SlideShare a Scribd company logo
1 of 9
Download to read offline
1
การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๙ สิวิราชจริยา
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนา
เรานั่งอยู่บนปราสาทอันประเสริฐ ได้ดาริอย่างนี้ ว่า ทานที่มนุษย์พึงให้อย่างใดอย่างหนึ่งที่เรา
ไม่ได้ให้แล้วไม่มี แม้ผู้ใดพึงขอจักษุของเรา เราก็จะพึงให้ไม่หวั่นใจเลย.
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
๘. สิวิราชจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าสิวิ
[๕๑] ในกาลที่เราเป็นกษัตริย์นามว่าสิวิ อยู่ในกรุงชื่ออริฏฐะ เรานั่งอยู่ในปราสาทที่ประเสริฐ
ได้คิดอย่างนี้ ว่า
[๕๒] “ทานในมนุษยโลกอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เราไม่ได้ให้แล้วไม่มี แม้ผู้ใดพึงขอจักษุกะเรา เราก็
พึงให้แก่ผู้นั้นได้ไม่หวั่นไหว
[๕๓] ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าทวยเทพ ทรงทราบความดาริของเราแล้ว ประทับนั่งในเทพบริษัท
ได้ตรัสพระดารัสนี้ ว่า
[๕๔] ‘พระเจ้าสิวิพระองค์นั้นผู้ทรงมีฤทธิ์มาก ประทับนั่งในปราสาทที่ประเสริฐ ทรงดาริถึงทาน
ต่างๆ ไม่ทรงเห็นสิ่งที่ยังมิได้ให้
[๕๕] ข้อนั้นจะเป็นจริงหรือไม่หนอ เอาเถอะ เราจักทดลองพระองค์ดู ท่านทั้งหลายพึงคอยเรา
สักครู่หนึ่ง เพียงเราทราบความจริงใจของพระเจ้าสิวิเท่านั้น’
[๕๖] ท้าวสักกะจึงแปลงร่างเป็นคนตาบอด มีกายสั่น ศีรษะหงอก หนังย่น กระสับกระส่าย
เพราะความชรา เข้าเฝ้าพระราชา
[๕๗] ครั้งนั้น อินทพราหมณ์นั้นประคองแขนทั้งซ้ายและขวา ประนมมือขึ้นเหนือศีรษะได้กล่าว
คานี้ ว่า
[๕๘] ‘ข้าแต่พระมหาราชผู้ทรงธรรม ทรงปกครองแคว้นให้เจริญ ข้าพระองค์จะขอรับบริจาค
ทานกะพระองค์ เกียรติคุณคือความยินดีในทานของพระองค์ ฟุ้งขจรไปในเทวดาและมนุษย์
[๕๙] นัยน์ตาแม้ทั้ง ๒ ข้างของข้าพระองค์ถูกโรคขจัดบอดเสียแล้ว ขอพระองค์จงพระราชทาน
พระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด แม้พระองค์ก็ทรงยังอัตภาพให้เป็นไปได้ด้วยพระเนตรข้างหนึ่ง’
2
[๖๐] เราได้ฟังคาของพราหมณ์นั้นแล้ว ทั้งยินดีและตื่นเต้น ประนมมือ เกิดปีติปราโมทย์ ได้
กล่าวคานี้ ว่า
[๖๑] ‘เราคิดแล้ว ลงจากปราสาทมาถึงที่นี้ เดี๋ยวนี้ เอง ท่านรู้จิตของเราแล้วมาขอนัยน์ตา
[๖๒] โอ! ความปรารถนาของเราสาเร็จแล้ว ความดาริของเราบริบูรณ์แล้ว วันนี้ เราจักให้ทาน
อันประเสริฐ ซึ่งเรายังไม่เคยให้แก่พวกยาจก
[๖๓] มานี่แน่ะหมอสิวิกะ จงขมีขมันอย่าชักช้า อย่าครั่นคร้าม จงควักนัยน์ตาทั้ง ๒ ข้างออก
ให้แก่วณิพกไปเถิด’
[๖๔] หมอสิวิกะนั้นถูกเราเตือนแล้ว เชื่อฟังคาของเรา ได้ควักนัยน์ตาทั้ง ๒ ออกให้แก่ยาจก
เหมือนคนควักจาวตาล
[๖๕] เมื่อเราจะให้ทานก็ดี กาลังให้ทานก็ดี ให้ทานแล้วก็ดี จิตของเราไม่เป็นอย่างอื่น เพราะ
เหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น
[๖๖] จักษุทั้ง ๒ เป็นที่น่าเกลียดชังสาหรับเราก็หาไม่ แม้ตัวเราเองจะเป็นที่เกลียดชังก็หาไม่ แต่
พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้จักษุ ฉะนี้ แล
สิวิราชจริยาที่ ๘ จบ
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญทานบารมี
๘. สีวีราชจริยา
อรรถกถาสิวิราชจริยาที่ ๘
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าสีวิครองราชสมบัติอยู่ในอริฏฐปุรนคร แคว้นสีพี. พระมหา
สัตว์ทรงอุบัติเป็นพระโอรสของพระเจ้าสิวิราชนั้น. พระนามของพระมหาสัตว์นั้นว่าสิวิกุมาร.
ครั้นพระมหาสัตว์เจริญวัยได้เสด็จไปยังเมืองตักกสิลา ทรงเล่าเรียนศิลปะ สาเร็จแล้วเสด็จกลับ
ทรงแสดงศิลปะแก่พระบิดา ได้รับตาแหน่งอุปราช.
ต่อมาพระบิดาสวรรคต ได้เป็นพระราชา ทรงละอคติ ทรงตั้งอยู่ในราชธรรม ครองราชสมบัติ
ทรงให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ที่ประตูพระราชนิเวศน์
๑ แห่ง ทรงบริจาคมหาทานวันละ ๖๐๐,๐๐๐ ทุกวัน. ในวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่าและ ๑๕ ค่า ได้เสด็จไปยังโรงทาน
ด้วยพระองค์เอง ทรงตรวจตราโรงทาน.
บางคราวในวัน ๑๕ ค่า ตอนเช้าตรู่ พระองค์ประทับนั่งบนราชบัลลังก์ ภายใต้พระเศวตฉัตรที่
ยกขึ้น ทรงดาริว่า ทานภายนอกของเราไม่ยังจิตให้ยินดีเหมือนทานภายใน. ไฉนหนอในเวลาที่เราไปโรง
ทาน จะมีผู้ขอไรๆ ไม่ขอวัตถุภายนอก พึงขอวัตถุภายในอย่างเดียว. ก็หากว่าใครๆ พึงขอเนื้ อหรือเลือดใน
ร่างกายของเรา ศีรษะ เนื้ อหัวใจ นัยน์ตา ร่างกายครึ่งหนึ่งหรืออัตภาพทั้งสิ้นเอาไปเป็นทาส เราก็ยังความ
ประสงค์ของผู้นั้นให้บริบูรณ์ในทันที สามารถจะให้ได้.
3
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
เรานั่งอยู่บนปราสาทอันประเสริฐ ได้ดาริอย่างนี้ ว่า ทานที่มนุษย์พึงให้อย่างใดอย่างหนึ่งที่เรา
ไม่ได้ให้แล้วไม่มี แม้ผู้ใดพึงขอจักษุของเรา เราก็จะพึงให้ไม่หวั่นใจเลย.
ก็เมื่ออัธยาศัยในการให้อันกว้างขวางเกิดขึ้นแก่พระมหาสัตว์อย่างนี้ บัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ของ
ท้าวสักกะแสดงอาการร้อน.
ท้าวสักกะนั้นทรงราพึงถึงเหตุนั้น ได้ทรงเห็นพระอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ว่า พระเจ้าสิวิราช
ทรงดาริว่า วันนี้ หากมีผู้มาขอดวงตาเรา เราก็จักควักดวงตาให้เขา ท้าวสักกะจึงตรัสแก่เทพบริษัทว่า เราจัก
ทดลองพระโพธิสัตว์ดูก่อนว่า จักสามารถให้ดวงตาจริงหรือไม่.
เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงสรงสนานด้วยน้าหอม ๑๖ หม้อ แล้วทรงประดับด้วยสรรพาลังการ ทรง
ประทับบนคอช้างพระที่นั่ง ซึ่งตกแต่งไว้เป็นอย่างดี เสด็จไปยังโรงทาน ท้าวสักกะจึงทรงแปลงเพศเป็น
พราหมณ์ตาบอด เป็นคนแก่งกๆ เงิ่นๆ ทรงเหยียดพระพาหาทั้งสองในที่เป็นเนินแห่งหนึ่งให้อยู่ในคลอง
จักษุของพระโพธิสัตว์นั้น แล้วทรงยืนถวายพระพร ขอให้พระราชาทรงพระเจริญ.
พระโพธิสัตว์ทรงชักช้างไปตรงหน้าพราหมณ์แปลงนั้น แล้วตรัสถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่าน
ต้องการอะไร?
พราหมณ์ทูลขอดวงตาข้างหนึ่งโดยตรัสว่า ชาวโลกทั้งสิ้นแพร่สะพัดไปไม่ขาดสายด้วยการ
ประกาศเกียรติคุณอันสูงส่ง อาศัยอัธยาศัยในทานของพระองค์. ข้าพเจ้าเป็นคนตาบอด เพราะฉะนั้น จึง
วิงวอนขอดวงตากะพระองค์.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าทวยเทพ ทรงทราบความดาริของเราแล้ว ประทับนั่งในเทพบริษัท ได้
ตรัสพระดารัสนี้ ว่า พระเจ้าสิวิราชผู้มีฤทธิ์มาก ประทับนั่งในปราสาทอันประเสริฐ พระองค์ทรงดาริถึงทาน
ต่างๆ ไม่ทรงเห็นสิ่งที่ยังมิได้ทรงให้ ข้อนั้นจะเป็นจริงหรือไม่หนอ ช่างเถิด เราจะทดลองพระองค์ดู พวกท่าน
พึงคอยอยู่สักครู่หนึ่ง เพียงเรารู้น้าพระทัยของพระเจ้าสิวิราชเท่านั้น.
ท้าวสักกะจึงทรงแปลงเพศเป็นคนตาบอด มีกายสั่น ผมหงอก หนังหย่อน กระสับกระส่าย
เพราะชรา เข้าไปเฝ้าพระราชาในกาลนั้น
ท้าวสักกะแปลงประคองพระพาหาซ้ายขวา ประนมกรอัญชลีเหนือเศียร ได้กล่าวคานี้ ว่า ข้า
แต่พระมหาราชผู้ทรงธรรม ทรงปกครองรัฐให้เจริญ ข้าพระองค์จะขอกะพระองค์ เกียรติคุณคือความยินดีใน
ทานของพระองค์ ขจรไปในเทวดาและมนุษย์ หน่วยตาแม้ทั้งสองของข้าพระองค์บอดเสียแล้ว ขอพระองค์
ทรงพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระองค์เถิด แม้พระองค์จักทรงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยพระเนตร
ข้างหนึ่ง.
พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้นทรงดีพระทัย ได้เกิดพระกาลังใจว่า เรานั่งอยู่บนปราสาทคิด
อย่างนี้ แล้วมาเดี๋ยวนี้ เอง. พราหมณ์นี้ ขอดวงตาดุจรู้ใจของเรา เป็นลาภของเราเสียจริงหนอ วันนี้ ความ
ปรารถนาของเราจักถึงที่สุด เราจักให้ทานที่ไม่เคยให้.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
4
เราได้ฟังคาของพราหมณ์นั้นแล้วทั้งดีใจและสลดใจ ประคองอัญชลี มีปีติและปราโมทย์ ได้กล่าว
คานี้ ว่า เราคิดแล้วลงจากปราสาทมาถึงที่นี่บัดนี้ เอง ท่านรู้จิตของเราแล้วมาขอนัยน์ตา.
โอ ความปรารถนาของเราสาเร็จแล้ว ความดาริของเราบริบูรณ์แล้ว. วันนี้ เราจักให้ทานอัน
ประเสริฐ ซึ่งเราไม่เคยให้แก่ยาจก.
ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงดาริว่า พราหมณ์นี้ ขอดวงตาแม้ใครๆ ก็ให้ยาก กะเราดุจรู้วาระจิต
ของเรา. น่ากลัวว่าจะเป็นเทพองค์หนึ่งแนะมา หรืออย่างไร. เราจักถามดูก่อนแล้วจึงตรัสถามพราหมณ์นั้น
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในเทศนาชาดกว่า
ดูก่อนวณิพก ใครแนะท่านจึงมา ณ ที่นี้ เพื่อขอดวงตา ท่านขอดวงตาอันเป็นอวัยวะสาคัญที่คน
สละให้ได้ยาก.
ท้าวสักกะ (ในรูปพราหมณ์) สดับดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า
ในเทวโลกเรียกว่าท้าวสุชัมบดี ในมนุษยโลกเรียกว่าท้าวมฆวา ข้าพเจ้าเป็นวณิพก ท้าวมฆวา
แนะจึงมา ณ ที่นี้ เพื่อขอดวงตา.
ข้าพเจ้าขอดวงตาของท่าน ขอท่านจงให้สิ่งที่ขอ อันไม่มีอะไรอื่นยิ่งไปกว่า แก่ข้าพเจ้าผู้ขอเถิด.
ขอท่านจงให้ดวงตา ที่คนสละให้ได้ยากแก่ข้าพเจ้าเถิด.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านมาปรารถนาประโยชน์อันใด ความปรารถนาเหล่านั้นจงสาเร็จแก่ท่าน
เถิด ท่านจงเอาดวงตาไปเถิด.
เมื่อท่านขอดวงตาข้างหนึ่ง เราจะให้สองข้าง. ท่านมีดวงตา จงไปเพ่งดูชนเถิด. ท่านปรารถนา
สิ่งใด สิ่งนั้นจงสาเร็จแก่ท่าน.
พระราชาครั้นตรัสเพียงเท่านี้ แล้ว จึงตรัสว่า พราหมณ์นี้ ท้าวสักกะแนะจึงมาหาเรา ณ ที่นี้ . ทรง
ทราบว่า ดวงตาจักสาเร็จบริบูรณ์แก่พราหมณ์นี้ ด้วยอุบายนี้ แน่ จึงทรงดาริว่า เราไม่ควรควักดวงตาให้ ณ
ที่นี้ จึงทรงพาพราหมณ์เข้าไปภายในพระนคร ประทับนั่งบนราชอาสน์ ตรัสเรียกหมอชื่อสิวกะมา.
ลาดับนั้นได้เกิดเอิกเกริกโกลาหลขึ้นทั่วพระนครว่า นัยว่า พระราชาของพวกเรามีพระประสงค์
จะให้หมอควักดวงพระเนตรให้แก่พราหมณ์.
ครั้งนั้น พวกราชวัลลภของพระราชามีพระญาติและเสนาบดีเป็นต้น เหล่าอามาตย์บริษัท ชาว
พระนคร เหล่าสนมทั้งหมดประชุมกัน ทูลห้ามพระราชาโดยอุบายต่างๆ.
แม้พระราชาก็มิได้ทรงคล้อยตามบุคคลเหล่านั้น.
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์อย่าพระราชทานพระเนตรเลย อย่าทิ้งพวกข้าพระองค์ทั้งปวงเสียเลย.
ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์จะให้ทรัพย์ คือแก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ ซึ่งมีอยู่มากมาย.
ข้าแต่พระองค์ ขอจงพระราชทานรถเทียมม้าอาชาไนยที่ประดับแล้ว.
ข้าแต่มหาราช ขอจงพระราชทานช้าง เครื่องนุ่งห่มทาด้วยทอง.
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐในราชสมบัติ ชาวสีพีทั้งปวง พร้อมด้วยยวดยาน พร้อมด้วยรถยัง
5
แวดล้อมพระองค์อยู่โดยรอบทุกเมื่อ ขอพระองค์จงพระราชทานอย่างอื่นเถิด.
ลาดับนั้น พระราชาได้ตรัส ๓ คาถาว่า
ผู้ใดแลกล่าวว่าจักให้แล้วตั้งใจไม่ให้ ผู้นั้นย่อมสวมบ่วงที่ตกลงไปบนแผ่นดินที่คอ.
ผู้ใดกล่าวว่าจักให้แล้วตั้งใจไม่ให้ ผู้นั้นเป็นผู้ลามกกว่าผู้ลามก จะตกนรกของพระยายม.
เมื่อเขาขอสิ่งใดควรให้สิ่งนั้น เมื่อเขาไม่ขอสิ่งใด ไม่ควรให้สิ่งนั้น เราจักให้สิ่งที่พราหมณ์ขอ.
ชนทั้งหลายกราบทูลอย่างนี้ โดยประสงค์ว่า เพราะเมื่อพระองค์พระราชทานพระเนตร พระองค์
ก็จักไม่ทรงครองราชสมบัติ. พวกข้าพระองค์จักชื่อว่าถูกพระองค์ทอดทิ้ง. ขอพระองค์จงพระราชทานอย่าง
อื่นเถิด โดยที่ชาวสีพียังแวดล้อมพระองค์ผู้มีพระเนตรไม่วิกลมานานแล้ว ขอจงพระราชทานทรัพย์แก่
พราหมณ์นั้นอย่างเดียวเถิด อย่าพระราชทานพระเนตรเลย. เพราะเมื่อพระราชทานพระเนตรเสียแล้ว ชาวสี
พีก็จักไม่พากันแวดล้อมพระองค์.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ผู้ขอขอสิ่งใด แม้ผู้ให้ก็ควรให้สิ่งนั้น ไม่ให้สิ่งที่เขาไม่ได้ขอ. ก็พราหมณ์นี้ ขอ
ดวงตากะเรา ไม่ขอทรัพย์มีแก้วมุกดาเป็นต้น เราจักให้สิ่งที่พราหมณ์ขอ.
ลาดับนั้น ชนทั้งหลายทูลถามพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาอะไรในอายุ
เป็นต้น จึงพระราชทานพระเนตร.
พระมหาบุรุษตรัสว่า เรามิได้ให้เพราะปรารถนาสมบัติในปัจจุบันหรือในภพหน้า ที่แท้นี้ เป็น
ทางเก่าแก่ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายประพฤติสะสมกันมา คือการบาเพ็ญทานบารมี.
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็นจอมชนพระองค์ปรารถนาอะไรหนอ จึงทรงให้ อายุ วรรณะ สุขะ พละ.
จริงอยู่ พระราชาผู้ยอดเยี่ยมกว่าชนในแคว้นสีพี พระราชทานพระเนตร เพราะเหตุแห่งปรโลก
ได้อย่างไร.
เราไม่ให้ดวงตานี้ เพราะหวังยศ ไม่ปรารถนาบุตร ไม่ปรารถนาทรัพย์ ไม่ปรารถนาแว่น
แคว้น อนึ่ง ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายเป็นธรรมเก่า อันบัณฑิตประพฤติกันมาแล้ว. ใจของเรายินดีในการให้
ด้วยประการฉะนี้ แล.
ก็และพระราชาครั้นตรัสอย่างนี้ แล้ว ทรงให้อามาตย์ทั้งหลายรับรู้แล้ว ตรัสกะหมอสิวกะว่า
ดูก่อนสิวกะ มานี่แน่ะ จงลุกขึ้นอย่าชักช้า อย่าครั่นคร้าม จงควักนัยน์ตาแม้ทั้งสองข้างออกให้แก่
วณิพก. หมอสิวกะนั้น เราเตือนแล้ว เชื่อฟังคาของเราได้ควักนัยน์ตาทั้งสองออกดุจจาวตาลให้แก่ผู้ขอทันที.
คือหมอนั้นควักนัยน์ตาแม้ทั้งสองข้างจากเบ้าพระเนตรของพระราชาแล้วได้วางบนพระหัตถ์ของ
พระราชา.
อนึ่ง หมอนั้นเมื่อให้มิได้ควักให้ท้าวสักกะ เพราะเขาคิดว่า หมอผู้ชานาญเช่นเราไม่ควรใช้มีด
ผ่าตัดในพระเนตรของพระราชา จึงบดเภสัช เอาผงเภสัชผสมเกสรบัว แล้วโรยพระเนตรข้างขวา. พระเนตร
กลอกไปมา เกิดทุกขเวทนา. หมอผสมแล้วโรยอีก. พระเนตรพ้นจากเบ้าตา เกิดเวทนารุนแรงกว่าเก่า. ครั้ง
ที่ ๓ หมอผสมเภสัชให้แรงขึ้นกว่าเก่าโรยลงไป.
พระเนตรหมุนหลุดออกจากเบ้าตาด้วยกาลังเภสัช ห้อยติดอยู่ด้วยสายเอ็น. เกิดเวทนารุนแรง
6
ยิ่งขึ้น พระโลหิตไหล. แม้พระภูษาทรงก็ชุ่มด้วยพระโลหิต.
พวกสนม อามาตย์หมอบลงแทบพระบาทของพระราชาร้องไห้คร่าครวญว่า ข้าแต่พระองค์ ขอ
พระองค์อย่าพระราชทานพระเนตรทั้งสองเลย อย่าพระราชทานพระเนตรทั้งสองเลย พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงอดกลั้นเวทนาแล้วตรัสว่า อย่าชักช้าไปเลยพ่อคุณ.
หมอทูลรับสนองแล้วยึดพระเนตรด้วยมือซ้าย จับศัสตราด้วยมือขวาตัดสายพระเนตรแล้วหยิบ
พระเนตรวางไว้บนพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์.
พระมหาสัตว์ทรงทอดพระเนตร พระเนตรข้างขวาด้วยพระเนตรข้างซ้าย เสวยทุกขเวทนา ทรง
ข่มไว้ด้วยปีติในการบริจาค รับสั่งเรียกพราหมณ์ว่า ท่านพราหมณ์จงมาเถิด ตรัสว่า สมันตจักษุของเรา เป็น
ที่รักกว่านัยน์ตานี้ ตั้งร้อยเท่าพันเท่า แสนเท่า. การให้ดวงตาของเรานี้ จงเป็นปัจจัยแห่งสมันตจักษุนั้นเถิด.
(สมันตจักษุคือพระสัพพัญญุตญาณ) แล้วได้พระราชทานพระเนตรแก่พราหมณ์.
พราหมณ์หยิบพระเนตรนั้นใส่ที่นัยน์ตาของตน. พระเนตรนั้นปรากฏดุจดอกอุบลแย้มด้วย
อานุภาพแห่งพราหมณ์แปลงนั้น.
พระมหาสัตว์ทรงเห็นนัยน์ตาของพราหมณ์ด้วยพระเนตรข้างซ้าย มีพระวรกายซาบซ่านด้วยปีติ
ผุดขึ้นภายในเป็นลาดับว่า โอ เราให้นัยน์ตาดีแล้วได้พระราชทานอีกข้างหนึ่ง.
แม้ท้าวสักกะก็กระทาเหมือนอย่างเดิม เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ เมื่อมหาชนแลดูอยู่นั่นเอง
เสด็จออกจากพระนครกลับไปยังเทวโลก.
ในไม่ช้านัก พระเนตรของพระราชายังไม่ถึงเป็นหลุมมีก้อนพระมังสะขึ้นเต็มดุจลูกคลีหนังหุ้ม
ด้วยผ้ากัมพลฉะนั้น งอกขึ้นดุจรูปจิตรกรรม. เวทนาหายขาดไป.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ประทับอยู่ ณ ปราสาท ๒-๓ วัน ทรงดาริว่า คนตาบอดจะครองราช
สมบัติไปทาไม เราจักมอบราชสมบัติให้แก่อามาตย์ทั้งหลาย แล้วจักไปยังพระอุทยานบวชบาเพ็ญสมณ
ธรรม แล้วทรงแจ้งความนั้นแก่พวกอามาตย์ ตรัสว่า ราชบุรุษคนหนึ่งทาหน้าที่ให้น้าล้างหน้าเป็นต้นจงอยู่
กับเรา. แม้ในที่ที่เราจะทาสรีรกิจ พวกท่านก็จงผูกเชือกไว้ให้เรา แล้วเสด็จขึ้นเสลี่ยงประทับนั่ง เหนือราช
บัลลังก์ใกล้ฝั่งโบกขรณี.
แม้พวกอามาตย์ถวายบังคมแล้วก็พากันกลับ.
พระโพธิสัตว์ก็ทรงราลึกถึงทานของพระองค์.
ในขณะนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงเห็นดังนั้นทรงดาริว่า เราจัก
ให้พรแก่มหาราช แล้วทาพระเนตรให้เป็นปกติอย่างเดิม จึงเสด็จเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์ทรงทาเสียงพระ
บาท.
พระมหาสัตว์ตรัสถามนั่นใคร
ท้าวสักกะตรัสว่า
ข้าพเจ้าเป็นท้าวสักกะจอมเทพ มาหาท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็นราชฤษี ท่านจงเลือกพรที่ท่าน
ปรารถนาเถิด.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า
7
ข้าแต่ท้าวสักกะ ทรัพย์ข้าพเจ้ามีมากพอแล้ว ทั้งพลทหาร และท้องพระคลังก็มีไม่น้อย บัดนี้ เมื่อ
ข้าพเจ้าตาบอดชอบความตายเท่านั้น.
ลาดับนั้น ท้าวสักกะจึงตรัสกะพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านสิวิราช ท่านประสงค์จะตาย ชอบความ
ตายหรือ หรือว่าเพราะตาบอด.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า เพราะตาบอดซิ พระองค์.
ท้าวสักกะตรัสว่า ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าทานมิได้ให้ผลเพื่อภพอย่างเดียวเท่านั้น ยังเป็นปัจจัยแม้
เพื่อผลในปัจจุบันด้วย. เพราะฉะนั้น ท่านจงตั้งสัตยาธิษฐานอาศัยบุญแห่งทานของท่านเถิด. ด้วยกาลังแห่ง
สัตยาธิษฐานนั้นนั่นแหละ นัยน์ตาของท่านจักเกิดขึ้นเหมือนอย่างเดิม.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น มหาทานเราให้ดีแล้ว เมื่อจะทรงตั้งสัตยาธิษฐาน จึงตรัสว่า
พวกวณิพกหลายเหล่าหลายตระกูลมาเพื่อขอกะเรา บรรดาวณิพกที่มาเหล่านั้น ผู้ใดขอกะเรา ผู้
นั้นก็เป็นที่รักของเรา ด้วยสัจจวาจานี้ ขอนัยน์ตาของเราจงเกิดขึ้นอย่างเดิมเถิด.
ทันใดนั้นเองพระเนตรดวงที่หนึ่งก็เกิดขึ้นพร้อมกับพระดารัสของพระมหาสัตว์. ต่อจากนั้น
เพื่อให้พระเนตรดวงที่สองเกิดพระมหาสัตว์ จึงตรัสว่า
พราหมณ์นั้นมาเพื่อขอกะเราว่า ขอท่านจงให้นัยน์ตาเถิด เราได้ให้นัยน์ตาทั้งสองข้างแก่
พราหมณ์ผู้ขอนั้น ปีติล้นพ้นได้เข้าไปถึงเรา ความโสมนัสไม่น้อยบังเกิดขึ้น ด้วยสัจจวาจานี้ ขอนัยน์ตาดวงที่
สองจงเกิดขึ้นแก่เราเถิด.
ในทันใดนั้นเองพระเนตรแม้ข้างที่สองเกิดขึ้น แต่พระเนตรทั้งสองของพระโพธิสัตว์นั้นไม่
เหมือนเดิมทีเดียว. มิใช่เป็นของทิพย์. เพราะไม่สามารถจะทานัยน์ตาที่ให้แก่สักกพราหมณ์เหมือนเดิมได้
อีก.
อนึ่ง ทิพยจักษุย่อมไม่เกิดแก่ผู้มีนัยน์ตาถูกทาลายแล้ว. นัยน์ตาเกิดด้วยอานาจแห่งปีติซาบซ่าน
อาศัยปีติในทานของตน ของพระโพธิสัตว์นั้น ไม่วิปริตในเบื้องต้น ในท่ามกลางและในที่สุด ตามนัยดังกล่าว
แล้ว ท่านเรียกว่าสัจจปารมิตาจักษุ คือจักษุอาศัยสัจบารมี.
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
เมื่อเราจะให้ก็ดี กาลังให้ก็ดี ให้แล้วก็ดี จิตของเรามิได้เป็นอย่างอื่น เพราะเหตุแห่งพระ
โพธิญาณนั่นเอง.
ก็ในครั้งนั้น เมื่อพระเนตรเกิดขึ้นแล้วด้วยสัตยาธิษฐานของพระโพธิสัตว์ พวกราชบริษัททั้งหมด
ได้ประชุมกันด้วยอานุภาพของท้าวสักกะ.
ลาดับนั้น ท้าวสักกะประทับยืนบนอากาศท่ามกลางมหาชน สรรเสริญพระโพธิสัตว์ด้วยคาถา
เหล่านี้ ว่า
ท่านผู้ยังชาวสีพีให้เจริญ คาถาทั้งหลาย ท่านกล่าวแล้วโดยธรรม พระเนตรทั้งสองของท่าน
ปรากฏเป็นของทิพย์. การเห็นโดยรอบ ๑๐๐ โยชน์ ผ่านนอกฝา นอกหิน และภูเขา จงสาเร็จแก่ท่านเถิด.
แล้วเสด็จกลับสู่เทวโลก.
แม้พระโพธิสัตว์แวดล้อมด้วยมหาชน เสด็จเข้าสู่พระนครด้วยสักการะอันใหญ่ เมื่อตระเตรียม
8
ประตูพระราชมณเฑียรเรียบร้อยแล้ว ประทับนั่งเหนือราชบัลลังก์ ภายใต้เศวตฉัตรที่เขายกขึ้นไว้ ณ มหา
มณฑป.
เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ชาวพระนคร ชาวชนบทและราชบริษัทผู้ยินดีร่าเริงเบิกบานด้วยการได้
พระเนตรคืนมาเพื่อจะเห็น จึงได้ตรัสคาถาเหล่านี้ ว่า
ใครหนอในโลกนี้ เขาขอแล้วไม่ให้สมบัติอันประเสริฐบ้าง เป็นที่รักบ้างของตน. เชิญเถิด ชาวสีพี
ทั้งหลายทั้งปวง จงมาประชุมกันดูนัยน์ตาทิพย์ของเราในวันนี้ เถิด.
การเห็นโดยรอบร้อยโยชน์ ผ่านนอกฝา นอกหินและภูเขา จงสาเร็จแก่ท่าน. อะไรๆ ในชีวิตนี้
ของสัตว์ทั้งหลาย จะยิ่งไปกว่าการบริจาคไม่มี เราให้จักษุอันเป็นของมนุษย์แล้ว ได้จักษุอันเป็นทิพย์.
ดูก่อนชาวสีพีทั้งหลาย พวกท่านเห็นทิพยจักษุนี้ แล้วจงให้ทาน จงบริโภคเถิด. อนึ่ง พวกท่าน
ครั้นให้แล้ว บริโภคแล้ว ตามอานุภาพไม่ถูกนินทา จงไปสู่ฐานะอันเป็นแดนสวรรค์เถิด.
พระโพธิสัตว์มิได้ทรงแสดงด้วยคาถา ๔ คาถาเหล่านี้ ในขณะนั้นเท่านั้น อันที่จริง พระโพธิสัตว์
ทรงประชุมมหาชนในอุโบสถ ทรงแสดงธรรม แม้ทุกกึ่งเดือนด้วยประการฉะนี้ มหาชนได้สดับพระธรรมนั้น
แล้วต่างทาบุญมีทานเป็นต้นแล้วก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก.
หมอในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนทเถระในครั้งนี้ .
ท้าวสักกะ คือพระอนุรุทธเถระ.
บริษัทที่เหลือ คือพุทธบริษัท.
พระเจ้าสีวิราช คือพระโลกนาถ.
แม้ในสิวิราชจริยานี้ ของพระโพธิสัตว์นั้น ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีทั้งหลายตามสมควร โดยนัย
ดังกล่าวแล้วนั่นแล.
อนึ่ง พึงทราบคุณานุภาพของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้ คือ
ทุกๆ วัน วัตถุอันเป็นไทยธรรมภายนอกที่ไม่เคยพระราชทาน ไม่มีฉันใด เมื่อพระโพธิสัตว์ทรง
บริจาคมหาทานอันนับไม่ถ้วนก็ฉันนั้น ไม่ทรงยินดีด้วยมหาทานนั้น ทรงดาริว่า ทาอย่างไรหนอ เราจะพึง
บริจาคทานอันเป็นวัตถุภายในได้ เมื่อไรหนอจะพึงมีใครๆ มาหาเราแล้วขอไทยธรรมอันเป็นวัตถุภายใน.
หากมีผู้ขออะไรๆ จะพึงขอเนื้ อหทัยของเรา เราจักนาเนื้ อหทัยนั้นออกด้วยหอกแล้วนาหทัยซึ่งมี
หยาดเลือดไหลดุจยกดอกบัวพร้อมด้วยก้านขึ้นจากน้าใสแล้วจักให้ หากพึงขอเนื้ อในร่ายกาย เราจักเชือด
เนื้ อในร่างกาย ดุจกรีดเยื่อน้าอ้อยงบของตาลด้วยการขูดออก หากพึงขอเลือดเราจะเอาดาบแทงหรือสอด
เข้าไปในปากแห่งสรีระแล้วนาเอาภาชนะเข้าไปรองจนเต็มแล้วจักให้เลือด.
อนึ่ง หากใครๆ พึงกล่าวว่า ในเรือนของเรา การงานไม่ค่อยเรียบร้อย ท่านจงรับใช้เราที่เรือน
นั้นเถิด. เราจักเปลื้องเครื่องทรงของพระราชาออก มอบตนแก่เขาแล้วรับใช้เขา หรือว่าหากใครๆ พึงขอ
นัยน์ตาเรา เราจักให้ควักนัยน์ตาดุจนาจาวตาลออกฉะนั้นแล้วให้แก่เขาดังนี้ .
พระมหาโพธิสัตว์ทรงถึงความเป็นผู้ชานาญอันใช่ทั่วไปแก่ผู้อื่นอย่างนี้ ทรงเกิดความปริวิตก
กว้างขวางเป็นพิเศษ การได้ผู้ขอจักษุแล้วแม้เมื่ออามาตย์และเหล่าบริษัทเป็นผู้ทูลคัดค้าน ก็มิได้ทรงเชื่อฟัง
คาของชนเหล่านั้น ทรงเสวยปีติอย่างยิ่งด้วยการปฏิบัติสมควรแก่ความปริวิตกของพระองค์ ทรงตั้ง
9
สัตยาธิษฐานต่อพระพักตร์ของท้าวสักกะ อาศัยความที่การปฏิบัตินั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน เพราะ
พระองค์มีพระทัยอิ่มเอิบ ความที่พระเนตรของพระองค์เป็นปกติด้วยสัตยาธิษฐานนั้น และความที่พระเนตร
นั้นมีอานุภาพเป็นของทิพย์ ด้วยประการฉะนี้ .
จบอรรถกถาสิวิราชจริยาที่ ๘
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 09 สิวิราชจริยา มจร.pdf

Tri91 15+ทีฆนิกาย+ปาฏิกวรรค+เล่ม+๓+ภาค+๑ (1)
Tri91 15+ทีฆนิกาย+ปาฏิกวรรค+เล่ม+๓+ภาค+๑ (1)Tri91 15+ทีฆนิกาย+ปาฏิกวรรค+เล่ม+๓+ภาค+๑ (1)
Tri91 15+ทีฆนิกาย+ปาฏิกวรรค+เล่ม+๓+ภาค+๑ (1)
Tongsamut vorasan
 
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
Tongsamut vorasan
 
บาลี 60 80
บาลี 60 80บาลี 60 80
บาลี 60 80
Rose Banioki
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
Sirisak Promtip
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
A'waken P'Kong
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
A'waken P'Kong
 

Similar to 09 สิวิราชจริยา มจร.pdf (20)

Tri91 15+ทีฆนิกาย+ปาฏิกวรรค+เล่ม+๓+ภาค+๑ (1)
Tri91 15+ทีฆนิกาย+ปาฏิกวรรค+เล่ม+๓+ภาค+๑ (1)Tri91 15+ทีฆนิกาย+ปาฏิกวรรค+เล่ม+๓+ภาค+๑ (1)
Tri91 15+ทีฆนิกาย+ปาฏิกวรรค+เล่ม+๓+ภาค+๑ (1)
 
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
7 60+ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล+ภาค+๒
 
บาลี 60 80
บาลี 60 80บาลี 60 80
บาลี 60 80
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
 
20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
20 ชยทิสจริยา มจร.pdf20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
20 ชยทิสจริยา มจร.pdf
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
 
สามัคคีเภทคำฉันท์ท๊อป
สามัคคีเภทคำฉันท์ท๊อปสามัคคีเภทคำฉันท์ท๊อป
สามัคคีเภทคำฉันท์ท๊อป
 
น้องบีม
น้องบีมน้องบีม
น้องบีม
 
น้องบีม
น้องบีมน้องบีม
น้องบีม
 
ไทย
ไทยไทย
ไทย
 
จิรทีปต์ 2
จิรทีปต์ 2จิรทีปต์ 2
จิรทีปต์ 2
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
 
สามัคคีเภทคำฉันท์2
สามัคคีเภทคำฉันท์2สามัคคีเภทคำฉันท์2
สามัคคีเภทคำฉันท์2
 
สามัคคีเภทคำฉันท์2
สามัคคีเภทคำฉันท์2สามัคคีเภทคำฉันท์2
สามัคคีเภทคำฉันท์2
 
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์สามัคคีเภทคำฉันท์
สามัคคีเภทคำฉันท์
 
จิรทีปต์
จิรทีปต์จิรทีปต์
จิรทีปต์
 
จิรทีปต์
จิรทีปต์จิรทีปต์
จิรทีปต์
 
จิรทีปต์
จิรทีปต์จิรทีปต์
จิรทีปต์
 

More from maruay songtanin

200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
198 ราธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
198 ราธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx198 ราธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
198 ราธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
197 มิตตามิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
197 มิตตามิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...197 มิตตามิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
197 มิตตามิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
195 ปัพพตูปัตถรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
195 ปัพพตูปัตถรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...195 ปัพพตูปัตถรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
195 ปัพพตูปัตถรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
192 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
192 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...192 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
192 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
187 จตุมัฏฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
187 จตุมัฏฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....187 จตุมัฏฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
187 จตุมัฏฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
186 ทธิวาหนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
186 ทธิวาหนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....186 ทธิวาหนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
186 ทธิวาหนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
185 อนภิรติชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
185 อนภิรติชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....185 อนภิรติชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
185 อนภิรติชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
183 วาโลทกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
183 วาโลทกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx183 วาโลทกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
183 วาโลทกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
182 สังคามาวจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
182 สังคามาวจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...182 สังคามาวจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
182 สังคามาวจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
181 อสทิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
181 อสทิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx181 อสทิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
181 อสทิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
179 สตธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
179 สตธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx179 สตธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
179 สตธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
200 สาธุสีลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
198 ราธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
198 ราธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx198 ราธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
198 ราธชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
197 มิตตามิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
197 มิตตามิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...197 มิตตามิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
197 มิตตามิตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
195 ปัพพตูปัตถรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
195 ปัพพตูปัตถรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...195 ปัพพตูปัตถรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
195 ปัพพตูปัตถรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬ...
 
194 มณิโจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
194 มณิโจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx194 มณิโจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
194 มณิโจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
193 จูฬปทุมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
192 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
192 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...192 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
192 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
191 รุหกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
190 สีลานิสังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
189 สีหจัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
189 สีหจัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....189 สีหจัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
189 สีหจัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
187 จตุมัฏฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
187 จตุมัฏฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....187 จตุมัฏฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
187 จตุมัฏฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
186 ทธิวาหนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
186 ทธิวาหนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....186 ทธิวาหนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
186 ทธิวาหนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
185 อนภิรติชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
185 อนภิรติชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....185 อนภิรติชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
185 อนภิรติชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
184 คิริทัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
184 คิริทัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...184 คิริทัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
184 คิริทัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
183 วาโลทกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
183 วาโลทกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx183 วาโลทกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
183 วาโลทกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
182 สังคามาวจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
182 สังคามาวจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...182 สังคามาวจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
182 สังคามาวจรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
181 อสทิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
181 อสทิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx181 อสทิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
181 อสทิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
179 สตธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
179 สตธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx179 สตธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
179 สตธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 

09 สิวิราชจริยา มจร.pdf

  • 1. 1 การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๙ สิวิราชจริยา พลตรี มารวย ส่งทานินทร์ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เกริ่นนา เรานั่งอยู่บนปราสาทอันประเสริฐ ได้ดาริอย่างนี้ ว่า ทานที่มนุษย์พึงให้อย่างใดอย่างหนึ่งที่เรา ไม่ได้ให้แล้วไม่มี แม้ผู้ใดพึงขอจักษุของเรา เราก็จะพึงให้ไม่หวั่นใจเลย. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก ๘. สิวิราชจริยา ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าสิวิ [๕๑] ในกาลที่เราเป็นกษัตริย์นามว่าสิวิ อยู่ในกรุงชื่ออริฏฐะ เรานั่งอยู่ในปราสาทที่ประเสริฐ ได้คิดอย่างนี้ ว่า [๕๒] “ทานในมนุษยโลกอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เราไม่ได้ให้แล้วไม่มี แม้ผู้ใดพึงขอจักษุกะเรา เราก็ พึงให้แก่ผู้นั้นได้ไม่หวั่นไหว [๕๓] ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าทวยเทพ ทรงทราบความดาริของเราแล้ว ประทับนั่งในเทพบริษัท ได้ตรัสพระดารัสนี้ ว่า [๕๔] ‘พระเจ้าสิวิพระองค์นั้นผู้ทรงมีฤทธิ์มาก ประทับนั่งในปราสาทที่ประเสริฐ ทรงดาริถึงทาน ต่างๆ ไม่ทรงเห็นสิ่งที่ยังมิได้ให้ [๕๕] ข้อนั้นจะเป็นจริงหรือไม่หนอ เอาเถอะ เราจักทดลองพระองค์ดู ท่านทั้งหลายพึงคอยเรา สักครู่หนึ่ง เพียงเราทราบความจริงใจของพระเจ้าสิวิเท่านั้น’ [๕๖] ท้าวสักกะจึงแปลงร่างเป็นคนตาบอด มีกายสั่น ศีรษะหงอก หนังย่น กระสับกระส่าย เพราะความชรา เข้าเฝ้าพระราชา [๕๗] ครั้งนั้น อินทพราหมณ์นั้นประคองแขนทั้งซ้ายและขวา ประนมมือขึ้นเหนือศีรษะได้กล่าว คานี้ ว่า [๕๘] ‘ข้าแต่พระมหาราชผู้ทรงธรรม ทรงปกครองแคว้นให้เจริญ ข้าพระองค์จะขอรับบริจาค ทานกะพระองค์ เกียรติคุณคือความยินดีในทานของพระองค์ ฟุ้งขจรไปในเทวดาและมนุษย์ [๕๙] นัยน์ตาแม้ทั้ง ๒ ข้างของข้าพระองค์ถูกโรคขจัดบอดเสียแล้ว ขอพระองค์จงพระราชทาน พระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด แม้พระองค์ก็ทรงยังอัตภาพให้เป็นไปได้ด้วยพระเนตรข้างหนึ่ง’
  • 2. 2 [๖๐] เราได้ฟังคาของพราหมณ์นั้นแล้ว ทั้งยินดีและตื่นเต้น ประนมมือ เกิดปีติปราโมทย์ ได้ กล่าวคานี้ ว่า [๖๑] ‘เราคิดแล้ว ลงจากปราสาทมาถึงที่นี้ เดี๋ยวนี้ เอง ท่านรู้จิตของเราแล้วมาขอนัยน์ตา [๖๒] โอ! ความปรารถนาของเราสาเร็จแล้ว ความดาริของเราบริบูรณ์แล้ว วันนี้ เราจักให้ทาน อันประเสริฐ ซึ่งเรายังไม่เคยให้แก่พวกยาจก [๖๓] มานี่แน่ะหมอสิวิกะ จงขมีขมันอย่าชักช้า อย่าครั่นคร้าม จงควักนัยน์ตาทั้ง ๒ ข้างออก ให้แก่วณิพกไปเถิด’ [๖๔] หมอสิวิกะนั้นถูกเราเตือนแล้ว เชื่อฟังคาของเรา ได้ควักนัยน์ตาทั้ง ๒ ออกให้แก่ยาจก เหมือนคนควักจาวตาล [๖๕] เมื่อเราจะให้ทานก็ดี กาลังให้ทานก็ดี ให้ทานแล้วก็ดี จิตของเราไม่เป็นอย่างอื่น เพราะ เหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น [๖๖] จักษุทั้ง ๒ เป็นที่น่าเกลียดชังสาหรับเราก็หาไม่ แม้ตัวเราเองจะเป็นที่เกลียดชังก็หาไม่ แต่ พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้จักษุ ฉะนี้ แล สิวิราชจริยาที่ ๘ จบ คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญทานบารมี ๘. สีวีราชจริยา อรรถกถาสิวิราชจริยาที่ ๘ ได้ยินว่า ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าสีวิครองราชสมบัติอยู่ในอริฏฐปุรนคร แคว้นสีพี. พระมหา สัตว์ทรงอุบัติเป็นพระโอรสของพระเจ้าสิวิราชนั้น. พระนามของพระมหาสัตว์นั้นว่าสิวิกุมาร. ครั้นพระมหาสัตว์เจริญวัยได้เสด็จไปยังเมืองตักกสิลา ทรงเล่าเรียนศิลปะ สาเร็จแล้วเสด็จกลับ ทรงแสดงศิลปะแก่พระบิดา ได้รับตาแหน่งอุปราช. ต่อมาพระบิดาสวรรคต ได้เป็นพระราชา ทรงละอคติ ทรงตั้งอยู่ในราชธรรม ครองราชสมบัติ ทรงให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ที่ประตูพระราชนิเวศน์ ๑ แห่ง ทรงบริจาคมหาทานวันละ ๖๐๐,๐๐๐ ทุกวัน. ในวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่าและ ๑๕ ค่า ได้เสด็จไปยังโรงทาน ด้วยพระองค์เอง ทรงตรวจตราโรงทาน. บางคราวในวัน ๑๕ ค่า ตอนเช้าตรู่ พระองค์ประทับนั่งบนราชบัลลังก์ ภายใต้พระเศวตฉัตรที่ ยกขึ้น ทรงดาริว่า ทานภายนอกของเราไม่ยังจิตให้ยินดีเหมือนทานภายใน. ไฉนหนอในเวลาที่เราไปโรง ทาน จะมีผู้ขอไรๆ ไม่ขอวัตถุภายนอก พึงขอวัตถุภายในอย่างเดียว. ก็หากว่าใครๆ พึงขอเนื้ อหรือเลือดใน ร่างกายของเรา ศีรษะ เนื้ อหัวใจ นัยน์ตา ร่างกายครึ่งหนึ่งหรืออัตภาพทั้งสิ้นเอาไปเป็นทาส เราก็ยังความ ประสงค์ของผู้นั้นให้บริบูรณ์ในทันที สามารถจะให้ได้.
  • 3. 3 ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เรานั่งอยู่บนปราสาทอันประเสริฐ ได้ดาริอย่างนี้ ว่า ทานที่มนุษย์พึงให้อย่างใดอย่างหนึ่งที่เรา ไม่ได้ให้แล้วไม่มี แม้ผู้ใดพึงขอจักษุของเรา เราก็จะพึงให้ไม่หวั่นใจเลย. ก็เมื่ออัธยาศัยในการให้อันกว้างขวางเกิดขึ้นแก่พระมหาสัตว์อย่างนี้ บัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ของ ท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะนั้นทรงราพึงถึงเหตุนั้น ได้ทรงเห็นพระอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์ว่า พระเจ้าสิวิราช ทรงดาริว่า วันนี้ หากมีผู้มาขอดวงตาเรา เราก็จักควักดวงตาให้เขา ท้าวสักกะจึงตรัสแก่เทพบริษัทว่า เราจัก ทดลองพระโพธิสัตว์ดูก่อนว่า จักสามารถให้ดวงตาจริงหรือไม่. เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงสรงสนานด้วยน้าหอม ๑๖ หม้อ แล้วทรงประดับด้วยสรรพาลังการ ทรง ประทับบนคอช้างพระที่นั่ง ซึ่งตกแต่งไว้เป็นอย่างดี เสด็จไปยังโรงทาน ท้าวสักกะจึงทรงแปลงเพศเป็น พราหมณ์ตาบอด เป็นคนแก่งกๆ เงิ่นๆ ทรงเหยียดพระพาหาทั้งสองในที่เป็นเนินแห่งหนึ่งให้อยู่ในคลอง จักษุของพระโพธิสัตว์นั้น แล้วทรงยืนถวายพระพร ขอให้พระราชาทรงพระเจริญ. พระโพธิสัตว์ทรงชักช้างไปตรงหน้าพราหมณ์แปลงนั้น แล้วตรัสถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่าน ต้องการอะไร? พราหมณ์ทูลขอดวงตาข้างหนึ่งโดยตรัสว่า ชาวโลกทั้งสิ้นแพร่สะพัดไปไม่ขาดสายด้วยการ ประกาศเกียรติคุณอันสูงส่ง อาศัยอัธยาศัยในทานของพระองค์. ข้าพเจ้าเป็นคนตาบอด เพราะฉะนั้น จึง วิงวอนขอดวงตากะพระองค์. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าทวยเทพ ทรงทราบความดาริของเราแล้ว ประทับนั่งในเทพบริษัท ได้ ตรัสพระดารัสนี้ ว่า พระเจ้าสิวิราชผู้มีฤทธิ์มาก ประทับนั่งในปราสาทอันประเสริฐ พระองค์ทรงดาริถึงทาน ต่างๆ ไม่ทรงเห็นสิ่งที่ยังมิได้ทรงให้ ข้อนั้นจะเป็นจริงหรือไม่หนอ ช่างเถิด เราจะทดลองพระองค์ดู พวกท่าน พึงคอยอยู่สักครู่หนึ่ง เพียงเรารู้น้าพระทัยของพระเจ้าสิวิราชเท่านั้น. ท้าวสักกะจึงทรงแปลงเพศเป็นคนตาบอด มีกายสั่น ผมหงอก หนังหย่อน กระสับกระส่าย เพราะชรา เข้าไปเฝ้าพระราชาในกาลนั้น ท้าวสักกะแปลงประคองพระพาหาซ้ายขวา ประนมกรอัญชลีเหนือเศียร ได้กล่าวคานี้ ว่า ข้า แต่พระมหาราชผู้ทรงธรรม ทรงปกครองรัฐให้เจริญ ข้าพระองค์จะขอกะพระองค์ เกียรติคุณคือความยินดีใน ทานของพระองค์ ขจรไปในเทวดาและมนุษย์ หน่วยตาแม้ทั้งสองของข้าพระองค์บอดเสียแล้ว ขอพระองค์ ทรงพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระองค์เถิด แม้พระองค์จักทรงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยพระเนตร ข้างหนึ่ง. พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้นทรงดีพระทัย ได้เกิดพระกาลังใจว่า เรานั่งอยู่บนปราสาทคิด อย่างนี้ แล้วมาเดี๋ยวนี้ เอง. พราหมณ์นี้ ขอดวงตาดุจรู้ใจของเรา เป็นลาภของเราเสียจริงหนอ วันนี้ ความ ปรารถนาของเราจักถึงที่สุด เราจักให้ทานที่ไม่เคยให้. พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
  • 4. 4 เราได้ฟังคาของพราหมณ์นั้นแล้วทั้งดีใจและสลดใจ ประคองอัญชลี มีปีติและปราโมทย์ ได้กล่าว คานี้ ว่า เราคิดแล้วลงจากปราสาทมาถึงที่นี่บัดนี้ เอง ท่านรู้จิตของเราแล้วมาขอนัยน์ตา. โอ ความปรารถนาของเราสาเร็จแล้ว ความดาริของเราบริบูรณ์แล้ว. วันนี้ เราจักให้ทานอัน ประเสริฐ ซึ่งเราไม่เคยให้แก่ยาจก. ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงดาริว่า พราหมณ์นี้ ขอดวงตาแม้ใครๆ ก็ให้ยาก กะเราดุจรู้วาระจิต ของเรา. น่ากลัวว่าจะเป็นเทพองค์หนึ่งแนะมา หรืออย่างไร. เราจักถามดูก่อนแล้วจึงตรัสถามพราหมณ์นั้น ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในเทศนาชาดกว่า ดูก่อนวณิพก ใครแนะท่านจึงมา ณ ที่นี้ เพื่อขอดวงตา ท่านขอดวงตาอันเป็นอวัยวะสาคัญที่คน สละให้ได้ยาก. ท้าวสักกะ (ในรูปพราหมณ์) สดับดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า ในเทวโลกเรียกว่าท้าวสุชัมบดี ในมนุษยโลกเรียกว่าท้าวมฆวา ข้าพเจ้าเป็นวณิพก ท้าวมฆวา แนะจึงมา ณ ที่นี้ เพื่อขอดวงตา. ข้าพเจ้าขอดวงตาของท่าน ขอท่านจงให้สิ่งที่ขอ อันไม่มีอะไรอื่นยิ่งไปกว่า แก่ข้าพเจ้าผู้ขอเถิด. ขอท่านจงให้ดวงตา ที่คนสละให้ได้ยากแก่ข้าพเจ้าเถิด. พระมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านมาปรารถนาประโยชน์อันใด ความปรารถนาเหล่านั้นจงสาเร็จแก่ท่าน เถิด ท่านจงเอาดวงตาไปเถิด. เมื่อท่านขอดวงตาข้างหนึ่ง เราจะให้สองข้าง. ท่านมีดวงตา จงไปเพ่งดูชนเถิด. ท่านปรารถนา สิ่งใด สิ่งนั้นจงสาเร็จแก่ท่าน. พระราชาครั้นตรัสเพียงเท่านี้ แล้ว จึงตรัสว่า พราหมณ์นี้ ท้าวสักกะแนะจึงมาหาเรา ณ ที่นี้ . ทรง ทราบว่า ดวงตาจักสาเร็จบริบูรณ์แก่พราหมณ์นี้ ด้วยอุบายนี้ แน่ จึงทรงดาริว่า เราไม่ควรควักดวงตาให้ ณ ที่นี้ จึงทรงพาพราหมณ์เข้าไปภายในพระนคร ประทับนั่งบนราชอาสน์ ตรัสเรียกหมอชื่อสิวกะมา. ลาดับนั้นได้เกิดเอิกเกริกโกลาหลขึ้นทั่วพระนครว่า นัยว่า พระราชาของพวกเรามีพระประสงค์ จะให้หมอควักดวงพระเนตรให้แก่พราหมณ์. ครั้งนั้น พวกราชวัลลภของพระราชามีพระญาติและเสนาบดีเป็นต้น เหล่าอามาตย์บริษัท ชาว พระนคร เหล่าสนมทั้งหมดประชุมกัน ทูลห้ามพระราชาโดยอุบายต่างๆ. แม้พระราชาก็มิได้ทรงคล้อยตามบุคคลเหล่านั้น. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์อย่าพระราชทานพระเนตรเลย อย่าทิ้งพวกข้าพระองค์ทั้งปวงเสียเลย. ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์จะให้ทรัพย์ คือแก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ ซึ่งมีอยู่มากมาย. ข้าแต่พระองค์ ขอจงพระราชทานรถเทียมม้าอาชาไนยที่ประดับแล้ว. ข้าแต่มหาราช ขอจงพระราชทานช้าง เครื่องนุ่งห่มทาด้วยทอง. ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐในราชสมบัติ ชาวสีพีทั้งปวง พร้อมด้วยยวดยาน พร้อมด้วยรถยัง
  • 5. 5 แวดล้อมพระองค์อยู่โดยรอบทุกเมื่อ ขอพระองค์จงพระราชทานอย่างอื่นเถิด. ลาดับนั้น พระราชาได้ตรัส ๓ คาถาว่า ผู้ใดแลกล่าวว่าจักให้แล้วตั้งใจไม่ให้ ผู้นั้นย่อมสวมบ่วงที่ตกลงไปบนแผ่นดินที่คอ. ผู้ใดกล่าวว่าจักให้แล้วตั้งใจไม่ให้ ผู้นั้นเป็นผู้ลามกกว่าผู้ลามก จะตกนรกของพระยายม. เมื่อเขาขอสิ่งใดควรให้สิ่งนั้น เมื่อเขาไม่ขอสิ่งใด ไม่ควรให้สิ่งนั้น เราจักให้สิ่งที่พราหมณ์ขอ. ชนทั้งหลายกราบทูลอย่างนี้ โดยประสงค์ว่า เพราะเมื่อพระองค์พระราชทานพระเนตร พระองค์ ก็จักไม่ทรงครองราชสมบัติ. พวกข้าพระองค์จักชื่อว่าถูกพระองค์ทอดทิ้ง. ขอพระองค์จงพระราชทานอย่าง อื่นเถิด โดยที่ชาวสีพียังแวดล้อมพระองค์ผู้มีพระเนตรไม่วิกลมานานแล้ว ขอจงพระราชทานทรัพย์แก่ พราหมณ์นั้นอย่างเดียวเถิด อย่าพระราชทานพระเนตรเลย. เพราะเมื่อพระราชทานพระเนตรเสียแล้ว ชาวสี พีก็จักไม่พากันแวดล้อมพระองค์. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ผู้ขอขอสิ่งใด แม้ผู้ให้ก็ควรให้สิ่งนั้น ไม่ให้สิ่งที่เขาไม่ได้ขอ. ก็พราหมณ์นี้ ขอ ดวงตากะเรา ไม่ขอทรัพย์มีแก้วมุกดาเป็นต้น เราจักให้สิ่งที่พราหมณ์ขอ. ลาดับนั้น ชนทั้งหลายทูลถามพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาอะไรในอายุ เป็นต้น จึงพระราชทานพระเนตร. พระมหาบุรุษตรัสว่า เรามิได้ให้เพราะปรารถนาสมบัติในปัจจุบันหรือในภพหน้า ที่แท้นี้ เป็น ทางเก่าแก่ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายประพฤติสะสมกันมา คือการบาเพ็ญทานบารมี. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นจอมชนพระองค์ปรารถนาอะไรหนอ จึงทรงให้ อายุ วรรณะ สุขะ พละ. จริงอยู่ พระราชาผู้ยอดเยี่ยมกว่าชนในแคว้นสีพี พระราชทานพระเนตร เพราะเหตุแห่งปรโลก ได้อย่างไร. เราไม่ให้ดวงตานี้ เพราะหวังยศ ไม่ปรารถนาบุตร ไม่ปรารถนาทรัพย์ ไม่ปรารถนาแว่น แคว้น อนึ่ง ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายเป็นธรรมเก่า อันบัณฑิตประพฤติกันมาแล้ว. ใจของเรายินดีในการให้ ด้วยประการฉะนี้ แล. ก็และพระราชาครั้นตรัสอย่างนี้ แล้ว ทรงให้อามาตย์ทั้งหลายรับรู้แล้ว ตรัสกะหมอสิวกะว่า ดูก่อนสิวกะ มานี่แน่ะ จงลุกขึ้นอย่าชักช้า อย่าครั่นคร้าม จงควักนัยน์ตาแม้ทั้งสองข้างออกให้แก่ วณิพก. หมอสิวกะนั้น เราเตือนแล้ว เชื่อฟังคาของเราได้ควักนัยน์ตาทั้งสองออกดุจจาวตาลให้แก่ผู้ขอทันที. คือหมอนั้นควักนัยน์ตาแม้ทั้งสองข้างจากเบ้าพระเนตรของพระราชาแล้วได้วางบนพระหัตถ์ของ พระราชา. อนึ่ง หมอนั้นเมื่อให้มิได้ควักให้ท้าวสักกะ เพราะเขาคิดว่า หมอผู้ชานาญเช่นเราไม่ควรใช้มีด ผ่าตัดในพระเนตรของพระราชา จึงบดเภสัช เอาผงเภสัชผสมเกสรบัว แล้วโรยพระเนตรข้างขวา. พระเนตร กลอกไปมา เกิดทุกขเวทนา. หมอผสมแล้วโรยอีก. พระเนตรพ้นจากเบ้าตา เกิดเวทนารุนแรงกว่าเก่า. ครั้ง ที่ ๓ หมอผสมเภสัชให้แรงขึ้นกว่าเก่าโรยลงไป. พระเนตรหมุนหลุดออกจากเบ้าตาด้วยกาลังเภสัช ห้อยติดอยู่ด้วยสายเอ็น. เกิดเวทนารุนแรง
  • 6. 6 ยิ่งขึ้น พระโลหิตไหล. แม้พระภูษาทรงก็ชุ่มด้วยพระโลหิต. พวกสนม อามาตย์หมอบลงแทบพระบาทของพระราชาร้องไห้คร่าครวญว่า ข้าแต่พระองค์ ขอ พระองค์อย่าพระราชทานพระเนตรทั้งสองเลย อย่าพระราชทานพระเนตรทั้งสองเลย พระเจ้าข้า. พระราชาทรงอดกลั้นเวทนาแล้วตรัสว่า อย่าชักช้าไปเลยพ่อคุณ. หมอทูลรับสนองแล้วยึดพระเนตรด้วยมือซ้าย จับศัสตราด้วยมือขวาตัดสายพระเนตรแล้วหยิบ พระเนตรวางไว้บนพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์. พระมหาสัตว์ทรงทอดพระเนตร พระเนตรข้างขวาด้วยพระเนตรข้างซ้าย เสวยทุกขเวทนา ทรง ข่มไว้ด้วยปีติในการบริจาค รับสั่งเรียกพราหมณ์ว่า ท่านพราหมณ์จงมาเถิด ตรัสว่า สมันตจักษุของเรา เป็น ที่รักกว่านัยน์ตานี้ ตั้งร้อยเท่าพันเท่า แสนเท่า. การให้ดวงตาของเรานี้ จงเป็นปัจจัยแห่งสมันตจักษุนั้นเถิด. (สมันตจักษุคือพระสัพพัญญุตญาณ) แล้วได้พระราชทานพระเนตรแก่พราหมณ์. พราหมณ์หยิบพระเนตรนั้นใส่ที่นัยน์ตาของตน. พระเนตรนั้นปรากฏดุจดอกอุบลแย้มด้วย อานุภาพแห่งพราหมณ์แปลงนั้น. พระมหาสัตว์ทรงเห็นนัยน์ตาของพราหมณ์ด้วยพระเนตรข้างซ้าย มีพระวรกายซาบซ่านด้วยปีติ ผุดขึ้นภายในเป็นลาดับว่า โอ เราให้นัยน์ตาดีแล้วได้พระราชทานอีกข้างหนึ่ง. แม้ท้าวสักกะก็กระทาเหมือนอย่างเดิม เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ เมื่อมหาชนแลดูอยู่นั่นเอง เสด็จออกจากพระนครกลับไปยังเทวโลก. ในไม่ช้านัก พระเนตรของพระราชายังไม่ถึงเป็นหลุมมีก้อนพระมังสะขึ้นเต็มดุจลูกคลีหนังหุ้ม ด้วยผ้ากัมพลฉะนั้น งอกขึ้นดุจรูปจิตรกรรม. เวทนาหายขาดไป. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ประทับอยู่ ณ ปราสาท ๒-๓ วัน ทรงดาริว่า คนตาบอดจะครองราช สมบัติไปทาไม เราจักมอบราชสมบัติให้แก่อามาตย์ทั้งหลาย แล้วจักไปยังพระอุทยานบวชบาเพ็ญสมณ ธรรม แล้วทรงแจ้งความนั้นแก่พวกอามาตย์ ตรัสว่า ราชบุรุษคนหนึ่งทาหน้าที่ให้น้าล้างหน้าเป็นต้นจงอยู่ กับเรา. แม้ในที่ที่เราจะทาสรีรกิจ พวกท่านก็จงผูกเชือกไว้ให้เรา แล้วเสด็จขึ้นเสลี่ยงประทับนั่ง เหนือราช บัลลังก์ใกล้ฝั่งโบกขรณี. แม้พวกอามาตย์ถวายบังคมแล้วก็พากันกลับ. พระโพธิสัตว์ก็ทรงราลึกถึงทานของพระองค์. ในขณะนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงเห็นดังนั้นทรงดาริว่า เราจัก ให้พรแก่มหาราช แล้วทาพระเนตรให้เป็นปกติอย่างเดิม จึงเสด็จเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์ทรงทาเสียงพระ บาท. พระมหาสัตว์ตรัสถามนั่นใคร ท้าวสักกะตรัสว่า ข้าพเจ้าเป็นท้าวสักกะจอมเทพ มาหาท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็นราชฤษี ท่านจงเลือกพรที่ท่าน ปรารถนาเถิด. พระมหาสัตว์ตรัสว่า
  • 7. 7 ข้าแต่ท้าวสักกะ ทรัพย์ข้าพเจ้ามีมากพอแล้ว ทั้งพลทหาร และท้องพระคลังก็มีไม่น้อย บัดนี้ เมื่อ ข้าพเจ้าตาบอดชอบความตายเท่านั้น. ลาดับนั้น ท้าวสักกะจึงตรัสกะพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านสิวิราช ท่านประสงค์จะตาย ชอบความ ตายหรือ หรือว่าเพราะตาบอด. พระมหาสัตว์ตรัสว่า เพราะตาบอดซิ พระองค์. ท้าวสักกะตรัสว่า ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าทานมิได้ให้ผลเพื่อภพอย่างเดียวเท่านั้น ยังเป็นปัจจัยแม้ เพื่อผลในปัจจุบันด้วย. เพราะฉะนั้น ท่านจงตั้งสัตยาธิษฐานอาศัยบุญแห่งทานของท่านเถิด. ด้วยกาลังแห่ง สัตยาธิษฐานนั้นนั่นแหละ นัยน์ตาของท่านจักเกิดขึ้นเหมือนอย่างเดิม. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น มหาทานเราให้ดีแล้ว เมื่อจะทรงตั้งสัตยาธิษฐาน จึงตรัสว่า พวกวณิพกหลายเหล่าหลายตระกูลมาเพื่อขอกะเรา บรรดาวณิพกที่มาเหล่านั้น ผู้ใดขอกะเรา ผู้ นั้นก็เป็นที่รักของเรา ด้วยสัจจวาจานี้ ขอนัยน์ตาของเราจงเกิดขึ้นอย่างเดิมเถิด. ทันใดนั้นเองพระเนตรดวงที่หนึ่งก็เกิดขึ้นพร้อมกับพระดารัสของพระมหาสัตว์. ต่อจากนั้น เพื่อให้พระเนตรดวงที่สองเกิดพระมหาสัตว์ จึงตรัสว่า พราหมณ์นั้นมาเพื่อขอกะเราว่า ขอท่านจงให้นัยน์ตาเถิด เราได้ให้นัยน์ตาทั้งสองข้างแก่ พราหมณ์ผู้ขอนั้น ปีติล้นพ้นได้เข้าไปถึงเรา ความโสมนัสไม่น้อยบังเกิดขึ้น ด้วยสัจจวาจานี้ ขอนัยน์ตาดวงที่ สองจงเกิดขึ้นแก่เราเถิด. ในทันใดนั้นเองพระเนตรแม้ข้างที่สองเกิดขึ้น แต่พระเนตรทั้งสองของพระโพธิสัตว์นั้นไม่ เหมือนเดิมทีเดียว. มิใช่เป็นของทิพย์. เพราะไม่สามารถจะทานัยน์ตาที่ให้แก่สักกพราหมณ์เหมือนเดิมได้ อีก. อนึ่ง ทิพยจักษุย่อมไม่เกิดแก่ผู้มีนัยน์ตาถูกทาลายแล้ว. นัยน์ตาเกิดด้วยอานาจแห่งปีติซาบซ่าน อาศัยปีติในทานของตน ของพระโพธิสัตว์นั้น ไม่วิปริตในเบื้องต้น ในท่ามกลางและในที่สุด ตามนัยดังกล่าว แล้ว ท่านเรียกว่าสัจจปารมิตาจักษุ คือจักษุอาศัยสัจบารมี. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เมื่อเราจะให้ก็ดี กาลังให้ก็ดี ให้แล้วก็ดี จิตของเรามิได้เป็นอย่างอื่น เพราะเหตุแห่งพระ โพธิญาณนั่นเอง. ก็ในครั้งนั้น เมื่อพระเนตรเกิดขึ้นแล้วด้วยสัตยาธิษฐานของพระโพธิสัตว์ พวกราชบริษัททั้งหมด ได้ประชุมกันด้วยอานุภาพของท้าวสักกะ. ลาดับนั้น ท้าวสักกะประทับยืนบนอากาศท่ามกลางมหาชน สรรเสริญพระโพธิสัตว์ด้วยคาถา เหล่านี้ ว่า ท่านผู้ยังชาวสีพีให้เจริญ คาถาทั้งหลาย ท่านกล่าวแล้วโดยธรรม พระเนตรทั้งสองของท่าน ปรากฏเป็นของทิพย์. การเห็นโดยรอบ ๑๐๐ โยชน์ ผ่านนอกฝา นอกหิน และภูเขา จงสาเร็จแก่ท่านเถิด. แล้วเสด็จกลับสู่เทวโลก. แม้พระโพธิสัตว์แวดล้อมด้วยมหาชน เสด็จเข้าสู่พระนครด้วยสักการะอันใหญ่ เมื่อตระเตรียม
  • 8. 8 ประตูพระราชมณเฑียรเรียบร้อยแล้ว ประทับนั่งเหนือราชบัลลังก์ ภายใต้เศวตฉัตรที่เขายกขึ้นไว้ ณ มหา มณฑป. เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ชาวพระนคร ชาวชนบทและราชบริษัทผู้ยินดีร่าเริงเบิกบานด้วยการได้ พระเนตรคืนมาเพื่อจะเห็น จึงได้ตรัสคาถาเหล่านี้ ว่า ใครหนอในโลกนี้ เขาขอแล้วไม่ให้สมบัติอันประเสริฐบ้าง เป็นที่รักบ้างของตน. เชิญเถิด ชาวสีพี ทั้งหลายทั้งปวง จงมาประชุมกันดูนัยน์ตาทิพย์ของเราในวันนี้ เถิด. การเห็นโดยรอบร้อยโยชน์ ผ่านนอกฝา นอกหินและภูเขา จงสาเร็จแก่ท่าน. อะไรๆ ในชีวิตนี้ ของสัตว์ทั้งหลาย จะยิ่งไปกว่าการบริจาคไม่มี เราให้จักษุอันเป็นของมนุษย์แล้ว ได้จักษุอันเป็นทิพย์. ดูก่อนชาวสีพีทั้งหลาย พวกท่านเห็นทิพยจักษุนี้ แล้วจงให้ทาน จงบริโภคเถิด. อนึ่ง พวกท่าน ครั้นให้แล้ว บริโภคแล้ว ตามอานุภาพไม่ถูกนินทา จงไปสู่ฐานะอันเป็นแดนสวรรค์เถิด. พระโพธิสัตว์มิได้ทรงแสดงด้วยคาถา ๔ คาถาเหล่านี้ ในขณะนั้นเท่านั้น อันที่จริง พระโพธิสัตว์ ทรงประชุมมหาชนในอุโบสถ ทรงแสดงธรรม แม้ทุกกึ่งเดือนด้วยประการฉะนี้ มหาชนได้สดับพระธรรมนั้น แล้วต่างทาบุญมีทานเป็นต้นแล้วก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก. หมอในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนทเถระในครั้งนี้ . ท้าวสักกะ คือพระอนุรุทธเถระ. บริษัทที่เหลือ คือพุทธบริษัท. พระเจ้าสีวิราช คือพระโลกนาถ. แม้ในสิวิราชจริยานี้ ของพระโพธิสัตว์นั้น ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีทั้งหลายตามสมควร โดยนัย ดังกล่าวแล้วนั่นแล. อนึ่ง พึงทราบคุณานุภาพของพระมหาสัตว์มีอาทิอย่างนี้ คือ ทุกๆ วัน วัตถุอันเป็นไทยธรรมภายนอกที่ไม่เคยพระราชทาน ไม่มีฉันใด เมื่อพระโพธิสัตว์ทรง บริจาคมหาทานอันนับไม่ถ้วนก็ฉันนั้น ไม่ทรงยินดีด้วยมหาทานนั้น ทรงดาริว่า ทาอย่างไรหนอ เราจะพึง บริจาคทานอันเป็นวัตถุภายในได้ เมื่อไรหนอจะพึงมีใครๆ มาหาเราแล้วขอไทยธรรมอันเป็นวัตถุภายใน. หากมีผู้ขออะไรๆ จะพึงขอเนื้ อหทัยของเรา เราจักนาเนื้ อหทัยนั้นออกด้วยหอกแล้วนาหทัยซึ่งมี หยาดเลือดไหลดุจยกดอกบัวพร้อมด้วยก้านขึ้นจากน้าใสแล้วจักให้ หากพึงขอเนื้ อในร่ายกาย เราจักเชือด เนื้ อในร่างกาย ดุจกรีดเยื่อน้าอ้อยงบของตาลด้วยการขูดออก หากพึงขอเลือดเราจะเอาดาบแทงหรือสอด เข้าไปในปากแห่งสรีระแล้วนาเอาภาชนะเข้าไปรองจนเต็มแล้วจักให้เลือด. อนึ่ง หากใครๆ พึงกล่าวว่า ในเรือนของเรา การงานไม่ค่อยเรียบร้อย ท่านจงรับใช้เราที่เรือน นั้นเถิด. เราจักเปลื้องเครื่องทรงของพระราชาออก มอบตนแก่เขาแล้วรับใช้เขา หรือว่าหากใครๆ พึงขอ นัยน์ตาเรา เราจักให้ควักนัยน์ตาดุจนาจาวตาลออกฉะนั้นแล้วให้แก่เขาดังนี้ . พระมหาโพธิสัตว์ทรงถึงความเป็นผู้ชานาญอันใช่ทั่วไปแก่ผู้อื่นอย่างนี้ ทรงเกิดความปริวิตก กว้างขวางเป็นพิเศษ การได้ผู้ขอจักษุแล้วแม้เมื่ออามาตย์และเหล่าบริษัทเป็นผู้ทูลคัดค้าน ก็มิได้ทรงเชื่อฟัง คาของชนเหล่านั้น ทรงเสวยปีติอย่างยิ่งด้วยการปฏิบัติสมควรแก่ความปริวิตกของพระองค์ ทรงตั้ง
  • 9. 9 สัตยาธิษฐานต่อพระพักตร์ของท้าวสักกะ อาศัยความที่การปฏิบัตินั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน เพราะ พระองค์มีพระทัยอิ่มเอิบ ความที่พระเนตรของพระองค์เป็นปกติด้วยสัตยาธิษฐานนั้น และความที่พระเนตร นั้นมีอานุภาพเป็นของทิพย์ ด้วยประการฉะนี้ . จบอรรถกถาสิวิราชจริยาที่ ๘ -----------------------------------------------------