤติล่วงละเมิด
ย่อมไม่มีด้วยเหตุเพียงจิตตุปบาทเกิดความคิดขึ้น
พระองค์ทรงกระทาความรังเกียจแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
จักทรงกระทาความล่วงละเมิดอะไรได้
ศีลย่อมไม่แตกทาลายด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้
ขอพระองค์จงประทานกุรุธรรมแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด.
แล้วถือเอาในสานักของพระอัครมเหสี แม้นั้นแล้วจดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ก็แลทูตทั้งหลายผู้อันพระอัครมเหสีตรัสว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย
แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ศีลก็ยังไม่ทาเราให้ยินดีพอใจ
ก็เพราะมหาอุปราชทรงรักษาได้อย่างดี
พวกท่านจงถือเอาในสานักของพระมหาอุปราชเถิด
จึงพากันเข้าไปเฝ้ าพระมหาอุปราช ทูลขอกุรุธรรมโดยนัยก่อนนั่นแหละ.
ก็พระมหาอุปราชนั้น เมื่อเสด็จไปยังที่บารุงของพระราชาในเวลาเย็น
เสด็จไปด้วยรถถึงพระลานหลวงแล้ว
ถ้าทรงพระประสงค์จะเสวยในสานักของพระราชา แล้วทรงบรรทมค้างอยู่ในที่นั้น
ก็จะทรงทิ้งเชือกและปฏักไว้ระหว่างแอกรถ ด้วยสัญญาเครื่องหมายนั้น
มหาชนบริวารจะกลับไป
ต่อเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจะไปยืนคอยดูพระมหาอุปราชนั้นเสด็จออก.
ฝ่ายนายสารถีก็จะนารถนั้นไป ต่อเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
จึงจะนารถมาจอดที่ประตูพระราชนิเวศน์.
ถ้าทรงมีพระประสงค์จะเสด็จในขณะนั้น
จะทรงวางเชือกและปฏักไว้เฉพาะภายในรถ แล้วเสด็จไปเฝ้ าพระราชา
ด้วยสัญญาณนั้น ชนบริวารจะยืนอยู่ที่ประตูพระราชนิเวศน์นั่นเอง
ด้วยหมายใจว่า จักเสด็จออกมาในขณะนี้
อันพระมหาอุปราชนั้นทรงกระทาอย่างนั้น แล้วเสด็จเข้าไปยังพระราชนิเวศน์.
เมื่อพระมหาอุปราชนั้นพอเสด็จเข้าไปเท่านั้น ฝนก็ตก. พระราชาตรัสว่า
ฝนกาลังตก จึงไม่ให้พระมหาอุปราชนั้นเสด็จออกมา.
พระมหาอุปราชจึงทรงเสวยแล้วบรรทมอยู่ในพระราชนิเวศน์นั้นนั่นเอง.
ชนบริวารคิดว่า ประเดี๋ยวจักเสด็จออก จึงได้ยืนเปียกฝนอยู่ตลอดคืนยังรุ่ง.
10
ในวันที่สอง พระมหาอุปราชจึงเสด็จออกมา
ทรงเห็นชนบริวารยืนเปียกฝนอยู่ ทรงเกิดความรังเกียจว่า
เราเมื่อรักษากุรุธรรมอยู่ ยังทาชนมีประมาณเท่านี้ให้ลาบาก
ศีลของเราเห็นจะพึงแตกทาลาย.
ด้วยเหตุนั้น พระมหาอุปราชจึงตรัสแก่ทูตเหล่านั้นว่า
เรารักษากุรุธรรมอยู่ก็จริง แต่บัดนี้ เรามีความรังเกียจอยู่ เพราะเหตุนั้น
เราจึงไม่อาจให้แก่ท่านทั้งหลาย แล้วตรัสบอกเรื่องราวนั้นให้ทราบ.
ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงทูลพระมหาอุปราชว่า ข้าแต่สมมติเทพ
พระองค์มิได้มีความคิดว่า ชนเหล่านี้จงลาบาก กรรมที่ทาโดยหาเจตนามิได้
ไม่จัดว่าเป็ นกรรม
เมื่อพระองค์ทรงกระทาความรังเกียจแม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้
ความล่วงละเมิดจักมีได้อย่างไร
แล้วรับเอาศีลในสานักของพระมหาอุปราชแม้นั้น จดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ก็แหละ พวกทูตอันพระมหาอุปราชตรัสว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น
ศีลก็มิได้ทาเราให้ปลื้มอกปลื้มใจได้ ก็ปุโรหิตย่อมรักษาได้ดี
พวกท่านจงถือเอาในสานักของปุโรหิตนั้นเถิด
จึงพากันเข้าไปหาปุโรหิตแล้วขอกุรุธรรม.
ฝ่ายปุโรหิตนั้น วันหนึ่ง
ไปเฝ้ าพระราชาระหว่างทางได้เห็นรถมีสีอ่อนๆ งดงามเหมือนแสงอาทิตย์อ่อนๆ
ซึ่งพระราชาองค์หนึ่งทรงส่งมาถวายพระราชานั้น จึงถามว่า นี้รถของใคร
ได้ฟังว่านามาถวายพระราชา จึงคิดว่า เราก็แก่แล้ว
ถ้าพระราชาจะพระราชทานรถคันนี้แก่เราไซร้
เราจักขึ้นรถคันนี้เที่ยวไปอย่างสบายแล้วไปเฝ้ าพระราชา
ในเวลาที่ปุโรหิตนั้นถวายพระพรชัยแล้วยืนเฝ้ าอยู่
ราชบุรุษต่างเมืองก็ทูลถวายรถแก่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรแล้วตรัสว่า
รถของเราคันนี้งามเหลือเกิน พวกท่านจงให้แก่อาจารย์ของเราเถิด.
ปุโรหิตมิได้ปรารถนาจะรับพระราชทาน แม้พระราชาจะตรัสอยู่บ่อยๆ
ก็ไม่ปรารถนาจะรับพระราชทานเลย.
ถามว่า เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพราะนัยว่า ปุโรหิตนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
เรารักษากุรุธรรมอยู่แท้ๆ ยังได้กระทาความโลภในสิ่งของของคนอื่น
ศีลของเราจะพึงแตกทาลายไปแล้ว.
ปุโรหิตนั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นแล้วกล่าวว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย
เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมอยู่ กุรุธรรมนั้นมิได้ยังเราให้ปลื้มอกปลื้มใจเลย
เพราะฉะนั้น เราไม่อาจให้.
11
ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะปุโรหิตว่า นาย ศีลย่อมไม่แตกทาลาย
ด้วยเหตุเพียงเกิดความโลภอยากได้ ท่านเมื่อกระทาความรังเกียจ
แม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ จักกระทาความล่วงละเมิดอะไรได้
แล้วรับเอาศีลในสานักของปุโรหิตแม้นั้น จดลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ก็แหละ ทูตทั้งหลายผู้อันท่านปุโรหิตกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น
กุรุธรรมก็ไม่ยังเราให้ยินดีพอใจได้ ก็อามาตย์ผู้ถือเชือกรังวัดรักษาได้ดี
พวกท่านจงรับเอาในสานักของอามาตย์นั้น จึงพากันเข้าไปหาอามาตย์แม้นั้น
แล้วขอกุรุธรรม.
ฝ่ายอามาตย์ผู้รังวัดนั้น วันหนึ่ง เมื่อจะวัดเนื้อที่นาในชนบท
จึงเอาเชือกผูกที่ไม้ให้เจ้าของนาจับปลายข้างหนึ่ง ตนเองจับปลายข้างหนึ่ง.
ไม้ที่ผูกปลายเชือกซึ่งอามาตย์ถือไปจรดตรงกลางรูปูตัวหนึ่ง อามาตย์นั้นคิดว่า
ถ้าเราจักปักไม้ลงในรูปู ปูภายในรูจักฉิบหาย ก็ถ้าเราจักปักล้าไปข้างหน้า
เนื้อที่ของหลวงก็จักขาด ถ้าเราจักปักร่นเข้ามา เนื้อที่ของกฏุมพีก็จักขาด
เราจะทาอย่างไรดีหนอ.
ลาดับนั้น อามาตย์ผู้นั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า ปูควรจะมีในรู
ถ้ามีจะต้องปรากฎ เราจะปักไม้นั้นตรงนี้แหละ แล้วก็ปักท่อนไม้นั้นลงในรูปู
ฝ่ายปูก็ส่งเสียงดังกริ๊กๆ.
ลาดับนั้น อามาตย์นั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า ท่อนไม้จักปักลงบนหลังปู
ปูก็จักตายและเราก็รักษากุรุธรรม เพราะเหตุนั้น ศีลของเราคงจะแตกทาลาย.
อามาตย์นั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นแก่ทูตทั้งหลายแล้วกล่าวว่า
เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวมานี้ เราจึงมีความรังเกียจในกุรุธรรม ด้วยเหตุนั้น
เราจึงไม่อาจให้แก่พวกท่าน.
ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะอามาตย์นั้นว่า ท่านไม่มีจิตคิดว่า
ปูจงตาย กรรมที่ไม่มีเจตนาความจงใจ ไม่ชื่อว่าเป็นกรรม
ท่านกระทาความรังเกียจ แม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้
จักกระทาความล่วงละเมิดอะไรได้ แล้วรับเอาศีลในสานักของอามาตย์แม้นั้น
แล้วจดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ก็แหละ อามาตย์นั้นพูดว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนี้
กุรุธรรมก็มิได้ทาข้าพเจ้าให้ปลื้มใจ ก็นายสารถีรักษาได้อย่างดี
ท่านทั้งหลายจงรับเอาในสานักของนายสารถีนั้นเถิด.
ทูตทั้งหลายจึงเข้าไปหานายสารถี แม้นั้นแล้วขอกุรุธรรม.
นายสารถีนั้น วันหนึ่ง นาเสด็จพระราชาไปยังราชอุทยานด้วยราชรถ
พระราชาทรงเล่นในพระราชอุทยานนั้นตลอดวัน ในเวลาเย็น
จึงเสด็จออกจากพระราชอุทยาน เสด็จขึ้นทรงรถ
เมื่อราชรถนั้นยังไม่ทันถึงพระนคร เมฆฝนก็ตั้งขึ้น
12
ในเวลาที่พระอาทิตย์จะอัศดงคต เพราะกลัวว่าพระราชาจะเปียกฝน
นายสารถีจึงได้ให้สัญญาณด้วยปฏักแก่ม้าสินธพทั้งหลายๆ
จึงควบไปด้วยความเร็ว ก็แหละตั้งแต่นั้นมา ม้าสินธพเหล่านั้น
ขาไปยังพระราชอุทยานก็ดี ขามาจากพระราชอุทยานนั้นก็ดี พอถึงที่ตรงนั้น
ก็วิ่งควบไปด้วยความเร็ว.
ถามว่า เพราะเหตุอะไร ?
ตอบว่า เพราะนัยว่า ม้าสินธพเหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า ในที่นี้
จะพึงมีภัยเป็นแน่ ด้วยเหตุนั้น
นายสารถีของพวกเราจึงได้ให้สัญญาณด้วยปฏักในคราวนั้น.
แม้นายสารถีก็มีความคิดดังนี้ว่า
ในเมื่อพระราชาจะเปียกฝนหรือไม่เปียกฝนก็ตาม เราย่อมไม่มีโทษ
แต่เราได้ให้สัญญาปฏักแก่ม้าสินธพที่ฝึกหัดมาดีแล้วในสถานที่อันไม่ควร
ด้วยเหตุนั้น ม้าสินธพเหล่านี้วิ่งควบทั้งไปและมา ลาบากอยู่จนเดี๋ยวนี้
และเราก็รักษากุรุธรรม ด้วยเหตุนั้น ศีลของเราคงจะแตกทาลายแล้ว.
นายสารถีนั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นให้ทราบ แล้วกล่าวว่า เพราะเหตุนี้
เราจึงมีความรังเกียจในกุรุธรรม เพราะฉะนั้น เราไม่อาจให้แก่พวกท่านได้.
ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะนายสารถีนั้นว่า ท่านไม่มีจิตคิดว่า
ม้าสินธพทั้งหลายจงลาบาก กรรมที่ไม่มีเจตนาคือความจงใจ ไม่จัดว่าเป็ นกรรม
อนึ่ง ท่านกระทาความรังเกียจด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้
จักกระทาความล่วงละเมิดได้อย่างไร จึงรับเอาศีลในสานักของนายสารถีนั้น
จดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ก็แหละ นายสารถีกล่าวว่า
แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นศีลก็มิได้ทาเราให้ปลื้มใจได้ แต่ท่านเศรษฐีรักษาได้ดี
พวกท่านจงรับเอาในสานักของท่านเศรษฐีนั้นเถิด
พวกทูตจึงเข้าไปหาท่านเศรษฐีนั้น แล้วขอกุรุธรรม.
แม้เศรษฐีนั้น วันหนึ่งไปนาข้าวสาลีของตน
พิจารณารวงข้าวสาลีที่ออกจากท้อง เมื่อจะกลับ
คิดว่าจักผูกรวงข้าวให้เป็นพุ่มข้าวเปลือก
จึงให้คนผูกรวงข้าวสาลีกาหนึ่งผูกเป็ นจุกไว้. ลาดับนั้น
ท่านเศรษฐีได้มีความคิดดังนี้ว่า เราจะต้องให้ค่าภาคหลวงจากนานี้
แต่เราก็ได้ให้คนถือเอารวงข้าวสาลีกาหนึ่ง จากอันนาที่ยังไม่ได้ให้ค่าภาคหลวง
ก็เรารักษากุรุธรรม เพราะเหตุนั้น ศีลของเราคงจะแตกทาลายแล้ว.
ท่านเศรษฐีนั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นแก่ทูตทั้งหลายแล้ว กล่าวว่า
เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมด้วยเหตุนี้ เพราะเหตุนั้น
เราไม่อาจให้กุรุธรรมแก่พวกท่าน.
13
ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะท่านเศรษฐีว่า
ท่านไม่มีไถยจิตคิดจะลัก เว้นจากไถยจิตนั้น ใครๆ ไม่อาจบัญญัติอทินนาทานได้
ก็ท่านกระทาความรังเกียจแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
จักถือเอาของของคนอื่นได้อย่างไร แล้วรับเอาศีลในสานักของเศรษฐีแม้นั้น
แล้วจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ก็แหละ ทูตทั้งหลายอันท่านเศรษฐีกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น
ศีลก็ยังมิได้ทาให้เราปลื้มใจได้ แต่ท่านอามาตย์ผู้ตวงข้าวหลวงรักษาได้ดี
พวกท่านจงถือเอาในสานักของอามาตย์ผู้ตวงข้าวนั้นเถิด
จึงพากันเข้าไปหาท่านอามาตย์ผู้ตวงข้าวแล้วขอกุรุธรรม.
ได้ยินว่า อามาตย์ผู้ตวงข้าวนั้น
วันหนึ่งให้คนนับข้าวเปลือกอันเป็ นส่วนของหลวง
ส่วนตนเอาข้าวเปลือกจากกองข้าวที่ยังไม่ได้นับใส่คะแนน. ขณะนั้น ฝนตก
มหาอามาตย์จึงเพิ่มคะแนนข้าวเปลือก แล้วกล่าวว่า ข้าวเปลือกที่นับแล้ว
มีประมาณเท่านี้ แล้วโกยข้าวเปลือกที่เป็นคะแนน
ใส่ลงในกองข้าวเปลือกที่นับแล้ว ก็รีบไปยืนที่ซุ้มประตูแล้ว คิดว่า
เราใส่ข้าวเปลือกคะแนนในกองข้าวที่นับแล้ว หรือใส่ในกองข้าวที่ยังไม่ได้นับ.
ลาดับนั้น ท่านมหาอามาตย์ได้มีความคิดดังนี้ว่า
ถ้าเราใส่ในกองข้าวเปลือกที่นับไว้แล้ว ของหลวงก็จะเพิ่มขึ้นโดยมิใช่เหตุ
ของคฤหบดีทั้งหลายก็จะขาดไป และเราก็รักษากุรุธรรม ด้วยเหตุนั้น
ศีลของเราจะต้องแตกทาลายแล้ว.
ท่านมหาอามาตย์นั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นแล้วกล่าวว่า
เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมด้วยเหตุนี้ เพราะเหตุนั้น เราไม่อาจให้แก่พวกท่าน.
ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะท่านมหาอามาตย์นั้นว่า
ท่านไม่มีไถยจิตคิดจะลัก เว้นไถยจิตนั้นเสีย ใครๆ ไม่อาจบัญญัติอทินนาทานได้
ก็ท่านกระทาความรังเกียจด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้
อย่างไรจักถือเอาสิ่งของของคนอื่น
แล้วรับเอาศีลในสานักของมหาอามาตย์ผู้ตวงข้าวนั้น จารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ก็แหละ ทูตทั้งหลายผู้อันท่านมหาอามาตย์กล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น
ศีลก็มิได้ทาเราให้ปลื้มใจยินดีได้ แต่นายประตูรักษาได้ดี
ท่านทั้งหลายจงถือเอาในสานักของนายประตูนั้นเถิด จึงพากันเข้าไปหานายประตู
แม้นั้นแล้วขอกุรุธรรม.
ฝ่ายนายประตูนั้น วันหนึ่ง
เวลาจะปิดประตูเมืองได้ออกเสียงประกาศขึ้น ๓ ครั้ง.
ครั้งนั้น มีคนเข็ญใจคนหนึ่งเข้าป่าหาฟืนและหญ้ากับน้องสาว
กาลังกลับมา ได้ยินเสียงนายประตูนั้นประกาศ จึงรีบพาน้องสาวมาทันพอดี.
14
ลาดับนั้น นายประตูกล่าวกะคนเข็ญใจนั้นว่า
ท่านไม่รู้ว่าพระราชามีอยู่ในพระนครนี้หรือ ท่านไม่รู้หรือว่า
เขาจะต้องปิดประตูพระนครนี้ ต่อเวลายังวัน ท่านพาภรรยาของตนเที่ยวไปในป่า
เที่ยวเล่นรื่นเริงตลอดวัน. ครั้นเมื่อคนเข็ญใจกล่าวว่า ไม่ใช่ภรรยาฉันดอกนาย
หญิงคนนี้เป็นน้องสาวของฉันเอง นายประตูนั้นจึงมีความปริวิตกดังนี้ว่า
เราเอาน้องสาวเขามาพูดว่าเป็นภรรยา กระทากรรมอันหาเหตุมิได้หนอ
และเราก็รักษากุรุธรรม ด้วยเหตุนั้น ศีลของเราจะพึงแตกทาลายแล้ว.
นายประตูนั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นแล้วกล่าวว่า
เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมด้วยเหตุนี้ เพราะเหตุนั้น
เราไม่อาจให้แก่พวกท่านได้.
ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะนายประตูนั้นว่า
คานั้นท่านกล่าวตามความสาคัญอย่างนั้น
ในข้อนี้ความแตกทาลายแห่งศีลจึงไม่มีแก่ท่าน
ก็ท่านรังเกียจด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้
จักกระทาสัมปชานมุสาวาทกล่าวเท็จทั้งรู้ในกุรุธรรมได้อย่างไร
แล้วถือเอาศีลในสานักของนายประตูแม้นั้น จดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ก็แหละ ทูตทั้งหลายอันนายประตูนั้นกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น
ศีลก็ยังไม่ทาให้เรายินดีปลื้มใจได้ แต่นางวรรณทาสีรักษาได้ดี
พวกท่านจงถือเอาในสานักของนางวรรณทาสีแม้นั้นเถิด
จึงพากันเข้าไปหานางวรรณทาสีแม้นั้นแล้วขอกุรุธรรม.
ฝ่ายนางวรรณทาสี ก็ปฏิเสธโดยนัยอันมีในหนหลังนั่นแหละ.
ถามว่า เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพราะได้ยินว่า ท้าวสักกะจอมเทวดาทรงดาริว่า
จักทดลองศีลของนาง จึงแปลงเพศเป็ นมาณพน้อยมาพูดว่า
ฉันจักมาหาแล้วให้ทรัพย์ไว้พันหนึ่ง กลับไปยังเทวโลก แล้วไม่มาถึง ๓ ปี.
นางวรรณทาสีนั้นไม่รับสิ่งของแม้มาตรว่าหมากพลูจากมือชายอื่นถึง ๓ ปี
เพราะกลัวศีลของตนขาด. นางยากจนลงโดยลาดับ จึงคิดว่า
เมื่อชายผู้ให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่เราแล้วไปเสีย ไม่มาถึง ๓ ปี เราจึงยากจน
ไม่อาจสืบต่อชีวิตต่อไปได้ จาเดิมแต่บัดนี้ไป
เราควรบอกแก่มหาอามาตย์ผู้วินิจฉัยความแล้วรับเอาค่าใช้จ่าย.
นางจึงไปศาลกล่าวฟ้ องว่า เจ้านาย บุรุษผู้ให้ค่าใช้จ่ายแก่ดิฉันแล้วไปเสีย ๓
ปีแล้ว ดิฉันไม่ทราบว่าเขาตายแล้วหรือยังไม่ตาย
ดิฉันไม่อาจสืบต่อเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ เจ้านาย ดิฉันจะทาอย่างไร.
มหาอามาตย์ผู้วินิจฉัยอรรถคดีกล่าวตัดสินว่า เมื่อเขาไม่มาถึง ๓ ปี
ท่านจักทาอะไร ตั้งแต่นี้ท่านจงรับค่าใช้จ่ายได้.
15
เมื่อนางวรรณทาสีนั้นได้รับการวินิจฉัยตัดสินแล้ว
พอออกจากศาลที่วินิจฉัยเท่านั้น
บุรุษคนหนึ่งก็น้อมนาห่อทรัพย์พันหนึ่งเข้าไปให้. ในขณะที่นางเหยียดมือจะรับ
ท้าวสักกะก็แสดงพระองค์ให้เห็น
นางพอเห็นท้าวสักกะนั้นเท่านั้นจึงหดมือพร้อมกับกล่าวว่า
บุรุษผู้ให้ทรัพย์แก่เราพันหนึ่งเมื่อ ๓ ปีมาแล้ว ได้กลับมาแล้ว ดูก่อนพ่อ
เราไม่ต้องการกหาปณะของท่าน. ท้าวสักกะจึงแปลงร่างกายของพระองค์ทันที
ได้ประทับยืนอยู่ในอากาศเปล่งแสงโชติช่วง ประดุจดวงอาทิตย์อ่อนๆ ฉะนั้น
พระนครทั้งสิ้นพากันตื่นเต้น ท้าวสักกะได้ประทานโอวาทในท่ามกลางมหาชนว่า
ในที่สุด ๓ ปีมาแล้ว เราได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง เนื่องด้วยจะทดลองนางวรรณทาสีนี้
ท่านทั้งหลายชื่อว่า เมื่อจะรักษาศีลจงเป็นผู้เห็นปานนี้รักษาเถิด
แล้วทรงบันดาลให้นิเวศน์ของนางวรรณทาสีเต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ
ทรงอนุศาสน์พร่าสอนนางวรรณทาสีนั้นว่า เธอจงเป็ นผู้ไม่ประมาทตั้งแต่บัดนี้ไป
แล้วได้เสด็จไปยังเทวโลกนั่นแล.
เพราะเหตุนี้ นางวรรณทาสีนั้นจึงปฏิเสธห้ามปรามทูตทั้งหลายว่า
เรายังมิได้เปลื้องค่าจ้างที่รับไว้ ยื่นมือไปรับค่าจ้างที่ชายอื่นให้ ด้วยเหตุนี้
ศีลจึงทาเราให้ยินดีปลื้มใจไม่ได้ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่อาจให้แก่ท่านทั้งหลาย.
ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะนางวรรณทาสีนั้นว่า
ศีลเภทศีลแตกทาลาย ย่อมไม่มีด้วยเหตุสักว่ายื่นมือ
ชื่อว่าศีลย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่งด้วยประการอย่างนี้
แล้วรับเอาศีลในสานักของนางวรรณทาสีแม้นั้น จดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ.
ทูตทั้งหลายจารึกศีลที่ชนทั้ง ๑๑
คนนั้นรักษาลงในแผ่นสุพรรณบัฏด้วยประการดังนี้แล้ว ได้ไปยังทันตปุรนคร
ถวายแผ่นสุพรรณบัฏแก่พระเจ้ากาลิงคราช
แล้วกราบทูลประพฤติเหตุนั้นให้ทรงทราบ.
พระราชา เมื่อทรงประพฤติกุรุธรรมนั้น ทรงบาเพ็ญศีล ๕ ให้บริบูรณ์.
ในกาลนั้น ฝนก็ตกลงในแว่นแคว้นกาลิงครัฐทั้งสิ้น ภัยทั้ง ๓
ก็สงบระงับและแว่นแคว้นก็ได้มีความเกษมสาราญ มีภักษาหารสมบูรณ์.
พระโพธิสัตว์ทรงกระทาบุญมีทานเป็นต้นตราบเท่าพระชนมายุ
พร้อมทั้งบริวารได้ทาเมืองสวรรค์ให้เต็มบริบูรณ์.
พระศาสดา
ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศอริยสัจ ในเวลาจบอริยสัจ
บางพวกได้เป็ นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี
บางพวกได้เป็ นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์.
16
แล้วทรงประชุมชาดกว่า :-
นางวรรณทาสีหญิงคณิกา ได้เป็ น นางอุบลวรรณา
นายประตูในครั้งนั้น ได้เป็น พระปุณณะ
รัชชุคาหกะอามาตย์ผู้รังวัด ได้เป็ น พระกัจจายนะ
โทณมาปกะอามาตย์ผู้ตวงข้าว ได้เป็ น พระโมคคัลลานะ
เศรษฐีในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร
นายสารถีได้เป็น พระอนุรุทธะ
พราหมณ์ ได้เป็ น พระกัสสปเถระ
พระมหาอุปราช ได้เป็ น พระนันทะผู้บัณฑิต
พระมเหสีในครั้งนั้น ได้เป็น ราหุลมารดา
พระชนนีในครั้งนั้น ได้เป็น พระมายาเทวี
พระเจ้ากุรุราชโพธิสัตว์ ได้เป็ น เราตถาคต
จบ อรรถกถากุรุธรรมชาดกที่ ๖
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
154 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
154 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx154 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
154 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdfmaruay songtanin
 
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
479 กาลิงคโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
479 กาลิงคโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...479 กาลิงคโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
479 กาลิงคโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdfmaruay songtanin
 
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
279 สตปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
279 สตปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx279 สตปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
279 สตปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
386 ขรปุตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
386 ขรปุตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx386 ขรปุตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
386 ขรปุตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdfmaruay songtanin
 
376 อวาริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
376 อวาริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx376 อวาริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
376 อวาริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
425 อัฏฐานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
425 อัฏฐานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx425 อัฏฐานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
425 อัฏฐานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
296 สมุททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
296 สมุททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx296 สมุททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
296 สมุททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
๐๙. วิธุรชาดก.pdf
๐๙. วิธุรชาดก.pdf๐๙. วิธุรชาดก.pdf
๐๙. วิธุรชาดก.pdfmaruay songtanin
 
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
490 ปัญจุโปสถิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
490 ปัญจุโปสถิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...490 ปัญจุโปสถิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
490 ปัญจุโปสถิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...maruay songtanin
 

Similar to 276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
380 อาสังกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
154 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
154 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx154 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
154 อุรคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
๐๗. จันทกุมารชาดก.pdf
 
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
479 กาลิงคโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
479 กาลิงคโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...479 กาลิงคโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
479 กาลิงคโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
 
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
279 สตปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
279 สตปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx279 สตปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
279 สตปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
386 ขรปุตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
386 ขรปุตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx386 ขรปุตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
386 ขรปุตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
 
376 อวาริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
376 อวาริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx376 อวาริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
376 อวาริยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
408 กุมภการชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
425 อัฏฐานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
425 อัฏฐานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx425 อัฏฐานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
425 อัฏฐานชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
296 สมุททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
296 สมุททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx296 สมุททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
296 สมุททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๐๙. วิธุรชาดก.pdf
๐๙. วิธุรชาดก.pdf๐๙. วิธุรชาดก.pdf
๐๙. วิธุรชาดก.pdf
 
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
492 ตัจฉสูกรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
490 ปัญจุโปสถิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
490 ปัญจุโปสถิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...490 ปัญจุโปสถิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
490 ปัญจุโปสถิกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
 

More from maruay songtanin

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfmaruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๖. กุรุธัมมชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๗๖) ว่าด้วยธรรมของชาวกุรุ (พราหมณ์ทั้งหลายสรรเสริญคุณของพระอุปราชโพธิสัตว์ว่า) [๗๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าเหล่าชน ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบศรัทธาและศีลของพระองค์แล้ว จะขอรับพระราชทานแลกเปลี่ยนทองคากับพญาช้างอัญชนวรรณ นาไปไว้ในแคว้นกาลิงคะ พระเจ้าข้า (พระอุปราชโพธิสัตว์ตอบว่า) [๗๗] สัตว์ทั้งหมดนั้นที่พึงเลี้ยงด้วยข้าวก็ดี ไม่พึงเลี้ยงด้วยข้าวก็ดี ในมนุษยโลกนี้ ตัวใดเจาะจงไปหาเราไม่ควรปฏิเสธ นี้เป็นคาของบูรพาจารย์ [๗๘] พราหมณ์ทั้งหลาย เราจะให้พญาช้างนี้ที่สมควรแก่พระราชา เหมาะที่พระราชาจะทรงใช้สอย มียศ ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ปกคลุมกระพองด้วยข่ายทองคาแก่พวกท่านพร้อมทั้งนายควาญ พวกท่านจงไปตามปรารถนาเถิด กุรุธัมมชาดกที่ ๖ จบ -------------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา กุรุธรรมชาดก ว่าด้วย ให้ช้างแก่ท้าวกาลิงคราช พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. มีสหาย ๒ คนชาวเมืองสาวัตถี บรรพชาในสานักภิกษุทั้งหลายแล้วได้อุปสมบท โดยมากเที่ยวไปด้วยกัน. วันหนึ่ง ภิกษุ ๒ สหายนั้นไปยังแม่น้าอจิรวดีอาบน้า นั่งผิงแดดอยู่ที่เนินทราย กล่าวถ้อยคาให้ระลึกกันและกันอยู่. ขณะนั้น หงส์ ๒ ตัวบินมาทางอากาศ. ลาดับนั้น ภิกษุรูปหนึ่งจับก้อนกรวดมาแล้วกล่าวว่า ผมจะดีดลูกตาของหงส์ตัวหนึ่ง ภิกษุนอกนี้กล่าวว่า ท่านจักไม่สามารถ. ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า นัยน์ตาข้างนี้จงยกไว้ ผมจะดีดนัยน์ตาข้างโน้น. ภิกษุนอกนี้ก็กล่าวว่า แม้นัยน์ตาข้างนี้ ท่านก็จักไม่อาจดีดได้. ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นท่านคอยดู ว่าแล้วก็หยิบก้อนกรวด ๓ เหลี่ยมมาดีดไปทางเบื้องหลังของหงส์. หงส์ได้ยินเสียงกรวดจึงเหลียวมองดู.
  • 2. 2 ลาดับนั้น ภิกษุนั้นก็เอาก้อนกรวดอีกก้อนหนึ่งดีดหงส์นั้นที่นัยน์ตาด้านนอก ทะลุออกทางนัยน์ตาด้านใน. หงส์ร้องม้วนตกลงมาแทบเท้าของภิกษุทั้งสองนั้น. ภิกษุทั้งหลายที่ยืนอยู่ในที่นั้นเห็นเข้า จึงพากันมาแล้วกล่าวว่า ผู้มีอายุ ท่านบวชในพระพุทธศาสนา ทาปาณาติบาต ชื่อว่ากระทากรรมอันไม่สมควร แล้วพาภิกษุผู้ดีดหงส์นั้นไปแสดงแก่พระตถาคตทันที. พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอกระทาปาณาติบาตจริงหรือ? เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เพราะเหตุไร เธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนาออกจากทุกข์เห็นปานนี้ จึงได้กระทาอย่างนี้ แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น อยู่อย่างเศร้าหมองในท่ามกลางเรือน ยังกระทาความรังเกียจในฐานะทั้งหลาย แม้มีประมาณน้อย ส่วนเธอบวชในศาสนาเห็นปานนี้ไม่ได้กระทา แม้มาตรว่าความรังเกียจ ธรรมดาภิกษุพึงเป็นผู้สารวมกาย วาจาและใจ มิใช่หรือ? แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล เมื่อพระราชาพระนามว่า ธนัญชัยโกรัพย์ ครองราชสมบัติอยู่ในพระนครอินทปัฏฏ์ ในแคว้นกุรุ พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชานั้น ถึงความรู้เดียงสาโดยลาดับ แล้วเรียนศิลปะทั้งปวงในเมืองตักกสิลา พระบิดาทรงแต่งตั้งให้ดารงอยู่ในตาแหน่งอุปราช. ในกาลต่อมา เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว ได้ดารงอยู่ในราชสมบัติ มิได้ทรงกระทาทศพิธราชธรรมให้กาเริบ ทรงประพฤติในกุรุธรรมอยู่ ศีลห้า ชื่อว่ากุรุธรรม. พระโพธิสัตว์ทรงรักษาศีลห้านั้นให้บริสุทธิ์. พระมารดาของพระโพธิสัตว์ พระอัครมเหสี พระอุปราชผู้เป็นพระอนุชา พราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิต อามาตย์ผู้รังวัดนา สารถี เศรษฐี มหาอามาตย์ผู้ตวงข้าว นายประตู นางวัณณทาสีผู้เป็นนครโสเภณี ก็เหมือนพระโพธิสัตว์ รวมความว่า ชนเหล่านี้รักษาศีลห้าเหมือนดังพระโพธิสัตว์ ชน ๑๑ คน คือ พระราชา ๑ พระชนนี ๑ พระอัครมเหสี ๑ พระอุปราช ๑ ปุโรหิต ๑ อามาตย์ผู้รังวัด ๑ สารถี ๑ เศรษฐี ๑ อามาตย์ผู้ตวงข้าว ๑ นายประตู ๑ และนางคณิกา ๑ ดารงอยู่ในกุรุธรรม. ชนแม้ทั้งหมดเหล่านี้ รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ด้วยประการดังนี้. พระราชาให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ที่กลางเมือง ที่ประตูพระนิเวศน์ ทรงสละพระราชทรัพย์หกแสนทุกวันๆ ทรงบริจาคทานกระทาชมพูทวีปทั้งสิ้นให้ไม่ต้องทาไร่ไถนา
  • 3. 3 ก็ความที่พระโพธิสัตว์นั้นมีพระอัธยาศัยยินดีในการบริจาคทาน ได้แผ่คลุมไปทั่วชมพูทวีป. ในกาลนั้น พระเจ้ากาลิงคราชครองราชสมบัติในทันตปุรนคร ในแคว้นกาลิงคะ ในแคว้นของพระเจ้ากาลิงคราชนั้น ฝนไม่ตก ก็เกิดความอดอยากไปทั่วแคว้น. ก็เพราะอาหารวิบัติ โรคจึงเกิดขึ้นแก่มวลมนุษย์. ภัย ๓ ประการ คือ ฉาตกภัย ภัยคือความอดอยาก โรคภัย ภัยคือโรค ทุพภิกขภัย ภัยคือข้าวยากหมากแพง ก็เกิดขึ้น. มนุษย์ทั้งหลายหมดที่ยึดถือ ต่างพากันจูงมือเด็กๆ เที่ยวเร่ร่อนไป. ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้นรวมกันไปยังพระนครทันตปุระ พากันส่งเสียงร้องอยู่ที่ประตูพระราชวัง พระราชาประทับยืนพิงพระแกล ทรงสดับเสียงนั้น จึงตรัสถามว่า คนเหล่านี้เที่ยวไปเพราะเหตุอะไรกัน พวกอามาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ภัยเกิดขึ้นทั่วแว่นแคว้นทั้งสิ้น ฝนไม่ตก ข้าวกล้าวิบัติเสียหาย เกิดความอดอยาก มนุษย์ทั้งหลายกินอยู่ไม่ดี ถูกโรคภัยครอบงา หมดที่ยึดถือระส่าระสาย พากันจูงมือลูกๆ เที่ยวไป ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงยังฝนให้ตกเถิด พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า พระราชาแต่เก่าก่อนทั้งหลาย เมื่อฝนไม่ตก ทรงกระทาอย่างไร? พวกอามาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระราชาแต่เก่าก่อนทั้งหลาย เมื่อฝนไม่ตก ได้ทรงบริจาคทาน อธิษฐานอุโบสถสมาทานศีลแล้ว เสด็จเข้าสู่ห้องสิริไสยาศน์ ทรงบรรทมเหนือเครื่องลาดซึ่งทาด้วยไม้ตลอด ๗ วัน ในกาลนั้น ฝนก็ตกลงมา. พระราชาทรงรับว่าดีละ แล้วได้ทรงกระทาอย่างนั้น แม้ทรงกระทาอย่างนั้น ฝนก็มิได้ตก. พระราชาตรัสกะอามาตย์ทั้งหลายว่า เราได้กระทากิจที่ควรกระทาแล้ว ฝนก็ไม่ตก เราจะกระทาอย่างไรต่อไป. พวกอามาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยราชในนครอินทปัฏ มีช้างมงคลหัตถีชื่อว่า อัญชนสันนิภะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจักนาช้างมงคลเชือ กนั้นมา เมื่อเป็ นเช่นนั้น ฝนก็จักตก. พระราชาตรัสว่า พระราชาพระองค์นั้นทรงสมบูรณ์ด้วยพลพาหนะ ใครๆ จะข่มได้ยาก พวกเราจักนาช้างพระราชาพระองค์นั้นมาได้อย่างไร. พวกอามาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ไม่มีกิจที่จะต้องทาการรบกับพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยราชนั้น พระราชาพระองค์นั้นมีพระอัธยาศัยยินดีในการบริจาคทาน เป็นผู้ถูกเขาขอ แม้พระเศียรอันประดับแล้วก็ทรงตัดให้ได้ แม้ดวงพระเนตรอันสมบูรณ์ด้วยประสาทก็ทรงควักให้ได้
  • 4. 4 แม้ราชสมบัติทั้งสิ้นก็ทรงมอบให้ได้ ในเรื่องช้างมงคลไม่จาต้องพูดถึงเลย ทูลขอแล้วจักทรงประทานให้แน่แท้. พระราชาตรัสว่า ใครจะสามารถไปขอช้างมงคลนั้น. อามาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พวกพราหมณ์ พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้เรียกพราหมณ์ ๘ คนมาจากที่อยู่ของพราหมณ์ แล้วทรงกระทาสักการะสัมมานะ แล้วทรงส่งไปเพื่อให้ขอช้างมงคล. พราหมณ์เหล่านั้นถือเอาเสบียงเดินทาง ปลอมเพศเป็นคนเดินทาง รีบเดินทางไป โดยพักแรมอยู่ราตรีหนึ่งในที่ทุกแห่ง บริโภคอาหารในโรงทานที่ประตูพระนคร บารุงร่างกายให้อิ่มหนาสิ้นเวลา ๒-๓ วันแล้วถามว่า เมื่อไรพระราชาจักเสด็จมาโรงทาน? พวกมนุษย์บอกว่า พระราชาจะเสด็จมาในวัน ๑๔ ค่า ๑๕ ค่าและวัน ๘ ค่า ตลอด ๓ วันแห่งปักษ์หนึ่งๆ ก็พรุ่งนี้ เป็ นวันเพ็ญ ๑๕ ค่า เพราะฉะนั้น พระราชาจักเสด็จมาในวันพรุ่งนี้. วันรุ่งขึ้น พวกพราหมณ์รีบไปแต่เช้าตรู่ ยืนอยู่ที่ประตูด้านทิศตะวันออก. พระโพธิสัตว์ทรงสนานและลูบไล้พระวรกายแต่เช้าตรู่ ทรงประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เสด็จขึ้นคอช้างมงคลหัตถีอันประดับแล้ว เสด็จไปยังโรงทานทางประตูด้านทิศตะวันออก ด้วยบริวารอันยิ่งใหญ่ เสด็จลงจากคอช้างแล้วได้ประทานอาหารด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ แก่ชน ๗-๘ คน แล้วรับสั่งว่า พวกท่านจงให้โดยทานองนี้นะ แล้วได้เสด็จขึ้นช้างไปยังประตูด้านทิศใต้. พวกพราหมณ์ไม่ได้โอกาสที่ประตูด้านทิศตะวันออก เพราะมีการอารักขาแข็งแรง จึงได้ไปยังประตูด้านทิศใต้เหมือนกัน ยืนอยู่ในที่สูงไม่ไกลเกินไปจากประตูคอยดูพระราชาเสด็จมา พอพระราชาเสด็จมาประจวบเข้าก็ยกมือถวายชัยมงคลว่า ขอพระมหาราชเจ้าจงทรงพระเจริญ จงมีชัยชานะเถิด พระเจ้าข้า. พระราชาทรงเอาพระแสงขอเพ็ชร เหนี่ยวช้างให้หันกลับ เสด็จไปยังที่ใกล้พราหมณ์เหล่านั้น แล้วตรัสถามว่า พราหมณ์ทั้งหลายผู้เจริญ ท่านทั้งหลายต้องการอะไร? พราหมณ์ทั้งหลาย เมื่อจะพรรณนาคุณของพระโพธิสัตว์ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :- ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าประชาชน ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบศรัทธาและศีลของพระองค์แล้ว จึงขอรับพระราชทานเอาทองคาแลกกับช้างมีสีดังดอกอัญชัน นาไปในแว่นแคว้นกาลิงคราช.
  • 5. 5 ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าประชาชน ด้วยว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทราบศรัทธาและศีลของพระองค์ แล้วคิดว่า พระราชาพระองค์นั้นทรงสมบูรณ์ด้วยศรัทธาและศีลอย่างนี้ จะทูลขอแล้วจักพระราชทานช้างตัวประเสริฐมีสีเหมือนดอกอัญชัน แก่พวกเราเป็นแน่ แล้วพูดกันว่า เราทั้งหลายจักนาช้างตัวประเสริฐไปในสานักของพระเจ้ากาลิงคราช จึงเอาทรัพย์และธัญญาหารเป็ นอันมากแลกกับช้างซึ่งมีสีเหมือนดอกอัญชันเชือก นี้ เสมือนเป็ นของๆ ตน คือใช้จ่ายทรัพย์และธัญญาหารเป็ นอันมาก และใส่ปากใส่ท้องเลี้ยงดูกัน. ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะขอช้างนั้นอย่างนี้ จึงได้มาในที่นี้ขอพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ โปรดทรงทราบกิจที่จะพึงทรงกระทาในเรื่องช้างนั้น. อีกนัยหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทราบพระคุณ คือศรัทธาคุณและศีลคุณของพระองค์ จึงคิดกันว่า พระราชาผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ แม้แต่ชีวิตถูกขอแล้วก็จะประทานให้ จะป่วยกล่าวไปใยถึงช้างตัวประเสริฐอันเป็นสัตว์ดิรัจฉานเล่า จึงจะขอแลกคือเปรียบเทียบทองแก่พระองค์กับช้างอันมีสีเหมือนดอกอัญชันนี้ ไปไว้ในสานักของพระเจ้ากาลิงคราชด้วยประการอย่างนี้ ด้วยเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงได้มาในที่นี้. พระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น จึงทรงเล้าโลมให้เบาใจว่า ดูก่อนพราหมณ์ทั้งหลาย หากท่านทั้งหลายใช้จ่ายทรัพย์ เพราะจะแลกเปลี่ยนช้างตัวประเสริฐเชือกนี้ เป็ นการใช้จ่ายไปดีแล้ว อย่าได้เสียใจเลย เราจักให้ช้างตัวประเสริฐตามที่ประดับแล้วทีเดียวแก่ท่านทั้งหลาย แล้วได้กล่าวคาถา ๒ คาถานอกนี้ว่า :- สัตว์ที่พึงเลี้ยงด้วยข้าวก็ดี ที่ไม่ได้เลี้ยงก็ดี ผู้ใดในโลกนี้ ตั้งใจมาหาเรา สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด เราก็มิได้ห้ามเลย นี้เป็นถ้อยคาของท่านบูรพาจารย์. ดูก่อนพราหมณ์ทั้งหลาย เราจะให้ช้างเชือกนี้อันควรเป็นราชพาหนะ เป็นราชบริโภคพระราชาควรใช้สอย ประกอบไปด้วยยศ ประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับปกคลุมตะพองด้วยตาข่ายทอง พร้อมทั้งนายหัตถาจารย์แก่ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงไปตามปรารถนาเถิด. อธิบายว่า จะพึงไม่ปฏิเสธอย่างนี้ว่า พวกท่านจงหลีกไป เราจักไม่ให้พวกท่าน. อธิบายว่า คนห้าร้อยตะกูลมีหมอช้างเป็นต้น อาศัยช้างนั้นเลี้ยงชีวิต เราจักให้ท่านทั้งหลาย พร้อมทั้งคนห้าร้อยตระกูลนั้น.
  • 6. 6 เราจะให้แก่พวกท่าน พร้อมทั้งสารถี คืออาจารย์ผู้ฝึกช้างนั้น เพราะฉะนั้น พวกท่านเป็นผู้พร้อมด้วยสารถี คือควาญช้าง พาเอาช้างนี้พร้อมทั้งบริวารไปตามความต้องการเถิด. พระมหาสัตว์ประทับอยู่บนคอช้างตัวประเสริฐ ตรัสให้ด้วยพระวาจาอย่างนี้แล้ว กลับเสด็จลงจากคอช้าง ทรงดาเนินเวียนขวาไป ๓ รอบ ทรงพิจารณาว่า หากที่ที่ยังไม่ได้ประดับตกแต่งยังมีอยู่จักประดับตกแต่งก่อนแล้วจึงจะให้ ครั้นไม่ได้ทรงเห็นที่ที่ยังไม่ได้ตกแต่งที่ช้างนั้น จึงทรงเอางวงของช้างนั้น วางบนมือของพราหมณ์ทั้งหลาย แล้วได้เอาพระสุวรรณภิงคารพระเต้าน้าทอง หลั่งน้าอันอบด้วยดอกไม้และของหอมแล้วพระราชทานไป. พราหมณ์ทั้งหลายรับช้างพร้อมทั้งบริวาร แล้วนั่งบนหลังช้าง ได้ไปยังทันตปุรนครถวายช้างแก่พระราชา. ช้างแม้มาแล้ว ฝนก็ยังไม่ตก. พระราชาจึงทรงคาดคั้นถามว่า มีเหตุอะไรหนอ ได้ทรงสดับว่า พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยราชทรงรักษากุรุธรรม ด้วยเหตุนั้น ฝนจึงตกในแว่นแคว้นของพระองค์ ทุกกึ่งเดือน ทุก ๑๐ วัน เพราะอานุภาพแห่งคุณความดีของพระราชาดอก ฝนจึงตก ก็สัตว์ดิรัจฉานนี้ แม้มีคุณอยู่ก็จะมีสักเท่าไร จึงรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงนาช้างตามที่ประดับแล้วนี้แล พร้อมทั้งบริวารคืนไปถวายแก่พระราชา แล้วจดกุรุธรรมที่พระองค์รักษาลงในแผ่นทองแล้วนามา แล้วทรงส่งพวกพราหมณ์และอามาตย์ทั้งหลายไป. พราหมณ์และอามาตย์เหล่านั้นไปมอบถวายแด่พระราชา แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อช้างนี้แม้ไปถึงแล้ว ฝนก็ยังมิได้ตกในแว่นแคว้นของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ทราบเกล้าว่า พระองค์ทรงรักษากุรุธรรม พระราชาแม้ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ทรงประสงค์จะรักษากุรุธรรมนั้น จึงทรงส่งมาด้วยรับสั่งว่า จงจดใส่ในแผ่นทองนามา ขอพระองค์จงประทานกุรุธรรมนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย เรารักษากุรุธรรมนั้นจริง แต่บัดนี้ เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมนั้นอยู่ กุรุธรรมนั้นไม่ทาจิตของเราให้ยินดี เพราะฉะนั้น เราไม่อาจให้กุรุธรรมนั้นแก่ท่านทั้งหลาย. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ศีลนั้นจึงไม่ทาให้พระราชาทรงยินดี? ตอบว่า นัยว่า ในครั้งนั้น พระราชาทั้งหลายมีการมหรสพเดือน ๑๒ ทุกๆ ๓ ปี พระราชาทั้งหลาย เมื่อจะเล่นมหรสพนั้น ทรงประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ถือเอาเพศเป็นเทวดา
  • 7. 7 ยืนอยู่ในสานักของยักษ์ชื่อว่าจิตตราช แล้วยิงศรอันวิจิตรประดับด้วยดอกไม้ในทิศทั้ง ๔. พระราชาแม้พระองค์นี้ เมื่อจะทรงเล่นมหรสพนั้น จึงประทับยืนในสานักของจิตตราชยักษ์ ใกล้แนวบึงแห่งหนึ่ง แล้วทรงยิงจิตตศรไปในทิศทั้ง ๔. บรรดาลูกศรเหล่านั้น พระองค์ทรงเห็นลูกศร ๓ ลูกที่ยิงไปในทิศที่เหลือ แต่ไม่เห็นลูกศรที่ยิงไปบนหลังพื้นน้า. พระราชาทรงรังเกียจว่า ลูกศรที่เรายิงไป คงจะตกลงในตัวปลากระมังหนอ พระองค์ทรงปรารภถึงศีลเภท เพราะกรรมคือทาสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป เพราะฉะนั้น ศีลจึงไม่ทาพระราชาให้ยินดี. พระโพธิสัตว์นั้นจึงตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมอยู่ แต่พระมารดาของเรารักษาไว้ได้เป็นอย่างดี พวกท่านจงถือเอาในสานักของพระมารดาเราเถิด. ทูตทั้งหลายจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ไม่มีเจตนาว่าจักฆ่าสัตว์ เพราะเว้นเจตนานั้นจึงชื่อว่าไม่เป็นปาณาติบาต ขอพระองค์จงให้กุรุธรรมที่ทรงรักษาแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น จงเขียนเอาเถิดพ่อ แล้วให้จารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏว่า ปาโณ น หนฺตพฺโพ ไม่พึงฆ่าสัตว์ ๑ อทินฺน นาทาตพฺพ ไม่พึงถือสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ๑ กาเมสุมิจฺฉาจาโร น จริตพฺโพ ไม่พึงประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ๑ มุสาวาโท น ภาสิตพฺโพ ไม่พึงกล่าวคาเท็จ ๑ มชฺชปาน น ปาตพพ ไม่พึงดื่มน้าเมา ๑. ก็แลครั้นให้จารึกแล้วจึงตรัสว่า แม้เป็นอย่างนี้ ศีลก็ยังเราให้ยินดีไม่ได้ พวกท่านจงไปเฝ้ าพระมารดาของเราเถิด. ทูตทั้งหลายถวายบังคมพระราชาแล้วไปยังสานักของพระมารดาของพ ระโพธิสัตว์ กราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ได้ยินว่า พระองค์ทรงรักษากุรุธรรม ขอพระองค์จงประทานกุรุธรรมนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. พระเทวีตรัสว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย เรารักษากุรุธรรมก็จริง แต่บัดนี้ เราเกิดความรังเกียจในกุรุธรรมนั้น กุรุธรรมนั้นไม่ทาเราให้ยินดี เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่อาจให้แก่ท่านทั้งหลาย. ได้ยินว่า พระเทวีนั้นมีพระโอรส ๒ องค์ คือพระราชาผู้เป็นพระเชษฐาและอุปราชผู้เป็นพระกนิษฐา. ครั้งนั้น
  • 8. 8 มีพระราชาองค์หนึ่งทรงส่งแก่นจันทน์อันมีค่าแสนหนึ่ง และดอกไม้ทองมีค่าพันหนึ่งมาถวายพระโพธิสัตว์. พระองค์ทรงคิดว่าจักบูชาพระมารดา จึงทรงส่งของทั้งหมดนั้นไปถวายพระราชมารดา. พระราชมารดาทรงพระดาริว่า เราจะไม่ลูบไล้แก่นจันทน์ จะไม่ทัดทรงดอกไม้ จักให้แก่นจันทน์และระเบียบดอกไม้นั้นแก่สะใภ้ทั้งสอง. ลาดับนั้น พระเทวีได้มีความดาริดังนี้ว่า สะใภ้คนโตของเราเป็นใหญ่ ดารงอยู่ในตาแหน่งอัครมเหสี เราจักให้ระเบียบดอกไม้ทองแก่สะใภ้คนโต ส่วนสะใภ้คนเล็กเป็นคนยากจน เราจักให้แก่นจันทน์แก่สะใภ้คนเล็ก. พระนางจึงประทานระเบียบดอกไม้ทองแก่พระเทวีของพระราชา ได้ประทานแก่นจันทน์แก่พระมเหสีของพระอุปราช. ก็แหละครั้นประทานไปแล้วพระราชมารดาได้มีความรังเกียจว่า เรารักษากุรุธรรม ความที่หญิงสะใภ้เหล่านั้น ยากจนหรือไม่ยากจน ไม่เป็นประมาณสาหรับเรา ก็การกระทาเชษฐาปจายิกกรรมเท่านั้นสมควรแก่เรา เพราะความที่เราไม่ทาเชษฐาปจายิกกรรมนั้น ศีลของเราจะแตกทาลายบ้างไหมหนอ. เพราะฉะนั้น พระราชมารดาจึงตรัสอย่างนั้น. ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกราบทูลพระราชมารดาว่า ขึ้นชื่อว่าของของตนบุคคลย่อมให้ได้ตามชอบใจ พระองค์ทรงกระทาความรังเกียจด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้ จักทรงกระทากรรมอันลามกอย่างอื่นได้อย่างไร ธรรมดาศีลย่อมไม่แตกทาลายด้วยเหตุเห็นปานนี้ ขอพระองค์จงประทานกุรุธรรมแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด แล้วถือเอากุรุธรรมในสานักของพระราชมารดา แม้นั้นจดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ. ก็แหละพวกทูตอันพระราชมารดาตรัสว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย เมื่อเป็นอย่างนั้น กุรุธรรมก็ยังไม่ทาให้เรายินดีพอใจได้ แต่พระสุณิสาของเรารักษากุรุธรรมนั้นได้เป็นอย่างดี ท่านทั้งหลายจงถือเอาในสานักของพระสุณิสานั้นเถิด. จึงพากันไปเฝ้ าพระอัครมเหสีทูลขอกุรุธรรมโดยนัยก่อนนั้นแหละ. ฝ่ายพระอัครมเหสีตรัสโดยนัยก่อนเหมือนกัน แล้วตรัสว่า ชื่อว่าศีลย่อมไม่ทาเราให้ยินดีพอใจ เพราะเหตุนั้น เราไม่อาจให้พวกท่าน. ได้ยินว่า พระอัครมเหสีนั้น วันหนึ่ง ประทับยืนที่สีหบัญชร ได้ทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชประทับนั่งบนหลังช้างเบื้องหลังพระราชาผู้ กาลังทรงประทักษิณเลียบพระนคร บังเกิดความโลภอยากขึ้น ทรงพระดาริว่า
  • 9. 9 ถ้าเราได้ทาความเชยชิดกับพระมหาอุปราชนี้ไซร้ เมื่อพระเชษฐาสวรรคตไป พระมหาอุปราชนี้ดารงอยู่ในราชสมบัติจะได้สงเคราะห์เรา. ลาดับนั้น พระอัครมเหสีนั้นได้มีความรังเกียจว่า เรากาลังรักษากุรุธรรมอยู่ ทั้งเป็นผู้มีพระสวามีอยู่ ยังแลดูชายอื่นด้วยอานาจกิเลส ศีลของเราคงจะต้องแตกทาลาย เพราะฉะนั้น พระอัครมเหสีจึงได้ตรัสอย่างนั้น. ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกราบทูลพระอัครมเหสีว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ธรรมดาว่าการประพฤติล่วงละเมิด ย่อมไม่มีด้วยเหตุเพียงจิตตุปบาทเกิดความคิดขึ้น พระองค์ทรงกระทาความรังเกียจแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จักทรงกระทาความล่วงละเมิดอะไรได้ ศีลย่อมไม่แตกทาลายด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ ขอพระองค์จงประทานกุรุธรรมแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเถิด. แล้วถือเอาในสานักของพระอัครมเหสี แม้นั้นแล้วจดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ. ก็แลทูตทั้งหลายผู้อันพระอัครมเหสีตรัสว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ศีลก็ยังไม่ทาเราให้ยินดีพอใจ ก็เพราะมหาอุปราชทรงรักษาได้อย่างดี พวกท่านจงถือเอาในสานักของพระมหาอุปราชเถิด จึงพากันเข้าไปเฝ้ าพระมหาอุปราช ทูลขอกุรุธรรมโดยนัยก่อนนั่นแหละ. ก็พระมหาอุปราชนั้น เมื่อเสด็จไปยังที่บารุงของพระราชาในเวลาเย็น เสด็จไปด้วยรถถึงพระลานหลวงแล้ว ถ้าทรงพระประสงค์จะเสวยในสานักของพระราชา แล้วทรงบรรทมค้างอยู่ในที่นั้น ก็จะทรงทิ้งเชือกและปฏักไว้ระหว่างแอกรถ ด้วยสัญญาเครื่องหมายนั้น มหาชนบริวารจะกลับไป ต่อเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจะไปยืนคอยดูพระมหาอุปราชนั้นเสด็จออก. ฝ่ายนายสารถีก็จะนารถนั้นไป ต่อเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จึงจะนารถมาจอดที่ประตูพระราชนิเวศน์. ถ้าทรงมีพระประสงค์จะเสด็จในขณะนั้น จะทรงวางเชือกและปฏักไว้เฉพาะภายในรถ แล้วเสด็จไปเฝ้ าพระราชา ด้วยสัญญาณนั้น ชนบริวารจะยืนอยู่ที่ประตูพระราชนิเวศน์นั่นเอง ด้วยหมายใจว่า จักเสด็จออกมาในขณะนี้ อันพระมหาอุปราชนั้นทรงกระทาอย่างนั้น แล้วเสด็จเข้าไปยังพระราชนิเวศน์. เมื่อพระมหาอุปราชนั้นพอเสด็จเข้าไปเท่านั้น ฝนก็ตก. พระราชาตรัสว่า ฝนกาลังตก จึงไม่ให้พระมหาอุปราชนั้นเสด็จออกมา. พระมหาอุปราชจึงทรงเสวยแล้วบรรทมอยู่ในพระราชนิเวศน์นั้นนั่นเอง. ชนบริวารคิดว่า ประเดี๋ยวจักเสด็จออก จึงได้ยืนเปียกฝนอยู่ตลอดคืนยังรุ่ง.
  • 10. 10 ในวันที่สอง พระมหาอุปราชจึงเสด็จออกมา ทรงเห็นชนบริวารยืนเปียกฝนอยู่ ทรงเกิดความรังเกียจว่า เราเมื่อรักษากุรุธรรมอยู่ ยังทาชนมีประมาณเท่านี้ให้ลาบาก ศีลของเราเห็นจะพึงแตกทาลาย. ด้วยเหตุนั้น พระมหาอุปราชจึงตรัสแก่ทูตเหล่านั้นว่า เรารักษากุรุธรรมอยู่ก็จริง แต่บัดนี้ เรามีความรังเกียจอยู่ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่อาจให้แก่ท่านทั้งหลาย แล้วตรัสบอกเรื่องราวนั้นให้ทราบ. ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงทูลพระมหาอุปราชว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์มิได้มีความคิดว่า ชนเหล่านี้จงลาบาก กรรมที่ทาโดยหาเจตนามิได้ ไม่จัดว่าเป็ นกรรม เมื่อพระองค์ทรงกระทาความรังเกียจแม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ ความล่วงละเมิดจักมีได้อย่างไร แล้วรับเอาศีลในสานักของพระมหาอุปราชแม้นั้น จดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ. ก็แหละ พวกทูตอันพระมหาอุปราชตรัสว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ศีลก็มิได้ทาเราให้ปลื้มอกปลื้มใจได้ ก็ปุโรหิตย่อมรักษาได้ดี พวกท่านจงถือเอาในสานักของปุโรหิตนั้นเถิด จึงพากันเข้าไปหาปุโรหิตแล้วขอกุรุธรรม. ฝ่ายปุโรหิตนั้น วันหนึ่ง ไปเฝ้ าพระราชาระหว่างทางได้เห็นรถมีสีอ่อนๆ งดงามเหมือนแสงอาทิตย์อ่อนๆ ซึ่งพระราชาองค์หนึ่งทรงส่งมาถวายพระราชานั้น จึงถามว่า นี้รถของใคร ได้ฟังว่านามาถวายพระราชา จึงคิดว่า เราก็แก่แล้ว ถ้าพระราชาจะพระราชทานรถคันนี้แก่เราไซร้ เราจักขึ้นรถคันนี้เที่ยวไปอย่างสบายแล้วไปเฝ้ าพระราชา ในเวลาที่ปุโรหิตนั้นถวายพระพรชัยแล้วยืนเฝ้ าอยู่ ราชบุรุษต่างเมืองก็ทูลถวายรถแก่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรแล้วตรัสว่า รถของเราคันนี้งามเหลือเกิน พวกท่านจงให้แก่อาจารย์ของเราเถิด. ปุโรหิตมิได้ปรารถนาจะรับพระราชทาน แม้พระราชาจะตรัสอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ปรารถนาจะรับพระราชทานเลย. ถามว่า เพราะเหตุไร? ตอบว่า เพราะนัยว่า ปุโรหิตนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เรารักษากุรุธรรมอยู่แท้ๆ ยังได้กระทาความโลภในสิ่งของของคนอื่น ศีลของเราจะพึงแตกทาลายไปแล้ว. ปุโรหิตนั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นแล้วกล่าวว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมอยู่ กุรุธรรมนั้นมิได้ยังเราให้ปลื้มอกปลื้มใจเลย เพราะฉะนั้น เราไม่อาจให้.
  • 11. 11 ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะปุโรหิตว่า นาย ศีลย่อมไม่แตกทาลาย ด้วยเหตุเพียงเกิดความโลภอยากได้ ท่านเมื่อกระทาความรังเกียจ แม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ จักกระทาความล่วงละเมิดอะไรได้ แล้วรับเอาศีลในสานักของปุโรหิตแม้นั้น จดลงในแผ่นสุพรรณบัฏ. ก็แหละ ทูตทั้งหลายผู้อันท่านปุโรหิตกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น กุรุธรรมก็ไม่ยังเราให้ยินดีพอใจได้ ก็อามาตย์ผู้ถือเชือกรังวัดรักษาได้ดี พวกท่านจงรับเอาในสานักของอามาตย์นั้น จึงพากันเข้าไปหาอามาตย์แม้นั้น แล้วขอกุรุธรรม. ฝ่ายอามาตย์ผู้รังวัดนั้น วันหนึ่ง เมื่อจะวัดเนื้อที่นาในชนบท จึงเอาเชือกผูกที่ไม้ให้เจ้าของนาจับปลายข้างหนึ่ง ตนเองจับปลายข้างหนึ่ง. ไม้ที่ผูกปลายเชือกซึ่งอามาตย์ถือไปจรดตรงกลางรูปูตัวหนึ่ง อามาตย์นั้นคิดว่า ถ้าเราจักปักไม้ลงในรูปู ปูภายในรูจักฉิบหาย ก็ถ้าเราจักปักล้าไปข้างหน้า เนื้อที่ของหลวงก็จักขาด ถ้าเราจักปักร่นเข้ามา เนื้อที่ของกฏุมพีก็จักขาด เราจะทาอย่างไรดีหนอ. ลาดับนั้น อามาตย์ผู้นั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า ปูควรจะมีในรู ถ้ามีจะต้องปรากฎ เราจะปักไม้นั้นตรงนี้แหละ แล้วก็ปักท่อนไม้นั้นลงในรูปู ฝ่ายปูก็ส่งเสียงดังกริ๊กๆ. ลาดับนั้น อามาตย์นั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า ท่อนไม้จักปักลงบนหลังปู ปูก็จักตายและเราก็รักษากุรุธรรม เพราะเหตุนั้น ศีลของเราคงจะแตกทาลาย. อามาตย์นั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นแก่ทูตทั้งหลายแล้วกล่าวว่า เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวมานี้ เราจึงมีความรังเกียจในกุรุธรรม ด้วยเหตุนั้น เราจึงไม่อาจให้แก่พวกท่าน. ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะอามาตย์นั้นว่า ท่านไม่มีจิตคิดว่า ปูจงตาย กรรมที่ไม่มีเจตนาความจงใจ ไม่ชื่อว่าเป็นกรรม ท่านกระทาความรังเกียจ แม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ จักกระทาความล่วงละเมิดอะไรได้ แล้วรับเอาศีลในสานักของอามาตย์แม้นั้น แล้วจดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ. ก็แหละ อามาตย์นั้นพูดว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ กุรุธรรมก็มิได้ทาข้าพเจ้าให้ปลื้มใจ ก็นายสารถีรักษาได้อย่างดี ท่านทั้งหลายจงรับเอาในสานักของนายสารถีนั้นเถิด. ทูตทั้งหลายจึงเข้าไปหานายสารถี แม้นั้นแล้วขอกุรุธรรม. นายสารถีนั้น วันหนึ่ง นาเสด็จพระราชาไปยังราชอุทยานด้วยราชรถ พระราชาทรงเล่นในพระราชอุทยานนั้นตลอดวัน ในเวลาเย็น จึงเสด็จออกจากพระราชอุทยาน เสด็จขึ้นทรงรถ เมื่อราชรถนั้นยังไม่ทันถึงพระนคร เมฆฝนก็ตั้งขึ้น
  • 12. 12 ในเวลาที่พระอาทิตย์จะอัศดงคต เพราะกลัวว่าพระราชาจะเปียกฝน นายสารถีจึงได้ให้สัญญาณด้วยปฏักแก่ม้าสินธพทั้งหลายๆ จึงควบไปด้วยความเร็ว ก็แหละตั้งแต่นั้นมา ม้าสินธพเหล่านั้น ขาไปยังพระราชอุทยานก็ดี ขามาจากพระราชอุทยานนั้นก็ดี พอถึงที่ตรงนั้น ก็วิ่งควบไปด้วยความเร็ว. ถามว่า เพราะเหตุอะไร ? ตอบว่า เพราะนัยว่า ม้าสินธพเหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า ในที่นี้ จะพึงมีภัยเป็นแน่ ด้วยเหตุนั้น นายสารถีของพวกเราจึงได้ให้สัญญาณด้วยปฏักในคราวนั้น. แม้นายสารถีก็มีความคิดดังนี้ว่า ในเมื่อพระราชาจะเปียกฝนหรือไม่เปียกฝนก็ตาม เราย่อมไม่มีโทษ แต่เราได้ให้สัญญาปฏักแก่ม้าสินธพที่ฝึกหัดมาดีแล้วในสถานที่อันไม่ควร ด้วยเหตุนั้น ม้าสินธพเหล่านี้วิ่งควบทั้งไปและมา ลาบากอยู่จนเดี๋ยวนี้ และเราก็รักษากุรุธรรม ด้วยเหตุนั้น ศีลของเราคงจะแตกทาลายแล้ว. นายสารถีนั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นให้ทราบ แล้วกล่าวว่า เพราะเหตุนี้ เราจึงมีความรังเกียจในกุรุธรรม เพราะฉะนั้น เราไม่อาจให้แก่พวกท่านได้. ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะนายสารถีนั้นว่า ท่านไม่มีจิตคิดว่า ม้าสินธพทั้งหลายจงลาบาก กรรมที่ไม่มีเจตนาคือความจงใจ ไม่จัดว่าเป็ นกรรม อนึ่ง ท่านกระทาความรังเกียจด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้ จักกระทาความล่วงละเมิดได้อย่างไร จึงรับเอาศีลในสานักของนายสารถีนั้น จดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ. ก็แหละ นายสารถีกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นศีลก็มิได้ทาเราให้ปลื้มใจได้ แต่ท่านเศรษฐีรักษาได้ดี พวกท่านจงรับเอาในสานักของท่านเศรษฐีนั้นเถิด พวกทูตจึงเข้าไปหาท่านเศรษฐีนั้น แล้วขอกุรุธรรม. แม้เศรษฐีนั้น วันหนึ่งไปนาข้าวสาลีของตน พิจารณารวงข้าวสาลีที่ออกจากท้อง เมื่อจะกลับ คิดว่าจักผูกรวงข้าวให้เป็นพุ่มข้าวเปลือก จึงให้คนผูกรวงข้าวสาลีกาหนึ่งผูกเป็ นจุกไว้. ลาดับนั้น ท่านเศรษฐีได้มีความคิดดังนี้ว่า เราจะต้องให้ค่าภาคหลวงจากนานี้ แต่เราก็ได้ให้คนถือเอารวงข้าวสาลีกาหนึ่ง จากอันนาที่ยังไม่ได้ให้ค่าภาคหลวง ก็เรารักษากุรุธรรม เพราะเหตุนั้น ศีลของเราคงจะแตกทาลายแล้ว. ท่านเศรษฐีนั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นแก่ทูตทั้งหลายแล้ว กล่าวว่า เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมด้วยเหตุนี้ เพราะเหตุนั้น เราไม่อาจให้กุรุธรรมแก่พวกท่าน.
  • 13. 13 ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะท่านเศรษฐีว่า ท่านไม่มีไถยจิตคิดจะลัก เว้นจากไถยจิตนั้น ใครๆ ไม่อาจบัญญัติอทินนาทานได้ ก็ท่านกระทาความรังเกียจแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จักถือเอาของของคนอื่นได้อย่างไร แล้วรับเอาศีลในสานักของเศรษฐีแม้นั้น แล้วจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ. ก็แหละ ทูตทั้งหลายอันท่านเศรษฐีกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ศีลก็ยังมิได้ทาให้เราปลื้มใจได้ แต่ท่านอามาตย์ผู้ตวงข้าวหลวงรักษาได้ดี พวกท่านจงถือเอาในสานักของอามาตย์ผู้ตวงข้าวนั้นเถิด จึงพากันเข้าไปหาท่านอามาตย์ผู้ตวงข้าวแล้วขอกุรุธรรม. ได้ยินว่า อามาตย์ผู้ตวงข้าวนั้น วันหนึ่งให้คนนับข้าวเปลือกอันเป็ นส่วนของหลวง ส่วนตนเอาข้าวเปลือกจากกองข้าวที่ยังไม่ได้นับใส่คะแนน. ขณะนั้น ฝนตก มหาอามาตย์จึงเพิ่มคะแนนข้าวเปลือก แล้วกล่าวว่า ข้าวเปลือกที่นับแล้ว มีประมาณเท่านี้ แล้วโกยข้าวเปลือกที่เป็นคะแนน ใส่ลงในกองข้าวเปลือกที่นับแล้ว ก็รีบไปยืนที่ซุ้มประตูแล้ว คิดว่า เราใส่ข้าวเปลือกคะแนนในกองข้าวที่นับแล้ว หรือใส่ในกองข้าวที่ยังไม่ได้นับ. ลาดับนั้น ท่านมหาอามาตย์ได้มีความคิดดังนี้ว่า ถ้าเราใส่ในกองข้าวเปลือกที่นับไว้แล้ว ของหลวงก็จะเพิ่มขึ้นโดยมิใช่เหตุ ของคฤหบดีทั้งหลายก็จะขาดไป และเราก็รักษากุรุธรรม ด้วยเหตุนั้น ศีลของเราจะต้องแตกทาลายแล้ว. ท่านมหาอามาตย์นั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นแล้วกล่าวว่า เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมด้วยเหตุนี้ เพราะเหตุนั้น เราไม่อาจให้แก่พวกท่าน. ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะท่านมหาอามาตย์นั้นว่า ท่านไม่มีไถยจิตคิดจะลัก เว้นไถยจิตนั้นเสีย ใครๆ ไม่อาจบัญญัติอทินนาทานได้ ก็ท่านกระทาความรังเกียจด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้ อย่างไรจักถือเอาสิ่งของของคนอื่น แล้วรับเอาศีลในสานักของมหาอามาตย์ผู้ตวงข้าวนั้น จารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ. ก็แหละ ทูตทั้งหลายผู้อันท่านมหาอามาตย์กล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ศีลก็มิได้ทาเราให้ปลื้มใจยินดีได้ แต่นายประตูรักษาได้ดี ท่านทั้งหลายจงถือเอาในสานักของนายประตูนั้นเถิด จึงพากันเข้าไปหานายประตู แม้นั้นแล้วขอกุรุธรรม. ฝ่ายนายประตูนั้น วันหนึ่ง เวลาจะปิดประตูเมืองได้ออกเสียงประกาศขึ้น ๓ ครั้ง. ครั้งนั้น มีคนเข็ญใจคนหนึ่งเข้าป่าหาฟืนและหญ้ากับน้องสาว กาลังกลับมา ได้ยินเสียงนายประตูนั้นประกาศ จึงรีบพาน้องสาวมาทันพอดี.
  • 14. 14 ลาดับนั้น นายประตูกล่าวกะคนเข็ญใจนั้นว่า ท่านไม่รู้ว่าพระราชามีอยู่ในพระนครนี้หรือ ท่านไม่รู้หรือว่า เขาจะต้องปิดประตูพระนครนี้ ต่อเวลายังวัน ท่านพาภรรยาของตนเที่ยวไปในป่า เที่ยวเล่นรื่นเริงตลอดวัน. ครั้นเมื่อคนเข็ญใจกล่าวว่า ไม่ใช่ภรรยาฉันดอกนาย หญิงคนนี้เป็นน้องสาวของฉันเอง นายประตูนั้นจึงมีความปริวิตกดังนี้ว่า เราเอาน้องสาวเขามาพูดว่าเป็นภรรยา กระทากรรมอันหาเหตุมิได้หนอ และเราก็รักษากุรุธรรม ด้วยเหตุนั้น ศีลของเราจะพึงแตกทาลายแล้ว. นายประตูนั้นจึงบอกเรื่องราวนั้นแล้วกล่าวว่า เรามีความรังเกียจในกุรุธรรมด้วยเหตุนี้ เพราะเหตุนั้น เราไม่อาจให้แก่พวกท่านได้. ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะนายประตูนั้นว่า คานั้นท่านกล่าวตามความสาคัญอย่างนั้น ในข้อนี้ความแตกทาลายแห่งศีลจึงไม่มีแก่ท่าน ก็ท่านรังเกียจด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้ จักกระทาสัมปชานมุสาวาทกล่าวเท็จทั้งรู้ในกุรุธรรมได้อย่างไร แล้วถือเอาศีลในสานักของนายประตูแม้นั้น จดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ. ก็แหละ ทูตทั้งหลายอันนายประตูนั้นกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ศีลก็ยังไม่ทาให้เรายินดีปลื้มใจได้ แต่นางวรรณทาสีรักษาได้ดี พวกท่านจงถือเอาในสานักของนางวรรณทาสีแม้นั้นเถิด จึงพากันเข้าไปหานางวรรณทาสีแม้นั้นแล้วขอกุรุธรรม. ฝ่ายนางวรรณทาสี ก็ปฏิเสธโดยนัยอันมีในหนหลังนั่นแหละ. ถามว่า เพราะเหตุไร? ตอบว่า เพราะได้ยินว่า ท้าวสักกะจอมเทวดาทรงดาริว่า จักทดลองศีลของนาง จึงแปลงเพศเป็ นมาณพน้อยมาพูดว่า ฉันจักมาหาแล้วให้ทรัพย์ไว้พันหนึ่ง กลับไปยังเทวโลก แล้วไม่มาถึง ๓ ปี. นางวรรณทาสีนั้นไม่รับสิ่งของแม้มาตรว่าหมากพลูจากมือชายอื่นถึง ๓ ปี เพราะกลัวศีลของตนขาด. นางยากจนลงโดยลาดับ จึงคิดว่า เมื่อชายผู้ให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่เราแล้วไปเสีย ไม่มาถึง ๓ ปี เราจึงยากจน ไม่อาจสืบต่อชีวิตต่อไปได้ จาเดิมแต่บัดนี้ไป เราควรบอกแก่มหาอามาตย์ผู้วินิจฉัยความแล้วรับเอาค่าใช้จ่าย. นางจึงไปศาลกล่าวฟ้ องว่า เจ้านาย บุรุษผู้ให้ค่าใช้จ่ายแก่ดิฉันแล้วไปเสีย ๓ ปีแล้ว ดิฉันไม่ทราบว่าเขาตายแล้วหรือยังไม่ตาย ดิฉันไม่อาจสืบต่อเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ เจ้านาย ดิฉันจะทาอย่างไร. มหาอามาตย์ผู้วินิจฉัยอรรถคดีกล่าวตัดสินว่า เมื่อเขาไม่มาถึง ๓ ปี ท่านจักทาอะไร ตั้งแต่นี้ท่านจงรับค่าใช้จ่ายได้.
  • 15. 15 เมื่อนางวรรณทาสีนั้นได้รับการวินิจฉัยตัดสินแล้ว พอออกจากศาลที่วินิจฉัยเท่านั้น บุรุษคนหนึ่งก็น้อมนาห่อทรัพย์พันหนึ่งเข้าไปให้. ในขณะที่นางเหยียดมือจะรับ ท้าวสักกะก็แสดงพระองค์ให้เห็น นางพอเห็นท้าวสักกะนั้นเท่านั้นจึงหดมือพร้อมกับกล่าวว่า บุรุษผู้ให้ทรัพย์แก่เราพันหนึ่งเมื่อ ๓ ปีมาแล้ว ได้กลับมาแล้ว ดูก่อนพ่อ เราไม่ต้องการกหาปณะของท่าน. ท้าวสักกะจึงแปลงร่างกายของพระองค์ทันที ได้ประทับยืนอยู่ในอากาศเปล่งแสงโชติช่วง ประดุจดวงอาทิตย์อ่อนๆ ฉะนั้น พระนครทั้งสิ้นพากันตื่นเต้น ท้าวสักกะได้ประทานโอวาทในท่ามกลางมหาชนว่า ในที่สุด ๓ ปีมาแล้ว เราได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง เนื่องด้วยจะทดลองนางวรรณทาสีนี้ ท่านทั้งหลายชื่อว่า เมื่อจะรักษาศีลจงเป็นผู้เห็นปานนี้รักษาเถิด แล้วทรงบันดาลให้นิเวศน์ของนางวรรณทาสีเต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทรงอนุศาสน์พร่าสอนนางวรรณทาสีนั้นว่า เธอจงเป็ นผู้ไม่ประมาทตั้งแต่บัดนี้ไป แล้วได้เสด็จไปยังเทวโลกนั่นแล. เพราะเหตุนี้ นางวรรณทาสีนั้นจึงปฏิเสธห้ามปรามทูตทั้งหลายว่า เรายังมิได้เปลื้องค่าจ้างที่รับไว้ ยื่นมือไปรับค่าจ้างที่ชายอื่นให้ ด้วยเหตุนี้ ศีลจึงทาเราให้ยินดีปลื้มใจไม่ได้ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่อาจให้แก่ท่านทั้งหลาย. ลาดับนั้น ทูตทั้งหลายจึงกล่าวกะนางวรรณทาสีนั้นว่า ศีลเภทศีลแตกทาลาย ย่อมไม่มีด้วยเหตุสักว่ายื่นมือ ชื่อว่าศีลย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่งด้วยประการอย่างนี้ แล้วรับเอาศีลในสานักของนางวรรณทาสีแม้นั้น จดจารึกลงในแผ่นสุพรรณบัฏ. ทูตทั้งหลายจารึกศีลที่ชนทั้ง ๑๑ คนนั้นรักษาลงในแผ่นสุพรรณบัฏด้วยประการดังนี้แล้ว ได้ไปยังทันตปุรนคร ถวายแผ่นสุพรรณบัฏแก่พระเจ้ากาลิงคราช แล้วกราบทูลประพฤติเหตุนั้นให้ทรงทราบ. พระราชา เมื่อทรงประพฤติกุรุธรรมนั้น ทรงบาเพ็ญศีล ๕ ให้บริบูรณ์. ในกาลนั้น ฝนก็ตกลงในแว่นแคว้นกาลิงครัฐทั้งสิ้น ภัยทั้ง ๓ ก็สงบระงับและแว่นแคว้นก็ได้มีความเกษมสาราญ มีภักษาหารสมบูรณ์. พระโพธิสัตว์ทรงกระทาบุญมีทานเป็นต้นตราบเท่าพระชนมายุ พร้อมทั้งบริวารได้ทาเมืองสวรรค์ให้เต็มบริบูรณ์. พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศอริยสัจ ในเวลาจบอริยสัจ บางพวกได้เป็ นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็ นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์.
  • 16. 16 แล้วทรงประชุมชาดกว่า :- นางวรรณทาสีหญิงคณิกา ได้เป็ น นางอุบลวรรณา นายประตูในครั้งนั้น ได้เป็น พระปุณณะ รัชชุคาหกะอามาตย์ผู้รังวัด ได้เป็ น พระกัจจายนะ โทณมาปกะอามาตย์ผู้ตวงข้าว ได้เป็ น พระโมคคัลลานะ เศรษฐีในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร นายสารถีได้เป็น พระอนุรุทธะ พราหมณ์ ได้เป็ น พระกัสสปเถระ พระมหาอุปราช ได้เป็ น พระนันทะผู้บัณฑิต พระมเหสีในครั้งนั้น ได้เป็น ราหุลมารดา พระชนนีในครั้งนั้น ได้เป็น พระมายาเทวี พระเจ้ากุรุราชโพธิสัตว์ ได้เป็ น เราตถาคต จบ อรรถกถากุรุธรรมชาดกที่ ๖ -----------------------------------------------------