SlideShare a Scribd company logo
1
สีวิราชชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๓. สีวิราชชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๙๙)
ว่าด้วยพระเจ้าสีพี
(ท้าวสักกเทวราชทูลขอดวงพระเนตรกับพระราชาว่า)
[๕๒] ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนเฒ่า มองเห็นได้ไม่ไกล
มาเพื่อทูลขอพระจักษุ เราทั้ง ๒ จักมีนัยน์ตาคนละข้าง ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอแล้ว
ขอพระองค์โปรดพระราชทานพระจักษุแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด
(พระโพธิสัตว์ได้สดับดังนั้นทรงดีพระทัย จึงตรัสว่า)
[๕๓] วณิพก ใครแนะนาเจ้าให้มาขอดวงตา ณ ที่นี้
เจ้าขอดวงตาซึ่งเป็ นอวัยวะสาคัญ ยากที่จะสละได้ง่ายๆ ที่บัณฑิตกล่าวไว้ว่า
เป็นของที่คนสละได้ยาก
(ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า)
[๕๔] ท่านผู้ใด ในเทวโลกเขาเรียกกันว่า สุชัมบดี ท่านผู้นั้น
ในมนุษยโลกเขาเรียกกันว่า มัฆวาน ข้าพระพุทธเจ้าเป็นวณิพก
ท่านผู้นั้นแนะนาให้มาขอพระราชทานดวงพระเนตรในที่นี้
[๕๕] เมื่อข้าพระพุทธเจ้าทูลวิงวอนขอพระราชทานอวัยวะอันสาคัญอยู่
ขอพระองค์ผู้ถูกขอโปรดพระราชทาน ดวงพระเนตรแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด
ขอพระองค์โปรดพระราชทานดวงพระเนตรซึ่งเป็ นอวัยวะที่สาคัญ
ที่บัณฑิตกล่าวไว้ว่า คนสละได้ยาก แก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด
(พระราชาตรัสว่า)
[๕๖] เจ้ามาด้วยความประสงค์อันใด ปรารถนาประโยชน์อันใดอยู่
ขอความดาริเหล่านั้นจงสาเร็จแก่เจ้า พราหมณ์ เจ้าจงได้ดวงตาเถิด
[๕๗] เมื่อเจ้าขอข้างเดียว เราจะให้ทั้ง ๒ ข้าง เมื่อประชาชนเพ่งดูอยู่
เจ้าจงเป็นผู้มีดวงตาไปเถิด เจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอสิ่งนั้นจงสาเร็จแก่เจ้า
(ข้าราชการมีเสนาบดีเป็นต้น ราชวัลลภ ชาวพระนคร
และนางสนมกราบทูลทัดทานว่า)
[๕๘] ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขอพระองค์อย่าได้พระราชทานดวงพระเนตรเลย
อย่าทรงละทิ้งพวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเลย ขอเดชะพระมหาราช
ขอพระองค์พระราชทานทรัพย์ แก้วมุกดา และแก้วไพฑูรย์จานวนมากไปเถิด
[๕๙] ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ ขอพระองค์จงพระราชทานราชรถ
ที่เทียมด้วยม้าอาชาไนย ซึ่งประดับตบแต่งแล้ว
ขอพระองค์จงพระราชทานพญาช้าง และที่อยู่อาศัยที่ทาด้วยทองคาเถิด
2
[๖๐] ขอเดชะพระองค์ผู้จอมทัพ
ขอพระองค์จงพระราชทานสิ่งของให้พราหมณ์
เหมือนกับชาวกรุงสีพีที่มียานพาหนะและรถ
พึงตามเสด็จแวดล้อมพระองค์ในกาลทุกเมื่อ
(ลาดับนั้น พระราชาได้ตรัส ๓ คาถาว่า)
[๖๑] ผู้ใดพูดว่า เราจักให้แล้วกลับใจไม่ให้
ผู้นั้นชื่อว่าสวมบ่วงที่ตกไปบนพื้นดินไว้ที่คอ
[๖๒] ผู้ใดพูดว่า เราจักให้แล้วกลับใจไม่ให้
ผู้นั้นเป็ นคนเลวกว่าคนที่เลว ชื่อว่าเข้าถึงสถานที่ลงโทษแห่งพญายม
[๖๓] เขาขอสิ่งใด ควรให้สิ่งนั้น เขาไม่ขอสิ่งใด ไม่ควรให้สิ่งนั้น
เราจักให้สิ่งที่พราหมณ์ขอกับเราเท่านั้น
(ลาดับนั้น พวกอามาตย์ทูลถามพระราชาว่า)
[๖๔] ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน พระองค์ทรงปรารถนาอายุ วรรณะ สุข
หรือพละอะไรหรือ จึงได้พระราชทาน พระราชาผู้เป็นใหญ่แห่งชาวสีพี
จะพึงพระราชทานดวงพระเนตร เพราะเหตุแห่งปรโลกได้อย่างไร
(พระราชาตรัสว่า)
[๖๕] เราบริจาคดวงตานั้นเพราะยศก็หามิได้ เราจะปรารถนาบุตร
ทรัพย์ และแคว้นก็หาไม่ แต่นี้เป็ นธรรมของสัตบุรุษที่ท่านประพฤติมาแต่โบราณ
เพราะเหตุนั้นแล ใจของเราจึงยินดีในการให้ทาน ดวงตาทั้ง ๒
ข้างเราจะเกลียดชังก็หาไม่ ตัวตนเราจะเกลียดชังก็หาไม่
แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะเหตุนั้น เราจึงได้บริจาคดวงตา
(พระโพธิสัตว์ได้กาชับนายแพทย์สีวิกะว่า)
[๖๖] นายแพทย์สีวิกะ ท่านเป็นเพื่อน เป็นมิตรของเรา ศึกษามาดีแล้ว
จงทาตามคาของเราโดยดี เมื่อเรายังเห็นอยู่ ท่านจงควักดวงตา
แล้ววางไว้ในมือของวณิพก
(พระศาสดาทรงประกาศข้อความนั้นว่า)
[๖๗] นายแพทย์สีวิกะถูกพระเจ้าสีพีทรงเตือน จึงกระทาตามรับสั่ง
ได้ควักดวงพระเนตรของพระราชาแล้ว ได้น้อมเข้าไปให้แก่พราหมณ์
พราหมณ์เป็นคนมีตาดี พระราชากลับกลายเป็นคนมีพระเนตรบอดไป
[๖๘] จากวันนั้น สองสามวันต่อมา เมื่อดวงพระเนตรมีเนื้องอกขึ้นมา
พระราชาผู้ทรงบารุงแคว้นแห่งชาวกรุงสีพี
ให้เจริญรุ่งเรืองพระองค์นั้นทรงรับสั่งหานายสารถีมาตรัสว่า
[๖๙] พ่อสารถี เจ้าจงจัดเทียมยาน เทียมเสร็จแล้วจงบอกให้ทราบ
เราจะไปยังอุทยาน สระโบกขรณี และราวป่า
3
[๗๐] ก็พระราชาได้เสด็จเข้าไปประทับนั่งขัดสมาธิที่ริมฝั่งสระโบกขรณี
ท้าวสุชัมบดีสักกเทวราชได้ทรงปรากฏแก่ท้าวเธอ
(ฝ่ายท้าวสักกะซึ่งพระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงฝีพระบาทแล้วทูลถาม
จึงตรัสว่า)
[๗๑] ฤๅษีเจ้า หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ
ได้มาที่สานักของพระองค์ ขอพระองค์จงขอพรที่พระองค์มีพระทัยปรารถนา
(พระราชาตรัสว่า)
[๗๒] ขอถวายพระพรท้าวสักกะ ทรัพย์ของอาตมาก็มีเพียงพอ
พลนิกายและพระคลังก็มีมิใช่น้อย แต่บัดนี้
อาตมาเป็นคนตาบอดจึงพอใจการตายเท่านั้น
(ท้าวสักกะตรัสว่า)
[๗๓] พระมหากษัตริย์ผู้จอมมนุษย์ คาเหล่าใดเป็นคาสัตย์
ขอพระองค์จงตรัสคาเหล่านั้น เมื่อพระองค์ตรัสคาสัตย์
ดวงพระเนตรจักปรากฏมีอีก
(พระโพธิสัตว์ผู้เป็นพระราชาได้ทาสัจจกิริยาว่า)
[๗๔] วณิพกมีโคตรต่างๆ กันเหล่าใดพากันมาเพื่อจะขอกับอาตมา
บรรดาวณิพกเหล่านั้น ผู้ใดย่อมขออาตมา
แม้ผู้นั้นย่อมเป็นที่รักแห่งใจของอาตมา ด้วยสัจจวาจานี้
ขอดวงตาจงเกิดขึ้นแก่อาตมา
(ต่อมาได้ตรัสอีกว่า)
[๗๕] พราหมณ์ผู้มาขอกับอาตมาแล้วว่า
ขอพระองค์โปรดพระราชทานดวงตาข้างหนึ่งเถิด
อาตมาได้ประทานดวงตาให้พราหมณ์ซึ่งขออยู่นั้นไป ๒ ข้าง
[๗๖] ปีติและโสมนัสมิใช่น้อยได้ท่วมทับโดยยิ่ง ด้วยสัจจวาจานี้
ขอดวงตาดวงที่ ๒ จงเกิดขึ้นแก่อาตมา
(ท้าวสักกะทรงชมเชยพระโพธิสัตว์ในท่ามกลางมหาชนว่า)
[๗๗] พระองค์ผู้ทรงผดุงแคว้นให้เจริญแก่ชาวกรุงสีพี
พระองค์ตรัสคาถาโดยธรรม ดวงพระเนตรของพระองค์เหล่านี้จะปรากฏเป็นทิพย์
[๗๘] จะให้พระองค์สาเร็จการเห็นทะลุผ่านภายนอกฝา
ภายนอกกาแพงศิลาและภูเขาไปได้ไกลถึง ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ
(พระโพธิสัตว์แสดงธรรมว่า)
[๗๙] ในโลกนี้ ใครหนอถูกเขาขอแล้ว ไม่พึงให้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ
ทั้งวิเศษ ทั้งเป็นที่รักยิ่งของตน เอาเถิด
เราขอเตือนชาวสีพีทุกคนที่มาประชุมพร้อมกัน ขอพวกท่านจงดูดวงตาทั้ง ๒
ซึ่งเป็ นทิพย์ของเราในวันนี้
4
[๘๐] จะให้เราสาเร็จการเห็นทะลุผ่านภายนอกฝา
ภายนอกกาแพงศิลาและภูเขา ไปได้ไกลถึง ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ
[๘๑] ไม่มีอะไรของเหล่าสัตว์ในมนุษยโลกนี้
ที่จะยอดเยี่ยมไปกว่าการบริจาค เราได้บริจาคดวงตาซึ่งเป็ นของมนุษย์แล้ว
กลับได้ดวงตาอันยิ่งกว่าของมนุษย์
[๘๒] พี่น้องชาวกรุงสีพีทั้งหลาย พวกท่านได้เห็นดวงตาทิพย์
ที่เราได้แล้วแม้นี้ จงให้ทาน จงบริโภคเถิด
คนที่ให้แล้วและบริโภคแล้วตามความสามารถ ไม่พึงถูกนินทา
พึงเข้าถึงแดนสวรรค์
สีวิราชชาดกที่ ๓ จบ
-----------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
สีวิราชชาดก
ว่าด้วย การให้ดวงตาเป็ นทาน
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภอสทิสทาน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันนิทานนั้นได้กล่าวไว้พิสดารแล้ว ในสีวิราชชาดก
ในอัฏฐกนิบาตนั้นเอง.
ก็ในกาลนั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงถวายบริขารครบทุกอย่างในวันที่ ๗
แล้วทูลขออนุโมทนา. พระศาสดาไม่ได้ตรัสอะไรเลย เสด็จหลีกไปแล้ว.
พระราชาเสวยพระกระยาหารเช้าแล้วเสด็จไปยังพระวิหาร ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ทรงทาอนุโมทนา
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร เพราะบริษัทไม่บริสุทธิ์
พระราชาทรงเลื่อมใส ทรงบูชาพระตถาคตด้วยผ้าอุตราสงค์
สีเวยยกพัสตร์มีราคาแสนหนึ่ง แล้วเสด็จกลับพระนคร.
ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า
อาวุโสทั้งหลาย พระเจ้าโกศลราชทรงถวายอสทิสทาน
แล้วยังไม่อิ่มด้วยการถวายทานแม้ขนาดนั้น เมื่อพระทศพลทรงแสดงธรรมแล้ว
ได้ถวายผ้าสีเวยยกพัสตร์อันมีค่าแสนหนึ่งอีก อาวุโสทั้งหลาย
ตลอดเวลาที่ท้าวเธอทรงถวายทาน ยังไม่รู้สึกอิ่มพระทัยเลย.
พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าพาหิรภัณฑ์
5
บุคคลจะให้ได้ง่ายก็หาไม่
โปราณกบัณฑิตทั้งหลายกระทาชมพูทวีปทั้งสิ้นให้เป็นเนินสูงแล้ว
ให้ทานบริจาคทรัพย์วันละหกแสนทุกๆ วัน ยังไม่อิ่มด้วยพาหิรกทานเลย
ผู้ให้ของรักย่อมได้ของรัก ฉะนั้น
บัณฑิตทั้งหลายจึงได้ควักดวงตาทั้งสองให้ทานแก่ยาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้า.
แล้วทรงนาอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าสีวิมหาราชเสวยราชสมบัติในอริฏฐปุรนคร
แคว้นสีวิรัฐ พระมหาสัตว์เจ้าบังเกิดเป็ นพระราชโอรสของท้าวเธอ
พระประยูรญาติทั้งหลายขนานพระนามของพระกุมารนั้นว่า สีวิราชกุมาร.
พระราชกุมารเจริญวัยแล้วไปยังพระนครตักกสิลา
ศึกษาศิลปศาสตร์จบแล้ว กลับมาแสดงศิลปศาสตร์ถวายพระชนกทอดพระเนตร
จนได้รับพระราชทานยศเป็นมหาอุปราช
ในเวลาต่อมา เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้วก็ได้เป็นพระราชา
ละการลุอานาจแก่อคติเสีย ไม่ยังทศพิธราชธรรมให้กาเริบ
เสวยราชสมบัติโดยธรรม ให้สร้างศาลาโรงทานไว้ ๖ แห่งคือ ที่ประตูพระนคร ๔
แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง และที่ประตูพระราชนิเวศน์อีก ๑ แห่ง
แล้วทรงยังมหาทานให้เป็นไป ด้วยทรงบริจาคทรัพย์วันละ ๖ แสนทุกๆ วัน
และในวันอัฏฐมี จาตุททสี และปัณณรสี คือวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า และ ๑๕
ค่า ท้าวเธอเสด็จลงสู่โรงทาน ตรวจตราการให้ทานเป็นราชกรณียกิจประจา.
คราวหนึ่งเป็ นวันปูรณมี ดิถีที่ ๑๕ ค่า
เวลาเช้าพระเจ้าสีวิราชประทับเหนือราชบัลลังก์ ภายใต้สมุสสิตเศวตฉัตร
ทรงราพึงถึงทานที่พระองค์ทรงบริจาค
มิได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิรวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ชื่อว่าพระองค์ยังไม่เคยบริจาค
จึงทรงพระดาริว่า พาหิรวัตถุที่ชื่อว่าเรายังไม่เคยบริจาคไม่มีเลย
พาหิรกทานหาได้ยังเราให้ยินดีไม่ เราประสงค์จะให้อัชฌัตติกทาน โอหนอ
เวลาที่เราไปในโรงทานวันนี้ ยาจกคนใดอย่าได้ขอพาหิรวัตถุเลย
พึงเอ่ยออกชื่อขอแต่อัชฌัตติกทานเถิด
ก็ถ้าหากว่าใครๆ จะเอ่ยปากขอดวงหทัยของเราไซร้
เราจะเอาหอกแหวะอุรประเทศนาดวงหทัย ซึ่งมีหยาดโลหิตไหลอยู่ออกให้
ดุจถอนปทุมชาติทั้งก้านขึ้นจากน้าอันใสฉะนั้น
ถ้าหากว่าใครเอ่ยปากขอเนื้อในสรีรกายของเรา
เราจะเถือเนื้อในสรีระให้ ดุจคนขูดจันทน์แดงด้วยศาสตราสาหรับขูดฉะนั้น
ถ้าหากว่าใครเอ่ยปากขอโลหิต เราจะวิ่งเข้าไปในปากแห่งยนต์
ให้คนนาภาชนะเข้าไปรองรับจนเต็มแล้วจึงจักให้โลหิต
หรือว่าถ้าใครจะพึงพูดกะเราว่า การงานในเรือนของเราไม่เรียบร้อย
6
ท่านจงเป็ นทาสทาการงานในเรือนของเราดังนี้ เราจักละเพศกษัตริย์เสีย
กระทาตนให้อยู่นอกตาแหน่ง แล้วประกาศตนทาการงานของทาส
ถ้าใครเอ่ยปากขอดวงตาของเรา
เราจักควักดวงตาทั้งคู่ออกให้เหมือนดังควักจาวตาลฉะนั้น.
ท้าวเธอทรงดาริต่อไปว่า
วัตถุทานซึ่งเป็ นของมนุษย์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่เรายังไม่ได้บริจาคไม่มีเลย แม้ยาจกคนใดจะพึงขอดวงตากะเรา
เราจะไม่หวั่นไหวให้ดวงตาแก่ยาจกนั้นทีเดียว
ดังนี้แล้ว ทรงสรงสนานด้วยหม้อน้าหอม ๑๖
หม้อทรงประดับตกแต่งองค์ ด้วยเครื่องสรรพอลังการ
เสวยพระกระยาหารที่มีรสอันเลิศต่างๆ
แล้วเสด็จประทับเหนือคอมงคลหัตถีอันประดับตกแต่งแล้ว ได้เสด็จไปสู่โรงทาน.
ท้าวสักกะทรงทราบอัธยาศัยของพระองค์ จึงทรงดาริว่า
วันนี้พระเจ้าสีวิราชทรงพระดาริว่า
จักควักดวงพระเนตรออกพระราชทานแก่ยาจกผู้มาถึง
ท้าวเธอจักอาจเพื่อพระราชทานหรือหาไม่หนอ เมื่อจะทดลองพระเจ้าสีวิราช
จึงทรงแปลงเป็นพราหมณ์แก่ชราตาบอด ในเวลาที่พระราชาเสด็จไปสู่โรงทาน
ได้ไปยืนอยู่ที่เนินแห่งหนึ่ง ยื่นพระหัตถ์ออกถวายชัยมงคล.
พระราชาทรงไสช้างพระที่นั่งมุ่งเข้าไปหาพราหมณ์นั้น
แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านพูดว่ากระไร?
ลาดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกะท้าวเธอว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
โลกสันนิวาสทั้งสิ้นกึกก้องด้วยเสียงแซ่ซ้องสาธุการ
อาศัยพระอัธยาศัยอันน้อมไปในทานของพระองค์ฟุ้ งขจรอยู่เป็ นนิตย์
ส่วนข้าพระองค์เป็นคนตาบอด พระองค์มีพระเนตรสองข้าง ดังนี้แล้ว.
เมื่อจะทูลขอดวงพระเนตร จึงตรัสพระคาถาที่ ๑ ความว่า
ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนชรา ไม่แลเห็นในที่ไกล
มาเพื่อจะทูลขอพระเนตร ข้าพระพุทธเจ้ามีนัยน์ตาข้างเดียว
ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอแล้ว
ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด.
พระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับถ้อยคานั้นแล้วทรงดาริว่า
เรานั่งนึกอยู่ในปราสาท มาเดี๋ยวนี้ทีเดียว เป็นลาภใหญ่ของเรา
มโนรถของเราจักถึงที่สุดในวันนี้ทีเดียว เราจักบริจาคทานที่ยังไม่เคยบริจาค
แล้วทรงมีพระหฤทัยชื่นชมโสมนัส.
ตรัสพระคาถาที่ ๒ ความว่า
ดูก่อนวณิพก ใครเป็นผู้แนะนาท่านให้มาขอดวงตาเรา ณ ที่นี้
7
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวดวงตาใดว่ายากที่บุรุษจะสละได้
ท่านมาขอดวงตานั้นอันเป็นอวัยวะเบื้องสูง ยากที่จะสละได้ง่ายๆ.
พราหมณ์ทูลตอบว่า
ในเทวโลกเขาเรียกท่านผู้ใดว่า สุชัมบดี
ในมนุษยโลกเขาเรียกท่านผู้นั้นว่า มฆวา ข้าพระพุทธเจ้าเป็นวณิพก
ท่านผู้นั้นแนะนาให้มาขอพระเนตร ณ ที่นี้ ข้าพระพุทธเจ้าเป็ นวณิพก
การขอของข้าพระพุทธเจ้าไม่มีสิ่งใดจะยิ่งไปกว่า
ขอพระองค์ทรงพระราชทานพระเนตรแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้มาขอเถิด
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ดวงตาใดยากที่บุรุษจะสละได้
ขอพระองค์โปรดพระราชทานดวงเนตรนั้น
ที่ไม่มีสิ่งอื่นจะยิ่งกว่าแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด.
พระเจ้าสีวิราชทรงสดับแล้ว ตรัสตอบว่า
ท่านมาด้วยประโยชน์อันใด ปรารถนาประโยชน์สิ่งใด
ความดาริเหล่านั้นเพื่อประโยชน์นั้นๆ ของท่านจงสาเร็จเถิด ดูก่อนพราหมณ์
ท่านจงได้ดวงตาเถิด เมื่อท่านขอข้างเดียว เราจะให้ทั้งสองข้าง
ขอท่านจงมีจักษุด้วยจักษุของเราไปเถิด ท่านปรารถนาสิ่งใดจากเราผู้มุ่งหมายอยู่
ขอสิ่งนั้นจงสาเร็จแก่ท่านเถิด.
พระราชาตรัสเพียงเท่านี้แล้วทรงพระดาริว่า
การที่เราจักควักนัยน์ตาให้แก่พราหมณ์ในที่นี้ทีเดียว เป็ นการไม่เหมาะสม
จึงพาพราหมณ์ไปสู่ภายในพระราชฐาน แล้วประทับบนราชอาสน์
ตรัสสั่งให้เรียกหมอชื่อว่าสีวิกะมาตรัสว่า เจ้าจงชาระนัยน์ตาของเราให้สะอาด.
ได้มีเสียงเอิกเกริกโกลาหลเป็นอันเดียวกันทั่วทั้งพระนครว่า ได้ยินว่า
พระราชาของพวกเรามีพระราชประสงค์จะควักพระเนตรทั้งสอง
พระราชทานแก่พราหมณ์
ลาดับนั้น ข้าราชการมีเสนาบดีเป็นต้น ราชวัลลภ
ชาวพระนครและนางสนมทั้งหลาย มาประชุมพร้อมกัน
เมื่อจะกราบทูลทัดทานพระราชา ได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของข้าพระองค์ทั้งหลาย
พระองค์อย่าทรงพระราชทานดวงพระเนตรเลย
อย่าทรงทอดทิ้งข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเลย
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์พระราชทานทรัพย์เถิด แก้วมุกดา
แก้วไพฑูรย์ มีเป็ นอันมาก ข้าแต่มหาราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
พระองค์จงทรงพระราชทานรถทั้งหลายที่เทียมแล้ว ม้าอาชาไนย
ช้างตัวประเสริฐที่ตบแต่งแล้ว ที่อยู่และเครื่องบริโภคที่ทาด้วยทองคาเถิด
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
8
ขอพระองค์จงทรงพระราชทานเหมือนกับชาวสิพีทั้งปวงที่มีเครื่องใช้สอย
มีรถเฝ้ าแหนพระองค์อยู่โดยรอบ ทุกเมื่อฉะนั้นเถิด.
ชาวสีพีทั้งหลายจะพึงได้เฝ้ าแหนพระองค์ผู้มีพระเนตรไม่บกพร่องอยู่
ตลอดกาลนานโดยวิธีใด พระองค์จงทรงพระราชทานโดยวิธีนั้นเถิด
คือพระองค์จงทรงพระราชทานแต่เพียงทรัพย์แก่พราหมณ์เท่านั้นอย่าได้ทรงพระ
ราชทานคู่พระเนตรเลย เพราะเมื่อพระองค์ทรงพระราชทานคู่พระเนตรไปแล้ว
ประชาชนชาวสีพีทั้งหลายจักไม่ได้เฝ้ าแหนพระองค์ต่อไป.
ลาดับนั้น พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า
ผู้ใดแลพูดว่าจักให้แล้วมากลับใจว่าไม่ให้
ผู้นั้นเหมือนกับสวมบ่วงที่ตกลงยังพื้นดินไว้ที่คอ
ผู้ใดแลพูดว่าจักให้แล้วมากลับใจว่าไม่ให้
ผู้นั้นเป็ นคนลามกยิ่งกว่าผู้ที่ลามก ทั้งจะต้องเข้าถึงสถานที่ลงอาญาของพญายม
ความจริงผู้ขอได้ขอสิ่งใดไว้ ผู้ให้ก็ควรจะให้สิ่งนั้นแหละ
ผู้ขอยังไม่ได้ขอสิ่งใดไว้ ผู้ให้ก็อย่าพึงให้สิ่งนั้น พราหมณ์ได้ขอสิ่งใดไว้กะเรา
เราก็จักให้สิ่งนั้นนั่นแหละ.
ลาดับนั้น เมื่ออามาตย์ทั้งหลายจะทูลถามท้าวเธอว่า
พระองค์จะพระราชทานพระจักษุเพราะทรงปรารถนาอะไร จึงกล่าวคาถาความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชา พระองค์ทรงปรารถนาพระชนมายุ
วรรณะ สุขะ และพละอะไรหรือ จึงทรงพระราชทานพระเนตร
พระองค์ทรงเป็นราชาแห่งชาวสีพี ไม่มีใครประเสริฐยิ่งไปกว่า
ทรงพระราชทานพระเนตร เพราะเหตุปรโลกหรืออย่างไร.
ลาดับนั้น พระราชาเมื่อจะตรัสตอบอามาตย์เหล่านั้น
จึงตรัสพระคาถาความว่า
เราให้ดวงตาเป็นทานนั้น เพราะยศก็หาไม่ เราจะได้ปรารถนาบุตร
ทรัพย์หรือแว่นแคว้น เพราะผลแห่งการให้ดวงตานี้ก็หาไม่ อีกประการหนึ่ง
ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย ท่านได้ประพฤติกันมาแล้วแต่โบราณ
เพราะเหตุนี้แหละ ใจของเราจึงยินดีในทาน.
แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงแสดงจริยาปิฎก แก่พระธร
รมเสนาบดีสารีบุตรเถระ เพื่อจะทรงแสดงว่า
พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้นเป็ นที่รักกว่าดวงตาแม้ทั้งสองของเรา
จึงตรัสว่า
ดวงตาทั้งสองข้างจะได้เป็นที่เกลียดชังของเราก็หาไม่
ตนของตนเองก็หาได้เป็นที่เกลียดชังของเราไม่
พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้ดวงตา.
ก็เมื่ออามาตย์ทั้งหลายได้ฟังพระดารัสของพระมหาสัตว์แล้ว
9
ไม่อาจจะทูลทัดทาน จาต้องนิ่งเฉยอยู่.
พระมหาสัตว์เจ้าได้ตรัสกาชับสีวิกแพทย์ด้วยพระคาถาว่า
ดูก่อนสีวิกะ ท่านเป็นมิตรสหายของเรา ท่านเป็ นคนศึกษามาดีแล้ว
จงกระทาตามคาของเราให้ดี จงควักดวงตาทั้งสองของเราผู้ปรารถนาอยู่
แล้ววางลงในมือของพราหมณ์วณิพกเถิด.
พระคาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า
ดูก่อนสีวกแพทย์ผู้สหาย เธอเป็นทั้งสหายและมิตรของเรา
ได้ศึกษามาในศิลปะของแพทย์เป็นอย่างดีโดยแท้
จงทาตามคาของเราให้สาเร็จประโยชน์ เมื่อเราปรารถนาพิจารณาแลดูนั่นแล
เธอจงควักดวงตาทั้งคู่ของเราออกดังถอนหน่อตาล
แล้ววางไว้ในมือของยาจกผู้นี้เถิด ดังนี้.
ลาดับนั้น สีวกแพทย์ทูลเตือนท้าวเธอว่า ขึ้นชื่อว่าการให้จักษุเป็ นทาน
เป็นกรรมหนัก ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์จงใคร่ครวญให้ดี.
พระราชาตรัสว่า ดูก่อนสีวิกแพทย์ เราใคร่ครวญดีแล้ว
ท่านอย่ามัวชักช้าร่าไรอยู่เลย อย่าพูดกับเราให้มากเรื่องไปเลย.
สีวิกแพทย์คิดว่า การที่นายแพทย์ผู้ศึกษามาดีเช่นเรา
จะเอาศาสตราคว้านพระเนตรของพระราชาไม่สมควร.
เขาจึงบดโอสถหลายขนาน
แล้วเอาผลตัวยาอบดอกอุบลเขียวแล้วถวายให้ทรงถูพระเนตรเบื้องขวา.
พระเนตรพร่า เกิดทุกขเวทนาเป็นกาลัง.
เขากราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้า
ขอพระองค์จงทรงกาหนดพระทัยดูเถิด การทาพระเนตรให้เป็นปกติ
เป็นภาระของข้าพระพุทธเจ้า.
พระราชาตรัสว่า พ่อหมอ เธอจงหลีกไป อย่ามัวทาช้าอยู่เลย.
เขาจึงปรุงโอสถน้อมเข้าไปให้ทรงถูพระเนตรซ้าอีก
พระเนตรก็หลุดออกจากหลุมพระเนตร บังเกิดทุกขเวทนาเหลือประมาณ.
เขากราบทูลว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า
ขอพระองค์จงทรงกาหนดพระทัยดูเถิด การทาพระเนตรให้เป็นปกติ
เป็นภาระของข้าพระพุทธเจ้า.
พระราชาตรัสว่า หลีกไปเถอะพ่อหมอ อย่าทาชักช้าอยู่เลย.
ในวาระที่ ๓ เขาปรุงโอสถให้แรงขึ้นกว่าเดิมน้อมเข้าไปถวาย
ด้วยกาลังพระโอสถ พระเนตรก็หมุนหลุดออกจากเบ้าพระเนตร
ลงมาห้อยอยู่ด้วยเส้นเอ็น.
เขาจึงกราบทูลซ้าอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมนรชน
ขอพระองค์จงทรงกาหนดพระทัยดูเถิด การทาพระเนตรให้เป็นปกติ
10
เป็นภาระของข้าพระพุทธเจ้า.
พระราชาตรัสว่า เธออย่าทาการชักช้าอยู่เลย.
ทุกขเวทนาบังเกิดขึ้นเหลือที่จะประมาณ พระโลหิตก็ไหลออก
พระภูษาทรงเปียกชุ่มไปด้วยพระโลหิต
นางสนมและหมู่อามาตย์ทั้งหลายหมอบเฝ้ าอยู่แทบบาทมูลของพระราชา
ต่างพากันปริเทวนาการพิไรราพันอึงคะนึงว่า ขอเดชะ
พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ
ขอพระองค์อย่าทรงพระราชทานดวงพระเนตรเลย.
พระราชาทรงอดกลั้นทุกขเวทนา ตรัสว่า พ่อหมอ
เธออย่าทาการชักช้าอยู่เลย.
เขารับพระบรมราชโองการแล้ว ประคองพระเนตรด้วยมือซ้าย
จับศาสตราตัดเอ็นที่ติดพระเนตรด้วยมือขวา
แล้วรับพระเนตรไปวางไว้ในพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์.
พระองค์ทอดพระเนตรเบื้องขวาด้วยพระเนตรเบื้องซ้าย
ทรงอดกลั้นทุกขเวทนา ตรัสเรียกพราหมณ์ว่า มาเถิดพราหมณ์ แล้วตรัสว่า
สัพพัญญุตญาณเท่านั้น เป็ นที่รักกว่านัยน์ตาของเรานี้ตั้งร้อยเท่า
พันเท่า แสนเท่า ผลที่เราบริจาคดวงตานี้
จงเป็ นปัจจัยแก่พระสัพพัญญุตญาณนั้นเถิด.
แล้วได้พระราชทานดวงพระเนตรนั้นแก่พราหมณ์ไป.
พราหมณ์รับพระเนตรนั้นประดิษฐานไว้ในดวงตาของตน
ด้วยอานุภาพของพระเจ้าสีวิราชนั้นดวงพระเนตรก็ประดิษฐานอยู่
เป็นเหมือนดอกอุบลเขียวที่แย้มบาน.
พระมหาสัตว์เจ้าทอดพระเนตรดูนัยน์ตาของพราหมณ์นั้น
ด้วยพระเนตรเบื้องซ้าย แล้วทรงดาริว่า โอ อักขิทาน เราได้ให้ดีแล้ว
ทรงเสวยปิติอันซ่านไปภายในพระหฤทัยหาระหว่างมิได้
จึงได้พระราชทานพระเนตรเบื้องซ้ายนอกนี้อีก.
ท้าวสักกเทวราชทรงประดิษฐาน
แม้พระเนตรเบื้องซ้ายนั้นไว้ในดวงพระเนตรของพระองค์
แล้วเสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ เมื่อมหาชนกาลังแลดูอยู่นั่นแล
ได้ออกจากพระนครไปสู่เทวโลกทันที.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น
จึงตรัสพระคาถาหนึ่งคาถาครึ่ง ความว่า
พระเจ้าสีวิราชทรงเตือนให้หมอสีวิกะ กระทาตามพระราชดารัสแล้ว
หมอสีวิกะควักดวงพระเนตรของพระราชาออกแล้ว
11
ทรงพระราชทานแก่พราหมณ์ พราหมณ์ก็เป็นคนตาดี
พระราชาก็เข้าถึงความเป็นคนตาบอด.
ไม่สู้นานนัก มังสะพระเนตรทั้งคู่ของพระราชาก็งอกขึ้น
และเมื่องอกขึ้นก็หาถึงความเป็ นหลุมไม่
ได้เต็มบริบูรณ์ด้วยก้อนพระมังสะอันนูนขึ้นเหมือนปมผ้ากัมพล
หลุมพระเนตรทั้งสองเป็นเหมือนภาพนัยน์ตาอันนายช่างจิตรกรจัดทา
ทุกขเวทนาก็เสื่อมหายขาดไปสิ้น
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ประทับอยู่บนปราสาทสอง-สามวัน
ทรงดาริว่าประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแก่คนตาบอด เพราะฉะนั้น
เราจักมอบราชสมบัติแก่อามาตย์ทั้งหลายไปสู่พระราชอุทยาน
บวชบาเพ็ญสมณธรรม ดังนี้แล้ว ตรัสสั่งให้อามาตย์ทั้งหลายมาเฝ้ า
ตรัสบอกเนื้อความนั้นแก่อามาตย์เหล่านั้น แล้วตรัสสั่งว่า
กัปปิยการกคนหนึ่งสาหรับให้สิ่งของมีน้าบ้วนปากเป็ นต้น จักอยู่ในสานักของเรา
ท่านทั้งหลายจงผูกรางไว้ในที่กระทาสรีรกิจของเราเถิด
แล้วตรัสเรียกนายสารถีมาตรัสสั่งว่า เจ้าจงเทียมรถ.
ส่วนอามาตย์ทั้งหลายไม่ให้พระองค์เสด็จด้วยรถ
นาเสด็จไปด้วยพระสุวรรณสีวิกา แล้วให้ประทับอยู่ใกล้ฝั่งสระโบกขรณี
จัดแจงวางกาลังพิทักษ์รักษาแล้วจึงหลีกไป.
พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ ทรงราพึงถึงทานของพระองค์.
ขณะนั้นได้ร้อนไปถึงอาสนะของท้าวสักกเทวราช
ท้าวสักกะทรงราพึงดู เห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว ทรงดาริว่า
เราจักให้พรแก่พระเจ้าสีวิมหาราช แล้วทาพระเนตรให้เป็นปกติ
ดังนี้แล้วจึงเสด็จมาที่ฝั่งสระโบกขรณีนั้น เสด็จดาเนินไปๆ มาๆ
ไม่ไกลพระมหาสัตว์เจ้า.
พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
นับแต่นั้นมาสองสามวัน เมื่อพระเนตรทั้งสองมีเนื้องอกขึ้นเต็มแล้ว
พระราชาผู้บารุงสีพีรัฐจึงตรัสเรียกนายสารถีผู้เฝ้ าอยู่นั้นว่า ดูก่อนสารถี
ท่านจงเทียมยานเถิด เสร็จแล้วจงบอกให้เราทราบ เราจะไปยังอุทยาน
จะไปยังสระโบกขรณี และราวป่า พอพระเจ้าสีวิราชเข้าไปประทับนั่งขัดสมาธิ
ริมขอบสระโบกขรณีแล้ว ท้าวสุชัมบดีสักกเทวราชก็เสด็จมาเฝ้ าท้าวเธอ.
ฝ่ายท้าวสักกเทวราช อันพระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับเสียงแห่งพระบาท
แล้วตรัสถามว่า นั่นใคร? จึงตรัสพระคาถาความว่า
หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะจอมแห่งเทพ มาในสานักของพระองค์แล้ว
ข้าแต่พระราชฤาษี ขอพระองค์จงทรงเลือกเอาพรตามที่พระทัยปรารถนาเถิด.
เมื่อท้าวสักกเทวราชตรัสอย่างนี้แล้ว
12
พระราชาจึงตรัสพระคาถาความว่า
ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช ทรัพย์ก็ดี กาลังก็ดี
ของหม่อมฉันมีเพียงพอแล้ว อนึ่ง คลังของหม่อมฉันก็มีเป็ นอันมาก บัดนี้
หม่อมฉันเป็นคนตาบอด พอใจความตายเท่านั้น.
ลาดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกะท้าวเธอว่า ดูก่อนพระเจ้าสีวิราช
ก็พระองค์ทรงพระประสงค์จะสิ้นพระชนม์เองจึงอยากสิ้นพระชนม์
หรือว่าอยากสิ้นพระชนม์เพราะเป็ นคนตาบอด?
พระเจ้าสีวิราชทูลตอบว่า
ข้าพเจ้าอยากสิ้นพระชนม์เพราะเป็ นคนตาบอด.
ท้าวสักกเทวราชตรัสข้อสนทนาต่อไปว่า
ดูก่อนมหาราชเจ้า
ขึ้นชื่อว่าทานจะให้ผลในสัมปรายภพอย่างเดียวเท่านั้น ก็หามิได้
ย่อมเป็นปัจจัยแม้เพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน
ก็พระองค์อันยาจกทูลขอพระเนตรข้างเดียว ได้พระราชทานเสียทั้งสองข้าง
เหตุนั้น พระองค์โปรดทาสัจจกิริยาเถิด แล้วตรัสว่า
ดูก่อนบรมกษัตริย์ผู้เป็นจอมนรชน พระองค์จงตรัสถ้อยคาที่เป็นสัจจะ
เมื่อพระองค์ตรัสแต่ถ้อยคาที่เป็ นสัจจะ พระเนตรจักเกิดขึ้นอีก.
พระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับเช่นนั้นแล้ว ตรัสว่า ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช
แม้หากว่าพระองค์ทรงพระประสงค์จะพระราชทานจักษุแก่ข้าพเจ้า
ขออย่าต้องให้ทาอุบายอย่างอื่นเลย
ดวงจักษุจงเกิดขึ้นด้วยผลแห่งทานของข้าพเจ้าเถิด.
เมื่อท้าวสักกะตรัสว่า
เราเป็นท้าวสักกเทวราชไม่สามารถจะให้จักษุแก่คนอื่นได้
จักษุจักเกิดขึ้นด้วยกาลังแห่งทานอันพระองค์บริจาคอย่างเดียว จึงตรัสว่า
ถ้าเช่นนั้นทานอันข้าพเจ้าบริจาคด้วยดีแล้ว ดังนี้
เมื่อจะทรงทาสัจจกิริยา จึงตรัสพระคาถาความว่า
บรรดาวณิพกทั้งหลายผู้มีโคตรต่างๆ กัน มาขอหม่อมฉัน
แม้วณิพกคนใดมาขอหม่อมฉัน แม้วณิพกนั้นก็เป็ นที่รักแห่งใจของหม่อมฉัน
ด้วยการกล่าวคาสัตย์นี้ ขอจักษุจงบังเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันเถิด.
ลาดับนั้น
พระจักษุอันเป็ นปฐมก็เกิดขึ้นในระหว่างแห่งพระดารัสของพระราชานั่นเอง
แต่นั้นเพื่อจะให้พระจักษุข้างที่สองเกิดขึ้น ท้าวเธอจึงตรัสหมวดสองแห่งคาถา
ความว่า
พราหมณ์ผู้ใดมาขอหม่อมฉันว่า ขอพระราชทานพระเนตรเถิด
หม่อมฉันได้ให้ดวงตาทั้งสองแก่พราหมณ์ผู้นั้นซึ่งเป็ นวณิพก ปี ติ
13
และโสมนัสเป็ นอันมากเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันยิ่งนัก ด้วยการกล่าวคาสัตย์นี้
ขอจักษุจงบังเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันเถิด ดังนี้.
ในทันใดนั้นเอง พระเนตรดวงที่สองก็เกิดขึ้น
แต่พระเนตรของพระเจ้าสีวิราชนั้น จะว่าเป็นพระเนตรปกติก็ไม่ใช่
จะว่าเป็ นพระเนตรทิพย์ก็ไม่ใช่
เพราะพระเนตรของพระองค์ทรงพระราชทานแก่สักกพราหมณ์แล้ว
ทั้งสักกพราหมณ์ก็ไม่สามารถทาพระเนตรให้เป็ นปกติเหมือนของเดิมได้ อนึ่ง
ธรรมดาพระเนตรทิพย์จะเกิดขึ้นแก่จักษุ ซึ่งมีที่ตั้งอันถอนเสียแล้ว หามิได้ ฉะนั้น
พระเนตรเหล่านั้นของพระเจ้าสีวิราช
ต้องเรียกว่า สัจจปารมิตาจักษุ คือจักษุที่เกิดขึ้นเพราะสัจจบารมีของพระองค์.
ในกาลที่พระเนตรเหล่านั้นเกิดขึ้นพร้อมกันนั่นเอง
ราชบริษัททั้งปวงต่างก็มาประชุมพร้อมกันด้วยอานุภาพของท้าวสักกเทวราช.
ลาดับนั้น
เมื่อท้าวสักกเทวราชจะทรงทาการชมเชยพระเจ้าสีวิราชในท่ามกลางมหาชนนั่นเอ
ง จึงตรัสพระคาถาสองคาถา ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงบารุงสีพีรัฐ พระองค์ตรัสพระคาถาแล้วโดยธรรม
พระเนตรทั้งสองของพระองค์จะปรากฏเป็นตาทิพย์เห็นได้ทะลุภายนอกฝา
ภายนอกกาแพงและภูเขาตลอดร้อยโยชน์ โดยรอบ.
ท้าวสักกเทวราชประทับยืนขึ้นบนอากาศ ตรัสพระคาถาเหล่านี้
ในท่ามกลางมหาชนแล้ว ทรงโอวาทพระมหาสัตว์เจ้าว่า
ขอพระองค์จงอย่าประมาท แล้วเสด็จไปยังเทวโลกทันที.
ฝ่ายพระมหาสัตว์เจ้าแวดล้อมด้วยมหาชน
เสด็จเข้าสู่พระนครด้วยสักการะใหญ่ แล้วเสด็จขึ้นประทับ ณ สุจันทกปราสาท.
ความที่ท้าวเธอได้พระเนตรทั้งคู่กลับคืนมา
ปรากฏแพร่สะพัดไปตลอดทั่วสีวีรัฐสีมามณฑล.
ลาดับนั้น
ประชาชนชาวสีวีรัฐทั้งสิ้นต่างถือเอาเครื่องบรรณาการมาถวายเป็นอันมาก
เมื่อต้องการจะเข้าเฝ้ าชมพระบารมีพระเจ้าสีวิราช พระมหาสัตว์เจ้าทรงดาริว่า
เมื่อมหาชนนี้ประชุมกันแล้ว เราจักพรรณนาทานของเรา
จึงตรัสสั่งให้สร้างมณฑปใหญ่ที่ประตูพระราชนิเวศน์
ประทับนั่งบนราชบัลลังก์ภายใต้สมุสสิตเศวตฉัตร
ตรัสให้ตีกลองประกาศในพระนคร
ตรัสสั่งให้เสนาข้าราชการทั้งมวลประชุมกันแล้วตรัสว่า
ดูก่อนประชาชนชาวสีวีรัฐผู้เจริญทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายเห็นพระเนตรทิพย์ของเราเหล่านี้แล้ว จาเดิมแต่นี้ไป
14
ยังไม่ได้ให้ทานก่อน แล้วอย่าเพิ่งบริโภค.
เมื่อจะทรงแสดงธรรมได้ตรัสพระคาถา ๔ คาถา ความว่า
ใครหนอในโลกนี้ ถูกขอทรัพย์อันน่าปลื้มใจแล้ว แม้จะเป็นของพิเศษ
แม้จะเป็นของที่รักอย่างดีของตน จะไม่พึงให้
เราขอเตือนท่านทั้งหลายผู้เป็นชาวแคว้นสีพีทุกๆ คน ที่มาประชุมกัน
จงดูดวงตาทั้งสองอันเป็นทิพย์ของเราในวันนี้
ตาทิพย์ของเราเห็นได้ทะลุภายนอกฝา ภายนอกกาแพง
และภูเขาตลอด ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ ในโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลายนี้
ไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่าการบริจาคทาน เราได้ให้จักษุที่เป็นของมนุษย์แล้ว
กลับได้จักษุทิพย์
ดูก่อนชาวแคว้นสีพีทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายได้เห็นจักษุทิพย์ที่เราได้นี้แล้ว จงให้ทานเสียก่อน จึงค่อยบริโภคเถิด
บุคคลผู้ให้ทานและบริโภคแล้วตามอานุภาพของตน ไม่มีใครจะติเตียนได้
ย่อมเข้าถึงสุคติสถานดังนี้.
ครั้นพระเจ้าสีวิราชทรงแสดงธรรมด้วยคาถา ๔
คาถาเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล้ว จาเดิมแต่นั้นมา
ในวันกึ่งเดือนและวันปัณณรสีอุโบสถ ก็รับสั่งให้มหาชนประชุมกัน
ทรงแสดงธรรมด้วยคาถาเหล่านี้เป็นประจา
มหาชนสดับธรรมนั้นแล้วพากันทาบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น
ได้ไปสู่เทวโลกเต็มบริบูรณ์ทั่วกัน.
พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ไม่ยินดีด้วยทานในภายนอก
ได้ควักดวงตาทั้งสองของตนบริจาคทานแก่ยาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้าด้วยอาการอย่
างนี้ แล้วทรงประกาศจตุราริยสัจ.
ทรงประชุมชาดกว่า
สีวิกแพทย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์
ท้าวสักกเทวราชได้มาเป็น พระอนุรุทธะ
ราชบริษัทที่เหลือได้มาเป็น พุทธบริษัท
ส่วนพระเจ้าสีวิราชได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสีวิราชชาดกที่ ๓
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 499 สีวิราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
๕๐. รัชชุมาลาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๕๐. รัชชุมาลาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๕๐. รัชชุมาลาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๕๐. รัชชุมาลาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
maruay songtanin
 
436 สมุคคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
436 สมุคคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx436 สมุคคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
436 สมุคคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
494 สาธินราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
494 สาธินราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...494 สาธินราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
494 สาธินราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
361 วัณณาโรหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
361 วัณณาโรหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...361 วัณณาโรหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
361 วัณณาโรหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
273 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
273 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx273 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
273 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
(๘) พระอุปาลิเถราปทาน มจร.pdf
(๘) พระอุปาลิเถราปทาน มจร.pdf(๘) พระอุปาลิเถราปทาน มจร.pdf
(๘) พระอุปาลิเถราปทาน มจร.pdf
maruay songtanin
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
maruay songtanin
 
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
389 สุวัณณกักกฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
389 สุวัณณกักกฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...389 สุวัณณกักกฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
389 สุวัณณกักกฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 

Similar to 499 สีวิราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
514 ฉัททันตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
๕๐. รัชชุมาลาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๕๐. รัชชุมาลาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...๕๐. รัชชุมาลาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
๕๐. รัชชุมาลาวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬ...
 
436 สมุคคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
436 สมุคคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx436 สมุคคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
436 สมุคคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
488 ภิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
494 สาธินราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
494 สาธินราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...494 สาธินราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
494 สาธินราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
361 วัณณาโรหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
361 วัณณาโรหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...361 วัณณาโรหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
361 วัณณาโรหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
391 ปัพพชิตวิเหฐกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจ...
 
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
๐๑. เตมิยชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ])....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
273 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
273 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx273 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
273 กัจฉปชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
282 เสยยชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
(๘) พระอุปาลิเถราปทาน มจร.pdf
(๘) พระอุปาลิเถราปทาน มจร.pdf(๘) พระอุปาลิเถราปทาน มจร.pdf
(๘) พระอุปาลิเถราปทาน มจร.pdf
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
516 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
๖๓. จูฬรถวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ])...
 
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
389 สุวัณณกักกฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
389 สุวัณณกักกฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...389 สุวัณณกักกฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
389 สุวัณณกักกฏกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
337 ปีฐชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
180 ทุทททชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
188 สีหโกตถุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 

More from maruay songtanin

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
maruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
 
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
518 ปัณฑรกนาคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุ...
 
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
517 ทกรักขสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
515 สัมภวชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
512 กุมภชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 

499 สีวิราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 สีวิราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๓. สีวิราชชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๙๙) ว่าด้วยพระเจ้าสีพี (ท้าวสักกเทวราชทูลขอดวงพระเนตรกับพระราชาว่า) [๕๒] ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนเฒ่า มองเห็นได้ไม่ไกล มาเพื่อทูลขอพระจักษุ เราทั้ง ๒ จักมีนัยน์ตาคนละข้าง ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอแล้ว ขอพระองค์โปรดพระราชทานพระจักษุแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด (พระโพธิสัตว์ได้สดับดังนั้นทรงดีพระทัย จึงตรัสว่า) [๕๓] วณิพก ใครแนะนาเจ้าให้มาขอดวงตา ณ ที่นี้ เจ้าขอดวงตาซึ่งเป็ นอวัยวะสาคัญ ยากที่จะสละได้ง่ายๆ ที่บัณฑิตกล่าวไว้ว่า เป็นของที่คนสละได้ยาก (ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า) [๕๔] ท่านผู้ใด ในเทวโลกเขาเรียกกันว่า สุชัมบดี ท่านผู้นั้น ในมนุษยโลกเขาเรียกกันว่า มัฆวาน ข้าพระพุทธเจ้าเป็นวณิพก ท่านผู้นั้นแนะนาให้มาขอพระราชทานดวงพระเนตรในที่นี้ [๕๕] เมื่อข้าพระพุทธเจ้าทูลวิงวอนขอพระราชทานอวัยวะอันสาคัญอยู่ ขอพระองค์ผู้ถูกขอโปรดพระราชทาน ดวงพระเนตรแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด ขอพระองค์โปรดพระราชทานดวงพระเนตรซึ่งเป็ นอวัยวะที่สาคัญ ที่บัณฑิตกล่าวไว้ว่า คนสละได้ยาก แก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด (พระราชาตรัสว่า) [๕๖] เจ้ามาด้วยความประสงค์อันใด ปรารถนาประโยชน์อันใดอยู่ ขอความดาริเหล่านั้นจงสาเร็จแก่เจ้า พราหมณ์ เจ้าจงได้ดวงตาเถิด [๕๗] เมื่อเจ้าขอข้างเดียว เราจะให้ทั้ง ๒ ข้าง เมื่อประชาชนเพ่งดูอยู่ เจ้าจงเป็นผู้มีดวงตาไปเถิด เจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอสิ่งนั้นจงสาเร็จแก่เจ้า (ข้าราชการมีเสนาบดีเป็นต้น ราชวัลลภ ชาวพระนคร และนางสนมกราบทูลทัดทานว่า) [๕๘] ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระองค์อย่าได้พระราชทานดวงพระเนตรเลย อย่าทรงละทิ้งพวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเลย ขอเดชะพระมหาราช ขอพระองค์พระราชทานทรัพย์ แก้วมุกดา และแก้วไพฑูรย์จานวนมากไปเถิด [๕๙] ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ ขอพระองค์จงพระราชทานราชรถ ที่เทียมด้วยม้าอาชาไนย ซึ่งประดับตบแต่งแล้ว ขอพระองค์จงพระราชทานพญาช้าง และที่อยู่อาศัยที่ทาด้วยทองคาเถิด
  • 2. 2 [๖๐] ขอเดชะพระองค์ผู้จอมทัพ ขอพระองค์จงพระราชทานสิ่งของให้พราหมณ์ เหมือนกับชาวกรุงสีพีที่มียานพาหนะและรถ พึงตามเสด็จแวดล้อมพระองค์ในกาลทุกเมื่อ (ลาดับนั้น พระราชาได้ตรัส ๓ คาถาว่า) [๖๑] ผู้ใดพูดว่า เราจักให้แล้วกลับใจไม่ให้ ผู้นั้นชื่อว่าสวมบ่วงที่ตกไปบนพื้นดินไว้ที่คอ [๖๒] ผู้ใดพูดว่า เราจักให้แล้วกลับใจไม่ให้ ผู้นั้นเป็ นคนเลวกว่าคนที่เลว ชื่อว่าเข้าถึงสถานที่ลงโทษแห่งพญายม [๖๓] เขาขอสิ่งใด ควรให้สิ่งนั้น เขาไม่ขอสิ่งใด ไม่ควรให้สิ่งนั้น เราจักให้สิ่งที่พราหมณ์ขอกับเราเท่านั้น (ลาดับนั้น พวกอามาตย์ทูลถามพระราชาว่า) [๖๔] ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน พระองค์ทรงปรารถนาอายุ วรรณะ สุข หรือพละอะไรหรือ จึงได้พระราชทาน พระราชาผู้เป็นใหญ่แห่งชาวสีพี จะพึงพระราชทานดวงพระเนตร เพราะเหตุแห่งปรโลกได้อย่างไร (พระราชาตรัสว่า) [๖๕] เราบริจาคดวงตานั้นเพราะยศก็หามิได้ เราจะปรารถนาบุตร ทรัพย์ และแคว้นก็หาไม่ แต่นี้เป็ นธรรมของสัตบุรุษที่ท่านประพฤติมาแต่โบราณ เพราะเหตุนั้นแล ใจของเราจึงยินดีในการให้ทาน ดวงตาทั้ง ๒ ข้างเราจะเกลียดชังก็หาไม่ ตัวตนเราจะเกลียดชังก็หาไม่ แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะเหตุนั้น เราจึงได้บริจาคดวงตา (พระโพธิสัตว์ได้กาชับนายแพทย์สีวิกะว่า) [๖๖] นายแพทย์สีวิกะ ท่านเป็นเพื่อน เป็นมิตรของเรา ศึกษามาดีแล้ว จงทาตามคาของเราโดยดี เมื่อเรายังเห็นอยู่ ท่านจงควักดวงตา แล้ววางไว้ในมือของวณิพก (พระศาสดาทรงประกาศข้อความนั้นว่า) [๖๗] นายแพทย์สีวิกะถูกพระเจ้าสีพีทรงเตือน จึงกระทาตามรับสั่ง ได้ควักดวงพระเนตรของพระราชาแล้ว ได้น้อมเข้าไปให้แก่พราหมณ์ พราหมณ์เป็นคนมีตาดี พระราชากลับกลายเป็นคนมีพระเนตรบอดไป [๖๘] จากวันนั้น สองสามวันต่อมา เมื่อดวงพระเนตรมีเนื้องอกขึ้นมา พระราชาผู้ทรงบารุงแคว้นแห่งชาวกรุงสีพี ให้เจริญรุ่งเรืองพระองค์นั้นทรงรับสั่งหานายสารถีมาตรัสว่า [๖๙] พ่อสารถี เจ้าจงจัดเทียมยาน เทียมเสร็จแล้วจงบอกให้ทราบ เราจะไปยังอุทยาน สระโบกขรณี และราวป่า
  • 3. 3 [๗๐] ก็พระราชาได้เสด็จเข้าไปประทับนั่งขัดสมาธิที่ริมฝั่งสระโบกขรณี ท้าวสุชัมบดีสักกเทวราชได้ทรงปรากฏแก่ท้าวเธอ (ฝ่ายท้าวสักกะซึ่งพระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงฝีพระบาทแล้วทูลถาม จึงตรัสว่า) [๗๑] ฤๅษีเจ้า หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ ได้มาที่สานักของพระองค์ ขอพระองค์จงขอพรที่พระองค์มีพระทัยปรารถนา (พระราชาตรัสว่า) [๗๒] ขอถวายพระพรท้าวสักกะ ทรัพย์ของอาตมาก็มีเพียงพอ พลนิกายและพระคลังก็มีมิใช่น้อย แต่บัดนี้ อาตมาเป็นคนตาบอดจึงพอใจการตายเท่านั้น (ท้าวสักกะตรัสว่า) [๗๓] พระมหากษัตริย์ผู้จอมมนุษย์ คาเหล่าใดเป็นคาสัตย์ ขอพระองค์จงตรัสคาเหล่านั้น เมื่อพระองค์ตรัสคาสัตย์ ดวงพระเนตรจักปรากฏมีอีก (พระโพธิสัตว์ผู้เป็นพระราชาได้ทาสัจจกิริยาว่า) [๗๔] วณิพกมีโคตรต่างๆ กันเหล่าใดพากันมาเพื่อจะขอกับอาตมา บรรดาวณิพกเหล่านั้น ผู้ใดย่อมขออาตมา แม้ผู้นั้นย่อมเป็นที่รักแห่งใจของอาตมา ด้วยสัจจวาจานี้ ขอดวงตาจงเกิดขึ้นแก่อาตมา (ต่อมาได้ตรัสอีกว่า) [๗๕] พราหมณ์ผู้มาขอกับอาตมาแล้วว่า ขอพระองค์โปรดพระราชทานดวงตาข้างหนึ่งเถิด อาตมาได้ประทานดวงตาให้พราหมณ์ซึ่งขออยู่นั้นไป ๒ ข้าง [๗๖] ปีติและโสมนัสมิใช่น้อยได้ท่วมทับโดยยิ่ง ด้วยสัจจวาจานี้ ขอดวงตาดวงที่ ๒ จงเกิดขึ้นแก่อาตมา (ท้าวสักกะทรงชมเชยพระโพธิสัตว์ในท่ามกลางมหาชนว่า) [๗๗] พระองค์ผู้ทรงผดุงแคว้นให้เจริญแก่ชาวกรุงสีพี พระองค์ตรัสคาถาโดยธรรม ดวงพระเนตรของพระองค์เหล่านี้จะปรากฏเป็นทิพย์ [๗๘] จะให้พระองค์สาเร็จการเห็นทะลุผ่านภายนอกฝา ภายนอกกาแพงศิลาและภูเขาไปได้ไกลถึง ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ (พระโพธิสัตว์แสดงธรรมว่า) [๗๙] ในโลกนี้ ใครหนอถูกเขาขอแล้ว ไม่พึงให้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ ทั้งวิเศษ ทั้งเป็นที่รักยิ่งของตน เอาเถิด เราขอเตือนชาวสีพีทุกคนที่มาประชุมพร้อมกัน ขอพวกท่านจงดูดวงตาทั้ง ๒ ซึ่งเป็ นทิพย์ของเราในวันนี้
  • 4. 4 [๘๐] จะให้เราสาเร็จการเห็นทะลุผ่านภายนอกฝา ภายนอกกาแพงศิลาและภูเขา ไปได้ไกลถึง ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ [๘๑] ไม่มีอะไรของเหล่าสัตว์ในมนุษยโลกนี้ ที่จะยอดเยี่ยมไปกว่าการบริจาค เราได้บริจาคดวงตาซึ่งเป็ นของมนุษย์แล้ว กลับได้ดวงตาอันยิ่งกว่าของมนุษย์ [๘๒] พี่น้องชาวกรุงสีพีทั้งหลาย พวกท่านได้เห็นดวงตาทิพย์ ที่เราได้แล้วแม้นี้ จงให้ทาน จงบริโภคเถิด คนที่ให้แล้วและบริโภคแล้วตามความสามารถ ไม่พึงถูกนินทา พึงเข้าถึงแดนสวรรค์ สีวิราชชาดกที่ ๓ จบ ----------------------- คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา สีวิราชชาดก ว่าด้วย การให้ดวงตาเป็ นทาน พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอสทิสทาน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. เรื่องปัจจุบันนิทานนั้นได้กล่าวไว้พิสดารแล้ว ในสีวิราชชาดก ในอัฏฐกนิบาตนั้นเอง. ก็ในกาลนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงถวายบริขารครบทุกอย่างในวันที่ ๗ แล้วทูลขออนุโมทนา. พระศาสดาไม่ได้ตรัสอะไรเลย เสด็จหลีกไปแล้ว. พระราชาเสวยพระกระยาหารเช้าแล้วเสด็จไปยังพระวิหาร ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ทรงทาอนุโมทนา พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร เพราะบริษัทไม่บริสุทธิ์ พระราชาทรงเลื่อมใส ทรงบูชาพระตถาคตด้วยผ้าอุตราสงค์ สีเวยยกพัสตร์มีราคาแสนหนึ่ง แล้วเสด็จกลับพระนคร. ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเจ้าโกศลราชทรงถวายอสทิสทาน แล้วยังไม่อิ่มด้วยการถวายทานแม้ขนาดนั้น เมื่อพระทศพลทรงแสดงธรรมแล้ว ได้ถวายผ้าสีเวยยกพัสตร์อันมีค่าแสนหนึ่งอีก อาวุโสทั้งหลาย ตลอดเวลาที่ท้าวเธอทรงถวายทาน ยังไม่รู้สึกอิ่มพระทัยเลย. พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าพาหิรภัณฑ์
  • 5. 5 บุคคลจะให้ได้ง่ายก็หาไม่ โปราณกบัณฑิตทั้งหลายกระทาชมพูทวีปทั้งสิ้นให้เป็นเนินสูงแล้ว ให้ทานบริจาคทรัพย์วันละหกแสนทุกๆ วัน ยังไม่อิ่มด้วยพาหิรกทานเลย ผู้ให้ของรักย่อมได้ของรัก ฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลายจึงได้ควักดวงตาทั้งสองให้ทานแก่ยาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้า. แล้วทรงนาอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าสีวิมหาราชเสวยราชสมบัติในอริฏฐปุรนคร แคว้นสีวิรัฐ พระมหาสัตว์เจ้าบังเกิดเป็ นพระราชโอรสของท้าวเธอ พระประยูรญาติทั้งหลายขนานพระนามของพระกุมารนั้นว่า สีวิราชกุมาร. พระราชกุมารเจริญวัยแล้วไปยังพระนครตักกสิลา ศึกษาศิลปศาสตร์จบแล้ว กลับมาแสดงศิลปศาสตร์ถวายพระชนกทอดพระเนตร จนได้รับพระราชทานยศเป็นมหาอุปราช ในเวลาต่อมา เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้วก็ได้เป็นพระราชา ละการลุอานาจแก่อคติเสีย ไม่ยังทศพิธราชธรรมให้กาเริบ เสวยราชสมบัติโดยธรรม ให้สร้างศาลาโรงทานไว้ ๖ แห่งคือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง และที่ประตูพระราชนิเวศน์อีก ๑ แห่ง แล้วทรงยังมหาทานให้เป็นไป ด้วยทรงบริจาคทรัพย์วันละ ๖ แสนทุกๆ วัน และในวันอัฏฐมี จาตุททสี และปัณณรสี คือวัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า และ ๑๕ ค่า ท้าวเธอเสด็จลงสู่โรงทาน ตรวจตราการให้ทานเป็นราชกรณียกิจประจา. คราวหนึ่งเป็ นวันปูรณมี ดิถีที่ ๑๕ ค่า เวลาเช้าพระเจ้าสีวิราชประทับเหนือราชบัลลังก์ ภายใต้สมุสสิตเศวตฉัตร ทรงราพึงถึงทานที่พระองค์ทรงบริจาค มิได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิรวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ชื่อว่าพระองค์ยังไม่เคยบริจาค จึงทรงพระดาริว่า พาหิรวัตถุที่ชื่อว่าเรายังไม่เคยบริจาคไม่มีเลย พาหิรกทานหาได้ยังเราให้ยินดีไม่ เราประสงค์จะให้อัชฌัตติกทาน โอหนอ เวลาที่เราไปในโรงทานวันนี้ ยาจกคนใดอย่าได้ขอพาหิรวัตถุเลย พึงเอ่ยออกชื่อขอแต่อัชฌัตติกทานเถิด ก็ถ้าหากว่าใครๆ จะเอ่ยปากขอดวงหทัยของเราไซร้ เราจะเอาหอกแหวะอุรประเทศนาดวงหทัย ซึ่งมีหยาดโลหิตไหลอยู่ออกให้ ดุจถอนปทุมชาติทั้งก้านขึ้นจากน้าอันใสฉะนั้น ถ้าหากว่าใครเอ่ยปากขอเนื้อในสรีรกายของเรา เราจะเถือเนื้อในสรีระให้ ดุจคนขูดจันทน์แดงด้วยศาสตราสาหรับขูดฉะนั้น ถ้าหากว่าใครเอ่ยปากขอโลหิต เราจะวิ่งเข้าไปในปากแห่งยนต์ ให้คนนาภาชนะเข้าไปรองรับจนเต็มแล้วจึงจักให้โลหิต หรือว่าถ้าใครจะพึงพูดกะเราว่า การงานในเรือนของเราไม่เรียบร้อย
  • 6. 6 ท่านจงเป็ นทาสทาการงานในเรือนของเราดังนี้ เราจักละเพศกษัตริย์เสีย กระทาตนให้อยู่นอกตาแหน่ง แล้วประกาศตนทาการงานของทาส ถ้าใครเอ่ยปากขอดวงตาของเรา เราจักควักดวงตาทั้งคู่ออกให้เหมือนดังควักจาวตาลฉะนั้น. ท้าวเธอทรงดาริต่อไปว่า วัตถุทานซึ่งเป็ นของมนุษย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เรายังไม่ได้บริจาคไม่มีเลย แม้ยาจกคนใดจะพึงขอดวงตากะเรา เราจะไม่หวั่นไหวให้ดวงตาแก่ยาจกนั้นทีเดียว ดังนี้แล้ว ทรงสรงสนานด้วยหม้อน้าหอม ๑๖ หม้อทรงประดับตกแต่งองค์ ด้วยเครื่องสรรพอลังการ เสวยพระกระยาหารที่มีรสอันเลิศต่างๆ แล้วเสด็จประทับเหนือคอมงคลหัตถีอันประดับตกแต่งแล้ว ได้เสด็จไปสู่โรงทาน. ท้าวสักกะทรงทราบอัธยาศัยของพระองค์ จึงทรงดาริว่า วันนี้พระเจ้าสีวิราชทรงพระดาริว่า จักควักดวงพระเนตรออกพระราชทานแก่ยาจกผู้มาถึง ท้าวเธอจักอาจเพื่อพระราชทานหรือหาไม่หนอ เมื่อจะทดลองพระเจ้าสีวิราช จึงทรงแปลงเป็นพราหมณ์แก่ชราตาบอด ในเวลาที่พระราชาเสด็จไปสู่โรงทาน ได้ไปยืนอยู่ที่เนินแห่งหนึ่ง ยื่นพระหัตถ์ออกถวายชัยมงคล. พระราชาทรงไสช้างพระที่นั่งมุ่งเข้าไปหาพราหมณ์นั้น แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านพูดว่ากระไร? ลาดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกะท้าวเธอว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า โลกสันนิวาสทั้งสิ้นกึกก้องด้วยเสียงแซ่ซ้องสาธุการ อาศัยพระอัธยาศัยอันน้อมไปในทานของพระองค์ฟุ้ งขจรอยู่เป็ นนิตย์ ส่วนข้าพระองค์เป็นคนตาบอด พระองค์มีพระเนตรสองข้าง ดังนี้แล้ว. เมื่อจะทูลขอดวงพระเนตร จึงตรัสพระคาถาที่ ๑ ความว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนชรา ไม่แลเห็นในที่ไกล มาเพื่อจะทูลขอพระเนตร ข้าพระพุทธเจ้ามีนัยน์ตาข้างเดียว ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด. พระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับถ้อยคานั้นแล้วทรงดาริว่า เรานั่งนึกอยู่ในปราสาท มาเดี๋ยวนี้ทีเดียว เป็นลาภใหญ่ของเรา มโนรถของเราจักถึงที่สุดในวันนี้ทีเดียว เราจักบริจาคทานที่ยังไม่เคยบริจาค แล้วทรงมีพระหฤทัยชื่นชมโสมนัส. ตรัสพระคาถาที่ ๒ ความว่า ดูก่อนวณิพก ใครเป็นผู้แนะนาท่านให้มาขอดวงตาเรา ณ ที่นี้
  • 7. 7 บัณฑิตทั้งหลายกล่าวดวงตาใดว่ายากที่บุรุษจะสละได้ ท่านมาขอดวงตานั้นอันเป็นอวัยวะเบื้องสูง ยากที่จะสละได้ง่ายๆ. พราหมณ์ทูลตอบว่า ในเทวโลกเขาเรียกท่านผู้ใดว่า สุชัมบดี ในมนุษยโลกเขาเรียกท่านผู้นั้นว่า มฆวา ข้าพระพุทธเจ้าเป็นวณิพก ท่านผู้นั้นแนะนาให้มาขอพระเนตร ณ ที่นี้ ข้าพระพุทธเจ้าเป็ นวณิพก การขอของข้าพระพุทธเจ้าไม่มีสิ่งใดจะยิ่งไปกว่า ขอพระองค์ทรงพระราชทานพระเนตรแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้มาขอเถิด บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ดวงตาใดยากที่บุรุษจะสละได้ ขอพระองค์โปรดพระราชทานดวงเนตรนั้น ที่ไม่มีสิ่งอื่นจะยิ่งกว่าแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด. พระเจ้าสีวิราชทรงสดับแล้ว ตรัสตอบว่า ท่านมาด้วยประโยชน์อันใด ปรารถนาประโยชน์สิ่งใด ความดาริเหล่านั้นเพื่อประโยชน์นั้นๆ ของท่านจงสาเร็จเถิด ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงได้ดวงตาเถิด เมื่อท่านขอข้างเดียว เราจะให้ทั้งสองข้าง ขอท่านจงมีจักษุด้วยจักษุของเราไปเถิด ท่านปรารถนาสิ่งใดจากเราผู้มุ่งหมายอยู่ ขอสิ่งนั้นจงสาเร็จแก่ท่านเถิด. พระราชาตรัสเพียงเท่านี้แล้วทรงพระดาริว่า การที่เราจักควักนัยน์ตาให้แก่พราหมณ์ในที่นี้ทีเดียว เป็ นการไม่เหมาะสม จึงพาพราหมณ์ไปสู่ภายในพระราชฐาน แล้วประทับบนราชอาสน์ ตรัสสั่งให้เรียกหมอชื่อว่าสีวิกะมาตรัสว่า เจ้าจงชาระนัยน์ตาของเราให้สะอาด. ได้มีเสียงเอิกเกริกโกลาหลเป็นอันเดียวกันทั่วทั้งพระนครว่า ได้ยินว่า พระราชาของพวกเรามีพระราชประสงค์จะควักพระเนตรทั้งสอง พระราชทานแก่พราหมณ์ ลาดับนั้น ข้าราชการมีเสนาบดีเป็นต้น ราชวัลลภ ชาวพระนครและนางสนมทั้งหลาย มาประชุมพร้อมกัน เมื่อจะกราบทูลทัดทานพระราชา ได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์อย่าทรงพระราชทานดวงพระเนตรเลย อย่าทรงทอดทิ้งข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเลย ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์พระราชทานทรัพย์เถิด แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ มีเป็ นอันมาก ข้าแต่มหาราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระองค์จงทรงพระราชทานรถทั้งหลายที่เทียมแล้ว ม้าอาชาไนย ช้างตัวประเสริฐที่ตบแต่งแล้ว ที่อยู่และเครื่องบริโภคที่ทาด้วยทองคาเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
  • 8. 8 ขอพระองค์จงทรงพระราชทานเหมือนกับชาวสิพีทั้งปวงที่มีเครื่องใช้สอย มีรถเฝ้ าแหนพระองค์อยู่โดยรอบ ทุกเมื่อฉะนั้นเถิด. ชาวสีพีทั้งหลายจะพึงได้เฝ้ าแหนพระองค์ผู้มีพระเนตรไม่บกพร่องอยู่ ตลอดกาลนานโดยวิธีใด พระองค์จงทรงพระราชทานโดยวิธีนั้นเถิด คือพระองค์จงทรงพระราชทานแต่เพียงทรัพย์แก่พราหมณ์เท่านั้นอย่าได้ทรงพระ ราชทานคู่พระเนตรเลย เพราะเมื่อพระองค์ทรงพระราชทานคู่พระเนตรไปแล้ว ประชาชนชาวสีพีทั้งหลายจักไม่ได้เฝ้ าแหนพระองค์ต่อไป. ลาดับนั้น พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า ผู้ใดแลพูดว่าจักให้แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้นเหมือนกับสวมบ่วงที่ตกลงยังพื้นดินไว้ที่คอ ผู้ใดแลพูดว่าจักให้แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้นเป็ นคนลามกยิ่งกว่าผู้ที่ลามก ทั้งจะต้องเข้าถึงสถานที่ลงอาญาของพญายม ความจริงผู้ขอได้ขอสิ่งใดไว้ ผู้ให้ก็ควรจะให้สิ่งนั้นแหละ ผู้ขอยังไม่ได้ขอสิ่งใดไว้ ผู้ให้ก็อย่าพึงให้สิ่งนั้น พราหมณ์ได้ขอสิ่งใดไว้กะเรา เราก็จักให้สิ่งนั้นนั่นแหละ. ลาดับนั้น เมื่ออามาตย์ทั้งหลายจะทูลถามท้าวเธอว่า พระองค์จะพระราชทานพระจักษุเพราะทรงปรารถนาอะไร จึงกล่าวคาถาความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชา พระองค์ทรงปรารถนาพระชนมายุ วรรณะ สุขะ และพละอะไรหรือ จึงทรงพระราชทานพระเนตร พระองค์ทรงเป็นราชาแห่งชาวสีพี ไม่มีใครประเสริฐยิ่งไปกว่า ทรงพระราชทานพระเนตร เพราะเหตุปรโลกหรืออย่างไร. ลาดับนั้น พระราชาเมื่อจะตรัสตอบอามาตย์เหล่านั้น จึงตรัสพระคาถาความว่า เราให้ดวงตาเป็นทานนั้น เพราะยศก็หาไม่ เราจะได้ปรารถนาบุตร ทรัพย์หรือแว่นแคว้น เพราะผลแห่งการให้ดวงตานี้ก็หาไม่ อีกประการหนึ่ง ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย ท่านได้ประพฤติกันมาแล้วแต่โบราณ เพราะเหตุนี้แหละ ใจของเราจึงยินดีในทาน. แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงแสดงจริยาปิฎก แก่พระธร รมเสนาบดีสารีบุตรเถระ เพื่อจะทรงแสดงว่า พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้นเป็ นที่รักกว่าดวงตาแม้ทั้งสองของเรา จึงตรัสว่า ดวงตาทั้งสองข้างจะได้เป็นที่เกลียดชังของเราก็หาไม่ ตนของตนเองก็หาได้เป็นที่เกลียดชังของเราไม่ พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้ดวงตา. ก็เมื่ออามาตย์ทั้งหลายได้ฟังพระดารัสของพระมหาสัตว์แล้ว
  • 9. 9 ไม่อาจจะทูลทัดทาน จาต้องนิ่งเฉยอยู่. พระมหาสัตว์เจ้าได้ตรัสกาชับสีวิกแพทย์ด้วยพระคาถาว่า ดูก่อนสีวิกะ ท่านเป็นมิตรสหายของเรา ท่านเป็ นคนศึกษามาดีแล้ว จงกระทาตามคาของเราให้ดี จงควักดวงตาทั้งสองของเราผู้ปรารถนาอยู่ แล้ววางลงในมือของพราหมณ์วณิพกเถิด. พระคาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า ดูก่อนสีวกแพทย์ผู้สหาย เธอเป็นทั้งสหายและมิตรของเรา ได้ศึกษามาในศิลปะของแพทย์เป็นอย่างดีโดยแท้ จงทาตามคาของเราให้สาเร็จประโยชน์ เมื่อเราปรารถนาพิจารณาแลดูนั่นแล เธอจงควักดวงตาทั้งคู่ของเราออกดังถอนหน่อตาล แล้ววางไว้ในมือของยาจกผู้นี้เถิด ดังนี้. ลาดับนั้น สีวกแพทย์ทูลเตือนท้าวเธอว่า ขึ้นชื่อว่าการให้จักษุเป็ นทาน เป็นกรรมหนัก ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์จงใคร่ครวญให้ดี. พระราชาตรัสว่า ดูก่อนสีวิกแพทย์ เราใคร่ครวญดีแล้ว ท่านอย่ามัวชักช้าร่าไรอยู่เลย อย่าพูดกับเราให้มากเรื่องไปเลย. สีวิกแพทย์คิดว่า การที่นายแพทย์ผู้ศึกษามาดีเช่นเรา จะเอาศาสตราคว้านพระเนตรของพระราชาไม่สมควร. เขาจึงบดโอสถหลายขนาน แล้วเอาผลตัวยาอบดอกอุบลเขียวแล้วถวายให้ทรงถูพระเนตรเบื้องขวา. พระเนตรพร่า เกิดทุกขเวทนาเป็นกาลัง. เขากราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงกาหนดพระทัยดูเถิด การทาพระเนตรให้เป็นปกติ เป็นภาระของข้าพระพุทธเจ้า. พระราชาตรัสว่า พ่อหมอ เธอจงหลีกไป อย่ามัวทาช้าอยู่เลย. เขาจึงปรุงโอสถน้อมเข้าไปให้ทรงถูพระเนตรซ้าอีก พระเนตรก็หลุดออกจากหลุมพระเนตร บังเกิดทุกขเวทนาเหลือประมาณ. เขากราบทูลว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงกาหนดพระทัยดูเถิด การทาพระเนตรให้เป็นปกติ เป็นภาระของข้าพระพุทธเจ้า. พระราชาตรัสว่า หลีกไปเถอะพ่อหมอ อย่าทาชักช้าอยู่เลย. ในวาระที่ ๓ เขาปรุงโอสถให้แรงขึ้นกว่าเดิมน้อมเข้าไปถวาย ด้วยกาลังพระโอสถ พระเนตรก็หมุนหลุดออกจากเบ้าพระเนตร ลงมาห้อยอยู่ด้วยเส้นเอ็น. เขาจึงกราบทูลซ้าอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมนรชน ขอพระองค์จงทรงกาหนดพระทัยดูเถิด การทาพระเนตรให้เป็นปกติ
  • 10. 10 เป็นภาระของข้าพระพุทธเจ้า. พระราชาตรัสว่า เธออย่าทาการชักช้าอยู่เลย. ทุกขเวทนาบังเกิดขึ้นเหลือที่จะประมาณ พระโลหิตก็ไหลออก พระภูษาทรงเปียกชุ่มไปด้วยพระโลหิต นางสนมและหมู่อามาตย์ทั้งหลายหมอบเฝ้ าอยู่แทบบาทมูลของพระราชา ต่างพากันปริเทวนาการพิไรราพันอึงคะนึงว่า ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ขอพระองค์อย่าทรงพระราชทานดวงพระเนตรเลย. พระราชาทรงอดกลั้นทุกขเวทนา ตรัสว่า พ่อหมอ เธออย่าทาการชักช้าอยู่เลย. เขารับพระบรมราชโองการแล้ว ประคองพระเนตรด้วยมือซ้าย จับศาสตราตัดเอ็นที่ติดพระเนตรด้วยมือขวา แล้วรับพระเนตรไปวางไว้ในพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์. พระองค์ทอดพระเนตรเบื้องขวาด้วยพระเนตรเบื้องซ้าย ทรงอดกลั้นทุกขเวทนา ตรัสเรียกพราหมณ์ว่า มาเถิดพราหมณ์ แล้วตรัสว่า สัพพัญญุตญาณเท่านั้น เป็ นที่รักกว่านัยน์ตาของเรานี้ตั้งร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า ผลที่เราบริจาคดวงตานี้ จงเป็ นปัจจัยแก่พระสัพพัญญุตญาณนั้นเถิด. แล้วได้พระราชทานดวงพระเนตรนั้นแก่พราหมณ์ไป. พราหมณ์รับพระเนตรนั้นประดิษฐานไว้ในดวงตาของตน ด้วยอานุภาพของพระเจ้าสีวิราชนั้นดวงพระเนตรก็ประดิษฐานอยู่ เป็นเหมือนดอกอุบลเขียวที่แย้มบาน. พระมหาสัตว์เจ้าทอดพระเนตรดูนัยน์ตาของพราหมณ์นั้น ด้วยพระเนตรเบื้องซ้าย แล้วทรงดาริว่า โอ อักขิทาน เราได้ให้ดีแล้ว ทรงเสวยปิติอันซ่านไปภายในพระหฤทัยหาระหว่างมิได้ จึงได้พระราชทานพระเนตรเบื้องซ้ายนอกนี้อีก. ท้าวสักกเทวราชทรงประดิษฐาน แม้พระเนตรเบื้องซ้ายนั้นไว้ในดวงพระเนตรของพระองค์ แล้วเสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ เมื่อมหาชนกาลังแลดูอยู่นั่นแล ได้ออกจากพระนครไปสู่เทวโลกทันที. พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาหนึ่งคาถาครึ่ง ความว่า พระเจ้าสีวิราชทรงเตือนให้หมอสีวิกะ กระทาตามพระราชดารัสแล้ว หมอสีวิกะควักดวงพระเนตรของพระราชาออกแล้ว
  • 11. 11 ทรงพระราชทานแก่พราหมณ์ พราหมณ์ก็เป็นคนตาดี พระราชาก็เข้าถึงความเป็นคนตาบอด. ไม่สู้นานนัก มังสะพระเนตรทั้งคู่ของพระราชาก็งอกขึ้น และเมื่องอกขึ้นก็หาถึงความเป็ นหลุมไม่ ได้เต็มบริบูรณ์ด้วยก้อนพระมังสะอันนูนขึ้นเหมือนปมผ้ากัมพล หลุมพระเนตรทั้งสองเป็นเหมือนภาพนัยน์ตาอันนายช่างจิตรกรจัดทา ทุกขเวทนาก็เสื่อมหายขาดไปสิ้น ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ประทับอยู่บนปราสาทสอง-สามวัน ทรงดาริว่าประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแก่คนตาบอด เพราะฉะนั้น เราจักมอบราชสมบัติแก่อามาตย์ทั้งหลายไปสู่พระราชอุทยาน บวชบาเพ็ญสมณธรรม ดังนี้แล้ว ตรัสสั่งให้อามาตย์ทั้งหลายมาเฝ้ า ตรัสบอกเนื้อความนั้นแก่อามาตย์เหล่านั้น แล้วตรัสสั่งว่า กัปปิยการกคนหนึ่งสาหรับให้สิ่งของมีน้าบ้วนปากเป็ นต้น จักอยู่ในสานักของเรา ท่านทั้งหลายจงผูกรางไว้ในที่กระทาสรีรกิจของเราเถิด แล้วตรัสเรียกนายสารถีมาตรัสสั่งว่า เจ้าจงเทียมรถ. ส่วนอามาตย์ทั้งหลายไม่ให้พระองค์เสด็จด้วยรถ นาเสด็จไปด้วยพระสุวรรณสีวิกา แล้วให้ประทับอยู่ใกล้ฝั่งสระโบกขรณี จัดแจงวางกาลังพิทักษ์รักษาแล้วจึงหลีกไป. พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ ทรงราพึงถึงทานของพระองค์. ขณะนั้นได้ร้อนไปถึงอาสนะของท้าวสักกเทวราช ท้าวสักกะทรงราพึงดู เห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว ทรงดาริว่า เราจักให้พรแก่พระเจ้าสีวิมหาราช แล้วทาพระเนตรให้เป็นปกติ ดังนี้แล้วจึงเสด็จมาที่ฝั่งสระโบกขรณีนั้น เสด็จดาเนินไปๆ มาๆ ไม่ไกลพระมหาสัตว์เจ้า. พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า นับแต่นั้นมาสองสามวัน เมื่อพระเนตรทั้งสองมีเนื้องอกขึ้นเต็มแล้ว พระราชาผู้บารุงสีพีรัฐจึงตรัสเรียกนายสารถีผู้เฝ้ าอยู่นั้นว่า ดูก่อนสารถี ท่านจงเทียมยานเถิด เสร็จแล้วจงบอกให้เราทราบ เราจะไปยังอุทยาน จะไปยังสระโบกขรณี และราวป่า พอพระเจ้าสีวิราชเข้าไปประทับนั่งขัดสมาธิ ริมขอบสระโบกขรณีแล้ว ท้าวสุชัมบดีสักกเทวราชก็เสด็จมาเฝ้ าท้าวเธอ. ฝ่ายท้าวสักกเทวราช อันพระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับเสียงแห่งพระบาท แล้วตรัสถามว่า นั่นใคร? จึงตรัสพระคาถาความว่า หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะจอมแห่งเทพ มาในสานักของพระองค์แล้ว ข้าแต่พระราชฤาษี ขอพระองค์จงทรงเลือกเอาพรตามที่พระทัยปรารถนาเถิด. เมื่อท้าวสักกเทวราชตรัสอย่างนี้แล้ว
  • 12. 12 พระราชาจึงตรัสพระคาถาความว่า ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช ทรัพย์ก็ดี กาลังก็ดี ของหม่อมฉันมีเพียงพอแล้ว อนึ่ง คลังของหม่อมฉันก็มีเป็ นอันมาก บัดนี้ หม่อมฉันเป็นคนตาบอด พอใจความตายเท่านั้น. ลาดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกะท้าวเธอว่า ดูก่อนพระเจ้าสีวิราช ก็พระองค์ทรงพระประสงค์จะสิ้นพระชนม์เองจึงอยากสิ้นพระชนม์ หรือว่าอยากสิ้นพระชนม์เพราะเป็ นคนตาบอด? พระเจ้าสีวิราชทูลตอบว่า ข้าพเจ้าอยากสิ้นพระชนม์เพราะเป็ นคนตาบอด. ท้าวสักกเทวราชตรัสข้อสนทนาต่อไปว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า ขึ้นชื่อว่าทานจะให้ผลในสัมปรายภพอย่างเดียวเท่านั้น ก็หามิได้ ย่อมเป็นปัจจัยแม้เพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน ก็พระองค์อันยาจกทูลขอพระเนตรข้างเดียว ได้พระราชทานเสียทั้งสองข้าง เหตุนั้น พระองค์โปรดทาสัจจกิริยาเถิด แล้วตรัสว่า ดูก่อนบรมกษัตริย์ผู้เป็นจอมนรชน พระองค์จงตรัสถ้อยคาที่เป็นสัจจะ เมื่อพระองค์ตรัสแต่ถ้อยคาที่เป็ นสัจจะ พระเนตรจักเกิดขึ้นอีก. พระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับเช่นนั้นแล้ว ตรัสว่า ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช แม้หากว่าพระองค์ทรงพระประสงค์จะพระราชทานจักษุแก่ข้าพเจ้า ขออย่าต้องให้ทาอุบายอย่างอื่นเลย ดวงจักษุจงเกิดขึ้นด้วยผลแห่งทานของข้าพเจ้าเถิด. เมื่อท้าวสักกะตรัสว่า เราเป็นท้าวสักกเทวราชไม่สามารถจะให้จักษุแก่คนอื่นได้ จักษุจักเกิดขึ้นด้วยกาลังแห่งทานอันพระองค์บริจาคอย่างเดียว จึงตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นทานอันข้าพเจ้าบริจาคด้วยดีแล้ว ดังนี้ เมื่อจะทรงทาสัจจกิริยา จึงตรัสพระคาถาความว่า บรรดาวณิพกทั้งหลายผู้มีโคตรต่างๆ กัน มาขอหม่อมฉัน แม้วณิพกคนใดมาขอหม่อมฉัน แม้วณิพกนั้นก็เป็ นที่รักแห่งใจของหม่อมฉัน ด้วยการกล่าวคาสัตย์นี้ ขอจักษุจงบังเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันเถิด. ลาดับนั้น พระจักษุอันเป็ นปฐมก็เกิดขึ้นในระหว่างแห่งพระดารัสของพระราชานั่นเอง แต่นั้นเพื่อจะให้พระจักษุข้างที่สองเกิดขึ้น ท้าวเธอจึงตรัสหมวดสองแห่งคาถา ความว่า พราหมณ์ผู้ใดมาขอหม่อมฉันว่า ขอพระราชทานพระเนตรเถิด หม่อมฉันได้ให้ดวงตาทั้งสองแก่พราหมณ์ผู้นั้นซึ่งเป็ นวณิพก ปี ติ
  • 13. 13 และโสมนัสเป็ นอันมากเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันยิ่งนัก ด้วยการกล่าวคาสัตย์นี้ ขอจักษุจงบังเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันเถิด ดังนี้. ในทันใดนั้นเอง พระเนตรดวงที่สองก็เกิดขึ้น แต่พระเนตรของพระเจ้าสีวิราชนั้น จะว่าเป็นพระเนตรปกติก็ไม่ใช่ จะว่าเป็ นพระเนตรทิพย์ก็ไม่ใช่ เพราะพระเนตรของพระองค์ทรงพระราชทานแก่สักกพราหมณ์แล้ว ทั้งสักกพราหมณ์ก็ไม่สามารถทาพระเนตรให้เป็ นปกติเหมือนของเดิมได้ อนึ่ง ธรรมดาพระเนตรทิพย์จะเกิดขึ้นแก่จักษุ ซึ่งมีที่ตั้งอันถอนเสียแล้ว หามิได้ ฉะนั้น พระเนตรเหล่านั้นของพระเจ้าสีวิราช ต้องเรียกว่า สัจจปารมิตาจักษุ คือจักษุที่เกิดขึ้นเพราะสัจจบารมีของพระองค์. ในกาลที่พระเนตรเหล่านั้นเกิดขึ้นพร้อมกันนั่นเอง ราชบริษัททั้งปวงต่างก็มาประชุมพร้อมกันด้วยอานุภาพของท้าวสักกเทวราช. ลาดับนั้น เมื่อท้าวสักกเทวราชจะทรงทาการชมเชยพระเจ้าสีวิราชในท่ามกลางมหาชนนั่นเอ ง จึงตรัสพระคาถาสองคาถา ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงบารุงสีพีรัฐ พระองค์ตรัสพระคาถาแล้วโดยธรรม พระเนตรทั้งสองของพระองค์จะปรากฏเป็นตาทิพย์เห็นได้ทะลุภายนอกฝา ภายนอกกาแพงและภูเขาตลอดร้อยโยชน์ โดยรอบ. ท้าวสักกเทวราชประทับยืนขึ้นบนอากาศ ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ในท่ามกลางมหาชนแล้ว ทรงโอวาทพระมหาสัตว์เจ้าว่า ขอพระองค์จงอย่าประมาท แล้วเสด็จไปยังเทวโลกทันที. ฝ่ายพระมหาสัตว์เจ้าแวดล้อมด้วยมหาชน เสด็จเข้าสู่พระนครด้วยสักการะใหญ่ แล้วเสด็จขึ้นประทับ ณ สุจันทกปราสาท. ความที่ท้าวเธอได้พระเนตรทั้งคู่กลับคืนมา ปรากฏแพร่สะพัดไปตลอดทั่วสีวีรัฐสีมามณฑล. ลาดับนั้น ประชาชนชาวสีวีรัฐทั้งสิ้นต่างถือเอาเครื่องบรรณาการมาถวายเป็นอันมาก เมื่อต้องการจะเข้าเฝ้ าชมพระบารมีพระเจ้าสีวิราช พระมหาสัตว์เจ้าทรงดาริว่า เมื่อมหาชนนี้ประชุมกันแล้ว เราจักพรรณนาทานของเรา จึงตรัสสั่งให้สร้างมณฑปใหญ่ที่ประตูพระราชนิเวศน์ ประทับนั่งบนราชบัลลังก์ภายใต้สมุสสิตเศวตฉัตร ตรัสให้ตีกลองประกาศในพระนคร ตรัสสั่งให้เสนาข้าราชการทั้งมวลประชุมกันแล้วตรัสว่า ดูก่อนประชาชนชาวสีวีรัฐผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเห็นพระเนตรทิพย์ของเราเหล่านี้แล้ว จาเดิมแต่นี้ไป
  • 14. 14 ยังไม่ได้ให้ทานก่อน แล้วอย่าเพิ่งบริโภค. เมื่อจะทรงแสดงธรรมได้ตรัสพระคาถา ๔ คาถา ความว่า ใครหนอในโลกนี้ ถูกขอทรัพย์อันน่าปลื้มใจแล้ว แม้จะเป็นของพิเศษ แม้จะเป็นของที่รักอย่างดีของตน จะไม่พึงให้ เราขอเตือนท่านทั้งหลายผู้เป็นชาวแคว้นสีพีทุกๆ คน ที่มาประชุมกัน จงดูดวงตาทั้งสองอันเป็นทิพย์ของเราในวันนี้ ตาทิพย์ของเราเห็นได้ทะลุภายนอกฝา ภายนอกกาแพง และภูเขาตลอด ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ ในโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลายนี้ ไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่าการบริจาคทาน เราได้ให้จักษุที่เป็นของมนุษย์แล้ว กลับได้จักษุทิพย์ ดูก่อนชาวแคว้นสีพีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้เห็นจักษุทิพย์ที่เราได้นี้แล้ว จงให้ทานเสียก่อน จึงค่อยบริโภคเถิด บุคคลผู้ให้ทานและบริโภคแล้วตามอานุภาพของตน ไม่มีใครจะติเตียนได้ ย่อมเข้าถึงสุคติสถานดังนี้. ครั้นพระเจ้าสีวิราชทรงแสดงธรรมด้วยคาถา ๔ คาถาเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล้ว จาเดิมแต่นั้นมา ในวันกึ่งเดือนและวันปัณณรสีอุโบสถ ก็รับสั่งให้มหาชนประชุมกัน ทรงแสดงธรรมด้วยคาถาเหล่านี้เป็นประจา มหาชนสดับธรรมนั้นแล้วพากันทาบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ได้ไปสู่เทวโลกเต็มบริบูรณ์ทั่วกัน. พระศาสดา ครั้นทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ไม่ยินดีด้วยทานในภายนอก ได้ควักดวงตาทั้งสองของตนบริจาคทานแก่ยาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้าด้วยอาการอย่ างนี้ แล้วทรงประกาศจตุราริยสัจ. ทรงประชุมชาดกว่า สีวิกแพทย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์ ท้าวสักกเทวราชได้มาเป็น พระอนุรุทธะ ราชบริษัทที่เหลือได้มาเป็น พุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าสีวิราชได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล. จบอรรถกถาสีวิราชชาดกที่ ๓ -----------------------------------------------------