More Related Content
Similar to 095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)
More from maruay songtanin (20)
095 มหาสุทัศนะชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
มหาสุทัสสนชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๕. มหาสุทัสสนชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๙๕)
ว่าด้วยพระเจ้ามหาสุทัศนะ
(พระราชาโพธิสัตว์ทรงพระนามว่ามหาสุทัศนะเมื่อจะสอนสุภัททาเทวี
จึงตรัสคาถานี้ว่า)
[๙๕] สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็ นธรรมดา ครั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
การเข้าไปสงบระงับสังขารเหล่านั้นเป็นความสุข
มหาสุทัสสนชาดกที่ ๕ จบ
--------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
มหาสุทัสสนชาดก
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็ นธรรมดา.
พระบรมศาสดาบรรทมเหนือแท่นปรินิพพาน
ทรงปรารภคาของพระอานนทเถระเจ้าที่ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าเสด็จปรินิพพาน ในพระนครเล็กๆ
นี้เลย. ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความย่อว่า เมื่อพระตถาคตเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ท่านพระสารีบุตรเถระเจ้าปรินิพพานแล้ว ณ ห้องที่ท่านเกิด ในหมู่บ้านนาลกะ
เมื่อวันเพ็ญเดือน ๑๒ พระมหาโมคคัลลานะปรินิพพานในวันอมาวสี (สิ้นเดือน)
ในกาฬปักษ์ของเดือน ๑๒ นั่นเอง. พระศาสดาทรงพระดาริว่า
เมื่อคู่อัครสาวกปรินิพพานแล้วอย่างนี้ แม้เราก็จักปรินิพพานในเมืองกุสินารา
เสด็จจาริกไปโดยลาดับในเมืองนั้น.
เสด็จบรรทมด้วยอนุฏฐานไสยาเหนือพระแท่น ผันพระเศียรทางอุตตรทิศ
ระหว่างไม้รังทั้งคู่.
ครั้งนั้น พระอานนทเถระเจ้ากราบทูลวิงวอนพระองค์ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าเสด็จปรินิพพาน ในเมืองเล็กๆ นี้
เป็นเมืองดอน เป็นเมืองเขิน เป็ นเมืองกิ่ง เชิญพระองค์เสด็จปรินิพพาน ณ
เมืองมหานครเมืองใดเมืองหนึ่ง
บรรดามหานครมีจัมปากะและราชคฤห์เป็นต้นอื่นๆ.
พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ เธออย่ากล่าวว่า นครนี้เป็นเมืองเล็กๆ
เมืองดอน เมืองกิ่ง. ครั้งก่อนในรัชกาลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ์สุทัสสนะ
เราอยู่ในเมืองนี้. ในครั้งนั้น เมืองนี้แวดล้อมด้วยกาแพง ๑๒ โยชน์
- 2. 2
เป็นมหานครมาแล้ว.
พระเถระเจ้ากราบทูลอาราธนา ทรงนาเอาเรื่องในอดีตมาสาธก.
มหาสุทัสสนสูตร ดังต่อไปนี้ :-
ก็ในครั้งนั้น
เมื่อพระนางสุภัททาเทวีทอดพระเนตรเห็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะเสด็จลงจากปราส
าทสุธัมมา เสด็จบรรทมโดยอนุฏฐานไสยา โดยพระปรัศว์เบื้องขวา
เหนือพระแท่นอันสมควรล้วนแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ
อันราชบุรุษจัดไว้ในป่าตาลไม่ไกลนัก. จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม
พระนครแปดหมื่นสี่พัน มีราชธานีกุสาวดี
เป็นประมุขเหล่านี้เป็ นของทูลกระหม่อม โปรดพอพระทัยในพระนครเหล่านี้เถิด.
พระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสว่า เทวี อย่าได้พูดอย่างนี้เลย
จงตักเตือนเราอย่างนี้เถิดว่า พระองค์จงกาจัดความพอใจในพระนครเหล่านี้เสีย
ให้จงได้เถิด. อย่าทรงกระทาความเพ่งเล็งเลย.
พระเทวีทูลถามว่า เพราะเหตุไรเล่า พระเจ้าข้า?
ตรัสว่า เราจักต้องตายในวันนี้.
ทันใดนั้น พระเทวีทรงพระกรรแสง เช็ดพระเนตร
ตรัสคาอย่างนั้นกะพระเจ้ามหาสุทัสสนะ โดยยากลาบาก
เอาแต่ทรงพระกรรแสงร่าไห้ เหล่าสตรีแปดหมื่นสี่พันนาง
แม้ที่เหลือก็พากันร้องไห้ร่าไร
ถึงในหมู่อามาตย์เป็นต้นแม้คนเดียวก็ไม่อาจอดกลั้นความโศกไว้ได้
ต่างร้องไห้ระงมทั่วกัน. พระโพธิสัตว์ห้ามคนทั้งหมดว่า อย่าเลยพนาย
อย่าได้ส่งเสียงคร่าครวญไปเลย เพราะสังขารที่ชื่อว่า เที่ยง แม้เท่าเมล็ดงาไม่มีเลย
ทุกอย่างไม่เที่ยง มีความแตกดับเป็นธรรมดา ทั้งนั้น.
เมื่อจะทรงสั่งสอนพระเทวี ตรัสพระคาถานี้ ความว่า
อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตส วูปสโม สุโขติ ฯ
“สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้น
และความเสื่อมไปเป็ นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้น เสียได้เป็นสุข” ดังนี้.
ดูก่อนสุภัททาเทวีผู้เจริญ สังขารทั้งหลายมีขันธ์และอายตนะเป็นต้น
อันปัจจัยมีประมาณเท่าใด มาประชุมก่อกาเนิดไว้ ทั้งหมดนั้น
ชื่อว่าไม่เที่ยงไปทั้งหมด เพราะบรรดาสังขารเหล่านี้ รูปไม่เที่ยง ฯลฯ
วิญญาณไม่เที่ยง จักษุไม่เที่ยง ฯลฯ ธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง. รวมความว่า
- 3. 3
สิ่งที่ยังความยินดีให้เกิด ทั้งที่มีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้ มีอันใดบ้าง
อันนั้นทั้งหมด ไม่เที่ยงทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ จงกาหนดถือเอาว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ.
เพราะเหตุไร?
เพราะเป็ นอุปปาทวยธรรม คือ
เพราะสังขารเหล่านี้ทั้งหมดมีความเกิดขึ้นเป็ นธรรมดาด้วย
และมีความเสื่อมเป็นธรรมดาด้วย
ล้วนมีความเกิดขึ้นและความแตกดับเป็ นสภาวะทั้งนั้น เพราะเหตุนั้น
บัณฑิตพึงทราบเถิดว่า เป็นของไม่เที่ยง ก็เพราะไม่เที่ยง จึงเกิดแล้วก็ดับ
คือแม้จะเกิดแล้ว ถึงความดารงอยู่ได้ ก็ต้องดับทั้งนั้น.
แท้จริง สังขารเหล่านี้ทุกอย่างกาลังเกิด ชื่อว่าย่อมเกิดขึ้น. กาลังสลาย
ชื่อว่าย่อมดับ. เมื่อความเกิดขึ้นแห่งสังขารเหล่านั้น มีอยู่ ชื่อว่าฐีติ จึงมีได้.
เมื่อฐีติมีอยู่ ชื่อว่าภังคะ จึงมีได้. เพราะเมื่อสังขารไม่เกิดขึ้น ฐีติก็มีไม่ได้.
ฐีติขณะปรากฏแล้ว ชื่อว่าความไม่แตกดับ ก็ไม่มี. เพราะฉะนั้น
สังขารแม้ทั้งหมด ถึงขณะทั้ง ๓ แล้วก็ย่อมดับไป ในขณะนั้นๆ เอง.
เพราะเหตุนั้น สังขารเหล่านี้แม้ทั้งหมดจึงเป็นของไม่เที่ยง เป็นไปชั่วขณะ
เป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ยั่งยืน เปื่อยเน่า หวั่นไหว โยกคลอน ตั้งอยู่ได้ไม่นาน
แปรผันได้ เป็นของชั่วคราว ไร้สาระ เป็ นเช่นกับของหลอกลวง
พยับแดดและฟองน้า ด้วยอรรถว่า เป็ นของเป็นไปชั่วขณะ.
ดูก่อนสุภัททาเทวีผู้เจริญ เพราะเหตุไร เธอจึงยังสุขสัญญา
(ความสาคัญว่าเป็ นสุข) ให้บังเกิดขึ้นในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นเล่า
อย่าได้ถือเอาอย่างนั้นเลย.
ดูก่อนพระนางสุภัททาเทวีผู้เจริญ
สภาพที่ชื่อว่าระงับเสียซึ่งสังขารเหล่านั้น เพราะระงับดับเสียได้ซึ่งวัฏฏะทั้งมวล
ได้แก่พระนิพพาน และพระนิพพานนี้อย่างเดียวเท่านั้น
ชื่อว่าเป็นสุขโดยส่วนเดียว อื่นๆ ที่จะชื่อว่าเป็นสุขไม่มีเลย ดังนี้.
พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงถือเอายอดแห่งเทศนาด้วยอมตมหานิพพาน
ด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงประทานโอวาท แม้แก่มหาชนที่เหลือว่า
ท่านทั้งหลายจงให้ทาน จงรักษาศีล จงกระทาอุโบสถกรรม ดังนี้แล้ว
ได้เป็นผู้มีเทวโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
สุภัททาเทวีในครั้งนั้น ได้มาเป็น ราหุลมารดา.
ขุนพลแก้ว ได้มาเป็ น พระราหุล.
ส่วนพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.