SlideShare a Scribd company logo
1
รุรุมิคราชชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๙. รุรุมิคราชชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๘๒)
ว่าด้วยน้าใจของพญาเนื้อรุรุ
(พระราชาตรัสว่า)
[๑๑๗]
เราจะให้บ้านส่วยและเหล่านารีที่ประดับตบแต่งแล้วแก่คนผู้บอกกล่าวถึงพญาเนื้อ
ตัวประเสริฐกว่าเนื้อทั้งหลายแก่เรา
(บุตรเศรษฐีกราบทูลว่า)
[๑๑๘] ขอพระองค์ประทานบ้านส่วยและเหล่านารี
ที่ประดับตบแต่งแล้วแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักกราบทูลถึงพญาเนื้อ
ตัวประเสริฐกว่าเนื้อทั้งหลายต่อพระองค์
(เมื่อจะบอกที่อยู่ของพญาเนื้อ จึงกราบทูลว่า)
[๑๑๙] ณ ไพรสณฑ์แห่งนั้น ต้นมะม่วงและต้นสาละผลิดอกบานสะพรั่ง
ภูมิภาคปกคลุมไปด้วยติณชาติมีสีแดงเหมือนปีกแมลงค่อมทอง
พญาเนื้อตัวนั้นอยู่ ณ ไพรสณฑ์แห่งนี้
(พระศาสดาทรงประกาศเรื่องนั้นว่า)
[๑๒๐] พระราชาทรงโก่งธนูสอดใส่ลูกศร เสด็จเข้าไปใกล้
ส่วนพญาเนื้อเห็นพระราชาแล้วจึงร้องกราบทูลแต่ไกลว่า
[๑๒๑] ทรงหยุดก่อน พระมหาราชผู้จอมทัพ อย่าเพิ่งทรงยิงข้าพระองค์
ใครหนอกราบทูลเรื่องนี้แก่พระองค์ว่า พญาเนื้อตัวนั้นอยู่ ณ ไพรสณฑ์แห่งนี้
(พระราชาตรัสว่า)
[๑๒๒] เจ้าคนที่ประพฤติเลวทรามยืนอยู่ห่างๆ นั่นเพื่อน
ก็เขานั่นแหละได้บอกเรื่องนี้แก่เราว่า เนื้อตัวนั้นอยู่ ณ ไพรสณฑ์แห่งนี้
(พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
[๑๒๓] ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้ ได้กล่าวความจริงไว้อย่างนี้ว่า
ไม้ลอยน้ายังดีกว่า ส่วนคนบางคนที่ประทุษร้ายมิตรไม่ดีเลย
(พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสว่า)
[๑๒๔] นี่พญาเนื้อรุรุ เจ้าติเตียนหมู่เนื้อ หรือหมู่นก
ก็หรือติเตียนหมู่มนุษย์ เพราะภัยอันใหญ่หลวงจะมาต้องเรา
เพราะได้ฟังเจ้าพูดภาษามนุษย์
(พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
2
[๑๒๕] ขอเดชะพระมหาราช ข้าพระองค์ได้ช่วยผู้ใด
ซึ่งถูกน้าพัดมาในห้วงน้าที่มีน้ามาก มีกระแสเชี่ยวกรากขึ้นมา
ภัยมาถึงข้าพระองค์เพราะผู้นั้นเป็นเหตุ การสมาคมกับคนชั่วเป็นทุกข์
(พระราชาทรงกริ้วบุตรเศรษฐี จึงตรัสว่า)
[๑๒๖] เรานั้นจะปล่อยลูกศร ๔ ปีกดอกนี้
แหวกอากาศไปเจาะร่างเสียบตรงหัวใจ เราจะฆ่ามันผู้ประทุษร้ายมิตร
ทากิจที่ไม่ควรทา ซึ่งไม่รู้จักคนผู้ทาคุณไว้เช่นนั้น
(ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
[๑๒๗] ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน ผู้ทรงพระปรีชา การฆ่าคนชั่วนั้น
สัตบุรุษทั้งหลายไม่สรรเสริญ
ขอคนผู้มีธรรมชั่วช้าจงกลับไปบ้านได้ตามความปรารถนา
และขอพระองค์ทรงพระราชทานสิ่งที่พระองค์ตรัสพระราชทานไว้แก่เขาเถิด
และข้าพระองค์จะกระทาสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา
(พระราชาทรงชมเชยพระโพธิสัตว์แล้วตรัสว่า)
[๑๒๘] พญาเนื้อรุรุ เจ้าไม่ประทุษร้ายต่อคนผู้ประทุษร้าย
แถมยังปล่อยให้คนชั่วช้ากลับไปบ้านได้ตามสบาย
นับว่าเป็ นผู้หนึ่งในบรรดาสัตบุรุษทั้งหลายแน่นอน
เราจะให้สิ่งที่ได้พูดว่าจะให้แก่เขา และจะให้เจ้าเที่ยวไปตามความพอใจด้วย
(ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะลองหยั่งพระทัยพระราชา
จึงได้กราบทูลว่า)
[๑๒๙] ขอเดชะพระราชา เสียงเหล่าสุนัขจิ้งจอกเห่าหอนก็ดี
เสียงเหล่านกร้องขันก็ดี รู้ได้ง่าย ส่วนถ้อยคาที่พวกมนุษย์เปล่งออกมา
รู้ได้ยากกว่านั้น
[๑๓๐] คนบางคนเบื้องต้นเป็นคนใจดี ย่อมนับถือกันว่า เป็นญาติ
เป็นมิตร หรือเป็นเพื่อนอย่างนี้บ้าง ภายหลังกลายเป็ นศัตรูไปก็มี
(พระศาสดาทรงประกาศความข้อนั้นว่า)
[๑๓๑] พวกชาวชนบทและชาวนิคมมาประชุมพร้อมกัน ร้องทุกข์ว่า
พวกเนื้อพากันมากินข้าวกล้า ขอพระองค์ผู้สมมติเทพจงทรงห้ามหมู่เนื้อนั้น
(พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสว่า)
[๑๓๒] ชนบทจงอย่ามีและแม้แว่นแคว้นจงพินาศไปก็ตามที
ส่วนเราให้อภัยทานแล้ว จะไม่ประทุษร้ายพญาเนื้อรุรุอย่างเด็ดขาด
[๑๓๓] ชนบทของเราจงอย่ามีและแว่นแคว้นของเราจงพินาศไป
ส่วนเราให้พรแก่พญาเนื้อแล้วจะไม่พูดมุสาเด็ดขาด
รุรุมิคราชชาดกที่ ๙ จบ
------------------------
3
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
รุรุมิคชาดก
ว่าด้วย น้าใจของพญาเนื้อรุรุ
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร
ทรงพระปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
เล่ากันมาว่า พระเทวทัตนั้น เมื่อพวกภิกษุพากันพูดว่า เทวทัตผู้มีอายุ
พระศาสดาทรงมีอุปการะเป็นอันมากแก่ท่าน
ทั้งท่านได้บวชได้เรียนพระไตรปิฎก
ร่ารวยลาภสักการะเพราะอาศัยพระตถาคตเจ้า กลับกล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย
พระศาสดามิได้ทรงทาอุปการะแก่ผมแม้มาตรว่าปลายเส้นหญ้า
ผมบวชเองทีเดียว เรียนพระไตรปิฎกก็ด้วยตนเองแหละ
ร่ารวยลาภสักการะก็ตนเอง.
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภากล่าวโทษของพระเทวทัตนั้น
ทีเดียวว่า
ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตเป็ นผู้อกตัญญูอกตเวที.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ?
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น
ที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู แม้ในครั้งก่อนก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน
แล้วตรัสว่า แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตนี้ แม้เมื่อเราให้ชีวิตแล้ว
ก็ยังไม่รู้แม้เพียงคุณของเราดังนี้แล้ว จึงได้นาอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
เศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ
ได้บุตรขนานนามเธอว่า มหาชนกะ คิดว่าเมื่อบุตรเราเรียนศิลปะจักต้องลาบาก
จึงไม่ยอมให้เรียนศิลปะอะไรๆ เลย. เธอไม่รู้อะไรๆ
นอกจากหากินอันได้มาจากการขับร้องฟ้ อนราและประโคม.
เมื่อเธอเจริญวัยแล้ว
มารดาบิดาก็จัดแจงตบแต่งให้มีภรรยาตามสมควร แล้วก็ล่วงลับไป.
พอท่านทั้งสองล่วงลับไป
เขาก็แวดล้อมไปด้วยพวกนักเลงหญิงและนักเลงเล่นการพนันเป็นต้น
ทาลายทรัพย์ทั้งหมดเสียด้วยทางฉิบหายต่างๆ ต้องกู้หนี้ยืมสิน
เมื่อไม่อาจใช้หนี้ทั้งหมดนั้นได้ ก็ถูกเจ้าหนี้รุมกันทวง ดาริว่า เราจะอยู่ไยเล่า
เราก็เกิดมาด้วยร่างกายอันหนึ่ง เหมือนคนอื่นๆ ตายเสียดีกว่า
เมื่อถูกเจ้าหนี้ทวงถาม ก็กล่าวว่า
4
ทรัพย์ของตระกูลของเราที่ฝังที่ฝั่งแม่น้าคงคายังมีอยู่
ผมจักใช้ทรัพย์นั้นให้พวกท่าน. เจ้าหนี้เหล่านั้นก็ไปกับเขา.
เขาทาเป็นเหมือนบอกที่คุมทรัพย์ว่า ทรัพย์มีที่นี้
แล้วหนีไปด้วยคิดว่าเราจักโดดลงคงคาตายเสีย แล้วก็โดดลงแม่น้าคงคาไป.
เขาถูกกระแสน้าเชี่ยวพัดลอยไป ก็ร้องคร่าครวญชวนให้สงสาร.
ครั้งนั้น
พระมหาสัตว์บังเกิดในกาเนิดรุรุมฤค ทิ้งบริวารเสียพานักอยู่ที่ป่ามะม่วงอันมีช่อง
ดงาม ผสมกับดงรังอันน่ารื่นรมย์ตรงวังวนแห่งแม่น้าคงคาลาพังตัวเดียวเท่านั้น
เพื่อประสงค์จะกระทาการรักษาอุโบสถ. ผิวแห่งสรีระของพญารุรุมฤคนั้น
มีสีเหมือนแผ่นกระดาษทองที่ขัดมัน เท้าทั้งสี่มีสีประดุจดังย้อมด้วยน้าครั่ง
หางก็ประหนึ่งหางแห่งจามรี เขาทั้งหลายเช่นเดียวกับช่อเงิน
นัยน์ตาทั้งคู่ประหนึ่งเม็ดทับทิมที่เจียระไนแล้ว
ปากเปรียบดังลูกข่างที่หุ้มด้วยผ้ากัมพลแดง รูปร่างของพญารุรุมฤคนั้น
มีรูปเห็นปานฉะนี้.
เวลากลางคืน พญารุรุมฤคนั้นได้ยินเสียงน่าสงสารของเขา ดาริว่า
เราได้ยินเสียงมนุษย์ เมื่อเรายังดารงอยู่ อย่าตายเสียเลย เราต้องช่วยชีวิตเขาไว้
แล้วลุกจากที่นอนเดินไป ณ ฝั่งแม่น้า ปลอบว่าบุรุษผู้เจริญ อย่ากลัวเลย
ข้าจักช่วยชีวิตท่าน พลางว่ายตัดกระแสน้าไปรับเขาขึ้นหลัง
พาถึงฝั่งนาไปที่อยู่ของตน ทาให้เขาโปร่งใจ
ล่วงมาได้สองสามวัน ก็กล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ
ข้าจักพาท่านออกจากป่านี้ ส่งให้ถึงทางไปพาราณสี ท่านจักไปโดยสวัสดี
ก็แต่ขอสักอย่างหนึ่ง
ท่านจงอย่าบอกเราแก่พระราชาหรือมหาอามาตย์ของพระราชา
เพราะเหตุมุ่งทรัพย์ว่า ณ ที่ตรงโน้น กวางทองพานักอยู่ ดังนี้เลยนะ.
เขารับคาว่าดีละ.
พระมหาสัตว์รับปฏิญญาของเขาแล้วก็ให้เขาขึ้นหลังตนพาไปส่งถึงทางไปกรุงพา
ราณสี แล้วจึงกลับ.
ในวันที่เขาเข้าไปถึงกรุงพาราณสีนั่นเอง
พระอัครมเหสีของพระราชาพระนามว่า เขมาเทวี ทรงฝันเห็นกวางทองแสดงธรร
มกถาถวายพระนางในพระสุบินเมื่อใกล้รุ่ง ทรงพระดาริว่า
ถ้ามฤคเห็นปานนี้ไม่พึงมีไซร้ เราไม่น่าฝันเห็นเขาได้เลย คงจักมีแน่
ต้องกราบทูลแด่พระราชา.
พระนางเข้าเฝ้ าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม
หม่อมฉันปรารถนาจะเห็นกวางทองประสงค์จะฟังธรรมกถาของกวางทอง
ถ้าจักได้หม่อมฉันจักคงมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ได้ชีวิตของหม่อมฉันจักไม่มี.
5
พระราชาทรงปลอบพระนางพลางตรัสว่า
ขอให้มีในมนุษยโลกเถอะน่ะ เธอต้องได้แน่
ดังนี้แล้วรับสั่งให้หาพวกพราหมณ์มาเฝ้ า ตรัสถามว่า
ธรรมดามฤคที่มีสีเหมือนสีทองยังจะมีอยู่หรือ ทรงสดับว่า ข้าแต่สมมติเทพ
มีอยู่พระเจ้าข้า
ก็รับสั่งให้บรรจุถุงเงิน ๑,๐๐๐ กระษาปณ์ลงในผอบทองวางไว้ ณ คอ
ช้างที่ประดับเสร็จแล้ว มีพระประสงค์จะประทานช้างนั้นกับผอบทองที่ใส่ถุงเงิน
๑,๐๐๐ กระษาปณ์ และสิ่งของที่ยิ่งกว่านี้แก่ผู้ที่บอกเรื่องกวางทองได้
แล้วรับสั่งให้เขียนคาถาลงในแผ่นทอง ให้หาอามาตย์ผู้หนึ่งมาเฝ้ า มีดารัสตรัสว่า
มาเถิด เจ้าจงแจ้งคาถานี้ตามคาของเราแก่ชาวพระนครนะพ่อ
แล้วตรัสพระคาถาที่ ๑ ในชาดกนี้ว่า
ใครบอกมฤคซึ่งสูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายนั้นแก่เราได้
เราจะให้บ้านส่วยและหญิงที่ประดับประดาแล้วแก่ผู้นั้น.
อามาตย์ถือแผ่นทองเที่ยวป่าวร้องไปในพระนครทั่วทุกแห่ง ลาดับนั้น
แลเศรษฐีบุตรก็เข้าไปสู่กรุงพาราณสีฟังถ้อยคานั้นแล้วไปสู่สานักอามาตย์
กล่าวว่า ข้าพเจ้าจักทูลมฤคนั้นแด่พระราชา
ได้เชิญแสดงข้าพเจ้าแด่พระราชาเถิด.
อามาตย์ลงจากช้างพาเขาไปสู่สานักของพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ
ได้ยินว่า ผู้นี้จักกราบทูลถึงมฤคนั้นได้พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า
จริงหรือบุรุษผู้เจริญ เมื่อเขากราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช เป็ นความจริง
พระเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดประทานยศนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า
กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
ขอได้โปรดพระราชทานบ้านส่วย
และหญิงที่ประดับประดาแล้วแก่ข้าพระองค์เถิด
ข้าพระองค์จะกราบทูลมฤคซึ่งสูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายแก่พระองค์.
พระราชาทรงสดับคานั้นแล้ว โปรดปรานแก่ผู้ประทุษร้ายมิตรนั้น
จึงตรัสถามว่า พ่อเฮ้ย มฤคนั้นพานักอยู่ที่ไหน เมื่อเขากราบทูลว่า ณ ที่โน้น
พระเจ้าข้า ก็ทรงกระทาเขาให้เป็นมัคคุเทศก์
เสด็จไปสู่สถานนั้นด้วยราชบริพารขบวนใหญ่.
ลาดับนั้น คนประทุษร้ายมิตรกราบทูลพระราชาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์โปรดสั่งให้เสนาหยุดได้ พระเจ้าข้า
เมื่อเสนาหยุดเรียบร้อยแล้ว ก็กราบทูลเชิญเสด็จ
เมื่อจะยกมือชี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ สุวรรณมฤคนั้นพานักอยู่
ณ ที่ตรงนั้น
จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า
6
ณ ไพรสณฑ์นั้น มีต้นมะม่วงและต้นรังทั้งหลาย ดอกบานสะพรั่ง
พื้นที่แห่งไพรสณฑ์นั้นดารดาษไปด้วยติณชาติมีสีเหมือนแมลงค่อมทอง
มฤคตัวนั้นอยู่ที่ไพรสณฑ์นั้น.
คนผู้ประทุษร้ายต่อมิตรนั้นกราบทูลแสดงว่า
ภาคพื้นแห่งไพรสณฑ์ตรงนั้นดาดาษไปด้วยติณชาติมีสัมผัสเป็นสุข
มีสีแดงเหมือนสีแมลงค่อมทอง อ่อนนุ่มประหนึ่งข้าวกล้าอ่อน ณ
ไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์นี้นั้น กวางทองนั้นพานักอยู่ พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับคาของเขาแล้ว ตรัสสั่งหมู่อามาตย์ว่า
เธอทั้งหลายกับคนที่ถืออาวุธ จงพากันล้อมไพรสณฑ์ไว้โดยเร็ว
มิให้มฤคนั้นหนีไปได้. พวกเหล่านั้นได้กระทาตามพระดารัสนั้น
แล้วพากันร้องขึ้น. พระราชาประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งกับคนสองสามคน.
บุรุษนั้นก็ยืนอยู่ไม่ห่าง.
พระมหาสัตว์ฟังเสียงนั้นแล้วดาริว่า เสียงของหมู่พลกองหลวง
อันภัยของเราต้องเกิดจากบุรุษนั้น.
พระมหาสัตว์นั้นลุกขึ้นมองทั่วบริษัทเห็นสถานที่ประทับยืนแห่งพระราชานั้นคิดว่
า ความสวัสดียังจักมีแก่เราได้ ควรที่เราจะไป ณ ที่นั้นทีเดียว
แล้วเดินมุ่งหน้าเฉพาะพระราชา.
พระราชาทอดพระเนตรเห็นมฤคนั้นกาลังเดินมา ทรงพระดาริว่า
มฤคมีกาลังดังพญาช้าง น่าจะถาโถมมาได้ ต้องสอดลูกศรไว้คอยขู่ให้มฤคนี้สะดุ้ง
ถ้าหนีไป จักยิงทาให้ทุรพลแล้วค่อยจับเอา ทรงยกธนูขึ้นเล็งตรงพระโพธิสัตว์.
พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาสองคาถาว่า
พระเจ้าพาราณสีทรงโก่งธนูสอดใส่ลูกศรไว้เสด็จเข้าไปแล้ว
ส่วนมฤคเห็นพระราชาแล้ว ได้ร้องกราบทูลไปแต่ไกลว่า
ข้าแต่พระมหาราชผู้ประเสริฐ โปรดทรงรอก่อน
อย่าเพิ่งทรงยิงข้าพระบาทเสียเลย ใครหนอได้กราบทูลความเรื่องนี้แก่พระองค์ว่า
มฤคตัวนี้อยู่ ณ ไพรสณฑ์นี้.
พระราชาทรงติดพระหฤทัยในมธุรกถาของพระโพธิสัตว์นั้น
ทรงลดธนูลงประทับยืนด้วยพระอาการอันน่าเคารพ.
พระมหาสัตว์ก็เข้าไปใกล้พระราชา ทรงกระทามธุรปฏิสันถาร แล้วยืนอยู่ ณ
ส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายมหาชนก็พากันวางอาวุธทั้งปวงเสีย ต่างมาแวดล้อมพระราชา.
ขณะนั้น พระมหาสัตว์กราบทูลถามพระราชาด้วยเสียงอันไพเราะ
ประหนึ่งคนสั่นกระดิ่งทองว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โปรดทรงรอก่อน ข้าแต่พระจอมรถ
โปรดอย่าเพิ่งยิงข้าพระบาทเลย ใครหนอกราบทูลข้อนี้ แด่พระองค์ว่า
พญามฤคนั้นพานักอยู่ที่นี้.
7
ขณะนั้น คนใจบาปถอยไปหน่อยหนึ่ง แล้วยืนอยู่ตรงนั้นเอง.
พระราชา เมื่อจะตรัสบอกว่าผู้นี้แสดงแก่เรา จึงตรัสพระคาถาที่ ๖ ว่า
ดูก่อนสหาย บุรุษผู้มีมารยาทอันเลวทรามยืนอยู่ห่างๆ นั่น
บุรุษคนนั้นแหละได้บอกความเรื่องนี้แก่เราว่า มฤคตัวนี้อยู่ ณ ไพรสณฑ์นี้.
พระมหาสัตว์ ครั้นติเตียนคนประทุษร้ายมิตรแล้ว
เมื่อจะเจรจาปราศรัยกับพระราชา จึงกล่าวคาถาที่ ๗ ว่า
ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้กล่าวความจริงไว้อย่างนี้ว่า
ไม้ลอยน้ายังดีกว่า คนบางคนไม่ดีเลย.
แต่บุคคลบางคนสันดานบาป มักประทุษร้ายมิตร แม้กาลังจะตายในน้า
ได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาได้ ก็ยังหาประเสริฐไม่
เพราะท่อนไม้ยังเป็ นไปเพื่ออุปการะโดยประการต่างๆ ส่วนคนประทุษร้ายมิตร
มีแต่จะล้างผลาญ เพราะเหตุนั้น ท่อนไม้ประเสริฐกว่าคนนั้นหนักหนา
แต่ข้าพระบาทมิได้กระทาตามคาของท่านเหล่านั้น.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
ดูก่อนพญามฤค เธอติเตียนพวกไหนแน่ ติเตียนพวกมฤค พวกนก
หรือพวกมนุษย์ เรามีความกลัวไม่น้อย เพราะได้ฟังเจ้าพูดภาษามนุษย์ได้.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะแสดงว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า
ข้าพระบาทมิได้ติเตียนมฤคเป็นต้น แต่ติเตียนพวกมนุษย์ กล่าวคาถาที่ ๙ ว่า
ข้าพระองค์ช่วยยกขึ้นซึ่งบุรุษคนใด ผู้ลอยไปในห้วงน้าคงคา
มีน้ามากไหลเชี่ยว ภัยมาถึงข้าพระบาทแล้ว เพราะบุรุษผู้นั้นเป็ นเหตุ
ข้าแต่พระมหาราชา การสมาคมกับอสัตบุรุษทั้งหลายนาทุกข์มาให้โดยแท้.
ข้าแต่มหาราชเจ้า บุคคลใดเล่าที่พระองค์ทรงชี้ให้ข้าพระบาทพูดนั้น
กาลังลอยล่องไปในแม่น้าคงคา ร้องไห้คร่าครวญน่าสงสารอยู่ในเวลาเที่ยงคืน
ข้าพระบาทช่วยเขาขึ้นไว้ได้ วันนี้ภัยมาถึงข้าพระบาท เพราะเขาเป็ นต้นเหตุ
ข้าแต่มหาราชเจ้า ขึ้นชื่อว่า การสมาคมกับคนเลวๆ ลาบาก พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงกริ้วเขา ทรงพระดาริว่า
มันช่างไม่รู้คุณของมหาสัตว์นี้ ชื่อว่ามีอุปการะมากเช่นนี้ ต้องยิงมันเสียให้ตาย
แล้วตรัสพระคาถาที่ ๑๐ ว่า
เรานั้นจะปล่อยลูกศร ๔ ปีกนี้แหวกไปในอากาศให้ไปตัดตรงหัวใจ
เราจักฆ่ามันผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ไม่ทากิจที่ควรทา
ไม่รู้จักผู้กระทาคุณให้เช่นท่าน.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ดาริว่า ผู้นี้จงอย่าวอดวายเสียเพราะเราเลย
จึงกล่าวคาถาที่ ๑๑ ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชน
สัตบุรุษทั้งหลายไม่สรรเสริญการฆ่าบัณฑิตและคนพาลเลย
8
คนผู้มีธรรมอันลามกจงกลับไปสู่เรือนของเขาตามปรารถนาเถิด อนึ่ง
ขอได้โปรดพระราชทานค่าจ้างตามที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขาด้วยเถิด อนึ่ง
ข้าพระองค์ขอทาความปรารถนาของพระองค์.
ข้าพระองค์ขอเป็นผู้ทาตามประสงค์ คือพระองค์ทรงปรารถนาสิ่งใด
ก็จงกระทาสิ่งนั้นเถิด หมายความว่าจะเสวยเนื้อข้าพระองค์ก็ได้
จะกระทาข้าพระองค์ให้เป็นมฤคสาหรับกีฬาก็ได้
ข้าพระองค์จะปฏิบัติตามประสงค์ของพระองค์ทุกประการ.
พระราชา ครั้นทรงสดับดังนั้นแล้วทรงพอพระหฤทัย
เมื่อจะทรงชมเชยพระมหาสัตว์ จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
ดูก่อนพญามฤค ท่านผู้ไม่ประทุษร้ายต่อมนุษย์ผู้ประทุษร้าย
นับเป็ นผู้หนึ่งในจานวนสัตบุรุษทั้งหลายเป็ นแน่
คนผู้มีธรรมอันลามกจงกลับไปสู่เรือนของตนตามความปรารถนา อนึ่ง
เราจะให้ค่าจ้างที่เราพูดไว้แก่เขา และเราขอให้บ้านส่วยแก่ท่าน.
พระราชาทรงประทานพรแก่พระมหาสัตว์ว่า
เราเลื่อมใสในธรรมกถาของเธอ จะให้บ้านส่วยให้อภัยแก่ท่าน ตั้งแต่นี้ไป
ขอท่านจงปลอดภัยเที่ยวไปตามความชอบใจ.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะลองหยั่งท้าวเธอดูว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
ธรรมดามนุษย์ ปากพูดไปอย่างหนึ่ง กระทาไปอย่างหนึ่ง
ได้กล่าวคาถาสองคาถาว่า
ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ดี ของนกก็ดี รู้ได้ง่าย
เสียงของมนุษย์รู้ได้ยากยิ่งกว่านั้น
อนึ่ง ผู้ใดเมื่อก่อนเป็ นคนใจดี คนทั้งหลายนับถือว่าเป็ นญาติ
เป็นมิตรหรือเป็ นสหาย ภายหลังผู้นั้นกลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้
ใจของมนุษย์รู้ได้ยากอย่างนี้.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสว่า พญามฤคอย่าได้หมิ่นฉันอย่างนี้
ฉันน่ะแม้จะละทิ้งราชสมบัติ ก็จักไม่ขอละทิ้งพรที่ให้แก่เธอเลย
เชื่อเถิดจงรับพรของฉันเถิด.
พระมหาสัตว์ เมื่อรับพรจากสานักของท้าวเธอ ขอรับพร
คืออภัยทานแก่สรรพสัตว์ตั้งต้นแต่ตนไป. ฝ่ายพระราชาก็โปรดประทานพร
แล้วพาพระมหาสัตว์สู่พระนคร ตรัสสั่งให้ประดับพระนครและพระมหาสัตว์
เชิญให้แสดงธรรมแก่พระเทวี.
พระมหาสัตว์แสดงธรรมแก่พระราชาและราชบริษัทตั้งต้นแต่พระเทวี
ด้วยภาษามนุษย์อย่างไพเราะ
ตักเตือนพระราชาด้วยทศพิธราชธรรมสั่งสอนมหาชนแล้วเข้าป่า
แวดล้อมไปด้วยหมู่มฤค พานักอาศัยอยู่.
9
พระราชาทรงสั่งคนให้เที่ยวตีกลองร้องประกาศไปในพระนครว่า
เราให้อภัยแก่สรรพสัตว์ ฝูงเนื้อกินข้าวกล้าของหมู่คน ใครๆ ก็ไม่อาจห้ามได้.
มหาชนพากันไปสู่ท้องพระลานหลวงร้องทุกข์ขึ้น.
พระศาสดา เมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ชาวชนบทและชาวนิคมทั้งหลาย มาประชุมพร้อมกันร้องทุกข์ว่า
ฝูงเนื้อพากันมากินข้าว ขอพระองค์จงตรัสห้ามฝูงเนื้อนั้นเสียบ้าง พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสสองพระคาถาว่า
ชนบทอย่าได้มี แม้แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามทีเถิด
เราให้อภัยแก่ฝูงเนื้อและนกยูงแล้ว ไม่ขอประทุษร้ายพญาเนื้อรุรุเป็ นอันขาด.
ชาวชนบทของเราจะไม่มีก็ตาม ชาวชนบทจะไม่พูดกะเราก็ตาม
เราได้ให้พรแก่พญาเนื้อไว้แล้ว จะไม่พูดเท็จเป็นอันขาด.
มหาชนได้ฟังพระดารัสของพระราชาแล้ว
เมื่อไม่อาจจะกล่าวคาอะไรๆ ได้จึงพากันหลีกไป
ถ้อยคานั้นได้แพร่กระจายไปแล้ว พระมหาสัตว์ได้ฟังเรื่องนั้นแล้ว
จึงเรียกให้ฝูงเนื้อมาประชุมกัน กล่าวสอนว่า
ตั้งแต่นั้นไปเจ้าทั้งหลายอย่าพากันกินข้าวกล้าของพวกมนุษย์เลย
แล้วบอกแก่พวกมนุษย์ว่า จงพากันผูกหุ่นหญ้าไว้ในไร่นาของตนๆ เถิด.
มนุษย์เหล่านั้นพากันทาตามนั้นด้วยเครื่องหมายนั้น
ฝูงเนื้อไม่กินข้าวกล้าจนถึงทุกวันนี้.
พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น
แม้ในครั้งก่อนเทวทัตก็อกตัญญูเหมือนกัน
ทรงประชุมชาดกว่า
เศรษฐีบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเทวทัต
พระราชาได้มาเป็น พระอานนท์
ส่วนเนื้อรุรุคือ เราตถาคต แล.
จบอรรถกถารุรุชาดกที่ ๙
-----------------------------------------------------

More Related Content

Similar to 482 รุรุมิคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
maruay songtanin
 
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
434 จักกวากชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
434 จักกวากชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....434 จักกวากชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
434 จักกวากชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
maruay songtanin
 
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
315 มังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
315 มังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx315 มังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
315 มังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
289 นานาฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
289 นานาฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...289 นานาฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
289 นานาฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 

Similar to 482 รุรุมิคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx (20)

๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
๐๘. มหานารทกัสสปชาดก.pdf
 
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
329 กาฬพาหุชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
434 จักกวากชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
434 จักกวากชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....434 จักกวากชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
434 จักกวากชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๓. สุวรรณสามชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
๐๖. ภูริทัตตชาดก.pdf
 
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
343 กุนตินีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
495 ทสพราหมณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
513 ชยัททิสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
๐๗. จันทกุมารชาดก (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
501 โรหณมิคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
292 สุปัตตชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
233 วิกัณณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
315 มังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
315 มังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx315 มังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
315 มังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
289 นานาฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
289 นานาฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...289 นานาฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
289 นานาฉันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
163 สุสีมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
099 ปโรสหัสสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
406 คันธารชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
241 สัพพทาฐิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
235 วัจฉนขชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
407 มหากปิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 

More from maruay songtanin

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
maruay songtanin
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
maruay songtanin
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
 

More from maruay songtanin (20)

ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdfผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
ผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ Compassionate leadership.pdf
 
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
537 มหาสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
536 กุณาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
535 สุธาโภชนชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
534 มหาหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
533 จูฬหังสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
532 โสณนันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
531 กุสชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
530 สังกิจจชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
529 โสณกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
528 มหาโพธิชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
527 อุมมาทันตีชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬา...
 
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
526 นฬินิกาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
525 จูฬสุตโสมชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ...
 
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
524 สังขปาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
523 อลัมพุสาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
 
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
522 สรภังคชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
521 เตสกุณชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
 
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
520 คันธตินทุกชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬา...
 
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
519 สัมพุลาชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
 

482 รุรุมิคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx

  • 1. 1 รุรุมิคราชชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ๙. รุรุมิคราชชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๔๘๒) ว่าด้วยน้าใจของพญาเนื้อรุรุ (พระราชาตรัสว่า) [๑๑๗] เราจะให้บ้านส่วยและเหล่านารีที่ประดับตบแต่งแล้วแก่คนผู้บอกกล่าวถึงพญาเนื้อ ตัวประเสริฐกว่าเนื้อทั้งหลายแก่เรา (บุตรเศรษฐีกราบทูลว่า) [๑๑๘] ขอพระองค์ประทานบ้านส่วยและเหล่านารี ที่ประดับตบแต่งแล้วแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักกราบทูลถึงพญาเนื้อ ตัวประเสริฐกว่าเนื้อทั้งหลายต่อพระองค์ (เมื่อจะบอกที่อยู่ของพญาเนื้อ จึงกราบทูลว่า) [๑๑๙] ณ ไพรสณฑ์แห่งนั้น ต้นมะม่วงและต้นสาละผลิดอกบานสะพรั่ง ภูมิภาคปกคลุมไปด้วยติณชาติมีสีแดงเหมือนปีกแมลงค่อมทอง พญาเนื้อตัวนั้นอยู่ ณ ไพรสณฑ์แห่งนี้ (พระศาสดาทรงประกาศเรื่องนั้นว่า) [๑๒๐] พระราชาทรงโก่งธนูสอดใส่ลูกศร เสด็จเข้าไปใกล้ ส่วนพญาเนื้อเห็นพระราชาแล้วจึงร้องกราบทูลแต่ไกลว่า [๑๒๑] ทรงหยุดก่อน พระมหาราชผู้จอมทัพ อย่าเพิ่งทรงยิงข้าพระองค์ ใครหนอกราบทูลเรื่องนี้แก่พระองค์ว่า พญาเนื้อตัวนั้นอยู่ ณ ไพรสณฑ์แห่งนี้ (พระราชาตรัสว่า) [๑๒๒] เจ้าคนที่ประพฤติเลวทรามยืนอยู่ห่างๆ นั่นเพื่อน ก็เขานั่นแหละได้บอกเรื่องนี้แก่เราว่า เนื้อตัวนั้นอยู่ ณ ไพรสณฑ์แห่งนี้ (พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า) [๑๒๓] ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้ ได้กล่าวความจริงไว้อย่างนี้ว่า ไม้ลอยน้ายังดีกว่า ส่วนคนบางคนที่ประทุษร้ายมิตรไม่ดีเลย (พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสว่า) [๑๒๔] นี่พญาเนื้อรุรุ เจ้าติเตียนหมู่เนื้อ หรือหมู่นก ก็หรือติเตียนหมู่มนุษย์ เพราะภัยอันใหญ่หลวงจะมาต้องเรา เพราะได้ฟังเจ้าพูดภาษามนุษย์ (พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า)
  • 2. 2 [๑๒๕] ขอเดชะพระมหาราช ข้าพระองค์ได้ช่วยผู้ใด ซึ่งถูกน้าพัดมาในห้วงน้าที่มีน้ามาก มีกระแสเชี่ยวกรากขึ้นมา ภัยมาถึงข้าพระองค์เพราะผู้นั้นเป็นเหตุ การสมาคมกับคนชั่วเป็นทุกข์ (พระราชาทรงกริ้วบุตรเศรษฐี จึงตรัสว่า) [๑๒๖] เรานั้นจะปล่อยลูกศร ๔ ปีกดอกนี้ แหวกอากาศไปเจาะร่างเสียบตรงหัวใจ เราจะฆ่ามันผู้ประทุษร้ายมิตร ทากิจที่ไม่ควรทา ซึ่งไม่รู้จักคนผู้ทาคุณไว้เช่นนั้น (ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า) [๑๒๗] ขอเดชะพระองค์ผู้จอมชน ผู้ทรงพระปรีชา การฆ่าคนชั่วนั้น สัตบุรุษทั้งหลายไม่สรรเสริญ ขอคนผู้มีธรรมชั่วช้าจงกลับไปบ้านได้ตามความปรารถนา และขอพระองค์ทรงพระราชทานสิ่งที่พระองค์ตรัสพระราชทานไว้แก่เขาเถิด และข้าพระองค์จะกระทาสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา (พระราชาทรงชมเชยพระโพธิสัตว์แล้วตรัสว่า) [๑๒๘] พญาเนื้อรุรุ เจ้าไม่ประทุษร้ายต่อคนผู้ประทุษร้าย แถมยังปล่อยให้คนชั่วช้ากลับไปบ้านได้ตามสบาย นับว่าเป็ นผู้หนึ่งในบรรดาสัตบุรุษทั้งหลายแน่นอน เราจะให้สิ่งที่ได้พูดว่าจะให้แก่เขา และจะให้เจ้าเที่ยวไปตามความพอใจด้วย (ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะลองหยั่งพระทัยพระราชา จึงได้กราบทูลว่า) [๑๒๙] ขอเดชะพระราชา เสียงเหล่าสุนัขจิ้งจอกเห่าหอนก็ดี เสียงเหล่านกร้องขันก็ดี รู้ได้ง่าย ส่วนถ้อยคาที่พวกมนุษย์เปล่งออกมา รู้ได้ยากกว่านั้น [๑๓๐] คนบางคนเบื้องต้นเป็นคนใจดี ย่อมนับถือกันว่า เป็นญาติ เป็นมิตร หรือเป็นเพื่อนอย่างนี้บ้าง ภายหลังกลายเป็ นศัตรูไปก็มี (พระศาสดาทรงประกาศความข้อนั้นว่า) [๑๓๑] พวกชาวชนบทและชาวนิคมมาประชุมพร้อมกัน ร้องทุกข์ว่า พวกเนื้อพากันมากินข้าวกล้า ขอพระองค์ผู้สมมติเทพจงทรงห้ามหมู่เนื้อนั้น (พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสว่า) [๑๓๒] ชนบทจงอย่ามีและแม้แว่นแคว้นจงพินาศไปก็ตามที ส่วนเราให้อภัยทานแล้ว จะไม่ประทุษร้ายพญาเนื้อรุรุอย่างเด็ดขาด [๑๓๓] ชนบทของเราจงอย่ามีและแว่นแคว้นของเราจงพินาศไป ส่วนเราให้พรแก่พญาเนื้อแล้วจะไม่พูดมุสาเด็ดขาด รุรุมิคราชชาดกที่ ๙ จบ ------------------------
  • 3. 3 คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา รุรุมิคชาดก ว่าด้วย น้าใจของพญาเนื้อรุรุ พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. เล่ากันมาว่า พระเทวทัตนั้น เมื่อพวกภิกษุพากันพูดว่า เทวทัตผู้มีอายุ พระศาสดาทรงมีอุปการะเป็นอันมากแก่ท่าน ทั้งท่านได้บวชได้เรียนพระไตรปิฎก ร่ารวยลาภสักการะเพราะอาศัยพระตถาคตเจ้า กลับกล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดามิได้ทรงทาอุปการะแก่ผมแม้มาตรว่าปลายเส้นหญ้า ผมบวชเองทีเดียว เรียนพระไตรปิฎกก็ด้วยตนเองแหละ ร่ารวยลาภสักการะก็ตนเอง. ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภากล่าวโทษของพระเทวทัตนั้น ทีเดียวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตเป็ นผู้อกตัญญูอกตเวที. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู แม้ในครั้งก่อนก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน แล้วตรัสว่า แม้ในกาลก่อนพระเทวทัตนี้ แม้เมื่อเราให้ชีวิตแล้ว ก็ยังไม่รู้แม้เพียงคุณของเราดังนี้แล้ว จึงได้นาอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี เศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ได้บุตรขนานนามเธอว่า มหาชนกะ คิดว่าเมื่อบุตรเราเรียนศิลปะจักต้องลาบาก จึงไม่ยอมให้เรียนศิลปะอะไรๆ เลย. เธอไม่รู้อะไรๆ นอกจากหากินอันได้มาจากการขับร้องฟ้ อนราและประโคม. เมื่อเธอเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาก็จัดแจงตบแต่งให้มีภรรยาตามสมควร แล้วก็ล่วงลับไป. พอท่านทั้งสองล่วงลับไป เขาก็แวดล้อมไปด้วยพวกนักเลงหญิงและนักเลงเล่นการพนันเป็นต้น ทาลายทรัพย์ทั้งหมดเสียด้วยทางฉิบหายต่างๆ ต้องกู้หนี้ยืมสิน เมื่อไม่อาจใช้หนี้ทั้งหมดนั้นได้ ก็ถูกเจ้าหนี้รุมกันทวง ดาริว่า เราจะอยู่ไยเล่า เราก็เกิดมาด้วยร่างกายอันหนึ่ง เหมือนคนอื่นๆ ตายเสียดีกว่า เมื่อถูกเจ้าหนี้ทวงถาม ก็กล่าวว่า
  • 4. 4 ทรัพย์ของตระกูลของเราที่ฝังที่ฝั่งแม่น้าคงคายังมีอยู่ ผมจักใช้ทรัพย์นั้นให้พวกท่าน. เจ้าหนี้เหล่านั้นก็ไปกับเขา. เขาทาเป็นเหมือนบอกที่คุมทรัพย์ว่า ทรัพย์มีที่นี้ แล้วหนีไปด้วยคิดว่าเราจักโดดลงคงคาตายเสีย แล้วก็โดดลงแม่น้าคงคาไป. เขาถูกกระแสน้าเชี่ยวพัดลอยไป ก็ร้องคร่าครวญชวนให้สงสาร. ครั้งนั้น พระมหาสัตว์บังเกิดในกาเนิดรุรุมฤค ทิ้งบริวารเสียพานักอยู่ที่ป่ามะม่วงอันมีช่อง ดงาม ผสมกับดงรังอันน่ารื่นรมย์ตรงวังวนแห่งแม่น้าคงคาลาพังตัวเดียวเท่านั้น เพื่อประสงค์จะกระทาการรักษาอุโบสถ. ผิวแห่งสรีระของพญารุรุมฤคนั้น มีสีเหมือนแผ่นกระดาษทองที่ขัดมัน เท้าทั้งสี่มีสีประดุจดังย้อมด้วยน้าครั่ง หางก็ประหนึ่งหางแห่งจามรี เขาทั้งหลายเช่นเดียวกับช่อเงิน นัยน์ตาทั้งคู่ประหนึ่งเม็ดทับทิมที่เจียระไนแล้ว ปากเปรียบดังลูกข่างที่หุ้มด้วยผ้ากัมพลแดง รูปร่างของพญารุรุมฤคนั้น มีรูปเห็นปานฉะนี้. เวลากลางคืน พญารุรุมฤคนั้นได้ยินเสียงน่าสงสารของเขา ดาริว่า เราได้ยินเสียงมนุษย์ เมื่อเรายังดารงอยู่ อย่าตายเสียเลย เราต้องช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วลุกจากที่นอนเดินไป ณ ฝั่งแม่น้า ปลอบว่าบุรุษผู้เจริญ อย่ากลัวเลย ข้าจักช่วยชีวิตท่าน พลางว่ายตัดกระแสน้าไปรับเขาขึ้นหลัง พาถึงฝั่งนาไปที่อยู่ของตน ทาให้เขาโปร่งใจ ล่วงมาได้สองสามวัน ก็กล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ ข้าจักพาท่านออกจากป่านี้ ส่งให้ถึงทางไปพาราณสี ท่านจักไปโดยสวัสดี ก็แต่ขอสักอย่างหนึ่ง ท่านจงอย่าบอกเราแก่พระราชาหรือมหาอามาตย์ของพระราชา เพราะเหตุมุ่งทรัพย์ว่า ณ ที่ตรงโน้น กวางทองพานักอยู่ ดังนี้เลยนะ. เขารับคาว่าดีละ. พระมหาสัตว์รับปฏิญญาของเขาแล้วก็ให้เขาขึ้นหลังตนพาไปส่งถึงทางไปกรุงพา ราณสี แล้วจึงกลับ. ในวันที่เขาเข้าไปถึงกรุงพาราณสีนั่นเอง พระอัครมเหสีของพระราชาพระนามว่า เขมาเทวี ทรงฝันเห็นกวางทองแสดงธรร มกถาถวายพระนางในพระสุบินเมื่อใกล้รุ่ง ทรงพระดาริว่า ถ้ามฤคเห็นปานนี้ไม่พึงมีไซร้ เราไม่น่าฝันเห็นเขาได้เลย คงจักมีแน่ ต้องกราบทูลแด่พระราชา. พระนางเข้าเฝ้ าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม หม่อมฉันปรารถนาจะเห็นกวางทองประสงค์จะฟังธรรมกถาของกวางทอง ถ้าจักได้หม่อมฉันจักคงมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ได้ชีวิตของหม่อมฉันจักไม่มี.
  • 5. 5 พระราชาทรงปลอบพระนางพลางตรัสว่า ขอให้มีในมนุษยโลกเถอะน่ะ เธอต้องได้แน่ ดังนี้แล้วรับสั่งให้หาพวกพราหมณ์มาเฝ้ า ตรัสถามว่า ธรรมดามฤคที่มีสีเหมือนสีทองยังจะมีอยู่หรือ ทรงสดับว่า ข้าแต่สมมติเทพ มีอยู่พระเจ้าข้า ก็รับสั่งให้บรรจุถุงเงิน ๑,๐๐๐ กระษาปณ์ลงในผอบทองวางไว้ ณ คอ ช้างที่ประดับเสร็จแล้ว มีพระประสงค์จะประทานช้างนั้นกับผอบทองที่ใส่ถุงเงิน ๑,๐๐๐ กระษาปณ์ และสิ่งของที่ยิ่งกว่านี้แก่ผู้ที่บอกเรื่องกวางทองได้ แล้วรับสั่งให้เขียนคาถาลงในแผ่นทอง ให้หาอามาตย์ผู้หนึ่งมาเฝ้ า มีดารัสตรัสว่า มาเถิด เจ้าจงแจ้งคาถานี้ตามคาของเราแก่ชาวพระนครนะพ่อ แล้วตรัสพระคาถาที่ ๑ ในชาดกนี้ว่า ใครบอกมฤคซึ่งสูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายนั้นแก่เราได้ เราจะให้บ้านส่วยและหญิงที่ประดับประดาแล้วแก่ผู้นั้น. อามาตย์ถือแผ่นทองเที่ยวป่าวร้องไปในพระนครทั่วทุกแห่ง ลาดับนั้น แลเศรษฐีบุตรก็เข้าไปสู่กรุงพาราณสีฟังถ้อยคานั้นแล้วไปสู่สานักอามาตย์ กล่าวว่า ข้าพเจ้าจักทูลมฤคนั้นแด่พระราชา ได้เชิญแสดงข้าพเจ้าแด่พระราชาเถิด. อามาตย์ลงจากช้างพาเขาไปสู่สานักของพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ได้ยินว่า ผู้นี้จักกราบทูลถึงมฤคนั้นได้พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า จริงหรือบุรุษผู้เจริญ เมื่อเขากราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช เป็ นความจริง พระเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดประทานยศนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า ขอได้โปรดพระราชทานบ้านส่วย และหญิงที่ประดับประดาแล้วแก่ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะกราบทูลมฤคซึ่งสูงสุดกว่ามฤคทั้งหลายแก่พระองค์. พระราชาทรงสดับคานั้นแล้ว โปรดปรานแก่ผู้ประทุษร้ายมิตรนั้น จึงตรัสถามว่า พ่อเฮ้ย มฤคนั้นพานักอยู่ที่ไหน เมื่อเขากราบทูลว่า ณ ที่โน้น พระเจ้าข้า ก็ทรงกระทาเขาให้เป็นมัคคุเทศก์ เสด็จไปสู่สถานนั้นด้วยราชบริพารขบวนใหญ่. ลาดับนั้น คนประทุษร้ายมิตรกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์โปรดสั่งให้เสนาหยุดได้ พระเจ้าข้า เมื่อเสนาหยุดเรียบร้อยแล้ว ก็กราบทูลเชิญเสด็จ เมื่อจะยกมือชี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ สุวรรณมฤคนั้นพานักอยู่ ณ ที่ตรงนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า
  • 6. 6 ณ ไพรสณฑ์นั้น มีต้นมะม่วงและต้นรังทั้งหลาย ดอกบานสะพรั่ง พื้นที่แห่งไพรสณฑ์นั้นดารดาษไปด้วยติณชาติมีสีเหมือนแมลงค่อมทอง มฤคตัวนั้นอยู่ที่ไพรสณฑ์นั้น. คนผู้ประทุษร้ายต่อมิตรนั้นกราบทูลแสดงว่า ภาคพื้นแห่งไพรสณฑ์ตรงนั้นดาดาษไปด้วยติณชาติมีสัมผัสเป็นสุข มีสีแดงเหมือนสีแมลงค่อมทอง อ่อนนุ่มประหนึ่งข้าวกล้าอ่อน ณ ไพรสณฑ์อันน่ารื่นรมย์นี้นั้น กวางทองนั้นพานักอยู่ พระเจ้าข้า. พระราชาทรงสดับคาของเขาแล้ว ตรัสสั่งหมู่อามาตย์ว่า เธอทั้งหลายกับคนที่ถืออาวุธ จงพากันล้อมไพรสณฑ์ไว้โดยเร็ว มิให้มฤคนั้นหนีไปได้. พวกเหล่านั้นได้กระทาตามพระดารัสนั้น แล้วพากันร้องขึ้น. พระราชาประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งกับคนสองสามคน. บุรุษนั้นก็ยืนอยู่ไม่ห่าง. พระมหาสัตว์ฟังเสียงนั้นแล้วดาริว่า เสียงของหมู่พลกองหลวง อันภัยของเราต้องเกิดจากบุรุษนั้น. พระมหาสัตว์นั้นลุกขึ้นมองทั่วบริษัทเห็นสถานที่ประทับยืนแห่งพระราชานั้นคิดว่ า ความสวัสดียังจักมีแก่เราได้ ควรที่เราจะไป ณ ที่นั้นทีเดียว แล้วเดินมุ่งหน้าเฉพาะพระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นมฤคนั้นกาลังเดินมา ทรงพระดาริว่า มฤคมีกาลังดังพญาช้าง น่าจะถาโถมมาได้ ต้องสอดลูกศรไว้คอยขู่ให้มฤคนี้สะดุ้ง ถ้าหนีไป จักยิงทาให้ทุรพลแล้วค่อยจับเอา ทรงยกธนูขึ้นเล็งตรงพระโพธิสัตว์. พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาสองคาถาว่า พระเจ้าพาราณสีทรงโก่งธนูสอดใส่ลูกศรไว้เสด็จเข้าไปแล้ว ส่วนมฤคเห็นพระราชาแล้ว ได้ร้องกราบทูลไปแต่ไกลว่า ข้าแต่พระมหาราชผู้ประเสริฐ โปรดทรงรอก่อน อย่าเพิ่งทรงยิงข้าพระบาทเสียเลย ใครหนอได้กราบทูลความเรื่องนี้แก่พระองค์ว่า มฤคตัวนี้อยู่ ณ ไพรสณฑ์นี้. พระราชาทรงติดพระหฤทัยในมธุรกถาของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงลดธนูลงประทับยืนด้วยพระอาการอันน่าเคารพ. พระมหาสัตว์ก็เข้าไปใกล้พระราชา ทรงกระทามธุรปฏิสันถาร แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายมหาชนก็พากันวางอาวุธทั้งปวงเสีย ต่างมาแวดล้อมพระราชา. ขณะนั้น พระมหาสัตว์กราบทูลถามพระราชาด้วยเสียงอันไพเราะ ประหนึ่งคนสั่นกระดิ่งทองว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โปรดทรงรอก่อน ข้าแต่พระจอมรถ โปรดอย่าเพิ่งยิงข้าพระบาทเลย ใครหนอกราบทูลข้อนี้ แด่พระองค์ว่า พญามฤคนั้นพานักอยู่ที่นี้.
  • 7. 7 ขณะนั้น คนใจบาปถอยไปหน่อยหนึ่ง แล้วยืนอยู่ตรงนั้นเอง. พระราชา เมื่อจะตรัสบอกว่าผู้นี้แสดงแก่เรา จึงตรัสพระคาถาที่ ๖ ว่า ดูก่อนสหาย บุรุษผู้มีมารยาทอันเลวทรามยืนอยู่ห่างๆ นั่น บุรุษคนนั้นแหละได้บอกความเรื่องนี้แก่เราว่า มฤคตัวนี้อยู่ ณ ไพรสณฑ์นี้. พระมหาสัตว์ ครั้นติเตียนคนประทุษร้ายมิตรแล้ว เมื่อจะเจรจาปราศรัยกับพระราชา จึงกล่าวคาถาที่ ๗ ว่า ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้กล่าวความจริงไว้อย่างนี้ว่า ไม้ลอยน้ายังดีกว่า คนบางคนไม่ดีเลย. แต่บุคคลบางคนสันดานบาป มักประทุษร้ายมิตร แม้กาลังจะตายในน้า ได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาได้ ก็ยังหาประเสริฐไม่ เพราะท่อนไม้ยังเป็ นไปเพื่ออุปการะโดยประการต่างๆ ส่วนคนประทุษร้ายมิตร มีแต่จะล้างผลาญ เพราะเหตุนั้น ท่อนไม้ประเสริฐกว่าคนนั้นหนักหนา แต่ข้าพระบาทมิได้กระทาตามคาของท่านเหล่านั้น. พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า ดูก่อนพญามฤค เธอติเตียนพวกไหนแน่ ติเตียนพวกมฤค พวกนก หรือพวกมนุษย์ เรามีความกลัวไม่น้อย เพราะได้ฟังเจ้าพูดภาษามนุษย์ได้. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะแสดงว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระบาทมิได้ติเตียนมฤคเป็นต้น แต่ติเตียนพวกมนุษย์ กล่าวคาถาที่ ๙ ว่า ข้าพระองค์ช่วยยกขึ้นซึ่งบุรุษคนใด ผู้ลอยไปในห้วงน้าคงคา มีน้ามากไหลเชี่ยว ภัยมาถึงข้าพระบาทแล้ว เพราะบุรุษผู้นั้นเป็ นเหตุ ข้าแต่พระมหาราชา การสมาคมกับอสัตบุรุษทั้งหลายนาทุกข์มาให้โดยแท้. ข้าแต่มหาราชเจ้า บุคคลใดเล่าที่พระองค์ทรงชี้ให้ข้าพระบาทพูดนั้น กาลังลอยล่องไปในแม่น้าคงคา ร้องไห้คร่าครวญน่าสงสารอยู่ในเวลาเที่ยงคืน ข้าพระบาทช่วยเขาขึ้นไว้ได้ วันนี้ภัยมาถึงข้าพระบาท เพราะเขาเป็ นต้นเหตุ ข้าแต่มหาราชเจ้า ขึ้นชื่อว่า การสมาคมกับคนเลวๆ ลาบาก พระเจ้าข้า. พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงกริ้วเขา ทรงพระดาริว่า มันช่างไม่รู้คุณของมหาสัตว์นี้ ชื่อว่ามีอุปการะมากเช่นนี้ ต้องยิงมันเสียให้ตาย แล้วตรัสพระคาถาที่ ๑๐ ว่า เรานั้นจะปล่อยลูกศร ๔ ปีกนี้แหวกไปในอากาศให้ไปตัดตรงหัวใจ เราจักฆ่ามันผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ไม่ทากิจที่ควรทา ไม่รู้จักผู้กระทาคุณให้เช่นท่าน. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ดาริว่า ผู้นี้จงอย่าวอดวายเสียเพราะเราเลย จึงกล่าวคาถาที่ ๑๑ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชน สัตบุรุษทั้งหลายไม่สรรเสริญการฆ่าบัณฑิตและคนพาลเลย
  • 8. 8 คนผู้มีธรรมอันลามกจงกลับไปสู่เรือนของเขาตามปรารถนาเถิด อนึ่ง ขอได้โปรดพระราชทานค่าจ้างตามที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขาด้วยเถิด อนึ่ง ข้าพระองค์ขอทาความปรารถนาของพระองค์. ข้าพระองค์ขอเป็นผู้ทาตามประสงค์ คือพระองค์ทรงปรารถนาสิ่งใด ก็จงกระทาสิ่งนั้นเถิด หมายความว่าจะเสวยเนื้อข้าพระองค์ก็ได้ จะกระทาข้าพระองค์ให้เป็นมฤคสาหรับกีฬาก็ได้ ข้าพระองค์จะปฏิบัติตามประสงค์ของพระองค์ทุกประการ. พระราชา ครั้นทรงสดับดังนั้นแล้วทรงพอพระหฤทัย เมื่อจะทรงชมเชยพระมหาสัตว์ จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า ดูก่อนพญามฤค ท่านผู้ไม่ประทุษร้ายต่อมนุษย์ผู้ประทุษร้าย นับเป็ นผู้หนึ่งในจานวนสัตบุรุษทั้งหลายเป็ นแน่ คนผู้มีธรรมอันลามกจงกลับไปสู่เรือนของตนตามความปรารถนา อนึ่ง เราจะให้ค่าจ้างที่เราพูดไว้แก่เขา และเราขอให้บ้านส่วยแก่ท่าน. พระราชาทรงประทานพรแก่พระมหาสัตว์ว่า เราเลื่อมใสในธรรมกถาของเธอ จะให้บ้านส่วยให้อภัยแก่ท่าน ตั้งแต่นี้ไป ขอท่านจงปลอดภัยเที่ยวไปตามความชอบใจ. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะลองหยั่งท้าวเธอดูว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ธรรมดามนุษย์ ปากพูดไปอย่างหนึ่ง กระทาไปอย่างหนึ่ง ได้กล่าวคาถาสองคาถาว่า ข้าแต่พระราชา เสียงของสุนัขจิ้งจอกก็ดี ของนกก็ดี รู้ได้ง่าย เสียงของมนุษย์รู้ได้ยากยิ่งกว่านั้น อนึ่ง ผู้ใดเมื่อก่อนเป็ นคนใจดี คนทั้งหลายนับถือว่าเป็ นญาติ เป็นมิตรหรือเป็ นสหาย ภายหลังผู้นั้นกลับกลายเป็นศัตรูไปก็ได้ ใจของมนุษย์รู้ได้ยากอย่างนี้. พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสว่า พญามฤคอย่าได้หมิ่นฉันอย่างนี้ ฉันน่ะแม้จะละทิ้งราชสมบัติ ก็จักไม่ขอละทิ้งพรที่ให้แก่เธอเลย เชื่อเถิดจงรับพรของฉันเถิด. พระมหาสัตว์ เมื่อรับพรจากสานักของท้าวเธอ ขอรับพร คืออภัยทานแก่สรรพสัตว์ตั้งต้นแต่ตนไป. ฝ่ายพระราชาก็โปรดประทานพร แล้วพาพระมหาสัตว์สู่พระนคร ตรัสสั่งให้ประดับพระนครและพระมหาสัตว์ เชิญให้แสดงธรรมแก่พระเทวี. พระมหาสัตว์แสดงธรรมแก่พระราชาและราชบริษัทตั้งต้นแต่พระเทวี ด้วยภาษามนุษย์อย่างไพเราะ ตักเตือนพระราชาด้วยทศพิธราชธรรมสั่งสอนมหาชนแล้วเข้าป่า แวดล้อมไปด้วยหมู่มฤค พานักอาศัยอยู่.
  • 9. 9 พระราชาทรงสั่งคนให้เที่ยวตีกลองร้องประกาศไปในพระนครว่า เราให้อภัยแก่สรรพสัตว์ ฝูงเนื้อกินข้าวกล้าของหมู่คน ใครๆ ก็ไม่อาจห้ามได้. มหาชนพากันไปสู่ท้องพระลานหลวงร้องทุกข์ขึ้น. พระศาสดา เมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า ชาวชนบทและชาวนิคมทั้งหลาย มาประชุมพร้อมกันร้องทุกข์ว่า ฝูงเนื้อพากันมากินข้าว ขอพระองค์จงตรัสห้ามฝูงเนื้อนั้นเสียบ้าง พระเจ้าข้า. พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสสองพระคาถาว่า ชนบทอย่าได้มี แม้แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามทีเถิด เราให้อภัยแก่ฝูงเนื้อและนกยูงแล้ว ไม่ขอประทุษร้ายพญาเนื้อรุรุเป็ นอันขาด. ชาวชนบทของเราจะไม่มีก็ตาม ชาวชนบทจะไม่พูดกะเราก็ตาม เราได้ให้พรแก่พญาเนื้อไว้แล้ว จะไม่พูดเท็จเป็นอันขาด. มหาชนได้ฟังพระดารัสของพระราชาแล้ว เมื่อไม่อาจจะกล่าวคาอะไรๆ ได้จึงพากันหลีกไป ถ้อยคานั้นได้แพร่กระจายไปแล้ว พระมหาสัตว์ได้ฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงเรียกให้ฝูงเนื้อมาประชุมกัน กล่าวสอนว่า ตั้งแต่นั้นไปเจ้าทั้งหลายอย่าพากันกินข้าวกล้าของพวกมนุษย์เลย แล้วบอกแก่พวกมนุษย์ว่า จงพากันผูกหุ่นหญ้าไว้ในไร่นาของตนๆ เถิด. มนุษย์เหล่านั้นพากันทาตามนั้นด้วยเครื่องหมายนั้น ฝูงเนื้อไม่กินข้าวกล้าจนถึงทุกวันนี้. พระศาสดาทรงนาพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนเทวทัตก็อกตัญญูเหมือนกัน ทรงประชุมชาดกว่า เศรษฐีบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเทวทัต พระราชาได้มาเป็น พระอานนท์ ส่วนเนื้อรุรุคือ เราตถาคต แล. จบอรรถกถารุรุชาดกที่ ๙ -----------------------------------------------------