More Related Content
Similar to ๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]).docx (20)
More from maruay songtanin (20)
๓๘. ปาริจฉัตตกวิมาน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]).docx
- 1. 1
ปาริจฉัตตกวิมาน
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
๑๐. ปาริจฉัตตกวิมาน
ว่าด้วยวิมานที่เกิดขึ้นแก่หญิงผู้ใช้มาลัยดอกอโศก
บูชาพระพุทธเจ้า
(พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดาองค์หนึ่งว่า)
[๖๘๐] เทพธิดา เธอนาดอกไม้สวรรค์ชื่อปาริจฉัตตกะ หอมหวน
น่ารื่นรมย์ มาร้อยเป็นมาลัยทิพย์ ขับร้องรื่นเริงบันเทิงอยู่
[๖๘๑] เมื่อเธอนั้นกาลังฟ้ อนราอยู่ เสียงทิพย์น่าฟัง น่ารื่นรมย์ใจ
ย่อมเปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วนสัดของเธอ
[๖๘๒] ทั้งกลิ่นทิพย์หอมระรื่นชื่นใจ
ก็ฟุ้ งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วนสัดของเธอ
[๖๘๓] เมื่อเธอสั่นไหวกายไปมา เสียงเครื่องประดับที่ช้องผม
ก็เปล่งเสียงดังไพเราะ น่าฟัง ดุจดังเสียงดนตรีเครื่องห้า
[๖๘๔] อนึ่ง ต่างหูเพชรต้องลมสั่นไหว ก็ส่งเสียงดังไพเราะน่าฟัง
เช่นกับเสียงดนตรีเครื่องห้า
[๖๘๕] แม้มาลัยบนศีรษะของเธอ มีกลิ่นหอมระรื่นชื่นใจ
ก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้ งไปทั่วทุกทิศ ดุจต้นอุโลก (ไม้ชนิดหนึ่ง เนื้อไม้สีขาว
(ใช้ทายาได้) เวลามีดอกส่งกลิ่นหอมไปทั่วทุกทิศ)
[๖๘๖] เธอสูดดมกลิ่นหอมระรื่นนั้น ทั้งได้เห็นรูปอันมิใช่ของมนุษย์
เทพธิดา อาตมาถามเธอแล้ว ขอเธอจงบอกเถิดว่า นี้เป็ นผลของกรรมอันใดเล่า
(เทพธิดานั้นตอบว่า)
[๖๘๗] ดิฉันได้น้อมนามาลัยดอกอโศกซึ่งมีเกสรงามเลื่อมประภัสสร
มีสีสด มีกลิ่นหอมฟุ้ ง ไปน้อมบูชาพระพุทธเจ้า
[๖๘๘] ดิฉันนั้นครั้นทากุศลกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญแล้ว
จึงสร่างโศก หมดโรคภัย มีความสุข รื่นเริงบันเทิงใจอยู่เป็นนิตย์
ปาริจฉัตตกวิมานที่ ๑๐ จบ
-------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของ
อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปาริฉัตตกวรรคที่ ๓
๑๐. ปาริฉัตตกวิมาน
อรรถกถาปาริฉัตตกวิมาน
ปาริฉัตตกวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
- 2. 2
ใกล้กรุงสาวัตถี.
สมัยนั้น อุบาสิกาคนหนึ่งอยู่ในกรุงสาวัตถี
เข้าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคเจ้า นิมนต์ฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น
จึงจัดปะราใหญ่ใกล้ประตูเรือนของตนวงม่านโดยรอบ ผูกเพดานเบื้องบน
ยกธงชัยและธงแผ่นผ้าเป็นต้น แขวนผ้าสีสดสวยต่างๆ และพวงของหอม
พวงดอกไม้ พวงมาลัย ปูลาดอาสนะ ณ สถานที่ราบเรียบแล้ว
กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าตามกาหนดเวลา.
ลาดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ในตอนเช้าทรงนุ่งสบงห่มจีวร ถือบาตร
เสด็จเข้าไปยังปะราที่ตกแต่งประดับประดาดุจเทพวิมาน
ยังห้วงอรรณพให้สว่างไสวดุจมีรัศมีตั้งพันดวง ประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูไว้.
อุบาสกได้บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยของหอม
ดอกไม้ธูปและประทีป.
สมัยนั้น
หญิงหาฟืนคนหนึ่งเห็นต้นอโศกมีดอกบานสะพรั่งในนันทนวัน
จึงถือเอาดอกอโศกเป็นอันมากทาเป็นช่อพร้อมด้วยขั้วและก้าน
เดินมาเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ ที่นั้น มีจิตเลื่อมใส
จึงเอาดอกไม้เหล่านั้นปูลาดเป็ นเครื่องลาดดอกไม้โดยรอบอาสนะ
ทาการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทาประทักษิณ ๓ รอบถวายนมัสการกลับไป.
ครั้นต่อมา นางได้ถึงแก่กรรมไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
มีนางอัปสรหนึ่งพันเป็ นบริวาร โดยมากนางฟ้ อนราขับร้องอยู่ที่สวนนันทนวัน
ร้อยกรองมาลัยดอกไม้ปาริฉัตตกะรื่นเริงบันเทิง เล่นกีฬา เสวยแต่ความสุข.
ลาดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ตามนัยที่กล่าวมาแล้ว ครั้นเห็นเทพธิดานั้น
จึงถามถึงกรรมที่เทพธิดานั้นได้ทามาด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมาเก็บดอกไม้สวรรค์ปาริฉัตตกะ
หอมหวนน่ารื่นรมย์มาร้อยกรองเป็นมาลัยทิพย์ ขับร้องสาเริงอยู่
เมื่อท่านกาลังฟ้ อนราอยู่เสียงทิพย์น่าฟังวังเวงใจ
เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่พร้อมๆ กัน ทั้งกลิ่นทิพย์หอมหวนยวนใจ
ก็ฟุ้ งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกๆ ส่วน เมื่อท่านไหวกายไปมา
เสียงเครื่องประดับอันท่านประดับไว้ที่ช้องผมทุกๆ ส่วน ถูกลมพัดมาต้องเข้า
ก็เปล่งเสียงไพเราะคล้ายดนตรีเครื่อง ๕.
อนึ่ง
เสียงมาลัยประดับเศียรที่ถูกลมพัดต้องเข้าแล้วก็กังวานไพเราะคล้ายกับเสียงดนต
รีเครื่อง ๕ แม้กลิ่นดอกไม้ที่ท่านสอดแซมไว้บนผม ก็มีกลิ่นหอมหวนน่าชื่นใจ
ฟุ้ งไปทั่วทุกทิศ ดุจไม้สวรรค์ฉะนั้น ท่านสูดดมกลิ่นอันหอมหวนนั้น