ใบความรู้
                                     เรือง การเคลือนทีของวัตถุ

        การเคลือนที เป็ นผลจากแรงทีไปกระทําต่อวัตถุแล้วทําให้วตถุเคลือนทีไป ปริ มาณทีเกียวข้อง
                                                                   ั
กับการเคลือนที เช่น ระยะทาง เวลา อัตราเร็ ว อัตราเร่ ง ตัวอย่างการเคลือนทีในหนึงมิติการเคลือนที
ของรถยนต์

                          เริมต้ น                           เมือเคลือนที




                        การเคลือนทีของรถยนต์ ไปข้ างหน้ าในแนวเส้ นตรง


        การปล่ อยวัตถุให้ ตกในแนวดิง
        เมือปล่อยวัตถุให้ตกในแนวดิง จะเห็นว่าวัตถุจะเคลือนทีได้ระยะทางมากขึนเมือเวลาผ่านไป
นานขึน เนืองจากแรงดึงดูดของโลกจะทําให้วตถุมีความเร่ งในการเคลือนที ดังรู ป
                                         ั

                                     การปล่อยวัตถุให้ตกในแนวดิงจะมีแรงดึงดูด
                                     ของโลกมาเกียวข้องทําให้วตถุตกให้เร็ วขึน
                                                             ั
การโยนวัตถุขึนตรง ๆ
         เมือโยนวัตถุขึนตรง ๆ จะเห็นว่าวัตถุจะเคลือนทีได้ระยะทางน้อยลงเมือเวลาผ่านไป
นานขึน เนืองจากต้องเคลือนทีต้านแรงดึงดูดของโลก

                                   การโยนลูกบอลขึนตรง ๆ ลูกบอล
                                   จะเคลือนทีต้านแรงดึงดูดของโลก



       ดังนัน การเคลือนทีจึงหมายถึง การเปลียนแปลงตําแหน่งของวัตถุต่าง ๆ เมือเวลาเปลียนไป




                                   การสั นและแกว่ งของวัตถุ

           การเคลือนทีในแนวดิง หมายถึงการปล่อยให้วตถุตกลงสู่ พืนดินโดยไม่มีแรงใดมากระทํา
                                                         ั
               ่
ต่อวัตถุนนไม่วาจะเป็ นผลัก แรงต้าน เรี ยกการตกแบบนีเรี ยกว่าการตกอย่างอิสระ เช่นการตกของผลไม้
         ั
ทีหลุดจากขัวลงสู่ พืนดิน
         การตกแบบอิสระนีจะมีแรงทีมาเกียวข้อง คือ แรงโน้มถ่วงของโลก ทําให้วตถุตกลงสู่ พืน
                                                                                ั
โลกเกิดความเร่ งประมาณ 9.8 เมตร/วินาที2 นันคือการตกของวัตถุมีความเร็ วไม่คงทีจะเปลียนไป
ทุกวินาที กล่าวคือวัตถุจะมีความเร็ วเพิมขึน และจะมีความเร็ วทีมากทีสุ ดตอนกระทบพืนโลก
           การเคลือนทีในแนวดิงทีคุนเคยกันมาก คือ การตกของวัตถุลงสู่ พืนโลกหรื อการโยนวัตถุ
                                     ้
ขึนไปตรง ๆ ในแนวดิงนันเอง โดยทัวไปการตกของวัตถุทุกชนิดจะมีแรงต้านของอากาศ ซึ งจะมาก
                 ่ ั
หรื อน้อยขึนอยูกบรู ปร่ างและอัตราเร็ วของวัตถุ ถ้าวัตถุมีมวลมากและรู ปทรงทีเหมาะสม เช่นทรงกลม
                                                                        ่
ทรงรี และตกจากทีไม่สูงมากนัก แรงต้านจากอากาศจะมีนอยมาก ถือได้วาไม่มีผลต่อการตกของวัตถุ
                                                           ้
ในการเคลือนทีของวัตถุทีตกอย่างอิสระ สามารถพิจารณาได้ดงนี   ั
          วัตถุตกจากทีสู งจะมีแรงชนิดหนึงทีเรี ยกกันว่าแรงโน้มถ่วงของโลก ทําให้วตถุตกลงมาด้วย
                                                                                  ั
ความเร่ งคงตัวเท่ากับ 9.8 เมตรต่อวินาที2 เพือความเหมาะสมในการคํานวณ ความเร่ งคงตัวทีเกิดจาก
แรงโน้มถ่วงของโลกทีเราอาจให้เท่ากับ 10 เมตรต่อวินาที2 ก็ได้
          ถ้านักเรี ยนโยนวัตถุขึนไปตรง ๆ นักเรี ยนจะพบว่าวัตถุเคลือนทีช้าลงเรื อย ๆ จนหยุด และ
ตกลงมาไม่วานักเรี ยนจะออกแรงโยนวัตถุขนาดไหนก็ตาม จะแตกต่างกันทีว่า ถ้าออกแรงมากวัตถุก็
             ่
จะขึนไปสู งมาก ถ้าออกแรงน้อยวัตถุก็จะขึนไปสู งน้อยกว่าทีเป็ นเช่นนีเพราะว่ามีแรงโน้มถ่วงของโลก
มากรทําต่อวัตถุ ซึ งพิจารณาได้เป็ น 2 ลักษณะ คือ
          1. ขณะทีวัตถุเคลือนทีขึนในอากาศ จะถูกแรงโน้มถ่วงของโลกทําให้เกิดความเร่ ง – 9.8
เมตรต่อวินาที2 (ความเร่ งมีเครื องหมายลบ ก็คือความหน่วงนันเอง) ทําให้วตถุเคลือนทีช้าลงอย่าง
                                                                        ั
สมําเสมอจนหยุดทีจุดสู งสุ ด คือมีอตราเร็ วเป็ นศูนย์
                                   ั
          2. ขณะทีวัตถุเคลือนทีลงจะถูกแรงโน้มถ่วงของโลกมากระทําให้วตถุเกิดความเร่ งเท่ากับ
                                                                          ั
9.8 เมตรต่อวินาที2 จนกระทังวัตถุตกลงสู่ พืนดิน

        กฎแห่ งความโน้ มถ่ วงของโลก
        กฎแห่งความโน้มถ่วงของโลก กล่าวว่า วัตถุทุกชนิดล้วนมีแรงดึงดูดซึ งกันและกัน
กฎนีค้นพบโดย ไอแซกนิวตัน (พ.ศ. 2485 – 2270)

             แรงโน้ มถ่ วงของโลก (Gravitation Force)
             แรงโน้มถ่วงของโลก คือ แรงดึงดูดทีมวลของโลกกระทํากับมวลของวัตถุเพือดึงดูดวัตถุนนั
เข้าสู่ ศูนย์กลางโลก โดยทีมวลของโลกคงที ดังนันแรงดึงดูดของโลกจะเพิมมากขึนหรื อลดลงนันจึง
         ่ ั
ขึนอยูกบมวลของวัตถุ ถ้ามวลของวัตถุเพิมขึน แรงโน้มถ่วงของโลกกับมวลของวัตถุจะมากขึน
             นิวตัน เป็ นหน่วยของแรงทีทําให้วตถุเกิดการเปลียนแปลง
                                             ั
             แรง 1 นิวตัน หมายถึง แรงทีทําให้วตถุมวล 1 กิโลกรัม เคลือนทีด้วยความเร็ ว
                                                 ั
1 เมตร / (วินาที)2
                                  F = ma
                           เมือ F    = แรง (นิวตัน หรื อ กิโลกรัม × เมตร / (วินาที)2
                                m = มวลของวัตถุ (กิโลกรัม)
                                a = ความเร่ งของวัตถุ (เมตร / (วินาที)2
                                               ่
                  อากาศส่ วนใหญ่ทีห่อหุ มโลกอยูไม่ลอยหนีไปในอวกาศเป็ นเพราะว่ามีแรงโน้มถ่วง
                                        ้
ของโลกซึ งแตกต่างจากดวงจันทร์ ทีเป็ นบริ วารของโลก มีอากาศห่อหุ มน้อยมาก เพราะดวงจันทร์
                                                                  ้
มีแรงโน้มถ่วงตํากว่า
                                             ่ ั                             ่ ั
          แรงโน้มถ่วงของโลก นอกจากจะขึนอยูกบขนาดของมวลวัตถุแล้ว ยังขึนอยูกบระยะห่ างจาก
จุดศูนย์กลางของโลกอีกด้วย ดังตาราง
          นําหนักของวัตถุ (Weight) แรงโน้มถ่วงระหว่างมวลของโลกกับมวลของวัตถุชินใด
มีค่าเท่ากับนําหนักของวัตถุชินนัน นันคือ นําหนักของวัตถุเกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลกกระทําต่อ
มวลของวัตถุ เขียนเป็ นความสัมพันธ์ได้ดงนี
                                        ั
                                                     w = mg
                    เมือ w = นําหนักของวัตถุ มีหน่วยเป็ นนิวตัน (N)
                        m = มวลของวัตถุ มีหน่วยเป็ นกิโลกรัม (kg)
                                    g = ความเร่ งเนืองจากแรงโน้มถ่วงของโลก มี
                                         ค่าประมาณ 9.8 m/sce2
             ∴   วัตถุมีมวล 1 kg จะมีนาหนัก
                                      ํ           = 1 kg   ×   9.8 m/ sce2
                                                 = 9.8 kg.m/ sce2
                                                 = 9.8 N
ตารางแสดงค่ าแรงโน้ มถ่ วงของโลกทีกระทําต่ อมวลวัตถุทีระดับต่ าง ๆ


         ระยะทางจากจุดศูนย์ กลางของโลก                    ค่ าแรงโน้ มถ่ วงของโลก
                     (กิโลกรัม)                      (จํานวนเท่ าของแรงทีพืนผิวโลก)
                    1 × 6,370*                                        1
                    2 × 6,370                                         1/4
                    3 × 6,370                                         1/9
                    4 × 6,370                                        1/16
                    5 × 6,370                                        1/25
                    6 × 6,370                                        1/36
                    7 × 6,370                                        1/49
                     8 × 6,370                                       1/64
                    9 × 6,370                                        1/81
                    10 × 6,370                                       1/100
              * รัศมีของโลก
          เมือเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางจากจุดศูนย์กลางของโลก และค่าแรง
โน้มถ่วงของโลก โดยให้แกนตังแสดงค่าแรงโน้มถ่วงของโลกและแกนนอนแสดงระยะทางจาก
จุดศูนย์กลางของโลก ระยะทางจากจุดศูนย์กลางของโลก 11 × 6,730 กิโลเมตร
         ค่าแรงโน้มถ่วงของโลกจะเป็ น 1 / 121 เท่าของแรงทีพืนผิวโลก
                          ่
         จากตารางสรุ ปได้วา
           1. แรงโน้มถ่วงของโลกทีกระทําต่อมวลของวัตถุระดับความสู งต่าง ๆ กันของโลก
แปรผกผันกับกําลังสองของระยะทางจากวัตถุถึงจุดศูนย์กลางของโลก
                                                            ่ ั
               2. แรงโน้มถ่วงของโลกทีกระทําต่อมวลวัตถุขึนอยูกบมวลของวัตถุและระยะ
             ั
ระหว่างวัตถุกบจุดศูนย์กลางของโลก
การเคลือนทีแบบโพรเจกไทล์
                เมือปล่อยให้วตถุตกแบบเสรี ทีความสู งระดับหนึง การเคลือนทีของวัตถุจะอยูใน
                                ั                                                              ่
แนวดิงซึ งเป็ นการเคลือนทีในแนวตรง ส่ วนในกรณี ทีวัตถุถูกทําให้เริ มเคลือนทีไปในแนวระดับนัน
ขณะเดียวกันจะตกแบบเสรี ดวยการเคลือนทีตกลงสู่ พืนของวัตถุจะอยูในแนวโค้ง ซึ งเรี ยกลักษณะการ
                              ้                                          ่
                                                                             ่
เคลือนทีกรณี หลังนีว่าการเคลือนทีแบบโพรเจกไทล์นกเรี ยนจะเห็นได้วาวัตถุซึงเคลือนทีแบบโพรเจก
                                                         ั
ไทล์นนประกอบด้วยการเคลือนทีทังในแนวดิงและแนวระดับพร้อม ๆ กัน
         ั
           การเคลือนทีแบบวงกลม
                เมือนักเรี ยนนําเชือกผูกกับวัตถุแล้วเหวียงเป็ นวงกลม ดังภาพนักเรี ยนจะพบว่าขณะที
                                                 นักเรี ยนเหวียงวัตถุนนเชื อกทีผูกติดกับวัตถุจะขึงตึง
                                                                       ั
                                                 ตลอดเวลาทังนีเพราะเราออกแรงตึงเชือกและเชื อกก็
                                                 ออกแรงดึงวัตถุแรงทีเกิดขึนในเส้นเชือกนีเราเรี ยกว่า
                                                 แรงตึงเชือก (T) และทิศทางของแรงตึงเชื อกทีกระทํา
                                                 ต่อวัตถุ จะมีทิศพุงเข้าสู่ จุดศูนย์กลางของการเคลือนที
                                                                   ่
                                                 ซึ งเราเรี ยกลักษณะการเคลือนทีเช่นนี ว่า การเคลือนที
                                                 แบบวงกลมวัตถุจะเคลือนทีแบบนีได้ตองมีแรงกระทํา
                                                                                          ้
                                                 ต่อวัตถุในทิศทางพุงเข้าสู่ จุดศูนย์กลางของการเคลือนที
                                                                     ่
เสมอตัวอย่างการเคลือนทีแบบวงกลมคือชิงช้าสวรรค์มอเตอร์ ไซค์ไต่ถงรถเลียวโค้งดาวเทียมโคจรโลก
                                                                           ั
           การเคลือนทีบนทางโค้ ง
                รถยนต์หรื อรถจักรยานซึ งแล่นบนถนนราบตรงจะมีแรงเสี ยดทานระหว่างยางรถกับ
พืนถนนในทิศเดียวกันกับการเคลือนที ซึ งช่วยให้รถยนต์เคลือนทีไปข้างหน้า แต่เมือรถเลียวโค้ง
จะต้องมีแรงสู่ ศูนย์กลางกระทําต่อรถ มิฉะนันแนวการเคลือนทีของรถจะยังคงต้องเป็ นเส้นตรงนันคือ
รถจะแล่นออกนอกทางโค้งทีเรี ยกกันทัวไปว่ารถแหกโค้ง ในกรณี ทีรถสามารถแล่นเลียวโค้งได้
แสดงว่ามีแรงเสี ยดทานระหว่างยางรถกับพืนถนนในแนวทีพุงเข้าสู่ ศูนย์กลางของการเลียวโค้ง
                                                                 ่
แรงสู่ ศูนย์กลางทีทําให้รถแล่นเลียวโค้ง คือแรงเสี ยดทาน
           การเคลือนทีแบบซิมเปิ ลฮาร์ มอนิก
                  ลักษณะของการเคลือนทีแบบฮาร์ มอนิกอย่างง่าย จะเป็ นการเคลือนทีทีมีลกษณะ     ั
พิเศษ คือวัตถุจะเคลือนทีกลับไปกลับมาทีเราเรี ยกว่า แกว่ง หรื อ สัน การเคลือนทีแบบนีจะเป็ นการ
             ่
เคลือนทีอยูในช่วงสันๆ มีขอบเขตจํากัด เราเรี ยกว่า แอมพลิจูด (Amplitude) โดยนับจากตําแหน่งสมดุล
       ่
ซึ งอยูตรงจุดกลางวัดไปทางซ้ายหรื อขวา เช่น การแกว่งของชิงช้า หรื อยานไวกิงในสวนสนุก
การเคลือนทีแบบวงกลม
                เป็ นการเคลือนทีของวัตถุรอบจุดๆหนึง โดยมีรัศมีคงที การเคลือนทีเป็ นวงกลม ทิศทาง
ของการเคลือนทีจะเปลียนแปลงตลอดเวลา ความเร็ วของวัตถุจะเปลียนไปตลอดเวลา ทิศของแรงที
กระทําจะตังฉากกับทิศของการเคลือนทีแรงทีกระทําต่อวัตถุจะมีทิศทางเข้าสู่ ศูนย์กลาง เราจึงเรี ยกว่า
“แรงสู่ ศูนย์กลาง” ในขณะเดียวกัน จะมีแรงต้านทีไม่ให้วตถุเข้าสู่ ศูนย์กลาง เราเรี ยกว่า “แรงหนี
                                                       ั
ศูนย์กลาง” แรงหนีศูนย์กลางจะเท่ากับแรงสู่ ศูนย์กลาง วัตถุจึงจะเคลือนทีเป็ นวงกลมได้
การเคลื่อนที่ของวัตถุ

การเคลื่อนที่ของวัตถุ

  • 1.
    ใบความรู้ เรือง การเคลือนทีของวัตถุ การเคลือนที เป็ นผลจากแรงทีไปกระทําต่อวัตถุแล้วทําให้วตถุเคลือนทีไป ปริ มาณทีเกียวข้อง ั กับการเคลือนที เช่น ระยะทาง เวลา อัตราเร็ ว อัตราเร่ ง ตัวอย่างการเคลือนทีในหนึงมิติการเคลือนที ของรถยนต์ เริมต้ น เมือเคลือนที การเคลือนทีของรถยนต์ ไปข้ างหน้ าในแนวเส้ นตรง การปล่ อยวัตถุให้ ตกในแนวดิง เมือปล่อยวัตถุให้ตกในแนวดิง จะเห็นว่าวัตถุจะเคลือนทีได้ระยะทางมากขึนเมือเวลาผ่านไป นานขึน เนืองจากแรงดึงดูดของโลกจะทําให้วตถุมีความเร่ งในการเคลือนที ดังรู ป ั การปล่อยวัตถุให้ตกในแนวดิงจะมีแรงดึงดูด ของโลกมาเกียวข้องทําให้วตถุตกให้เร็ วขึน ั
  • 2.
    การโยนวัตถุขึนตรง ๆ เมือโยนวัตถุขึนตรง ๆ จะเห็นว่าวัตถุจะเคลือนทีได้ระยะทางน้อยลงเมือเวลาผ่านไป นานขึน เนืองจากต้องเคลือนทีต้านแรงดึงดูดของโลก การโยนลูกบอลขึนตรง ๆ ลูกบอล จะเคลือนทีต้านแรงดึงดูดของโลก ดังนัน การเคลือนทีจึงหมายถึง การเปลียนแปลงตําแหน่งของวัตถุต่าง ๆ เมือเวลาเปลียนไป การสั นและแกว่ งของวัตถุ การเคลือนทีในแนวดิง หมายถึงการปล่อยให้วตถุตกลงสู่ พืนดินโดยไม่มีแรงใดมากระทํา ั ่ ต่อวัตถุนนไม่วาจะเป็ นผลัก แรงต้าน เรี ยกการตกแบบนีเรี ยกว่าการตกอย่างอิสระ เช่นการตกของผลไม้ ั ทีหลุดจากขัวลงสู่ พืนดิน การตกแบบอิสระนีจะมีแรงทีมาเกียวข้อง คือ แรงโน้มถ่วงของโลก ทําให้วตถุตกลงสู่ พืน ั โลกเกิดความเร่ งประมาณ 9.8 เมตร/วินาที2 นันคือการตกของวัตถุมีความเร็ วไม่คงทีจะเปลียนไป ทุกวินาที กล่าวคือวัตถุจะมีความเร็ วเพิมขึน และจะมีความเร็ วทีมากทีสุ ดตอนกระทบพืนโลก การเคลือนทีในแนวดิงทีคุนเคยกันมาก คือ การตกของวัตถุลงสู่ พืนโลกหรื อการโยนวัตถุ ้ ขึนไปตรง ๆ ในแนวดิงนันเอง โดยทัวไปการตกของวัตถุทุกชนิดจะมีแรงต้านของอากาศ ซึ งจะมาก ่ ั หรื อน้อยขึนอยูกบรู ปร่ างและอัตราเร็ วของวัตถุ ถ้าวัตถุมีมวลมากและรู ปทรงทีเหมาะสม เช่นทรงกลม ่ ทรงรี และตกจากทีไม่สูงมากนัก แรงต้านจากอากาศจะมีนอยมาก ถือได้วาไม่มีผลต่อการตกของวัตถุ ้
  • 3.
    ในการเคลือนทีของวัตถุทีตกอย่างอิสระ สามารถพิจารณาได้ดงนี ั วัตถุตกจากทีสู งจะมีแรงชนิดหนึงทีเรี ยกกันว่าแรงโน้มถ่วงของโลก ทําให้วตถุตกลงมาด้วย ั ความเร่ งคงตัวเท่ากับ 9.8 เมตรต่อวินาที2 เพือความเหมาะสมในการคํานวณ ความเร่ งคงตัวทีเกิดจาก แรงโน้มถ่วงของโลกทีเราอาจให้เท่ากับ 10 เมตรต่อวินาที2 ก็ได้ ถ้านักเรี ยนโยนวัตถุขึนไปตรง ๆ นักเรี ยนจะพบว่าวัตถุเคลือนทีช้าลงเรื อย ๆ จนหยุด และ ตกลงมาไม่วานักเรี ยนจะออกแรงโยนวัตถุขนาดไหนก็ตาม จะแตกต่างกันทีว่า ถ้าออกแรงมากวัตถุก็ ่ จะขึนไปสู งมาก ถ้าออกแรงน้อยวัตถุก็จะขึนไปสู งน้อยกว่าทีเป็ นเช่นนีเพราะว่ามีแรงโน้มถ่วงของโลก มากรทําต่อวัตถุ ซึ งพิจารณาได้เป็ น 2 ลักษณะ คือ 1. ขณะทีวัตถุเคลือนทีขึนในอากาศ จะถูกแรงโน้มถ่วงของโลกทําให้เกิดความเร่ ง – 9.8 เมตรต่อวินาที2 (ความเร่ งมีเครื องหมายลบ ก็คือความหน่วงนันเอง) ทําให้วตถุเคลือนทีช้าลงอย่าง ั สมําเสมอจนหยุดทีจุดสู งสุ ด คือมีอตราเร็ วเป็ นศูนย์ ั 2. ขณะทีวัตถุเคลือนทีลงจะถูกแรงโน้มถ่วงของโลกมากระทําให้วตถุเกิดความเร่ งเท่ากับ ั 9.8 เมตรต่อวินาที2 จนกระทังวัตถุตกลงสู่ พืนดิน กฎแห่ งความโน้ มถ่ วงของโลก กฎแห่งความโน้มถ่วงของโลก กล่าวว่า วัตถุทุกชนิดล้วนมีแรงดึงดูดซึ งกันและกัน กฎนีค้นพบโดย ไอแซกนิวตัน (พ.ศ. 2485 – 2270) แรงโน้ มถ่ วงของโลก (Gravitation Force) แรงโน้มถ่วงของโลก คือ แรงดึงดูดทีมวลของโลกกระทํากับมวลของวัตถุเพือดึงดูดวัตถุนนั เข้าสู่ ศูนย์กลางโลก โดยทีมวลของโลกคงที ดังนันแรงดึงดูดของโลกจะเพิมมากขึนหรื อลดลงนันจึง ่ ั ขึนอยูกบมวลของวัตถุ ถ้ามวลของวัตถุเพิมขึน แรงโน้มถ่วงของโลกกับมวลของวัตถุจะมากขึน นิวตัน เป็ นหน่วยของแรงทีทําให้วตถุเกิดการเปลียนแปลง ั แรง 1 นิวตัน หมายถึง แรงทีทําให้วตถุมวล 1 กิโลกรัม เคลือนทีด้วยความเร็ ว ั 1 เมตร / (วินาที)2 F = ma เมือ F = แรง (นิวตัน หรื อ กิโลกรัม × เมตร / (วินาที)2 m = มวลของวัตถุ (กิโลกรัม) a = ความเร่ งของวัตถุ (เมตร / (วินาที)2 ่ อากาศส่ วนใหญ่ทีห่อหุ มโลกอยูไม่ลอยหนีไปในอวกาศเป็ นเพราะว่ามีแรงโน้มถ่วง ้ ของโลกซึ งแตกต่างจากดวงจันทร์ ทีเป็ นบริ วารของโลก มีอากาศห่อหุ มน้อยมาก เพราะดวงจันทร์ ้
  • 4.
    มีแรงโน้มถ่วงตํากว่า ่ ั ่ ั แรงโน้มถ่วงของโลก นอกจากจะขึนอยูกบขนาดของมวลวัตถุแล้ว ยังขึนอยูกบระยะห่ างจาก จุดศูนย์กลางของโลกอีกด้วย ดังตาราง นําหนักของวัตถุ (Weight) แรงโน้มถ่วงระหว่างมวลของโลกกับมวลของวัตถุชินใด มีค่าเท่ากับนําหนักของวัตถุชินนัน นันคือ นําหนักของวัตถุเกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลกกระทําต่อ มวลของวัตถุ เขียนเป็ นความสัมพันธ์ได้ดงนี ั w = mg เมือ w = นําหนักของวัตถุ มีหน่วยเป็ นนิวตัน (N) m = มวลของวัตถุ มีหน่วยเป็ นกิโลกรัม (kg) g = ความเร่ งเนืองจากแรงโน้มถ่วงของโลก มี ค่าประมาณ 9.8 m/sce2 ∴ วัตถุมีมวล 1 kg จะมีนาหนัก ํ = 1 kg × 9.8 m/ sce2 = 9.8 kg.m/ sce2 = 9.8 N
  • 5.
    ตารางแสดงค่ าแรงโน้ มถ่วงของโลกทีกระทําต่ อมวลวัตถุทีระดับต่ าง ๆ ระยะทางจากจุดศูนย์ กลางของโลก ค่ าแรงโน้ มถ่ วงของโลก (กิโลกรัม) (จํานวนเท่ าของแรงทีพืนผิวโลก) 1 × 6,370* 1 2 × 6,370 1/4 3 × 6,370 1/9 4 × 6,370 1/16 5 × 6,370 1/25 6 × 6,370 1/36 7 × 6,370 1/49 8 × 6,370 1/64 9 × 6,370 1/81 10 × 6,370 1/100 * รัศมีของโลก เมือเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางจากจุดศูนย์กลางของโลก และค่าแรง โน้มถ่วงของโลก โดยให้แกนตังแสดงค่าแรงโน้มถ่วงของโลกและแกนนอนแสดงระยะทางจาก จุดศูนย์กลางของโลก ระยะทางจากจุดศูนย์กลางของโลก 11 × 6,730 กิโลเมตร ค่าแรงโน้มถ่วงของโลกจะเป็ น 1 / 121 เท่าของแรงทีพืนผิวโลก ่ จากตารางสรุ ปได้วา 1. แรงโน้มถ่วงของโลกทีกระทําต่อมวลของวัตถุระดับความสู งต่าง ๆ กันของโลก แปรผกผันกับกําลังสองของระยะทางจากวัตถุถึงจุดศูนย์กลางของโลก ่ ั 2. แรงโน้มถ่วงของโลกทีกระทําต่อมวลวัตถุขึนอยูกบมวลของวัตถุและระยะ ั ระหว่างวัตถุกบจุดศูนย์กลางของโลก
  • 6.
    การเคลือนทีแบบโพรเจกไทล์ เมือปล่อยให้วตถุตกแบบเสรี ทีความสู งระดับหนึง การเคลือนทีของวัตถุจะอยูใน ั ่ แนวดิงซึ งเป็ นการเคลือนทีในแนวตรง ส่ วนในกรณี ทีวัตถุถูกทําให้เริ มเคลือนทีไปในแนวระดับนัน ขณะเดียวกันจะตกแบบเสรี ดวยการเคลือนทีตกลงสู่ พืนของวัตถุจะอยูในแนวโค้ง ซึ งเรี ยกลักษณะการ ้ ่ ่ เคลือนทีกรณี หลังนีว่าการเคลือนทีแบบโพรเจกไทล์นกเรี ยนจะเห็นได้วาวัตถุซึงเคลือนทีแบบโพรเจก ั ไทล์นนประกอบด้วยการเคลือนทีทังในแนวดิงและแนวระดับพร้อม ๆ กัน ั การเคลือนทีแบบวงกลม เมือนักเรี ยนนําเชือกผูกกับวัตถุแล้วเหวียงเป็ นวงกลม ดังภาพนักเรี ยนจะพบว่าขณะที นักเรี ยนเหวียงวัตถุนนเชื อกทีผูกติดกับวัตถุจะขึงตึง ั ตลอดเวลาทังนีเพราะเราออกแรงตึงเชือกและเชื อกก็ ออกแรงดึงวัตถุแรงทีเกิดขึนในเส้นเชือกนีเราเรี ยกว่า แรงตึงเชือก (T) และทิศทางของแรงตึงเชื อกทีกระทํา ต่อวัตถุ จะมีทิศพุงเข้าสู่ จุดศูนย์กลางของการเคลือนที ่ ซึ งเราเรี ยกลักษณะการเคลือนทีเช่นนี ว่า การเคลือนที แบบวงกลมวัตถุจะเคลือนทีแบบนีได้ตองมีแรงกระทํา ้ ต่อวัตถุในทิศทางพุงเข้าสู่ จุดศูนย์กลางของการเคลือนที ่ เสมอตัวอย่างการเคลือนทีแบบวงกลมคือชิงช้าสวรรค์มอเตอร์ ไซค์ไต่ถงรถเลียวโค้งดาวเทียมโคจรโลก ั การเคลือนทีบนทางโค้ ง รถยนต์หรื อรถจักรยานซึ งแล่นบนถนนราบตรงจะมีแรงเสี ยดทานระหว่างยางรถกับ พืนถนนในทิศเดียวกันกับการเคลือนที ซึ งช่วยให้รถยนต์เคลือนทีไปข้างหน้า แต่เมือรถเลียวโค้ง จะต้องมีแรงสู่ ศูนย์กลางกระทําต่อรถ มิฉะนันแนวการเคลือนทีของรถจะยังคงต้องเป็ นเส้นตรงนันคือ รถจะแล่นออกนอกทางโค้งทีเรี ยกกันทัวไปว่ารถแหกโค้ง ในกรณี ทีรถสามารถแล่นเลียวโค้งได้ แสดงว่ามีแรงเสี ยดทานระหว่างยางรถกับพืนถนนในแนวทีพุงเข้าสู่ ศูนย์กลางของการเลียวโค้ง ่ แรงสู่ ศูนย์กลางทีทําให้รถแล่นเลียวโค้ง คือแรงเสี ยดทาน การเคลือนทีแบบซิมเปิ ลฮาร์ มอนิก ลักษณะของการเคลือนทีแบบฮาร์ มอนิกอย่างง่าย จะเป็ นการเคลือนทีทีมีลกษณะ ั พิเศษ คือวัตถุจะเคลือนทีกลับไปกลับมาทีเราเรี ยกว่า แกว่ง หรื อ สัน การเคลือนทีแบบนีจะเป็ นการ ่ เคลือนทีอยูในช่วงสันๆ มีขอบเขตจํากัด เราเรี ยกว่า แอมพลิจูด (Amplitude) โดยนับจากตําแหน่งสมดุล ่ ซึ งอยูตรงจุดกลางวัดไปทางซ้ายหรื อขวา เช่น การแกว่งของชิงช้า หรื อยานไวกิงในสวนสนุก
  • 7.
    การเคลือนทีแบบวงกลม เป็ นการเคลือนทีของวัตถุรอบจุดๆหนึง โดยมีรัศมีคงที การเคลือนทีเป็ นวงกลม ทิศทาง ของการเคลือนทีจะเปลียนแปลงตลอดเวลา ความเร็ วของวัตถุจะเปลียนไปตลอดเวลา ทิศของแรงที กระทําจะตังฉากกับทิศของการเคลือนทีแรงทีกระทําต่อวัตถุจะมีทิศทางเข้าสู่ ศูนย์กลาง เราจึงเรี ยกว่า “แรงสู่ ศูนย์กลาง” ในขณะเดียวกัน จะมีแรงต้านทีไม่ให้วตถุเข้าสู่ ศูนย์กลาง เราเรี ยกว่า “แรงหนี ั ศูนย์กลาง” แรงหนีศูนย์กลางจะเท่ากับแรงสู่ ศูนย์กลาง วัตถุจึงจะเคลือนทีเป็ นวงกลมได้