ว่าด้วย ให้ช้างแก่ท้าวกาลิงคราช
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
มีสหาย ๒ คนชาวเมืองสาวัตถี บรรพชาในสำนักภิกษุทั้งหลายแล้วได้อุปสมบท โดยมากเที่ยวไปด้วยกัน. วันหนึ่ง ภิกษุ ๒ สหายนั้นไปยังแม่น้ำอจิรวดีอาบน้ำ นั่งผิงแดดอยู่ที่เนินทราย กล่าวถ้อยคำให้ระลึกกันและกันอยู่.
ขณะนั้น หงส์ ๒ ตัวบินมาทางอากาศ. ลำดับนั้น ภิกษุรูปหนึ่งจับก้อนกรวดมาแล้วกล่าวว่า ผมจะดีดลูกตาของหงส์ตัวหนึ่ง ภิกษุนอกนี้กล่าวว่า ท่านจักไม่สามารถ. ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า นัยน์ตาข้างนี้จงยกไว้ ผมจะดีดนัยน์ตาข้างโน้น. ภิกษุนอกนี้ก็กล่าวว่า แม้นัยน์ตาข้างนี้ ท่านก็จักไม่อาจดีดได้. ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นท่านคอยดู ว่าแล้วก็หยิบก้อนกรวด ๓ เหลี่ยมมาดีดไปทางเบื้องหลังของหงส์. หงส์ได้ยินเสียงกรวดจึงเหลียวมองดู. ลำดับนั้น ภิกษุนั้นก็เอาก้อนกรวดอีกก้อนหนึ่งดีดหงส์นั้นที่นัยน์ตาด้านนอก ทะลุออกทางนัยน์ตาด้านใน. หงส์ร้องม้วนตกลงมาแทบเท้าของภิกษุทั้งสองนั้น. ภิกษุทั้งหลายที่ยืนอยู่ในที่นั้นเห็นเข้า จึงพากันมาแล้วกล่าวว่า ผู้มีอายุ ท่านบวชในพระพุทธศาสนา ทำปาณาติบาต ชื่อว่ากระทำกรรมอันไม่สมควร แล้วพาภิกษุผู้ดีดหงส์นั้นไปแสดงแก่พระตถาคตทันที.
พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอกระทำปาณาติบาตจริงหรือ? เมื่อภิกษุนั้นทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เพราะเหตุไร เธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ จึงได้กระทำอย่างนี้ แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น อยู่อย่างเศร้าหมองในท่ามกลางเรือน ยังกระทำความรังเกียจในฐานะทั้งหลาย แม้มีประมาณน้อย ส่วนเธอบวชในศาสนาเห็นปานนี้ไม่ได้กระทำ แม้มาตรว่าความรังเกียจ ธรรมดาภิกษุพึงเป็นผู้สำรวมกาย วาจาและใจ มิใช่หรือ? แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้