More Related Content
Similar to การให้ Enteral nutrition
Similar to การให้ Enteral nutrition (20)
More from techno UCH (20)
การให้ Enteral nutrition
- 4. 1. รับประทานเอง รวมถึงการให้อาหารเสริมหากอาหารปกติที่ได้รับยังไม่เพียงพอกับ
ความต้องการ การให้โภชนบาบัดแบบนี้ เป็นการให้ที่เหมือนกับธรรมชาติที่สุด
2. การให้อาหารทางสายให้อาหาร (enteral tube feeding) ให้อาหารเข้าสู่ทางเดิน
อาหารโดยผ่านท่อให้อาหาร ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ การใส่สายเข้าทางเดิน
อาหารโดยผ่านจมูก หรือสายสวนจมูก ได้แก่ nasogastric tube หรือ nasoenteric tube
feeding และการใส่สายให้อาหารผ่านทางหน้าท้อง ได้แก่ gastrostromy,
duodinostomy และ jejunostomy tube feeding
- 6. แม้ว่า การให้สารอาหารเสริมจะสามารถช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้แต่
วิธีการนี้ก็อาจจะมีความ เสี่ยงและข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจโดยหนึ่งใน
ความเสี่ยงก็คือขณะนี้ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าสารอาหารเหล่านั้น จะส่งผลต่อ
การเติบโตของมะเร็งอย่างไร นอกจากนี้ การให้สารอาหาร แต่ละวิธียังมีผลดีและ
ผลเสียต่างกัน เช่น การให้ผ่านระบบทางเดินอาหารจะทาให้กระเพาะและลาไส้
ทางานได้อย่างปกติและมีความยุ่งยากในการดาเนิน การน้อยกว่า การให้ทางเส้น
เลือดดังนั้นจึงควรมีการปรึกษากับคนไข้ในประเด็นเหล่านี้ก่อนทาการรักษา
- 7. น้าหนักตัวน้อย
ไม่สามารถดูดซึมอาหารได้
มีรูหรือการรั่วไหลในกระเพาะอาหารหรือช่องท้อง
ไม่สามารถดื่มหรือกินอาหารได้เป็นเวลานานกว่า5 วัน
มีความเสี่ยงของการขาดสารอาหารในระดับปานกลางขึ้นไป
ผู้ป่วยและผู้ดูแลสามารถดาเนินการให้อาหารทางสายยางได้ที่บ้าน
- 8. Enteral Nutrition (การให้สารอาหารผ่านระบบทางเดินอาหาร) ซึ่งการ
ให้สารอาหารวิธีนี้รวมถึงการให้สารอาหารทางสายยางด้วย
Enteral Nutrition คือการให้อาหารในรูปของเหลวให้แก่ผู้ป่วยผ่านทาง
สายยางที่ต่อเข้ากับกระเพาะอาหารหรือลาไส้เล็กซึ่งอาจจะอยู่ในรูปต่างๆ
- 10. Enteral Nutrition สามารถดาเนินการได้ในหลายรูปแบบ การให้อาหารผ่านทางสาย
ยางที่ต่อเข้ากับกระเพาะอาหารนั้นจะสามารถให้อาหารได้ทั้งในลักษณะต่อเนื่อง
หรือในลักษณะให้หลายๆ ครั้งต่อวัน ขณะที่การให้อาหารโดยต่อเข้ากับลาไส้เล็กนั้น
ทาให้ส่งผ่านอาหารได้อย่างต่อ เนื่องและสามารถเลือกสูตรของสารอาหารที่ให้ได้
ตามความเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยด้วย แม้ว่า Enteral Nutrition จะใช้ในกรณีที่
ไม่สามารถทานอาหารทางปากได้หรือทานได้ไม่เพียงพอ แต่วิธี การนี้ควรใช้เป็น
เพียงวิธีเสริมให้ผู้ป่วยสามารถได้รับอาหารได้อย่างเพียงพอเท่านั้น โดยผู้ป่วยควรที่จะ
พยายามรับ สารอาหารด้วยวิธีการปกติเท่าที่ผู้ป่วยจะสามารถทาได้ด้วย
- 11. Enteral Nutrition เหมาะสาหรับผู้ป่วยที่ยังมีการทางานของระบบ
ทางเดินอาหารอยู่
Enteral Nutrition เป็นวิธีการที่ยังคงใช้การทางานของกระเพาะและ
ลาไส้ของผู้ป่วยในการรับและย่อยอาหาร วิธีนี้เหมาะสาหรับผู้ป่วยมะเร็งบริเวณ
ศีรษะ คอ ระบบย่อยอาหารและผู้ป่วยที่มีข้อจากัดในการทานตามปกติ เนื่องมาจาก
ผลข้างเคียงของเคมีและรังสีบาบัด
- 13. Enternal Nutrition ต้องดาเนินการอย่างต่อเนื่องแม้ว่าผู้ป่วยจะออก
จากโรงพยาบาลแล้ว ในกรณีที่ผู้ป่วยจะต้องได้รับ Enteral Nutrition
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลจะต้องได้รับการฝึกฝนการใช้
สายยาง และการดูแลตัวผู้ป่วยนอกจากนี้ที่พักของผู้ป่วยจะต้องสะอาดและตัวผู้ป่วย
จะต้องได้รับการตรวจโดยทีมงานโภชนาการเป็นประจา
- 18. การถอด/ยกเลิก Parenteral Nutrition Support ควรดาเนินการ
โดยบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีประสบการณ์ การถอด/ยกเลิก Parenteral
Nutrition Support ควรดาเนินการภายใต้การดูแลโดยบุคลากรทาง
การแพทย์ โดย Parenteral Nutrition นี้ควรค่อยๆ ลดปริมาณลงก่อน
จะยกเลิกและเปลี่ยนไปให้อาหารโดยวิธีอื่น เช่น Enteral Nutrition หรือ
การให้อาหารทางปาก
- 23. ผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่าง ๆ บางคนสามารถรับประทานอาหารได้
ตามปกติ แต่บางคนรู้สึกเบื่ออาหาร รับประทานได้ปริมาณน้อย ไม่เพียงพอที่
ร่างกายต้องการ บางคนไม่สามารถรับประทานทางปากได้ บางคนมีปัญหา
ทางปาก และคอ และหลอดอาหาร หรือบางรายที่ได้รับอุบัติเหตุและไม่
รู้สึกตัว ไม่สามารถรับประทานอาหารเป็นเวลานาน แพทย์จะเป็นผู้พิจารณา
ว่าผู้ป่วยจาเป็นต้องได้รับอาหารทางสายให้อาหาร และใช้สูตรอาหารใด
ปริมาณเท่าใด เพื่อวัตถุประสงค์ที่สาคัญคือ ให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่มีพลังงาน
และปริมาณสารอาหารเพียงพอ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะทุพโภชนาการ และ
เมื่อผู้ป่วยได้รับอาหารเหมาะสมอย่างเพียง พอจะช่วยให้ฟื้นตัวจากการ
เจ็บป่วยได้เร็วขึน
- 24. อาหารทางสาย มีหลายแบบ พอจะจัดเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ
อาหารสูตรน้านมผสม (milk base formula)
อาหารสูตรนี้มีน้้านม และผลิตภัณฑ์ของน้้านมเป็นส่วนประกอบ
ส้าคัญ และอาจมีอาหารอื่นเพิ่มเพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหาร
เพียงพอ เช่น ไข่ ครีม น้้าตาล น้้ามันพืช น้้าผลไม้ เป็นต้น สัดส่วนของ
วัตถุดิบที่น้ามาใช้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับพลังงานและสารอาหารที่
แพทย์ก้าหนด ซึ่งนักก้าหนดอาหารจะค้านวณสูตรอาหารและจัดเตรียม
ให้ แต่ละโรงพยาบาลควรก้าหนดสูตร และมาตรฐานอาหารไว้ เพื่อให้
สะดวกในการจัดเตรียม
- 25. สูตรอาหารปั่นผสม (blenderized formula) อาหาร
ทางสายให้อาหารสูตรนี้เตรียมมาจากอาหาร 5 หมู่ โดยเลือกวัตถุดิบมา
จากอาหารแต่ละหมู่ ซึ่งมีทั้งผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ น้าตาลและไขมัน นามาทา
ให้สุกแล้วปั่นผสมเข้าด้วยกัน ปริมาณของวัตถุดิบแต่ละชนิดที่ใช้มากน้อย
เพียงใด ขึ้นอยู่กับความต้องการพลังงานและสารอาหารของผู้ป่วย ซึ่งแพทย์
จะเป็นผู้กาหนดและแจ้งให้นักกาหนดอาหารทราบ เพื่อดาเนินการ
คานวณหาสัดส่วนของวัตถุดิบและเตรียมอาหารให้แต่ละโรงพยาบาลอาจจะ
ทาการทดลองหาสัดส่วนของวัตถุดิบ หรือคัดเลือกวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นมา
ดัดแปลงทาอาหาร และใช้เป็นสูตรมาตรฐานในการผลิตอาหารชนิดนี้ของ
ตนเองก็ได้
- 26. ส่วนประกอบ ปริมาณ (กรัม)
ตับหมูหรือตับไก่ 100 กรัม
ฟักทองหรือผักชนิดอื่น 100 กรัม
กล้วยหรือมะละกอ 100 กรัม
ไข่ไก่ 200 กรัม
น้าตาล 100 กรัม
เติมน้าสุกให้ได้ 1,000 มล. กรัม
- 28. อาหารสูตรนีให้พลังงาน 1 กิโลแคลอรี/มล และมีการกระจายตัวของ
สารอาหารต่าง ๆ คือโปรตีนร้อยละ15-20 ไขมันร้อยละ 30-35 และ
คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 50-60 ของพลังงานวัตถุดิบที่ใช้ท้าอาหารสามารถ
ดัดแปลงให้แตกต่างกันออกไปได้ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม
ราคา และความสะดวกของการจัดเตรียม เช่น ใช้เนือไก่ ปลา หรือเนือหมู
แทนตับ ใช้ผักหัวหรือผักใบแทน ฟักทองก็ได้ แต่ที่ควรระวังก็คือ อาหาร
นันต้องมีคุณค่าและสารอาหารใกล้เคียงตามที่เคยก้าหนดมา อาหารทาง
สายให้อาหารสูตรนี มักจะเตรียมให้ผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยง
ปัญหาของ lactose intolerance ที่เกิดจากการใช้สูตรนม แต่ผู้ป่วยอาจเกิด
ปัญหาท้องเสียได้จากกล้วยหรือมะละกอ ซึ่งแก้ไขปัญหาด้วยการงดผลไม้
เหล่านันได้
- 29. สูตรอาหารสาเร็จรูป (commercial formula)
อาหารชนิดนี้เป็นอาหารที่มีสูตรเฉพาะ เป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัท
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ มีมากมายหลายสูตรให้
เลือกใช้ตามสภาพความเจ็บป่วยและความต้องการของร่างกายใน
ขณะนั้น ๆ สะดวกในการเลือกใช้ของแพทย์ และบางชนิดยังสามารถให้
รับประทานทางปากได้ด้วย ขณะนี้ในท้องตลาดมีจาหน่ายหลายสูตร
เช่น Elental, Isocal, Pan-enteral, Pregestemil, Prosobee, Sustagen เป็น
ต้น
- 32. ◦ เตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ได้แก่ เครื่องใช้ในครัว เช่น เขียง มีด หม้อนึ่ง
หม้อ ผ้ากรอง กะชอน ตะแกรงลวด ถ้วยตวง ช้อนตวง สิ่งที่อาจต้องหา
เพิ่มเติมคือ เครื่องปั่น (Blender) และเครื่องชั่งอาหาร
◦ อาหารที่จะนามาปั่นผสม เตรียมตามที่กาหนดไว้ในสูตร ว่าใช้อะไรบ้าง
จานวนเท่าใด
◦ วิธีการเตรียม ขั้นตอนแรก ทาความสะอาดอุปกรณ์ทุกชิ้น และบริเวณที่
ใช้เตรียมต้องสะอาดปราศจากเชื้อโรค ดังนั้นอุปกรณ์ทุกอย่างควรนึ่ง
หรือต้ม หรือลวกน้าเดือดก่อนใช้ ยกเว้นเครื่องปั่นกับเครื่องชั่ง
◦ การเตรียมอาหารที่จะนามาปั่นผสม มีแนวปฏิบัติดังนี้
- 33. อาหารโปรตีนซึ่งอาจเป็น เนื้อไก่ เนื้อปลาแล่หนังพังผืด
ออก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนึ่ง 10-15
นาที ถั่วเหลือง ต้องต้มสุกหรือนึ่งให้เปื่อยนุ่มก่อน
◦ไข่ ต้องนามาลวกในน้าเดือด 3 - 5 นาที
◦คาร์โบไฮเดรต อาจใช้แป้ง ข้าว น้าตาล น้าผลไม้ ผัก
และผลไม้ ซึ่งแป้ง, ข้าว , ผัก, ต้องต้มสุก
◦ผลไม้ นิยมใช้ผลไม้สุก ที่นิ่ม อ่อนนุ่ม เช่น กล้วย
มะละกอ นาต้มสุก หรือนาต้มผัก
◦ไขมัน อาจใช้น้ามันถั่วเหลือง น้ามันข้าวโพด
- 34. ◦ การปั่นผสม เริ่มปั่นอาหารที่มีความแข็งมากที่สุดก่อน แล้วจึงเติม
อาหารชนิดที่อ่อนนุ่มกว่าลงไปปั่น แล้วจึงเติมน้าตาล น้ามัน และ
ค่อย ๆ เติมน้าต้มสุก ปรับปริมาตรให้ครบตามสูตรที่กาหนดไว้
◦ ถ้าอาหารมีกากมากเกินไป เช่น ผัก ควรกรองผ่านกะชอน หรือผ้า
กรองก่อน
◦ ปั่นผสมเรียบร้อยแล้ว เก็บอาหารใส่ขวดแล้วปิดฝาเก็บในตู้เย็น
อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ขวดที่ใช้ต้องต้มหรือลวกในน้าเดือดไว้
ก่อนแล้วเพื่อฆ่าเชื้อโรค
◦ ลักษณะอาหาร เป็นของเหลว สีน้าตาลเทา-เหลือง ไหลผ่านสาย
อาหารได้ดีไม่ติขัด
- 36. โดยปกติจะเก็บได้ 1 วัน (24 ชั่วโมง) หลังจากเตรียมแล้วและเก็บใน
ตู้เย็น แต่มีการทดลองเตรียมอาหารปั่นผสมแล้วบรรจุใส่ขวดแล้วนาไป
ฆ่าเชื้อโดยการพาสเจอไรส์เซชั่น ในหม้อน้าร้อน 95องศาเซลเซียส
20 นาที รีบนามาทาให้เย็นลงโดยเร็วเก็บในตู้เย็น 4 องศาเซลเซียส
จะเก็บได้ 3 วัน
- 38. สูตรอาหารปั่นทางสาย 1000 ml
ลาดับ ส่วนผสม สูตร 1:1 สูตร 1.25:1 สูตร 1.5:1 สูตร 2:1
1 ไข่ไก่(ฟอง) 3 4 5 6
2 เนื้อไก่ดิบ/ปลา(กรัม) 90 112.5 135 180
3 ฟักทอง/ผักใบเขียวขาว/แครอท(กรัม) 100 125 150 200
4 ข้าวสุก(กรัม) 65 81.25 97.5 130
5 ขนมปัง(แผ่นใหญ่) 1 1.25 1.5 2
6 น้าตาลทราย(กรัม) 90 112.5 135 180
7 น้ามันพืช(ช้อนชา) 1 1.25 1.5 2
8 เกลือ(ช้อนชา) 1/4 1.25/4 1.5/4 1/2
พลังงาน (Kcal) 1000 1250 1500 2000
- 39. 1 นมถั่วเหลือง 2 กล่อง
2 เครกเกอร์ 2 ห่อ
3 แครอท 200 กรัม
4 ข้าวสุก 100 กรัม
5 นาแดงเฮลบลูบอยด์ 1 ช้อนโต๊ะ
- 40. 1. ระวังความสะอาดในการเตรียมอาหารทุกครั้ง รวมทั้งภาชนะที่ใช้ทั้งหมด
2. มีการชั่ง-ตวง ส่วนประกอบของอาหารทุกชนิดและแม่นย้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าผัน
แปรในเรื่องคุณค่าทางโภชนาการน้อยที่สุด
3. การเตรียมสูตรอาหาร จะท้าให้ผู้ป่วยแต่ละรายๆ และท้าเฉพาะวันโดยใช้ตลอด
วัน เมื่อเตรียมเสร็จแล้วเก็บเข้าตู้เย็นทันที่และแบ่งให้ผู้ป่วยเป็นมื้อๆ ตามที่แพทย์
สั่ง ข้อควรระวังต้องสังเกตในมื้อสุดท้ายว่า อาหารผสมนั้นมีกลิ่นหรือสีผิดปกติ
หรือไม่ เพราะการน้าอาหารผสมเข้าออกจากตู้เย็นบ่อยครั้งอาจท้าให้เกิดการ
fermentation ถ้าจะให้ดีควรมีการชิมหรือดมกลิ่นก่อนให้ผู้ป่วยทุกครั้ง
- 43. www.themegallery.com
การรับประทานอาหารที่พอเหมาะคือต้องได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ
ปริมาณ ต้องมีปริมาณที่เพียงพอถ้าร่างกายผอมลงแสดงว่ารับประทานอาหารน้อยไป
คุณภาพ มีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความส้าคัญและจ้าเป็นในการน้าไปใช้ประโยชน์
ต่อร่างกาย วันหนึ่งๆ ควรจะรับประทานเท่าไร ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน
แต่ละวันจะไม่เท่ากัน อย่างเช่น ในระหว่างการรักษาต้องการมากกว่าช่วงที่ท้าการ
รักษาเสร็จแล้ว เนื่องจากอาหารถูกน้าไปใช้ เพื่อเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ ดังนั้น ใน
ระยะการรักษาควรพยายามรับประทานให้ได้มาก เพื่อร่างกายจะไม่อ่อนเพลีย
สามารถรับการรักษาต่อไปจนครบตามแผนการรักษาของแพทย์
- 44. www.themegallery.com
อาหารกลุ่มที่จะทาให้ท้องอืด แน่นท้อง
◦ ผู้ป่วยมะเร็งนั้นต้องระมัดระวังเรื่องระบบย่อยอาหารเป็นพิเศษ เพราะถ้าเกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือ
แน่นท้องแล้ว มักจะแก้ไขยาก อาหารกลุ่มนี้ได้แก่ ข้าวเหนียว เพราะรับประทานแล้วจุกแน่น ย่อย
ยาก ทาให้เกิดแผลในกระเพาะ และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เปลี่ยนเป็นรับประทานโปรตีนจากเนื้อปลา
แทน
อาหารเผ็ดจัด
◦ เพราะนอกจากจะทาให้แสบร้อนและระคายเคืองทางเดินอาหารแล้ว ยังจะทาให้พื้นที่ดูดซึม
สารอาหารให้ลาไส้ลดลง ร่างกายก็จะรับสารอาหารได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยมะเร็งมักจะมีอาการเบื่อ
อาหารอยู่แล้ว หากรับประทานแล้วแต่ยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพออีก อย่างนี้จะเอาสารอาหารที่
ไหนไปเลี้ยงร่างกาย และสารในพริกจะกระตุ้นการบีบรัดตัวของลาไส้และกระตุ้นกระเพาะอาหาร
จึงอาจทาให้เกิดอาหารท้องเดิน และมีแผลในกระเพาะได้
- 47. www.themegallery.com
ความต้องการพลังงาน
◦ ประมาณ 2000 แคลอรี / วัน หรือ 25-30 แคลอรี/นน.1 กก. แต่ถ้าผู้ป่วย
มีภาวะทุพโภชนาการ ต้องการพลังงานวันละ 3000 - 4000 แคลอรี หรือ
35-40 แคลอรี/นน.1กก. ต้องได้รับคาร์โบไฮเดรตเพียงพอเพื่อสงวนการใช้
โปรตีน
ความต้องการโปรตีน
◦ จาเป็นสาหรับการหายของแผลและการฟื้นฟูสภาพ ต้องการกรดอะมิโน
ชนิดที่จาเป็น ผู้ป่วยที่มีภาวะโภชนาการปกติ ต้องการโปรตีนวันละ 80-
100 กรัม ถ้ามีภาวะทุพโภชนาการต้องการ 100 - 200 กรัม / วัน หรือ 1.5
กรัม/นน. 1 กก.
- 50. www.themegallery.com
เนือสัตว์
◦ เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงควรหลีกเลี่ยง อีกทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการปิ้งย่างจน
เกิดเขม่าควันควรหลีกเลี่ยงรวมไปถึงเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป เช่น ไส้กรอก
กุนเชียง ควรหลีกเลี่ยง นอกจากนี้การรับประทานเต้าหู้หรือน้้านมถั่วเหลืองวัน
ละ 1 แก้วสามารถให้ผลดีต่อการป้องกันการเกิดมะเร็งและลดอัตราการ
เจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้แต่ทั้งนี้ต้องไม่รับประทานในปริมาณมากเกิน
เพราะการได้รับถั่วเหลืองในปริมาณมากเกิน ก็สามารถส่งผลให้เซลล์มะเร็ง
เจริญเติบโตขึ้นจากฤทธิ์ที่คล้ายคลึงกับฮอร์โมนเพศหญิงของถั่วเหลืองได้
- 51. www.themegallery.com
ไขมัน
◦ ควรได้รับไขมันวันละ 30% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน และไม่
รับประทานไขมันอิ่มตัว รวมไปถึงอาหารที่ใช้น้ามันทอดซ้า หลีกเลี่ยงอาหารที่
มีไขมันแฝง เช่น เบเกอร์รี่ ไอศกรีม เนื่องจากจะเสี่ยงต่อการได้รับพลังงานมาก
เกินทาให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุส่งเสริมการเกิดโรคมะเร็งได้ สาหรับ
ไขมันชนิดไม่อิ่มตัว โอเมก้า-3 จะมีผลในการลดการเสี่ยงการเกิดมะเร็ง แต่บาง
งานวิจัยก็ไม่มีผล ดังนั้นการรับประทานไขมันจึงควรรับประทานแต่พอดี
- 52. www.themegallery.com
ผัก
◦ ผู้ที่เป็นมะเร็งหากได้รับผักเป็นปริมาณมาก จะดีกว่าการได้รับผลไม้ในปริมาณ
มาก เพราะในผลไม้จะมีน้าตาลสูงทาให้เกิดไขมันสะสมได้ โดยหาก
รับประทานพวกผักใบเขียวจะไม่จากัดจานวนในการรับประทาน แต่ในผู้ป่วย
บางกลุ่มที่ได้รับยาต้านฮอร์โมนกลุ่ม Tamoxifen ควรได้รับแครอทและดอก
กะหล่าเพิ่มบ้าง เพื่อลดอาการร้อนๆ หนาวๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างได้รับยา