ว่าด้วย ผู้ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. แต่เรื่องเกิดขึ้นในกรุงราชคฤห์. สมัยหนึ่ง พระธรรมเสนาบดีอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหารกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ครั้งนั้น พระเทวทัตห้อมล้อมไปด้วยบริษัทผู้ทุศีลสมควรแก่ตนอยู่ ณ คยาสีสประเทศ. สมัยนั้น ชาวกรุงราชคฤห์เรี่ยไรกันจัดตระเตรียมทาน. ครั้งนั้น มีพ่อค้าผู้มาเพื่อทำการค้าขายผู้หนึ่ง ได้ให้ผ้ากาสาวะมีกลิ่นหอม มีค่ามาก ว่า ท่านทั้งหลายจงจำหน่ายผ้าสาฎกนี้แล้วให้เรามีส่วนบุญร่วมด้วยเถิด. ชาวพระนครถวายทานกันมากมาย. วัตถุทานทุกอย่างที่ร่วมใจกัน รวบรวมจัดครบเรียบร้อยแล้วด้วยกหาปณะทั้งนั้น. ผ้าสาฎกผืนนั้นจึงได้เหลือ. มหาชนประชุมกันว่า ผ้าสาฎกมีกลิ่นหอมผืนนี้เป็นของเกิน เราจะถวายผ้าผืนนั้นแก่รูปไหน เราจักถวายแก่พระสารีบุตร หรือแก่พระเทวทัต. ในมนุษย์เหล่านั้น บางพวกกล่าวว่า จักถวายแก่พระสารีบุตรเถระ อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระสารีบุตรเถระอยู่ชั่ว ๒-๓ วันแล้วก็จะหลีกไปตามชอบใจ ส่วนพระเทวทัตอยู่อาศัยเมืองของเราแห่งเดียวเป็นประจำ ท่านองค์นี้แหละได้เป็นที่พึ่งของเราทั้งในงานมงคลและอวมงคล พวกเราจักถวายแก่พระเทวทัต. แม้พวกที่กล่าวกันไปหลายอย่างนั้น พวกที่กล่าวว่า เราจักถวายแก่พระเทวทัตมีมากกว่า. มหาชนจึงได้ถวายผ้านั้นแก่พระเทวทัต. พระเทวทัตให้ช่างตัดผ้ากาสาวะมีกลิ่นหอมนั้นออก แล้วให้เย็บเป็นสองชั้น ให้ย้อมจนมีสีดังแผ่นทองคำห่ม. ในกาลนั้น ภิกษุประมาณ ๓๐๐ รูป ออกจากกรุงราชคฤห์ไปยังกรุงสาวัตถี ถวายบังคมพระศาสดา พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารแล้ว ได้ทูลให้ทรงทราบเรื่องราว แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระเทวทัตห่มผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระอรหันต์อันไม่สมควรแก่ตนอย่างนี้. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตนุ่งห่มผ้ากาสาวะ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ อันไม่สมควรแก่ตนในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้เมื่อก่อน เทวทัตก็นุ่งห่มแล้วเหมือนกัน ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.