SlideShare a Scribd company logo
1
คามณิจันทชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๗. คามณิจันทชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๕๗)
ว่าด้วยคามณิจันทพราหมณ์
(อาทาสมุขกุมารโพธิสัตว์เห็นกิริยาของพวกลิงแล้ว
จึงได้กล่าวกับอามาตย์คามณิจันทพราหมณ์ว่า)
[๑๙] สัตว์นี้ไม่ฉลาด(ที่จะกะหรือสร้าง)บ้านเรือน
เป็นสัตว์มีปกติหลุกหลิกหน้าย่น มักทาลายสิ่งที่เขาทาไว้แล้วสร้างไว้แล้ว
สัตว์ตระกูลนี้มีธรรมชาติอย่างนี้
[๒๐] ขนอย่างนี้มิใช่ขนของผู้มีจิตประกอบด้วยปัญญา
ลิงนี้เป็นสัตว์ที่ไม่น่าไว้วางใจ พระเจ้าชนสันธะผู้เป็นพระชนกของข้าพเจ้า
ได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้ว่า ธรรมดาลิงไม่รู้เหตุที่ควรหรือไม่ควรอะไรเลย
[๒๑] สัตว์เช่นนั้นจะเลี้ยงดูมารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย หรือพี่สาว
น้องสาวของตนไม่ได้เลย
พระเจ้าทศรถผู้เป็นพระชนกของข้าพเจ้าได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้
คามณิจันทชาดกที่ ๗ จบ
----------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
คามณิจันทชาดก
ว่าด้วย ลิงเป็นสัตว์ไม่รู้จักเหตุ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภการสรรเสริญปัญญา จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า
ภิกษุทั้งหลายนั่งสรรเสริญพระปัญญาของพระทศพลในโรงธรรมสภาว่า
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตมีพระปัญญามาก มีพระปัญญาหนา
มีพระปัญญาร่าเริง มีพระปัญญาไว มีพระปัญญากล้าแข็ง
มีพระปัญญาชาแรกกิเลส ก้าวล่วงโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกด้วยพระปัญญา.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลายมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็มีปัญญาเหมือนกัน
แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล
มีพระราชาพระนามว่า ชนสันธะ ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี.
2
พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชานั้น.
หน้าของพระโพธิสัตว์นั้นเกลี้ยงเกลา บริสุทธิ์ดุจพื้นแว่นทองคา
ถึงความงามอันเลิศยิ่ง ด้วยเหตุนั้น ในวันตั้งชื่อ
ญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อของพระโพธิสัตว์นั้นว่า อาทาสมุขกุมาร.
ภายใน ๗ ปีเท่านั้น พระชนกให้กุมารนั้นศึกษาพระเวททั้ง ๓
และสิ่งทั้งปวงที่จะพึงทาในโลก แล้วได้สวรรคตในเวลาที่พระกุมารนั้นมีอายุ ๗
ขวบ อามาตย์ทั้งหลายได้ถวายพระเพลิงพระศพของพระราชาด้วยบริวารใหญ่โต
แล้วถวายทานเพื่อผู้ตาย ในวันที่ ๗ ประชุมกันที่พระลานหลวงหารือกันว่า
พระกุมารยังเด็กเกินไป ไม่อาจอภิเษกให้ครองราชย์ได้
พวกเราจักทดลองพระกุมารนั้นแล้วจึงค่อยอภิเษก.
วันหนึ่ง อามาตย์เหล่านั้นให้ตกแต่งพระนคร จัดแจงสถานที่วินิจฉัย
ให้แต่งตั้งบัลลังก์แล้วไปเฝ้ าพระกุมารทูลว่า ขอเดชะ
ควรเสด็จไปยังสถานที่วินิจฉัย (ตัดสินความ). พระกุมารรับคาแล้ว
เสด็จไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ประทับนั่งบนบัลลังก์.
ในเวลาที่พระกุมารนั้นประทับนั่งแล้ว
อามาตย์เหล่านั้นให้เอาลิงตัวหนึ่งซึ่งเดิน ๒ เท้าได้
ให้แต่งเป็นเพศอาจารย์ผู้มีวิชาดูที่ แล้วนาไปยังสถานที่วินิจฉัยความ ทูลว่า
ขอเดชะ บุรุษผู้นี้เป็นอาจารย์รู้วิชาดูที่ ในสมัยของพระชนกผู้มหาราช ย่อมรู้คุณ-
โทษในที่มีรัตนะ ๗ ภายในพื้นดินด้วยวิชาอันคล่องแคล่ว
สถานที่ตั้งวังของราชตระกูล บุรุษผู้นี้แหละจัดการ
ขอพระองค์จงสงเคราะห์บุรุษผู้นี้ โปรดสถาปนาไว้ในฐานันดรเถิด.
พระกุมารแลดูลิงนั้นทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน ก็ทรงทราบว่า
ผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ ผู้นี้เป็นลิง แล้วทรงดาริว่า
ธรรมดาลิงย่อมรู้แต่จะทาลายสิ่งที่เขาทาไว้
ย่อมไม่รู้จะทาหรือจัดสิ่งที่เขายังไม่ได้ทา จึงกล่าวคาถาแรกแก่พวกอามาตย์ว่า :-
สัตว์ตัวนี้ไม่ฉลาดที่จะทาเรือนมีปกติ หลุกหลิก หนังที่หน้าย่น
พึงประทุษร้ายของที่เขาทาไว้แล้ว ตระกูลสัตว์นี้ มีอย่างนี้เป็ นธรรมดา.
อามาตย์ทั้งหลายทูลว่า ขอเดชะ จักเป็นดังพระดารัสอย่างนั้น
แล้วนาลิงนั้นออกไป พอล่วงไปวันสองวัน ก็ประดับลิงตัวนั้นแหละอีก
แล้วนาไปยังที่วินิจฉัยอรรถคดี กราบทูลว่า ขอเดชะ
ผู้นี้เป็นอามาตย์ผู้วินิจฉัยอรรถคดี เมื่อครั้งพระชนกผู้มหาราช
กระบวนการวินิจฉัยของท่านผู้นี้เป็ นไปเรียบร้อยดี
ควรที่พระองค์จะทรงอนุเคราะห์ท่านผู้นี้ ให้ทาหน้าที่วินิจฉัยอรรถคดีต่อไป.
พระกุมารแลดูแล้วรู้ว่า คนที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์
มีความคิดย่อมไม่มีขนเห็นปานนี้ แม้ผู้นี้คงเป็นลิงที่ไม่มีความคิด
3
จักไม่สามารถทากิจในการวินิจฉัยอรรถคดีได้ จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-
ขนอย่างนี้ ไม่ใช่ขนของสัตว์ที่มีความคิด
ลิงตัวนี้จะทาให้ผู้อื่นปลอดโปร่งใจไม่ได้
พระราชบิดาของเราทรงพระนามว่าชนสันธะ ได้ตรัสสอนไว้ว่า
ธรรมดาลิงย่อมไม่รู้จักเหตุอันใดอันหนึ่ง.
อามาตย์ทั้งหลายได้ฟังพระดารัส แม้นี้แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ
จักเป็ นอย่างนั้น พระเจ้าข้า แล้วนาลิงนั้นออกไป วันหนึ่ง
ประดับประดาลิงตัวนั้นแหละ แล้วนามายังสถานที่วินิจฉัยอรรถคดีอีก กราบทูลว่า
ขอเดชะ เมื่อครั้งพระชนกผู้มหาราช บุรุษผู้นี้ได้บาเพ็ญหน้าที่บารุงบิดามารดา
เป็นผู้กระทาความอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล
พระองค์สมควรอนุเคราะห์บุรุษผู้นี้.
พระกุมารมองดูลิงตัวนั้นอีกแล้ว ทรงดาริว่า
ธรรมดาลิงทั้งหลายมีจิตใจกลับกลอก ไม่สามารถทาการงานเห็นปานนี้ได้
จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
สัตว์เช่นนั้นจะพึงเลี้ยงดู บิดามารดาหรือพี่ชายพี่สาวของตนไม่ได้
คาสอนนี้ พระเจ้าทศรถผู้ชนกของเราสั่งสอนไว้.
จริงอยู่ พระชนกของพระกุมารนั้น เขาเรียกว่าพระเจ้าชนสันธะ
เพราะทรงสงเคราะห์ชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ เรียกว่าพระเจ้าทศรถ
เพราะทรงกระทากิจที่จะพึงกระทาด้วยรถ ๑๐ คัน
ด้วยรถของพระองค์เพียงคันเดียวเท่านั้น.
เพราะได้สดับโอวาทเห็นปานนั้นจากสานักของพระชนกพระองค์นั้น
พระกุมารจึงตรัสอย่างนั้น.
อามาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า จักเป็นดังพระดารัสอย่างนั้น พระเจ้าข้า
แล้วนาลิงนั้นออกไป ได้ตกลงกันว่า
พระกุมารเป็นบัณฑิตจักสามารถครองราชสมบัติได้
จึงอภิเษกพระโพธิสัตว์ให้ครองราชสมบัติ
แล้วให้เที่ยวตีกลองป่าวร้องไปในพระนครว่า
เป็นอาณาจักรของพระเจ้าอาทาสมุขแล้ว.
จาเดิมแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม
โดยสม่าเสมอ แม้ความที่พระเจ้าอาทาสมุขนั้นเป็ นบัณฑิตเฉลียวฉลาด
ก็แพร่ไปตลอดทั่วชมพูทวีป
ก็เพื่อจะแสดงความที่พระองค์เป็นบัณฑิต ได้นาเอาเรื่อง ๑๔
เรื่องนี้มากล่าวไว้ คือ :-
เรื่องโค ๑ เรื่องบุตร ๑ เรื่องม้า ๑ เรื่องช่างสาน ๑ เรื่องนายบ้านส่วย ๑
เรื่องหญิงแพศยา ๑ เรื่องหญิงรุ่นสาว ๑ เรื่องงู ๑ เรื่องเนื้อ ๑
4
เรื่องนกกระทา ๑ เรื่องรุกขเทวดา ๑ เรื่องพระยานาค ๑
เรื่องดาบสมีตบะ ๑ เรื่องพราหมณ์มาณพ ๑
ในนิทาน ๑๔ เรื่องนั้น มีเรื่องราว ตามลาดับดังต่อไปนี้
เมื่อพระโพธิสัตว์อภิเษกอยู่ในราชสมบัตินั้น
บุรุษผู้หนึ่งชื่อคามณิจันท์ ผู้เคยเป็นบาทมูลิกาของพระเจ้าชนสันธะ คิดอย่างนี้ว่า
ธรรมดาว่าความเป็นพระราชานี้ย่อมจะงดงามกับคนผู้มีวัยเสมอกัน
ส่วนเราเป็นคนแก่จักไม่เหมาะที่จะบารุงพระกุมารหนุ่ม
เราจักทากสิกรรมเลี้ยงชีวิตอยู่ในชนบท.
เขาจึงออกจากพระนครไปยังที่ไกลประมาณ ๓ โยชน์
สาเร็จการอยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง แต่เขาไม่มีแม้แต่โคสาหรับจะทากสิกรรม.
เมื่อฝนตก เขาจึงขอยืมโค ๒ ตัว กับสหายคนหนึ่งไถนาอยู่
ตลอดทั้งวันแล้วให้โคกินหญ้า แล้วได้ไปยังเรือนเพื่อจะมอบโคทั้ง ๒
ตัวให้กับเจ้าของ. ขณะนั้น
เจ้าของโคกาลังนั่งบริโภคอาหารอยู่กลางบ้านพร้อมกับภรรยา.
ฝ่ายโคทั้งสองตัวก็เข้าไปยังบ้านด้วยความคุ้นเคย. เมื่อโคเหล่านั้นเข้าไป
สามียกถาด ภรรยาเอาถาดออกไป.
นายคามณิจันท์มองดูด้วยคิดว่าสามีภรรยาทั้งสองนี้จะเชื้อเชิญเรารับประทานข้าว
จึงยังไม่มอบโคให้รีบกลับไปเสีย.
ในเวลากลางคืน พวกโจรตัดคอกลักโคเหล่านั้นแหละไปเสีย.
เจ้าของโคเข้าไปยังคอกโคแต่เช้าตรู่ ไม่เห็นโคเหล่านั้น
แม้จะรู้อยู่ว่าถูกพวกโจรลักไป ก็เข้าไปหานายคามณิจันท์นั้นด้วยตั้งใจว่า
จักปรับเอาสินไหมแก่นายคามณิจันท์ จึงกล่าวว่า ผู้เจริญ
ท่านจงมอบโคทั้งสองให้เรา. นายคามณิจันท์ว่า โคเข้าบ้านไปแล้วมิใช่หรือ.
เจ้าของโคว่า ท่านมอบโคเหล่านั้นแก่เราแล้วหรือ. นายคามณิจันท์ว่า
ยังไม่ได้มอบ. เจ้าของโคกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้เป็ นความอาญาสาหรับท่านๆ
จงมา
จริงอยู่ ในชนบทเหล่านั้น เมื่อใครๆ
ยกเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นจะเป็ นก้อนกรวด หรือชิ้นกระเบื้องก็ตาม แล้วกล่าวว่า
นี้เป็นความอาญาสาหรับท่าน ท่านจงมา ดังนี้ ผู้ใดไม่ไปก็ย่อมลงอาญาแก่ผู้นั้น
เพราะฉะนั้น นายคามณิจันท์นั้น พอได้ฟังว่าเป็ นความอาญา ก็ออกไปทันที.
เขาไปยังราชสกุลกับเจ้าของโคนั้น
ไปถึงบ้านอันเป็ นที่อยู่ของสหายเข้าบ้านหนึ่ง จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ
ข้าพเจ้าหิวจัด ท่านจงรออยู่ที่นี้แหละจนกว่าจะเข้าไปยังบ้าน
รับประทานอาหารแล้วกลับมา ว่าแล้วก็ได้ไปยังบ้านของสหาย.
ส่วนสหายของเขาไม่อยู่บ้าน หญิงสหายเห็นเข้าก็กล่าวว่า นาย
5
อาหารที่หุงต้มสุกไม่มี ท่านจงรอสักครู่ ดิฉันจักหุงให้ท่านเดี๋ยวนี้แหละ
แล้วรีบขึ้นฉางข้าวสารทางพะอง จึงพลัดตกไปที่พื้นดิน ครรภ์ของนางพอดีได้ ๗
เดือนก็ตกไปในขณะนั้นนั่นเอง
ขณะนั้น สามีของนางกลับมาเห็นดังนั้น จึงกล่าวว่า
ท่านประหารภรรยาของเราทาให้ครรภ์ตก นี้เป็นความอาญาของท่าน
นางจงมาแล้วพานายคามณิจันท์นั้นออกไป. จาเดิมแต่นั้น
คนทั้งสองเดินไปให้นายคามณิจันท์อยู่กลาง.
ครั้งนั้น ที่ประตูบ้านแห่งหนึ่ง
คนเลี้ยงม้าผู้หนึ่งไม่สามารถต้อนม้าให้กลับบ้าน.
ฝ่ายม้าก็เดินไปในสานักของคนเหล่านั้น
คนเลี้ยงม้าเห็นนายคามณิจันท์จึงกล่าวว่า ลุงคามณิจันท์ช่วยเอาอะไรๆ
ปาม้าตัวนี้ให้กลับทีเถิด. นายคามณิจันท์จึงเอาหินก้อนหนึ่งขว้างไป
ก้อนหินนั้นกระทบขาม้าหักเหมือนท่อนไม้ละหุ่งฉะนั้น. ลาดับนั้น
คนเลี้ยงม้าได้กล่าวกะนายคามณิจันท์ว่า ท่านทาขาม้าของเราหัก
นี้เป็นความอาญาสาหรับท่านแล้วจับตัวไป.
ฝ่ายนายคามณิจันท์นั้น เมื่อถูกคนทั้ง ๓ นาไป จึงคิดว่า
คนเหล่านี้จักแสดงเราแก่พระราชา แม้มูลค่าราคาโค เราก็ไม่อาจให้ได้
จะป่วยกล่าวใยถึงอาญาที่ทาให้ครรภ์ตก ก็เราจักได้มูลค่าม้ามาแต่ไหน
เราตายเสียประเสริฐกว่า.
เขาเดินไปได้เห็นภูเขาลูกหนึ่งซึ่งมีหน้าผาชันข้างหนึ่ง ณ
ที่ใกล้ทางในดงระหว่างทาง ช่างสาน ๒
คนพ่อลูกสานเสื่อลาแพนอยู่ในร่มเงาของภูเขานั้น. นายคามณิจันท์กล่าวว่า
ข้าพเจ้าจะถ่ายอุจจาระ ท่านทั้งหลายจงรออยู่ที่นี้แหละสักครู่ จนกว่าข้าพเจ้าจะมา
แล้วขึ้นไปยังภูเขานั้น กระโดดลงไปทางด้านหน้าผา
ตกลงไปบนหลังช่างสานผู้เป็นพ่อ ช่างสานผู้เป็นพ่อนั้นถึงแก่ความตายทันที
นายคามณิจันท์ไม่ตาย ลุกขึ้นได้ก็ไปเสีย. ช่างสานผู้บุตรกล่าวว่า
ท่านเป็นโจรฆ่าพ่อฉัน นี้เป็นความอาญาสาหรับท่าน
แล้วจับมือนายคามณิจันท์ลากออกจากพุ่มไม้ เมื่อนายคามณิจันท์พูดว่า
นี่อะไรกัน จึงกล่าวว่า เจ้าเป็ นโจรฆ่าพ่อของข้า. ตั้งแต่นั้นมา ชนทั้ง ๔ คน
ให้นายคามณิจันท์อยู่กลางพากันห้อมล้อมไป.
ครั้นไปถึงประตูบ้านอีกแห่งหนึ่ง
นายบ้านส่วยคนหนึ่งเห็นนายคามณิจันท์ จึงกล่าวว่า ลุงคามณิจันท์
ท่านจะไปไหน? เมื่อนายคามณิจันท์กล่าวว่า จะไปเฝ้ าพระราชา จึงกล่าวว่า
ท่านจักไปเฝ้ าพระราชาจริงแล้ว ข้าพเจ้าประสงค์จะถวายสาสน์แด่พระราชา
ท่านจักนาไปได้ไหม. นายคามณิจันท์ว่า ได้ฉันจักนาไปให้.
6
นายบ้านส่วยกล่าวว่า เมื่อก่อนตามปกติ ข้าพเจ้ามีรูปงาม มีทรัพย์
สมบูรณ์ด้วยยศศักดิ์ ไม่มีโรค มาบัดนี้ ข้าพเจ้าเป็ นคนเข็ญใจ เกิดโรคผอมเหลือง
ท่านจงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้นเป็นเพราะเหตุไร?
ได้ยินว่าพระราชาเป็ นผู้ฉลาด พระองค์จักตรัสบอกแก่ท่าน
ท่านจงบอกพระดารัสของพระองค์แก่ข้าพเจ้าด้วย. นายคามณิจันท์รับว่าได้.
ลาดับนั้น หญิงคณิกาคนหนึ่งอยู่ที่ประตูบ้านแห่งหนึ่งข้างหน้า
เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงกล่าวว่า ลุงคามณิจันท์ ท่านจะไปไหน?
เมื่อนายคามณิจันท์บอกว่าจะไปเฝ้ าพระราชา จึงกล่าวว่า เขาลือว่า
พระราชาเป็ นบัณฑิตผู้ฉลาด ท่านจงนาข่าวสาสน์ของเราไปด้วย
แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า เมื่อก่อน ข้าพเจ้าได้ค่าจ้างมาก มาบัดนี้ ไม่ได้แม้แต่หมากพลู
ใครๆ ผู้จะมายังสานักของเราไม่มีเลย ท่านจงทูลถามพระราชาว่า
ในเรื่องนั้นเป็ นเพราะเหตุไร? แล้วพึงกลับมาบอกแก่ข้าพเจ้า.
ลาดับนั้น หญิงสาวคนหนึ่งที่ประตูบ้านแห่งหนึ่งข้างหน้า
เห็นนายคามณิจันท์นั้นแล้วได้ถามเหมือนอย่างนั้น แล้วกล่าวว่า
ข้าพเจ้าไม่อาจอยู่ในเรือนของสามี ทั้งไม่อาจอยู่ในเรือนของตระกูล
ท่านจงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็ นเพราะเหตุอะไร?
แล้วพึงบอกแก่ข้าพเจ้า.
ครั้นในกาลต่อมาจากนั้น มีงูอยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ใกล้ทางใหญ่
เห็นนายคามณิจันท์นั้นจึงถามว่า ท่านคามณิจันท์ จะไปไหน? เมื่อเขาบอกว่า
จะไปเฝ้ าพระราชา จึงกล่าวว่า ข่าวว่า พระราชาเป็นบัณฑิต
ท่านจงนาข่าวสาสน์ของข้าพเจ้าไปด้วย แล้วกล่าวว่า ในเวลาไปหากิน
ข้าพเจ้าถูกความหิวแผดเผา มีร่างกายเหี่ยวแห้ง เมื่อจะออกจากจอมปลวก
ร่างกายเต็มคับปล่อง เคลื่อนตัวออกด้วยความยากลาบาก
แต่ครั้นเที่ยวหากินแล้วกลับมา เป็นผู้อิ่มหนา มีร่างกายอ้วนพี เมื่อจะเข้าไป
ไม่กระทบกระทั่งข้างปล่องเลย เข้าไปอย่างง่ายดาย ท่านจงทูลถามพระราชาว่า
ในเรื่องนั้น เป็ นเพราะเหตุไร? แล้วพึงบอกแก่ข้าพเจ้า.
ลาดับนั้น เนื้อตัวหนึ่งข้างหน้าเห็นนายคามณิจันท์นั้น
จึงถามเหมือนอย่างนั้น แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่อาจไปกินหญ้าในที่อื่นได้
สามารถกินอยู่ในที่โคนต้นไม้แห่งเดียวเท่านั้น ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า
ในเรื่องนั้น เป็ นเพราะเหตุไร?
ครั้นต่อมา มีนกกระทาตัวหนึ่งข้างหน้า เห็นนายคามณิจันท์นั้นแล้ว
จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าจับอยู่ที่จอมปลวกแห่งเดียวเท่านั้น
สามารถอยู่ได้อย่างสบายใจ จับอยู่ที่อื่น ไม่สามารถจะอยู่ได้
ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร?
ลาดับนั้น รุกขเทวดาตนหนึ่งข้างหน้า
7
เห็นนายคามณิจันท์นั้นจึงถามว่า ดูก่อนคามณิจันท์ ท่านจะไปไหน?
เมื่อเขาบอกว่า จะไปเฝ้ าพระราชา จึงกล่าวว่า เขาเล่าลือกันว่า
พระราชาเป็ นผู้ฉลาด เมื่อก่อนเราได้สักการะ มาบัดนี้
แม้มาตรว่าใบไม้อ่อนสักกามือก็ยังไม่ได้ ท่านช่วยทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น
เป็นเพราะเหตุไร?
ในกาลต่อจากนั้น พระยานาคตัวหนึ่งเห็นนายคามณิจันท์
จึงถามเหมือนอย่างนั้น แล้วกล่าวว่า ได้ยินว่า พระราชาเป็นบัณฑิต
เมื่อก่อนน้าในสระนี้ใส มีสีเหมือนแก้วมณี บัดนี้ ขุ่นมัวมีแหนปกคลุม
ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร?
ที่นั้น ดาบสทั้งหลายผู้อยู่ในอารามแห่งหนึ่ง ในที่ใกล้พระนคร
เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงถามเหมือนอย่างนั้นแล้วกล่าวว่า
เขาว่าพระราชาเป็ นบัณฑิต เมื่อก่อนผลาผลทั้งหลายในอารามนี้อร่อย
บัดนี้เฝือนฝาด ไม่อร่อย ไม่เป็นรส ท่านช่วยทูลถามพระราชาว่า
ในเรื่องนี้เป็ นเพราะเหตุไร?
ข้างหน้าแต่นั้นไป มีพราหมณ์มาณพอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง
ในที่ใกล้ประตูพระนคร เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงกล่าวว่า คามณิจันท์ผู้เจริญ
ท่านจะไปไหน เมื่อเขากล่าวว่า จะไปเฝ้ าพระราชา จึงพากันกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น
ท่านช่วยถือเอาข่าวสาสน์ของพวกเราไปด้วย เพราะว่า เมื่อก่อน
ที่ที่พวกเราร่าเรียนเอาแล้วย่อมปรากฎ แต่มาบัดนี้ ไม่ทรงจาอยู่
เหมือนน้าในหม้อทะลุ ย่อมปรากฎเป็นเหมือนความมืดมนอนธการ
ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนี้เป็ นเพราะเหตุไร?
นายคามณิจันท์รับเอาข่าวสาสน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้แล้วได้ไปเฝ้ าพระราชา.
พระราชาได้เสด็จประทับนั่ง ณ สถานที่ที่วินิจฉัยอรรถคดี.
เจ้าของโคได้พานายคามณิจันท์เข้าเฝ้ าพระราชา.
พระราชาพอทรงเห็นนายคามณิจันท์ก็จาได้ ทรงพระดาริว่า
นายคามณิจันท์เป็นอุปัฏฐากแห่งพระชนกของเรา
พอยกเราขึ้นแล้วก็หลีกเลี่ยงไปตลอดเวลาประมาณเท่านี้ เขาอยู่ที่ไหนหนอ
จึงตรัสถาม ท่านคามณิจันท์ผู้เจริญ ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ ท่านอยู่ที่ไหน?
เป็นเวลานานแล้วไม่ปรากฎ ท่านมาด้วยต้องการอะไร.
นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า
จาเดิมแต่พระชนกของพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว ข้าพระองค์ไปอยู่ชนบท
กระทากสิกรรมเลี้ยงชีพ แต่นั้น
บุรุษผู้นี้ได้แสดงความอาญาเพราะเหตุเกี่ยวกับคดีเรื่องโค
จึงคร่าตัวข้าพระองค์มาเฝ้ าพระองค์พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า ท่านไม่ถูกคร่าตัวมาก็คงไม่มา เพราะเหตุนั้น
8
ความที่ท่านถูกคร่าตัวมานั่นแหละเป็ นความดีงาม บัดนี้ เราจะเห็นบุรุษผู้นั้น
บุรุษผู้นั้นอยู่ที่ไหน. นายคามณิจันท์กราบทูลว่า คนนี้พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามว่า ผู้เจริญ ได้ยินว่า
ท่านฟ้ องความอาญาแก่นายคามณิจันท์ของเราจริงหรือ. เจ้าของโคทูลว่า
จริงพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่าเพราะเหตุไร. เจ้าของโคทูลว่า
เพราะนายคามณิจันท์นี้ไม่คืนโค ๒ ตัวให้แก่ข้าพระองค์พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า เขาว่าจริงหรือจันทะ?
นายคามณิจันท์ทูลว่า ขอเดชะ
ถ้าอย่างนั้นขอพระองค์โปรดทรงสดับต่อข้าพระองค์เถิด
แล้วกราบทูลเรื่องราวทั้งปวงให้ทรงทราบ. พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น
จึงตรัสถามเจ้าของโคว่า ผู้เจริญ เมื่อโคเข้าบ้านของท่าน ท่านเห็นหรือเปล่า?
เจ้าของโคทูลว่า ไม่เห็น พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า ท่านไม่เคยได้ยินคนเขาพูดถึงเราว่า
พระราชาพระนามว่าอาทาสมุข บ้างหรือ ท่านอย่าหวาดระแวงเลย จงบอกมาเถิด.
เจ้าของโคทูลว่า ได้เห็นพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า
คามณิจันท์ผู้เจริญ เพราะท่านไม่มอบโคให้เจ้าของ
ค่าโคปรับเป็นสินไหมสาหรับท่าน แต่บุรุษนี้ทั้งที่เห็น พูดมุสาวาททั้งรู้ ว่าไม่เห็น
เพราะฉะนั้น ท่านนั่นแหละเป็ นผู้ประกอบการควักนัยน์ตาทั้งสองข้างของบุรุษผู้นี้
และภรรยาของบุรุษผู้นี้ด้วย ส่วนตนเองให้กหาปณะ ๒๔
กหาปณะเป็นมูลค่าราคาโค. เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว
นักการก็พาตัวเจ้าของโคออกไปข้างนอก เจ้าของโคนั้นคิดว่า
เมื่อเขาควักลูกตาเสียแล้ว เราจักเอากหาปณะไปทาอะไร
จึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์ แล้วกล่าวว่า ท่านคามณิจันท์ผู้เป็นนาย
กหาปณะที่เป็นมูลค่าค่าโคจงเป็นของท่านเถิด และจงถือเอากหาปณะเหล่านี้ด้วย
แล้วให้กหาปณะทั้งหลาย แม้อื่นๆ แล้วหนีไป.
ลาดับนั้น บุรุษคนที่ ๒ ทูลว่า ขอเดชะ
นายคามณิจันท์นี้ประหารภรรยาของข้าพระองค์ ทาให้ครรภ์ตกไป.
พระราชาตรัสถามว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์ทูลว่า ข้าแต่มหาราช
ขอพระองค์โปรดทรงสดับ แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบโดยพิสดาร.
ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามนายคามณิจันท์นั้นว่า
ก็ท่านประหารภรรยาของบุรุษผู้นี้ ทาให้ครรภ์ตกไปหรือ? นายคามณิจันท์ทูลว่า
ขอเดชะ ข้าพระองค์มิได้ทาให้ตกไปพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามบุรุษนั้นว่า
ผู้เจริญ ความที่นายคามณิจันท์นี้ประหารแล้ว ทาครรภ์ให้ตกไป
ท่านอาจให้เกิดมีขึ้นได้หรือไม่? บุรุษนั้นทูลว่า ไม่อาจ พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามเขาว่า บัดนี้ ท่านจะกระทาอย่างไร? บุรุษนั้นทูลว่า
9
ข้าพระองค์ต้องการบุตรคืนมาพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ
ถ้าอย่างนั้น ท่านเอาภรรยาของบุรุษผู้นี้ไปไว้ในเรือนของท่าน
ในคราวที่นางคลอดบุตร จงนาบุตรนั้นมาให้บุรุษผู้นี้.
ฝ่ายบุรุษผู้นั้นจึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์ แล้วกล่าวว่า
นายท่านอย่าทาลายเรือนของเราเลย ได้ให้กหาปณะแล้วหลีกหนีไป.
ลาดับนั้น บุรุษคนที่ ๓ มากราบทูลว่า ขอเดชะ
นายคามณิจันท์นี้ประหารทาเท้าม้าของข้าพระองค์หัก พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามว่า เขาว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราช ขอได้โปรดสดับ แล้วกราบทูลประพฤติเหตุนั้นโดยพิสดาร.
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามคนเลี้ยงม้าว่า เขาว่าท่านพูดว่า
จงขว้างม้าให้กลับ จริงหรือ? คนเลี้ยงม้านั้นทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ไม่ได้พูด
พระเจ้าข้า. เขาถูกตรัสถามซ้าจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์พูดพระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสเรียกนายคามณิจันท์มาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ บุรุษผู้นี้พูดแล้ว
กลับกล่าวมุสาวาทว่าไม่ได้พูด
ท่านจงตัดลิ้นของเขาแล้วเอาของที่มีของเราเป็ นมูลค่าม้าให้ไปพันหนึ่ง.
คนเลี้ยงม้ากลับให้กหาปณะ แม้อื่นอีกแล้วหลบหนีไป.
ลาดับนั้น บุตรช่างสานกราบทูลว่า ขอเดชะ
นายคามณิจันท์นี้เป็ นโจรฆ่าบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสถามว่า เขาว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ขอเดชะ
พระองค์โปรดทรงสดับ แล้วกราบทูลเหตุนั้นให้ทรงทราบโดยพิสดาร.
พระราชารับสั่งให้เรียกช่างสานมาแล้วตรัสถามว่า บัดนี้ ท่านจะกระทาอย่างไร?
ช่างสานทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ขอบิดาของข้าพระองค์คืนมา พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ การได้บิดาของช่างสานนี้คืนมาจึงจะควร
ก็คนตายแล้วไม่อาจนามาอีกได้
ท่านจงนามารดาของช่างสานคนนี้มาไว้ในเรือนท่านแล้ว เป็นบิดาของช่างสานนี้.
บุตรช่างสานกล่าวว่า นาย ท่านอย่าทาลายเรือนแห่งบิดาผู้ตายแล้วของข้าพเจ้าเลย
ได้ให้กหาปนะแก่นายคามณิจันท์แล้ว หลบหนีไป
นายคามณิจันท์ได้ประสบชัยชนะเฉพาะวันนี้ มีจิตยินดี
กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ มีคนบางคนส่งสาสน์มาแก่พระองค์
ข้าพระองค์ขอกราบทูลสาสน์นั้นแก่พระองค์. พระราชาตรัสว่า จงบอกมาเถิด
จันทะ.
นายคามณิจันท์จึงกราบทูลทีละเรื่องๆ โดยย้อนลาดับ
เริ่มสาสน์ของพวกพราหมณ์มาณพเป็ นเรื่องต้น.
พระราชาได้ทรงวิสัชนาไปโดยลาดับ ทรงวิสัชนาอย่างไร?
คือ ก่อนอื่นทรงสดับสาสน์ที่ ๑ ได้ตรัสว่า เมื่อก่อน
10
ได้มีไก่ซึ่งขันเป็ นเวลาอยู่ในที่เป็ นที่อยู่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้น
เมื่อพราหมณ์มาณพเหล่านั้นลุกขึ้นตามเสียงไก่นั้น
แล้วเรียนมนต์ทาการสังวัธยายอยู่ จนอรุณขึ้นด้วยเหตุนั้น
มนต์ที่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้นเล่าเรียนมาเอาไว้ก็ไม่เสื่อม มาบัดนี้
มีไก่ซึ่งขันไม่เป็ นเวลาอยู่ในที่อยู่ของพราหมณ์มาณพเหล่านั้น ไก่ตัวนั้น
ขันดึกเกินไปบ้าง จวนสว่างบ้าง
พวกพราหมณ์มาณพลุกขึ้นตามเสียงของไก่นั้นซึ่งขันดึกเกินไป
เล่าเรียนมนต์ก็ง่วงนอน กาลังทาการสังวัธยายก็หลับไปอีก
ครั้นลุกขึ้นตามเสียงของไก่ซึ่งขันในเวลาจวนจะสว่าง ก็สังวัธยายไม่ได้
ด้วยเหตุนั้น มนต์ที่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้นเล่าเรียนไว้ จึงไม่ปรากฎ.
แม้เรื่องที่ ๒ ครั้นได้ทรงสดับแล้ว จึงตรัสว่า
เมื่อก่อนดาบสเหล่านั้นพากันกระทาสมณธรรม
ได้เป็นผู้ขวนขวายประกอบการบริกรรมกสิณ มาบัดนี้พากันละทิ้งสมณธรรมเสีย
ขวนขวายประกอบในกิจที่ไม่ควรกระทา
ให้ผลาผลที่เกิดขึ้นในอารามแก่พวกอุปัฏฐาก สาเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ
ด้วยการรับก้อนข้าวและให้ก้อนข้าวตอบแทน ด้วยเหตุนั้น
ผลาผลทั้งหลายของดาบสเหล่านั้นจึงไม่อร่อย ก็ถ้าดาบสเหล่านั้น
จักเป็นผู้ขวนขวายประกอบสมณธรรมอีก เหมือนในกาลก่อน
ผลาผลทั้งหลายของดาบสเหล่านั้น จักกลับมีรสอร่อยอีก
ดาบสเหล่านั้นย่อมไม่รู้ว่าราชตระกูลเป็ นบัณฑิต
ท่านจงบอกให้ดาบสเหล่านั้นกระทาสมณธรรม.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๓ จึงตรัสว่า
พระยานาคเหล่านั้นกระทาการทะเลาะกันแลกัน ด้วยเหตุนั้น น้านั้นจึงขุ่นมัว
ถ้าพระยานาคเหล่านั้นจักสมัครสมานกันเหมือนเมื่อก่อน จักกลับเป็นน้าใสอีก.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๔ จึงตรัสว่า เมื่อก่อน
รุกขเทวดานั้นรักษาพวกมนุษย์ผู้เดินทางไปในดง เพราะฉะนั้น
จึงได้พลีกรรมมีประการต่างๆ มาบัดนี้ ไม่กระทาการอารักขา เพราะฉะนั้น
จึงไม่ได้พลีกรรม ถ้าจักกระทาการอารักขา เหมือนในกาลก่อน
ก็จักเป็นผู้ได้ลาภอันเลิศอีก เทวดานั้นไม่รู้ว่าพระราชาเป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้น
ท่านจงบอกให้เทวดานั้นอารักขาพวกมนุษย์ผู้ขึ้นดงเถิด.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๕ จึงตรัสว่า นกกระทานั้นจับที่เชิงจอมปลวกนั้น
จึงขันอย่างอิ่มเอิบใจ ภายใต้จอมปลวกนั้น มีหม้อขุมทรัพย์ใหญ่
ท่านจงขุดจอมปลวกเอาขุมทรัพย์นั้นเถิด.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๖ จึงตรัสว่า
เนื้อตัวนั้นสามารถกินหญ้าที่โคนต้นไม้ใด เบื้องบนต้นไม้นั้น มีรวงผึ้งใหญ่
11
เนื้อตัวนั้นติดหญ้าที่เปื้อนน้าผึ้ง จึงไม่อาจเคี้ยวกินหญ้าอื่น
ท่านจงนารวงผึ้งนั้นไปแล้วส่งรสหวานชั้นเลิศมาให้เรา ที่เหลือจากนั้น
เอาไว้บริโภคใช้สอยสาหรับตน.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๗ จึงตรัสว่า
ภายใต้จอมปลวกที่งูอยู่นั้นมีขุมทรัพย์หม้อใหญ่ งูตัวนั้นรักษาขุมทรัพย์นั้นอยู่
ในเวลาจะออกเพราะความโลภในทรัพย์ จึงทาสรีระให้หย่อน ติดนั่นติดนี่ออกไป
ครั้นได้เหยื่อแล้ว ไม่ติดขัดเลย รีบเข้าไปโดยเร็ว เพราะความเสน่หาในทรัพย์
ท่านจงขุดเอาขุมทรัพย์นั้นเถิด.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๘ จึงตรัสว่า
ในระหว่างบ้านเป็นที่อยู่ของสามีและบิดามารดาของหญิงรุ่นสาวนั้น
มีชายชู้อยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง นางระลึกถึงชายชู้นั้น เพราะความเสน่หาในชายชู้นั้น
จึงไม่อาจอยู่ในเรือนสามี พูดว่า ฉันจักไปเยี่ยมบิดามารดา
แล้วก็ไปอยู่ในเรือนชายชู้ ๒-๓ วัน แล้วจึงไปเรือนบิดามารดา
อยู่ที่เรือนบิดามารดานั้น ๒-๓ วันหวนระลึกถึงชายชู้ขึ้นมา จึงพูดว่า
ฉันจักไปเรือนสามี ก็หวนไปเรือนของชายชู้นั่นแหละ ท่านจงบอกหญิงคนนั้นว่า
พระราชกาหนดกฏหมายมีอยู่ แล้วจงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า นัยว่า
นางจงอยู่เฉพาะในเรือนของสามีเท่านั้น
ถ้าพระราชารับสั่งให้จับท่านชีวิตของท่านก็จะไม่มีอยู่
ควรกระทาความไม่ประมาท.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๙ จึงตรัสว่า เมื่อก่อน
หญิงคณิกาคนนั้นรับเอาค่าจ้างจากมือของชายคนหนึ่งแล้ว
ก็อยู่ประจากะชายคนนั้น ไม่รับเอาจากมือของคนอื่นอีก ด้วยเหตุนั้น ในครั้งก่อน
ค่าจ้างจึงเกิดขึ้นแก่หญิงคณิกาคนนั้นอย่างมากมาย มาบัดนี้
หญิงคณิกานั้นละทิ้งธรรมของตนเสีย
ไม่ชาระค่าจ้างที่ตนรับจากมือของชายคนหนึ่งให้เสร็จก่อน
ไปรับจากมือของชายอื่น ไม่ให้โอกาสแก่ชายคนแรก
กลับให้โอกาสแก่ชายคนหลัง ด้วยเหตุนั้น ค่าจ้างจึงไม่เกิดขึ้นแก่หญิงคณิกานั้น
ใครๆ จึงไม่ไปหาหญิงคณิกานั้น ถ้าหากจักตั้งอยู่ในธรรมดาของตน
ค่าจ้างจักมีเช่นกับเมื่อก่อนทีเดียว
ท่านจงบอกหญิงคณิกานั้นให้ตั้งอยู่ในธรรมของตน.
ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๑๐ จึงตรัสว่า นายบ้านส่วยคนนั้น
เมื่อก่อนวินิจฉัยอรรถคดีโดยธรรมโดยสม่าเสมอ ด้วยเหตุนั้นจึงเป็ นที่รัก
เป็นที่ชอบใจของคนทั้งหลาย
และพวกคนที่รักใคร่ก็นาบรรณาการเป็ นอันมากมาให้แก่เขา ด้วยเหตุนั้น
เขาจึงเป็ นผู้มีรูปงาม มีทรัพย์มาก สมบูรณ์ด้วยยศ มาบัดนี้
12
เป็นผู้เห็นแก่สินบนวินิจฉัยอรรถคดีโดยไม่เป็นธรรม ด้วยเหตุนั้น
จึงเป็ นคนกาพร้า เข็ญใจ ถูกโรคผอมเหลืองครอบงา
ถ้าเขาจักวินิจฉัยอรรถคดีโดยธรรมเหมือนเมื่อก่อน
เขาจักกลับเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีก เขาไม่รู้ว่ามีพระราชาอยู่
ท่านจงบอกเขาให้วินิจฉัยอรรถคดีโดยธรรมเถิด.
นายคามณิจันท์ได้กราบทูลสาสน์มีประมาณเท่านี้ให้พระราชาทรงทรา
บด้วยประการฉะนี้.
พระราชาก็ได้ทรงพยากรณ์ปัญหานั้นทั้งหมดด้วยปัญญาของพระองค์
ประดุจพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ให้พระราชทรัพย์มากมายแก่นายคามณิจันท์
ทรงกระทาบ้านที่อยู่ของเขาให้เป็นพรหมไทย พระราชทานเฉพาะเขาเท่านั้น
แล้วส่งกลับไป.
นายคามณิจันท์นั้นออกจากพระนคร
แล้วบอกข่าวสาสน์สิ้นที่พระโพธิสัตว์ประทานมาแก่พราหมณ์มาณพ ดาบส
พระยานาค และรุกขเทวดา เสร็จแล้วถือเอาขุมทรัพย์จากสถานที่พักนกกระทาจับ
แล้วไปเอารวงผึ้งจากต้นไม้ในสถานที่เนื้อกินหญ้า ส่งน้าผึ้งไปถวายพระราชา
แล้วไปขุดจอมปลวกในสถานที่อยู่ของงู เอาขุมทรัพย์มาแล้ว
บอกข่าวสาสน์ตามทานองที่พระราชาตรัสนั่นแหละแก่หญิงสาวรุ่น
หญิงคณิกาและนายบ้าน เสร็จแล้วไปยังบ้านของตนด้วยยศอันยิ่งใหญ่
ดารงอยู่ชั่วอายุก็ได้ไปตามยถากรรม.
ฝ่ายพระเจ้าอาทาสมุขทรงบาเพ็ญบุญทั้งหลาย มีทานเป็นต้น
ในเวลาสิ้นพระชนมายุ ทรงบาเพ็ญทางสวรรค์ให้เต็ม แล้วเสด็จไป.
พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีปัญญามาก
ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็มีปัญญามากเหมือนกัน
ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ประชุมชาดก.
ในเวลาจบสัจจะ ชนเป็นอันมากได้เป็ นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
และพระอรหันต์.
นายคามณิจันท์ในกาลนั้น ได้เป็น พระอานนท์ ในบัดนี้
ส่วนพระเจ้าอาทาสมุขในกาลนั้น คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาคามณิจันทชาดกที่ ๗
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

335 ชัมพุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
335 ชัมพุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx335 ชัมพุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
335 ชัมพุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
25 ภิงสจริยา มจร.pdf
25 ภิงสจริยา มจร.pdf25 ภิงสจริยา มจร.pdf
25 ภิงสจริยา มจร.pdfmaruay songtanin
 
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...maruay songtanin
 
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdfmaruay songtanin
 
404 กปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
404 กปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx404 กปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
404 กปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
34 สุวัณณสามจริยา มจร.pdf
34 สุวัณณสามจริยา มจร.pdf34 สุวัณณสามจริยา มจร.pdf
34 สุวัณณสามจริยา มจร.pdfmaruay songtanin
 
276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
433 โลมสกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
433 โลมสกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...433 โลมสกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
433 โลมสกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
37 วิสัยหชาดก มจร.pdf
37 วิสัยหชาดก มจร.pdf37 วิสัยหชาดก มจร.pdf
37 วิสัยหชาดก มจร.pdfmaruay songtanin
 
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdfmaruay songtanin
 
14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf
14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf
14 จัมเปยยจริยา มจร.pdfmaruay songtanin
 
Presentation1
Presentation1Presentation1
Presentation1kutoyseta
 
491 มหาโมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
491 มหาโมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx491 มหาโมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
491 มหาโมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 

Similar to 257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

มหาเวสสันดรชาดก
มหาเวสสันดรชาดกมหาเวสสันดรชาดก
มหาเวสสันดรชาดก
 
Ppt 1
Ppt 1Ppt 1
Ppt 1
 
335 ชัมพุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
335 ชัมพุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx335 ชัมพุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
335 ชัมพุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
158 สุหนุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
382 สิริกาฬกัณณิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
25 ภิงสจริยา มจร.pdf
25 ภิงสจริยา มจร.pdf25 ภิงสจริยา มจร.pdf
25 ภิงสจริยา มจร.pdf
 
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
399 มาตุโปสกคิชฌชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
11 สสปัณฑิตจริยา มจร.pdf
 
404 กปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
404 กปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx404 กปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
404 กปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
316 สสปัณฑิตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
34 สุวัณณสามจริยา มจร.pdf
34 สุวัณณสามจริยา มจร.pdf34 สุวัณณสามจริยา มจร.pdf
34 สุวัณณสามจริยา มจร.pdf
 
276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
276 กุรุธัมมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
433 โลมสกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
433 โลมสกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...433 โลมสกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
433 โลมสกัสสปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
031 กุลาวกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
37 วิสัยหชาดก มจร.pdf
37 วิสัยหชาดก มจร.pdf37 วิสัยหชาดก มจร.pdf
37 วิสัยหชาดก มจร.pdf
 
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf๐๕. มโหสธชาดก.pdf
๐๕. มโหสธชาดก.pdf
 
14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf
14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf
14 จัมเปยยจริยา มจร.pdf
 
Presentation1
Presentation1Presentation1
Presentation1
 
491 มหาโมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
491 มหาโมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx491 มหาโมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
491 มหาโมรชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 

More from maruay songtanin

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfmaruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docxmaruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

257 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 คามณิจันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๗. คามณิจันทชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๒๕๗) ว่าด้วยคามณิจันทพราหมณ์ (อาทาสมุขกุมารโพธิสัตว์เห็นกิริยาของพวกลิงแล้ว จึงได้กล่าวกับอามาตย์คามณิจันทพราหมณ์ว่า) [๑๙] สัตว์นี้ไม่ฉลาด(ที่จะกะหรือสร้าง)บ้านเรือน เป็นสัตว์มีปกติหลุกหลิกหน้าย่น มักทาลายสิ่งที่เขาทาไว้แล้วสร้างไว้แล้ว สัตว์ตระกูลนี้มีธรรมชาติอย่างนี้ [๒๐] ขนอย่างนี้มิใช่ขนของผู้มีจิตประกอบด้วยปัญญา ลิงนี้เป็นสัตว์ที่ไม่น่าไว้วางใจ พระเจ้าชนสันธะผู้เป็นพระชนกของข้าพเจ้า ได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้ว่า ธรรมดาลิงไม่รู้เหตุที่ควรหรือไม่ควรอะไรเลย [๒๑] สัตว์เช่นนั้นจะเลี้ยงดูมารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย หรือพี่สาว น้องสาวของตนไม่ได้เลย พระเจ้าทศรถผู้เป็นพระชนกของข้าพเจ้าได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้ คามณิจันทชาดกที่ ๗ จบ ---------------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา คามณิจันทชาดก ว่าด้วย ลิงเป็นสัตว์ไม่รู้จักเหตุ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการสรรเสริญปัญญา จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้. ได้ยินว่า ภิกษุทั้งหลายนั่งสรรเสริญพระปัญญาของพระทศพลในโรงธรรมสภาว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตมีพระปัญญามาก มีพระปัญญาหนา มีพระปัญญาร่าเริง มีพระปัญญาไว มีพระปัญญากล้าแข็ง มีพระปัญญาชาแรกกิเลส ก้าวล่วงโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกด้วยพระปัญญา. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายมิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็มีปัญญาเหมือนกัน แล้วทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล มีพระราชาพระนามว่า ชนสันธะ ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี.
  • 2. 2 พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชานั้น. หน้าของพระโพธิสัตว์นั้นเกลี้ยงเกลา บริสุทธิ์ดุจพื้นแว่นทองคา ถึงความงามอันเลิศยิ่ง ด้วยเหตุนั้น ในวันตั้งชื่อ ญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อของพระโพธิสัตว์นั้นว่า อาทาสมุขกุมาร. ภายใน ๗ ปีเท่านั้น พระชนกให้กุมารนั้นศึกษาพระเวททั้ง ๓ และสิ่งทั้งปวงที่จะพึงทาในโลก แล้วได้สวรรคตในเวลาที่พระกุมารนั้นมีอายุ ๗ ขวบ อามาตย์ทั้งหลายได้ถวายพระเพลิงพระศพของพระราชาด้วยบริวารใหญ่โต แล้วถวายทานเพื่อผู้ตาย ในวันที่ ๗ ประชุมกันที่พระลานหลวงหารือกันว่า พระกุมารยังเด็กเกินไป ไม่อาจอภิเษกให้ครองราชย์ได้ พวกเราจักทดลองพระกุมารนั้นแล้วจึงค่อยอภิเษก. วันหนึ่ง อามาตย์เหล่านั้นให้ตกแต่งพระนคร จัดแจงสถานที่วินิจฉัย ให้แต่งตั้งบัลลังก์แล้วไปเฝ้ าพระกุมารทูลว่า ขอเดชะ ควรเสด็จไปยังสถานที่วินิจฉัย (ตัดสินความ). พระกุมารรับคาแล้ว เสด็จไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ประทับนั่งบนบัลลังก์. ในเวลาที่พระกุมารนั้นประทับนั่งแล้ว อามาตย์เหล่านั้นให้เอาลิงตัวหนึ่งซึ่งเดิน ๒ เท้าได้ ให้แต่งเป็นเพศอาจารย์ผู้มีวิชาดูที่ แล้วนาไปยังสถานที่วินิจฉัยความ ทูลว่า ขอเดชะ บุรุษผู้นี้เป็นอาจารย์รู้วิชาดูที่ ในสมัยของพระชนกผู้มหาราช ย่อมรู้คุณ- โทษในที่มีรัตนะ ๗ ภายในพื้นดินด้วยวิชาอันคล่องแคล่ว สถานที่ตั้งวังของราชตระกูล บุรุษผู้นี้แหละจัดการ ขอพระองค์จงสงเคราะห์บุรุษผู้นี้ โปรดสถาปนาไว้ในฐานันดรเถิด. พระกุมารแลดูลิงนั้นทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน ก็ทรงทราบว่า ผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ ผู้นี้เป็นลิง แล้วทรงดาริว่า ธรรมดาลิงย่อมรู้แต่จะทาลายสิ่งที่เขาทาไว้ ย่อมไม่รู้จะทาหรือจัดสิ่งที่เขายังไม่ได้ทา จึงกล่าวคาถาแรกแก่พวกอามาตย์ว่า :- สัตว์ตัวนี้ไม่ฉลาดที่จะทาเรือนมีปกติ หลุกหลิก หนังที่หน้าย่น พึงประทุษร้ายของที่เขาทาไว้แล้ว ตระกูลสัตว์นี้ มีอย่างนี้เป็ นธรรมดา. อามาตย์ทั้งหลายทูลว่า ขอเดชะ จักเป็นดังพระดารัสอย่างนั้น แล้วนาลิงนั้นออกไป พอล่วงไปวันสองวัน ก็ประดับลิงตัวนั้นแหละอีก แล้วนาไปยังที่วินิจฉัยอรรถคดี กราบทูลว่า ขอเดชะ ผู้นี้เป็นอามาตย์ผู้วินิจฉัยอรรถคดี เมื่อครั้งพระชนกผู้มหาราช กระบวนการวินิจฉัยของท่านผู้นี้เป็ นไปเรียบร้อยดี ควรที่พระองค์จะทรงอนุเคราะห์ท่านผู้นี้ ให้ทาหน้าที่วินิจฉัยอรรถคดีต่อไป. พระกุมารแลดูแล้วรู้ว่า คนที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์ มีความคิดย่อมไม่มีขนเห็นปานนี้ แม้ผู้นี้คงเป็นลิงที่ไม่มีความคิด
  • 3. 3 จักไม่สามารถทากิจในการวินิจฉัยอรรถคดีได้ จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :- ขนอย่างนี้ ไม่ใช่ขนของสัตว์ที่มีความคิด ลิงตัวนี้จะทาให้ผู้อื่นปลอดโปร่งใจไม่ได้ พระราชบิดาของเราทรงพระนามว่าชนสันธะ ได้ตรัสสอนไว้ว่า ธรรมดาลิงย่อมไม่รู้จักเหตุอันใดอันหนึ่ง. อามาตย์ทั้งหลายได้ฟังพระดารัส แม้นี้แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ จักเป็ นอย่างนั้น พระเจ้าข้า แล้วนาลิงนั้นออกไป วันหนึ่ง ประดับประดาลิงตัวนั้นแหละ แล้วนามายังสถานที่วินิจฉัยอรรถคดีอีก กราบทูลว่า ขอเดชะ เมื่อครั้งพระชนกผู้มหาราช บุรุษผู้นี้ได้บาเพ็ญหน้าที่บารุงบิดามารดา เป็นผู้กระทาความอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล พระองค์สมควรอนุเคราะห์บุรุษผู้นี้. พระกุมารมองดูลิงตัวนั้นอีกแล้ว ทรงดาริว่า ธรรมดาลิงทั้งหลายมีจิตใจกลับกลอก ไม่สามารถทาการงานเห็นปานนี้ได้ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- สัตว์เช่นนั้นจะพึงเลี้ยงดู บิดามารดาหรือพี่ชายพี่สาวของตนไม่ได้ คาสอนนี้ พระเจ้าทศรถผู้ชนกของเราสั่งสอนไว้. จริงอยู่ พระชนกของพระกุมารนั้น เขาเรียกว่าพระเจ้าชนสันธะ เพราะทรงสงเคราะห์ชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ เรียกว่าพระเจ้าทศรถ เพราะทรงกระทากิจที่จะพึงกระทาด้วยรถ ๑๐ คัน ด้วยรถของพระองค์เพียงคันเดียวเท่านั้น. เพราะได้สดับโอวาทเห็นปานนั้นจากสานักของพระชนกพระองค์นั้น พระกุมารจึงตรัสอย่างนั้น. อามาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า จักเป็นดังพระดารัสอย่างนั้น พระเจ้าข้า แล้วนาลิงนั้นออกไป ได้ตกลงกันว่า พระกุมารเป็นบัณฑิตจักสามารถครองราชสมบัติได้ จึงอภิเษกพระโพธิสัตว์ให้ครองราชสมบัติ แล้วให้เที่ยวตีกลองป่าวร้องไปในพระนครว่า เป็นอาณาจักรของพระเจ้าอาทาสมุขแล้ว. จาเดิมแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม โดยสม่าเสมอ แม้ความที่พระเจ้าอาทาสมุขนั้นเป็ นบัณฑิตเฉลียวฉลาด ก็แพร่ไปตลอดทั่วชมพูทวีป ก็เพื่อจะแสดงความที่พระองค์เป็นบัณฑิต ได้นาเอาเรื่อง ๑๔ เรื่องนี้มากล่าวไว้ คือ :- เรื่องโค ๑ เรื่องบุตร ๑ เรื่องม้า ๑ เรื่องช่างสาน ๑ เรื่องนายบ้านส่วย ๑ เรื่องหญิงแพศยา ๑ เรื่องหญิงรุ่นสาว ๑ เรื่องงู ๑ เรื่องเนื้อ ๑
  • 4. 4 เรื่องนกกระทา ๑ เรื่องรุกขเทวดา ๑ เรื่องพระยานาค ๑ เรื่องดาบสมีตบะ ๑ เรื่องพราหมณ์มาณพ ๑ ในนิทาน ๑๔ เรื่องนั้น มีเรื่องราว ตามลาดับดังต่อไปนี้ เมื่อพระโพธิสัตว์อภิเษกอยู่ในราชสมบัตินั้น บุรุษผู้หนึ่งชื่อคามณิจันท์ ผู้เคยเป็นบาทมูลิกาของพระเจ้าชนสันธะ คิดอย่างนี้ว่า ธรรมดาว่าความเป็นพระราชานี้ย่อมจะงดงามกับคนผู้มีวัยเสมอกัน ส่วนเราเป็นคนแก่จักไม่เหมาะที่จะบารุงพระกุมารหนุ่ม เราจักทากสิกรรมเลี้ยงชีวิตอยู่ในชนบท. เขาจึงออกจากพระนครไปยังที่ไกลประมาณ ๓ โยชน์ สาเร็จการอยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง แต่เขาไม่มีแม้แต่โคสาหรับจะทากสิกรรม. เมื่อฝนตก เขาจึงขอยืมโค ๒ ตัว กับสหายคนหนึ่งไถนาอยู่ ตลอดทั้งวันแล้วให้โคกินหญ้า แล้วได้ไปยังเรือนเพื่อจะมอบโคทั้ง ๒ ตัวให้กับเจ้าของ. ขณะนั้น เจ้าของโคกาลังนั่งบริโภคอาหารอยู่กลางบ้านพร้อมกับภรรยา. ฝ่ายโคทั้งสองตัวก็เข้าไปยังบ้านด้วยความคุ้นเคย. เมื่อโคเหล่านั้นเข้าไป สามียกถาด ภรรยาเอาถาดออกไป. นายคามณิจันท์มองดูด้วยคิดว่าสามีภรรยาทั้งสองนี้จะเชื้อเชิญเรารับประทานข้าว จึงยังไม่มอบโคให้รีบกลับไปเสีย. ในเวลากลางคืน พวกโจรตัดคอกลักโคเหล่านั้นแหละไปเสีย. เจ้าของโคเข้าไปยังคอกโคแต่เช้าตรู่ ไม่เห็นโคเหล่านั้น แม้จะรู้อยู่ว่าถูกพวกโจรลักไป ก็เข้าไปหานายคามณิจันท์นั้นด้วยตั้งใจว่า จักปรับเอาสินไหมแก่นายคามณิจันท์ จึงกล่าวว่า ผู้เจริญ ท่านจงมอบโคทั้งสองให้เรา. นายคามณิจันท์ว่า โคเข้าบ้านไปแล้วมิใช่หรือ. เจ้าของโคว่า ท่านมอบโคเหล่านั้นแก่เราแล้วหรือ. นายคามณิจันท์ว่า ยังไม่ได้มอบ. เจ้าของโคกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้เป็ นความอาญาสาหรับท่านๆ จงมา จริงอยู่ ในชนบทเหล่านั้น เมื่อใครๆ ยกเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นจะเป็ นก้อนกรวด หรือชิ้นกระเบื้องก็ตาม แล้วกล่าวว่า นี้เป็นความอาญาสาหรับท่าน ท่านจงมา ดังนี้ ผู้ใดไม่ไปก็ย่อมลงอาญาแก่ผู้นั้น เพราะฉะนั้น นายคามณิจันท์นั้น พอได้ฟังว่าเป็ นความอาญา ก็ออกไปทันที. เขาไปยังราชสกุลกับเจ้าของโคนั้น ไปถึงบ้านอันเป็ นที่อยู่ของสหายเข้าบ้านหนึ่ง จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าหิวจัด ท่านจงรออยู่ที่นี้แหละจนกว่าจะเข้าไปยังบ้าน รับประทานอาหารแล้วกลับมา ว่าแล้วก็ได้ไปยังบ้านของสหาย. ส่วนสหายของเขาไม่อยู่บ้าน หญิงสหายเห็นเข้าก็กล่าวว่า นาย
  • 5. 5 อาหารที่หุงต้มสุกไม่มี ท่านจงรอสักครู่ ดิฉันจักหุงให้ท่านเดี๋ยวนี้แหละ แล้วรีบขึ้นฉางข้าวสารทางพะอง จึงพลัดตกไปที่พื้นดิน ครรภ์ของนางพอดีได้ ๗ เดือนก็ตกไปในขณะนั้นนั่นเอง ขณะนั้น สามีของนางกลับมาเห็นดังนั้น จึงกล่าวว่า ท่านประหารภรรยาของเราทาให้ครรภ์ตก นี้เป็นความอาญาของท่าน นางจงมาแล้วพานายคามณิจันท์นั้นออกไป. จาเดิมแต่นั้น คนทั้งสองเดินไปให้นายคามณิจันท์อยู่กลาง. ครั้งนั้น ที่ประตูบ้านแห่งหนึ่ง คนเลี้ยงม้าผู้หนึ่งไม่สามารถต้อนม้าให้กลับบ้าน. ฝ่ายม้าก็เดินไปในสานักของคนเหล่านั้น คนเลี้ยงม้าเห็นนายคามณิจันท์จึงกล่าวว่า ลุงคามณิจันท์ช่วยเอาอะไรๆ ปาม้าตัวนี้ให้กลับทีเถิด. นายคามณิจันท์จึงเอาหินก้อนหนึ่งขว้างไป ก้อนหินนั้นกระทบขาม้าหักเหมือนท่อนไม้ละหุ่งฉะนั้น. ลาดับนั้น คนเลี้ยงม้าได้กล่าวกะนายคามณิจันท์ว่า ท่านทาขาม้าของเราหัก นี้เป็นความอาญาสาหรับท่านแล้วจับตัวไป. ฝ่ายนายคามณิจันท์นั้น เมื่อถูกคนทั้ง ๓ นาไป จึงคิดว่า คนเหล่านี้จักแสดงเราแก่พระราชา แม้มูลค่าราคาโค เราก็ไม่อาจให้ได้ จะป่วยกล่าวใยถึงอาญาที่ทาให้ครรภ์ตก ก็เราจักได้มูลค่าม้ามาแต่ไหน เราตายเสียประเสริฐกว่า. เขาเดินไปได้เห็นภูเขาลูกหนึ่งซึ่งมีหน้าผาชันข้างหนึ่ง ณ ที่ใกล้ทางในดงระหว่างทาง ช่างสาน ๒ คนพ่อลูกสานเสื่อลาแพนอยู่ในร่มเงาของภูเขานั้น. นายคามณิจันท์กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะถ่ายอุจจาระ ท่านทั้งหลายจงรออยู่ที่นี้แหละสักครู่ จนกว่าข้าพเจ้าจะมา แล้วขึ้นไปยังภูเขานั้น กระโดดลงไปทางด้านหน้าผา ตกลงไปบนหลังช่างสานผู้เป็นพ่อ ช่างสานผู้เป็นพ่อนั้นถึงแก่ความตายทันที นายคามณิจันท์ไม่ตาย ลุกขึ้นได้ก็ไปเสีย. ช่างสานผู้บุตรกล่าวว่า ท่านเป็นโจรฆ่าพ่อฉัน นี้เป็นความอาญาสาหรับท่าน แล้วจับมือนายคามณิจันท์ลากออกจากพุ่มไม้ เมื่อนายคามณิจันท์พูดว่า นี่อะไรกัน จึงกล่าวว่า เจ้าเป็ นโจรฆ่าพ่อของข้า. ตั้งแต่นั้นมา ชนทั้ง ๔ คน ให้นายคามณิจันท์อยู่กลางพากันห้อมล้อมไป. ครั้นไปถึงประตูบ้านอีกแห่งหนึ่ง นายบ้านส่วยคนหนึ่งเห็นนายคามณิจันท์ จึงกล่าวว่า ลุงคามณิจันท์ ท่านจะไปไหน? เมื่อนายคามณิจันท์กล่าวว่า จะไปเฝ้ าพระราชา จึงกล่าวว่า ท่านจักไปเฝ้ าพระราชาจริงแล้ว ข้าพเจ้าประสงค์จะถวายสาสน์แด่พระราชา ท่านจักนาไปได้ไหม. นายคามณิจันท์ว่า ได้ฉันจักนาไปให้.
  • 6. 6 นายบ้านส่วยกล่าวว่า เมื่อก่อนตามปกติ ข้าพเจ้ามีรูปงาม มีทรัพย์ สมบูรณ์ด้วยยศศักดิ์ ไม่มีโรค มาบัดนี้ ข้าพเจ้าเป็ นคนเข็ญใจ เกิดโรคผอมเหลือง ท่านจงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้นเป็นเพราะเหตุไร? ได้ยินว่าพระราชาเป็ นผู้ฉลาด พระองค์จักตรัสบอกแก่ท่าน ท่านจงบอกพระดารัสของพระองค์แก่ข้าพเจ้าด้วย. นายคามณิจันท์รับว่าได้. ลาดับนั้น หญิงคณิกาคนหนึ่งอยู่ที่ประตูบ้านแห่งหนึ่งข้างหน้า เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงกล่าวว่า ลุงคามณิจันท์ ท่านจะไปไหน? เมื่อนายคามณิจันท์บอกว่าจะไปเฝ้ าพระราชา จึงกล่าวว่า เขาลือว่า พระราชาเป็ นบัณฑิตผู้ฉลาด ท่านจงนาข่าวสาสน์ของเราไปด้วย แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า เมื่อก่อน ข้าพเจ้าได้ค่าจ้างมาก มาบัดนี้ ไม่ได้แม้แต่หมากพลู ใครๆ ผู้จะมายังสานักของเราไม่มีเลย ท่านจงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้นเป็ นเพราะเหตุไร? แล้วพึงกลับมาบอกแก่ข้าพเจ้า. ลาดับนั้น หญิงสาวคนหนึ่งที่ประตูบ้านแห่งหนึ่งข้างหน้า เห็นนายคามณิจันท์นั้นแล้วได้ถามเหมือนอย่างนั้น แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่อาจอยู่ในเรือนของสามี ทั้งไม่อาจอยู่ในเรือนของตระกูล ท่านจงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็ นเพราะเหตุอะไร? แล้วพึงบอกแก่ข้าพเจ้า. ครั้นในกาลต่อมาจากนั้น มีงูอยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ใกล้ทางใหญ่ เห็นนายคามณิจันท์นั้นจึงถามว่า ท่านคามณิจันท์ จะไปไหน? เมื่อเขาบอกว่า จะไปเฝ้ าพระราชา จึงกล่าวว่า ข่าวว่า พระราชาเป็นบัณฑิต ท่านจงนาข่าวสาสน์ของข้าพเจ้าไปด้วย แล้วกล่าวว่า ในเวลาไปหากิน ข้าพเจ้าถูกความหิวแผดเผา มีร่างกายเหี่ยวแห้ง เมื่อจะออกจากจอมปลวก ร่างกายเต็มคับปล่อง เคลื่อนตัวออกด้วยความยากลาบาก แต่ครั้นเที่ยวหากินแล้วกลับมา เป็นผู้อิ่มหนา มีร่างกายอ้วนพี เมื่อจะเข้าไป ไม่กระทบกระทั่งข้างปล่องเลย เข้าไปอย่างง่ายดาย ท่านจงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็ นเพราะเหตุไร? แล้วพึงบอกแก่ข้าพเจ้า. ลาดับนั้น เนื้อตัวหนึ่งข้างหน้าเห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงถามเหมือนอย่างนั้น แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่อาจไปกินหญ้าในที่อื่นได้ สามารถกินอยู่ในที่โคนต้นไม้แห่งเดียวเท่านั้น ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็ นเพราะเหตุไร? ครั้นต่อมา มีนกกระทาตัวหนึ่งข้างหน้า เห็นนายคามณิจันท์นั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าจับอยู่ที่จอมปลวกแห่งเดียวเท่านั้น สามารถอยู่ได้อย่างสบายใจ จับอยู่ที่อื่น ไม่สามารถจะอยู่ได้ ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร? ลาดับนั้น รุกขเทวดาตนหนึ่งข้างหน้า
  • 7. 7 เห็นนายคามณิจันท์นั้นจึงถามว่า ดูก่อนคามณิจันท์ ท่านจะไปไหน? เมื่อเขาบอกว่า จะไปเฝ้ าพระราชา จึงกล่าวว่า เขาเล่าลือกันว่า พระราชาเป็ นผู้ฉลาด เมื่อก่อนเราได้สักการะ มาบัดนี้ แม้มาตรว่าใบไม้อ่อนสักกามือก็ยังไม่ได้ ท่านช่วยทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร? ในกาลต่อจากนั้น พระยานาคตัวหนึ่งเห็นนายคามณิจันท์ จึงถามเหมือนอย่างนั้น แล้วกล่าวว่า ได้ยินว่า พระราชาเป็นบัณฑิต เมื่อก่อนน้าในสระนี้ใส มีสีเหมือนแก้วมณี บัดนี้ ขุ่นมัวมีแหนปกคลุม ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนั้น เป็นเพราะเหตุไร? ที่นั้น ดาบสทั้งหลายผู้อยู่ในอารามแห่งหนึ่ง ในที่ใกล้พระนคร เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงถามเหมือนอย่างนั้นแล้วกล่าวว่า เขาว่าพระราชาเป็ นบัณฑิต เมื่อก่อนผลาผลทั้งหลายในอารามนี้อร่อย บัดนี้เฝือนฝาด ไม่อร่อย ไม่เป็นรส ท่านช่วยทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนี้เป็ นเพราะเหตุไร? ข้างหน้าแต่นั้นไป มีพราหมณ์มาณพอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง ในที่ใกล้ประตูพระนคร เห็นนายคามณิจันท์นั้น จึงกล่าวว่า คามณิจันท์ผู้เจริญ ท่านจะไปไหน เมื่อเขากล่าวว่า จะไปเฝ้ าพระราชา จึงพากันกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านช่วยถือเอาข่าวสาสน์ของพวกเราไปด้วย เพราะว่า เมื่อก่อน ที่ที่พวกเราร่าเรียนเอาแล้วย่อมปรากฎ แต่มาบัดนี้ ไม่ทรงจาอยู่ เหมือนน้าในหม้อทะลุ ย่อมปรากฎเป็นเหมือนความมืดมนอนธการ ท่านพึงทูลถามพระราชาว่า ในเรื่องนี้เป็ นเพราะเหตุไร? นายคามณิจันท์รับเอาข่าวสาสน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้แล้วได้ไปเฝ้ าพระราชา. พระราชาได้เสด็จประทับนั่ง ณ สถานที่ที่วินิจฉัยอรรถคดี. เจ้าของโคได้พานายคามณิจันท์เข้าเฝ้ าพระราชา. พระราชาพอทรงเห็นนายคามณิจันท์ก็จาได้ ทรงพระดาริว่า นายคามณิจันท์เป็นอุปัฏฐากแห่งพระชนกของเรา พอยกเราขึ้นแล้วก็หลีกเลี่ยงไปตลอดเวลาประมาณเท่านี้ เขาอยู่ที่ไหนหนอ จึงตรัสถาม ท่านคามณิจันท์ผู้เจริญ ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ ท่านอยู่ที่ไหน? เป็นเวลานานแล้วไม่ปรากฎ ท่านมาด้วยต้องการอะไร. นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า จาเดิมแต่พระชนกของพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว ข้าพระองค์ไปอยู่ชนบท กระทากสิกรรมเลี้ยงชีพ แต่นั้น บุรุษผู้นี้ได้แสดงความอาญาเพราะเหตุเกี่ยวกับคดีเรื่องโค จึงคร่าตัวข้าพระองค์มาเฝ้ าพระองค์พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ท่านไม่ถูกคร่าตัวมาก็คงไม่มา เพราะเหตุนั้น
  • 8. 8 ความที่ท่านถูกคร่าตัวมานั่นแหละเป็ นความดีงาม บัดนี้ เราจะเห็นบุรุษผู้นั้น บุรุษผู้นั้นอยู่ที่ไหน. นายคามณิจันท์กราบทูลว่า คนนี้พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า ผู้เจริญ ได้ยินว่า ท่านฟ้ องความอาญาแก่นายคามณิจันท์ของเราจริงหรือ. เจ้าของโคทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่าเพราะเหตุไร. เจ้าของโคทูลว่า เพราะนายคามณิจันท์นี้ไม่คืนโค ๒ ตัวให้แก่ข้าพระองค์พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า เขาว่าจริงหรือจันทะ? นายคามณิจันท์ทูลว่า ขอเดชะ ถ้าอย่างนั้นขอพระองค์โปรดทรงสดับต่อข้าพระองค์เถิด แล้วกราบทูลเรื่องราวทั้งปวงให้ทรงทราบ. พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามเจ้าของโคว่า ผู้เจริญ เมื่อโคเข้าบ้านของท่าน ท่านเห็นหรือเปล่า? เจ้าของโคทูลว่า ไม่เห็น พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ท่านไม่เคยได้ยินคนเขาพูดถึงเราว่า พระราชาพระนามว่าอาทาสมุข บ้างหรือ ท่านอย่าหวาดระแวงเลย จงบอกมาเถิด. เจ้าของโคทูลว่า ได้เห็นพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า คามณิจันท์ผู้เจริญ เพราะท่านไม่มอบโคให้เจ้าของ ค่าโคปรับเป็นสินไหมสาหรับท่าน แต่บุรุษนี้ทั้งที่เห็น พูดมุสาวาททั้งรู้ ว่าไม่เห็น เพราะฉะนั้น ท่านนั่นแหละเป็ นผู้ประกอบการควักนัยน์ตาทั้งสองข้างของบุรุษผู้นี้ และภรรยาของบุรุษผู้นี้ด้วย ส่วนตนเองให้กหาปณะ ๒๔ กหาปณะเป็นมูลค่าราคาโค. เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว นักการก็พาตัวเจ้าของโคออกไปข้างนอก เจ้าของโคนั้นคิดว่า เมื่อเขาควักลูกตาเสียแล้ว เราจักเอากหาปณะไปทาอะไร จึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์ แล้วกล่าวว่า ท่านคามณิจันท์ผู้เป็นนาย กหาปณะที่เป็นมูลค่าค่าโคจงเป็นของท่านเถิด และจงถือเอากหาปณะเหล่านี้ด้วย แล้วให้กหาปณะทั้งหลาย แม้อื่นๆ แล้วหนีไป. ลาดับนั้น บุรุษคนที่ ๒ ทูลว่า ขอเดชะ นายคามณิจันท์นี้ประหารภรรยาของข้าพระองค์ ทาให้ครรภ์ตกไป. พระราชาตรัสถามว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์ทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์โปรดทรงสดับ แล้วกราบทูลเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบโดยพิสดาร. ลาดับนั้น พระราชาตรัสถามนายคามณิจันท์นั้นว่า ก็ท่านประหารภรรยาของบุรุษผู้นี้ ทาให้ครรภ์ตกไปหรือ? นายคามณิจันท์ทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์มิได้ทาให้ตกไปพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามบุรุษนั้นว่า ผู้เจริญ ความที่นายคามณิจันท์นี้ประหารแล้ว ทาครรภ์ให้ตกไป ท่านอาจให้เกิดมีขึ้นได้หรือไม่? บุรุษนั้นทูลว่า ไม่อาจ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามเขาว่า บัดนี้ ท่านจะกระทาอย่างไร? บุรุษนั้นทูลว่า
  • 9. 9 ข้าพระองค์ต้องการบุตรคืนมาพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านเอาภรรยาของบุรุษผู้นี้ไปไว้ในเรือนของท่าน ในคราวที่นางคลอดบุตร จงนาบุตรนั้นมาให้บุรุษผู้นี้. ฝ่ายบุรุษผู้นั้นจึงหมอบลงแทบเท้าของนายคามณิจันท์ แล้วกล่าวว่า นายท่านอย่าทาลายเรือนของเราเลย ได้ให้กหาปณะแล้วหลีกหนีไป. ลาดับนั้น บุรุษคนที่ ๓ มากราบทูลว่า ขอเดชะ นายคามณิจันท์นี้ประหารทาเท้าม้าของข้าพระองค์หัก พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า เขาว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอได้โปรดสดับ แล้วกราบทูลประพฤติเหตุนั้นโดยพิสดาร. พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามคนเลี้ยงม้าว่า เขาว่าท่านพูดว่า จงขว้างม้าให้กลับ จริงหรือ? คนเลี้ยงม้านั้นทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ไม่ได้พูด พระเจ้าข้า. เขาถูกตรัสถามซ้าจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์พูดพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสเรียกนายคามณิจันท์มาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ บุรุษผู้นี้พูดแล้ว กลับกล่าวมุสาวาทว่าไม่ได้พูด ท่านจงตัดลิ้นของเขาแล้วเอาของที่มีของเราเป็ นมูลค่าม้าให้ไปพันหนึ่ง. คนเลี้ยงม้ากลับให้กหาปณะ แม้อื่นอีกแล้วหลบหนีไป. ลาดับนั้น บุตรช่างสานกราบทูลว่า ขอเดชะ นายคามณิจันท์นี้เป็ นโจรฆ่าบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า เขาว่า จริงหรือ จันทะ? นายคามณิจันท์กราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์โปรดทรงสดับ แล้วกราบทูลเหตุนั้นให้ทรงทราบโดยพิสดาร. พระราชารับสั่งให้เรียกช่างสานมาแล้วตรัสถามว่า บัดนี้ ท่านจะกระทาอย่างไร? ช่างสานทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ขอบิดาของข้าพระองค์คืนมา พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า จันทะผู้เจริญ การได้บิดาของช่างสานนี้คืนมาจึงจะควร ก็คนตายแล้วไม่อาจนามาอีกได้ ท่านจงนามารดาของช่างสานคนนี้มาไว้ในเรือนท่านแล้ว เป็นบิดาของช่างสานนี้. บุตรช่างสานกล่าวว่า นาย ท่านอย่าทาลายเรือนแห่งบิดาผู้ตายแล้วของข้าพเจ้าเลย ได้ให้กหาปนะแก่นายคามณิจันท์แล้ว หลบหนีไป นายคามณิจันท์ได้ประสบชัยชนะเฉพาะวันนี้ มีจิตยินดี กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ มีคนบางคนส่งสาสน์มาแก่พระองค์ ข้าพระองค์ขอกราบทูลสาสน์นั้นแก่พระองค์. พระราชาตรัสว่า จงบอกมาเถิด จันทะ. นายคามณิจันท์จึงกราบทูลทีละเรื่องๆ โดยย้อนลาดับ เริ่มสาสน์ของพวกพราหมณ์มาณพเป็ นเรื่องต้น. พระราชาได้ทรงวิสัชนาไปโดยลาดับ ทรงวิสัชนาอย่างไร? คือ ก่อนอื่นทรงสดับสาสน์ที่ ๑ ได้ตรัสว่า เมื่อก่อน
  • 10. 10 ได้มีไก่ซึ่งขันเป็ นเวลาอยู่ในที่เป็ นที่อยู่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้น เมื่อพราหมณ์มาณพเหล่านั้นลุกขึ้นตามเสียงไก่นั้น แล้วเรียนมนต์ทาการสังวัธยายอยู่ จนอรุณขึ้นด้วยเหตุนั้น มนต์ที่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้นเล่าเรียนมาเอาไว้ก็ไม่เสื่อม มาบัดนี้ มีไก่ซึ่งขันไม่เป็ นเวลาอยู่ในที่อยู่ของพราหมณ์มาณพเหล่านั้น ไก่ตัวนั้น ขันดึกเกินไปบ้าง จวนสว่างบ้าง พวกพราหมณ์มาณพลุกขึ้นตามเสียงของไก่นั้นซึ่งขันดึกเกินไป เล่าเรียนมนต์ก็ง่วงนอน กาลังทาการสังวัธยายก็หลับไปอีก ครั้นลุกขึ้นตามเสียงของไก่ซึ่งขันในเวลาจวนจะสว่าง ก็สังวัธยายไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น มนต์ที่พวกพราหมณ์มาณพเหล่านั้นเล่าเรียนไว้ จึงไม่ปรากฎ. แม้เรื่องที่ ๒ ครั้นได้ทรงสดับแล้ว จึงตรัสว่า เมื่อก่อนดาบสเหล่านั้นพากันกระทาสมณธรรม ได้เป็นผู้ขวนขวายประกอบการบริกรรมกสิณ มาบัดนี้พากันละทิ้งสมณธรรมเสีย ขวนขวายประกอบในกิจที่ไม่ควรกระทา ให้ผลาผลที่เกิดขึ้นในอารามแก่พวกอุปัฏฐาก สาเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ ด้วยการรับก้อนข้าวและให้ก้อนข้าวตอบแทน ด้วยเหตุนั้น ผลาผลทั้งหลายของดาบสเหล่านั้นจึงไม่อร่อย ก็ถ้าดาบสเหล่านั้น จักเป็นผู้ขวนขวายประกอบสมณธรรมอีก เหมือนในกาลก่อน ผลาผลทั้งหลายของดาบสเหล่านั้น จักกลับมีรสอร่อยอีก ดาบสเหล่านั้นย่อมไม่รู้ว่าราชตระกูลเป็ นบัณฑิต ท่านจงบอกให้ดาบสเหล่านั้นกระทาสมณธรรม. ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๓ จึงตรัสว่า พระยานาคเหล่านั้นกระทาการทะเลาะกันแลกัน ด้วยเหตุนั้น น้านั้นจึงขุ่นมัว ถ้าพระยานาคเหล่านั้นจักสมัครสมานกันเหมือนเมื่อก่อน จักกลับเป็นน้าใสอีก. ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๔ จึงตรัสว่า เมื่อก่อน รุกขเทวดานั้นรักษาพวกมนุษย์ผู้เดินทางไปในดง เพราะฉะนั้น จึงได้พลีกรรมมีประการต่างๆ มาบัดนี้ ไม่กระทาการอารักขา เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้พลีกรรม ถ้าจักกระทาการอารักขา เหมือนในกาลก่อน ก็จักเป็นผู้ได้ลาภอันเลิศอีก เทวดานั้นไม่รู้ว่าพระราชาเป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้น ท่านจงบอกให้เทวดานั้นอารักขาพวกมนุษย์ผู้ขึ้นดงเถิด. ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๕ จึงตรัสว่า นกกระทานั้นจับที่เชิงจอมปลวกนั้น จึงขันอย่างอิ่มเอิบใจ ภายใต้จอมปลวกนั้น มีหม้อขุมทรัพย์ใหญ่ ท่านจงขุดจอมปลวกเอาขุมทรัพย์นั้นเถิด. ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๖ จึงตรัสว่า เนื้อตัวนั้นสามารถกินหญ้าที่โคนต้นไม้ใด เบื้องบนต้นไม้นั้น มีรวงผึ้งใหญ่
  • 11. 11 เนื้อตัวนั้นติดหญ้าที่เปื้อนน้าผึ้ง จึงไม่อาจเคี้ยวกินหญ้าอื่น ท่านจงนารวงผึ้งนั้นไปแล้วส่งรสหวานชั้นเลิศมาให้เรา ที่เหลือจากนั้น เอาไว้บริโภคใช้สอยสาหรับตน. ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๗ จึงตรัสว่า ภายใต้จอมปลวกที่งูอยู่นั้นมีขุมทรัพย์หม้อใหญ่ งูตัวนั้นรักษาขุมทรัพย์นั้นอยู่ ในเวลาจะออกเพราะความโลภในทรัพย์ จึงทาสรีระให้หย่อน ติดนั่นติดนี่ออกไป ครั้นได้เหยื่อแล้ว ไม่ติดขัดเลย รีบเข้าไปโดยเร็ว เพราะความเสน่หาในทรัพย์ ท่านจงขุดเอาขุมทรัพย์นั้นเถิด. ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๘ จึงตรัสว่า ในระหว่างบ้านเป็นที่อยู่ของสามีและบิดามารดาของหญิงรุ่นสาวนั้น มีชายชู้อยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง นางระลึกถึงชายชู้นั้น เพราะความเสน่หาในชายชู้นั้น จึงไม่อาจอยู่ในเรือนสามี พูดว่า ฉันจักไปเยี่ยมบิดามารดา แล้วก็ไปอยู่ในเรือนชายชู้ ๒-๓ วัน แล้วจึงไปเรือนบิดามารดา อยู่ที่เรือนบิดามารดานั้น ๒-๓ วันหวนระลึกถึงชายชู้ขึ้นมา จึงพูดว่า ฉันจักไปเรือนสามี ก็หวนไปเรือนของชายชู้นั่นแหละ ท่านจงบอกหญิงคนนั้นว่า พระราชกาหนดกฏหมายมีอยู่ แล้วจงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า นัยว่า นางจงอยู่เฉพาะในเรือนของสามีเท่านั้น ถ้าพระราชารับสั่งให้จับท่านชีวิตของท่านก็จะไม่มีอยู่ ควรกระทาความไม่ประมาท. ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๙ จึงตรัสว่า เมื่อก่อน หญิงคณิกาคนนั้นรับเอาค่าจ้างจากมือของชายคนหนึ่งแล้ว ก็อยู่ประจากะชายคนนั้น ไม่รับเอาจากมือของคนอื่นอีก ด้วยเหตุนั้น ในครั้งก่อน ค่าจ้างจึงเกิดขึ้นแก่หญิงคณิกาคนนั้นอย่างมากมาย มาบัดนี้ หญิงคณิกานั้นละทิ้งธรรมของตนเสีย ไม่ชาระค่าจ้างที่ตนรับจากมือของชายคนหนึ่งให้เสร็จก่อน ไปรับจากมือของชายอื่น ไม่ให้โอกาสแก่ชายคนแรก กลับให้โอกาสแก่ชายคนหลัง ด้วยเหตุนั้น ค่าจ้างจึงไม่เกิดขึ้นแก่หญิงคณิกานั้น ใครๆ จึงไม่ไปหาหญิงคณิกานั้น ถ้าหากจักตั้งอยู่ในธรรมดาของตน ค่าจ้างจักมีเช่นกับเมื่อก่อนทีเดียว ท่านจงบอกหญิงคณิกานั้นให้ตั้งอยู่ในธรรมของตน. ครั้นทรงสดับเรื่องที่ ๑๐ จึงตรัสว่า นายบ้านส่วยคนนั้น เมื่อก่อนวินิจฉัยอรรถคดีโดยธรรมโดยสม่าเสมอ ด้วยเหตุนั้นจึงเป็ นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนทั้งหลาย และพวกคนที่รักใคร่ก็นาบรรณาการเป็ นอันมากมาให้แก่เขา ด้วยเหตุนั้น เขาจึงเป็ นผู้มีรูปงาม มีทรัพย์มาก สมบูรณ์ด้วยยศ มาบัดนี้
  • 12. 12 เป็นผู้เห็นแก่สินบนวินิจฉัยอรรถคดีโดยไม่เป็นธรรม ด้วยเหตุนั้น จึงเป็ นคนกาพร้า เข็ญใจ ถูกโรคผอมเหลืองครอบงา ถ้าเขาจักวินิจฉัยอรรถคดีโดยธรรมเหมือนเมื่อก่อน เขาจักกลับเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีก เขาไม่รู้ว่ามีพระราชาอยู่ ท่านจงบอกเขาให้วินิจฉัยอรรถคดีโดยธรรมเถิด. นายคามณิจันท์ได้กราบทูลสาสน์มีประมาณเท่านี้ให้พระราชาทรงทรา บด้วยประการฉะนี้. พระราชาก็ได้ทรงพยากรณ์ปัญหานั้นทั้งหมดด้วยปัญญาของพระองค์ ประดุจพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ให้พระราชทรัพย์มากมายแก่นายคามณิจันท์ ทรงกระทาบ้านที่อยู่ของเขาให้เป็นพรหมไทย พระราชทานเฉพาะเขาเท่านั้น แล้วส่งกลับไป. นายคามณิจันท์นั้นออกจากพระนคร แล้วบอกข่าวสาสน์สิ้นที่พระโพธิสัตว์ประทานมาแก่พราหมณ์มาณพ ดาบส พระยานาค และรุกขเทวดา เสร็จแล้วถือเอาขุมทรัพย์จากสถานที่พักนกกระทาจับ แล้วไปเอารวงผึ้งจากต้นไม้ในสถานที่เนื้อกินหญ้า ส่งน้าผึ้งไปถวายพระราชา แล้วไปขุดจอมปลวกในสถานที่อยู่ของงู เอาขุมทรัพย์มาแล้ว บอกข่าวสาสน์ตามทานองที่พระราชาตรัสนั่นแหละแก่หญิงสาวรุ่น หญิงคณิกาและนายบ้าน เสร็จแล้วไปยังบ้านของตนด้วยยศอันยิ่งใหญ่ ดารงอยู่ชั่วอายุก็ได้ไปตามยถากรรม. ฝ่ายพระเจ้าอาทาสมุขทรงบาเพ็ญบุญทั้งหลาย มีทานเป็นต้น ในเวลาสิ้นพระชนมายุ ทรงบาเพ็ญทางสวรรค์ให้เต็ม แล้วเสด็จไป. พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีปัญญามาก ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็มีปัญญามากเหมือนกัน ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ชนเป็นอันมากได้เป็ นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์. นายคามณิจันท์ในกาลนั้น ได้เป็น พระอานนท์ ในบัดนี้ ส่วนพระเจ้าอาทาสมุขในกาลนั้น คือ เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถาคามณิจันทชาดกที่ ๗ -----------------------------------------------------