More Related Content
More from maruay songtanin (20)
112 อมราเทวีปัญหชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
- 1. 1
อมราเทวีปัญหชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. อมราเทวีปัญหชาดก (จากพระไตรปิฎก ลาดับเรื่องที่ ๑๑๒)
ว่าด้วยพระนางอมราเทวี
(พระนางอมราเทวีบอกใบ้ทางไปบ้านแก่พระโพธิสัตว์มโหสธบัณฑิตว่า)
[๑๑๒] ร้านขายข้าวสัตตุ ร้านขายน้าส้มสายชู
และต้นทองหลางใบซ้อนที่มีดอกบานสะพรั่งมีอยู่ ณ ที่ใด ท่านจงไป ณ ที่นั้น
ดิฉันถือภาชนะข้าวยาคูด้วยมือใด ดิฉันบอกทางด้วยมือนั้น
ไม่ได้ถือภาชนะข้าวยาคูด้วยมือใด ไม่ได้บอกทางด้วยมือนั้น
หนทางนั้นเป็ นหนทางไปสู่บ้านของดิฉัน ซึ่งตั้งอยู่ในบ้านอุตตรยวมัชฌคาม
ขอท่านจงทราบหนทางที่ดิฉันกล่าวเป็ นปริศนานั้นเองเถิด
อมราเทวีปัญหชาดกที่ ๒ จบ
--------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
อมราเทวีปัญหา
ว่าด้วย บอกใบ้หนทางไปบ้าน
อมราเทวีปัญหาแม้นี้ ดังนี้
ก็จักแจ่มแจ้งใน อุมมัคคชาดก นั้นแล.
ว่าด้วย มโหสถแสวงหานางอมราเทวี
จาเดิมแต่นั้น มโหสถโพธิสัตว์ได้มียศใหญ่
พระนางอุทุมพรเทวีได้ทรงพิจารณาปัญหานั้นทั้งหมด.
ในกาลเมื่อมโหสถมีอายุได้ ๑๖ ปี พระนางทรงดาริว่า
น้องชายของเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้ยศของเธอก็ใหญ่.
เราควรจะทาอาวาหมงคลแก่เธอ. ทรงดาริฉะนี้ แล้วได้กราบทูล
เนื้อความนั้นแด่พระเจ้าวิเทหราช. บรมกษัตริย์ได้ทรงสดับเนื้อความนั้น
จึงมีพระราชดารัสว่า ดีแล้ว เธอจงให้เจ้าตัวทราบ. พระนางให้มโหสถทราบความ
เมื่อมโหสถรับทาอาวาหมงคล จึงมีพระเสาวนีย์ว่า ถ้ากระนั้น
เราจะนานางกุมาริกามาเพื่อเธอ. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์คิดว่า
นางกุมาริกาที่พระนางจะนามา บางทีจะไม่พึงชอบใจเรา.
เราจะพิจารณาหาดูเองก่อน. คิดฉะนี้ แล้วจึงทูลว่า ข้าแต่พระราชเทวี
พระองค์อย่าตรัสอะไรแด่พระราชา สักสองสามวัน.
- 2. 2
ข้าพระบาทจักแสวงหานางกุมาริกานางหนึ่งเองที่ชอบใจ แล้วจักทูลให้ทรงทราบ.
พระนางอุทุมพรทรงอนุญาต มโหสถจึงถวายบังคมลาพระเทวีไปเรือนของตน.
ให้สัญญาแก่พวกสหายแล้ว แปลงเพศที่ใครๆ ไม่รู้จัก.
ถือเครื่องอุปกรณ์แห่งช่างชุนผ้า ออกทางประตูด้านทิศอุดรแต่ผู้เดียว
ไปสู่บ้านอุตตรยวมัชฌคาม.
ก็ในกาลนั้น มีสกุลเศรษฐีสกุลหนึ่งในบ้านนั้น เป็ นสกุลเก่าแก่.
ธิดาของสกุลนั้นนางหนึ่งชื่ออมราเทวี นางมีรูปงามบริบูรณ์ด้วยลักษณะดีทุกอย่าง
เป็นผู้มีบุญ. วันนั้น นางต้มข้าวต้มแต่เช้า นาข้าวต้มนั้น
คิดว่าจักไปสู่ที่บิดาไถนา. จึงออกจากเรือนเดินสวนทางกับมโหสถ.
พระมหาสัตว์เห็นนางเดินมา คิดในใจว่า สตรีนี้สมบูรณ์ด้วยลักษณะดีทุกอย่าง.
ถ้ายังไม่มีสามี นางนี้ก็ควรเป็นภรรยาของเรา. ฝ่ายนางอมราพอเห็นมโหสถ
ก็คิดในใจว่า ถ้าเราได้บุรุษนี้เป็นสามีไซร้ เราอาจจะยังทรัพย์สมบัติให้เกิดมั่งคั่ง.
ลาดับนั้น พระมหาสัตว์ดาริว่า เรายังไม่รู้ความที่สตรีนี้มีสามีหรือยังไม่มี
จักถามนางด้วยวิธีใช้ใบ้. ถ้านางฉลาด ก็จักรู้เนื้อความแห่งปัญญาของเรา.
คิดฉะนี้แล้ว ยืนอยู่แต่ไกลกามือเข้า. นางอมรารู้ความว่า
บุรุษนี้ถามว่าเรามีสามีหรือยัง. จึงยืนอย่างนั้นเอง แบมือออก.
มโหสถรู้เหตุนั้นแล้วจึงเข้าไปใกล้นางถามว่า แน่ะนางผู้เจริญ เธอชื่ออะไร.
นางอมราตอบว่า ข้าแต่นาย สิ่งใดไม่มีในอดีต ในอนาคต หรือในปัจจุบัน
สิ่งนั้นเป็นชื่อของข้าพเจ้า. มโหสถกล่าวว่า แน่ะ นางผู้เจริญ
ชื่อว่าความไม่ตายไม่มีในโลก. ฉะนั้นนางจักชื่อว่า อมรา. นางอมราตอบว่า
อย่างนั้น นาย. มโหสถถามว่า เธอจักนาข้าวต้มไปเพื่อใคร. เมื่อนางอมราตอบว่า
ข้าพเจ้านาไปเพื่อบุรพเทวดา. มโหสถจึงกล่าวว่า บิดามารดา ชื่อว่าบุรพเทวดา.
ชะรอยเธอจักนาข้าวต้มไปเพื่อบิดาของเธอ. นางอมราตอบว่า ถูกแล้ว.
มโหสถถามว่า บิดาของเธอทางานอะไร. นางอมราตอบว่า
บิดาของดิฉันทาสิ่งหนึ่งโดยส่วนสอง. มโหสถกล่าวว่า แน่ะนางผู้เจริญ การไถนา
ชื่อว่าการทาสิ่งหนึ่งโดยส่วนสอง ชะรอยบิดาของเธอไถนา. นางอมราตอบว่า
ถูกแล้ว. มโหสถถามว่า บิดาของเธอไถนาอยู่ที่ไหน. นางอมราตอบว่า
ชนทั้งหลายไปในที่ใด คราวเดียวภายหลังไม่กลับมา.
บิดาของดิฉันไถนาในที่นั้นแล. มโหสถกล่าวว่า ป่าช้า
ชื่อว่าสถานที่แห่งชนทั้งหลายไปคราวเดียว ภายหลังไม่กลับ.
ชะรอยบิดาของเธอจะไถนาในที่ใกล้ป่าช้า. นางอมราตอบว่า ถูกแล้ว.
มโหสถถามต่อไปว่า แน่ะนางผู้เจริญ วันนี้เธอจะกลับหรือไม่กลับ.
นางอมราตอบว่า ข้าแต่นาย ถ้าว่ามา ดิฉันจะยังไม่กลับ. ถ้าว่าไม่มา ดิฉันจักกลับ.
มโหสถกล่าวว่า แน่ะนางผู้เจริญ บิดาของเธอชะรอยจักไถนาใกล้ฝั่งแม่น้า.
ครั้นเมื่อน้ามา เธอจักไม่กลับ. ครั้นเมื่อน้าไม่มา เธอจักกลับ. นางอมราตอบว่า
- 3. 3
ถูกแล้ว. ทั้งสองเจรจาโต้ตอบกันเท่านี้แล้ว.
ภายหลัง นางอมราเชิญมโหสถให้ดื่มข้าวต้ม. พระมหาสัตว์ดาริว่า
การปฏิเสธเป็นอวมงคล. จึงกล่าวรับว่า จักดื่ม. นางจึงปลงหม้อข้าวต้มลง.
พระมหาสัตว์คิดว่า ถ้านางอมราไม่ล้างภาชนะ ไม่ให้น้าล้างมือ ให้ข้าวต้ม.
เราจักละนางเสียในที่นี้ไป. ฝ่ายนางอมราล้างภาชนะแล้ว
นาน้ามาด้วยภาชนะให้น้าล้างมือ ไม่วางภาชนะเปล่าในมือ.
คนหม้อที่วางไว้บนพื้น แล้วตักข้าวต้มใส่เต็มภาชนะ.
ก็แต่เมล็ดข้าวในภาชนะนั้นน้อย. ลาดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวว่า แน่ะนางผู้เจริญ
น้าข้าวต้มมากเกินหรือ. นางอมราตอบว่า ข้าแต่นาย ดิฉันได้น้าแล้ว.
พระมหาสัตว์กล่าวว่า เธอเห็นจักไม่ได้น้ามาแต่ทุ่งนา. นางอมราตอบว่า ถูกแล้ว.
แล้วนางแบ่งข้าวต้มไว้ให้บิดา เหลือจากนั้นให้พระโพธิสัตว์.
พระโพธิสัตว์ดื่มข้าวต้มนั้นแล้วบ้วนปาก พูดว่า แน่ะนางผู้เจริญ
เราจักไปสู่เรือนของเธอ เธอจงบอกทางแก่เรา. นางอมรากล่าวว่า ดีแล้ว.
เมื่อจะบอกทาง จึงกล่าวคาถานี้ ในเอกนิบาตว่า
ร้านขายข้าวสัตตู ถัดไปร้านขายน้าส้ม ถัดสองร้าน
ต้นทองหลางดอกบานมีใบสองชั้น มีอยู่โดยทางใด.
ดิฉันถือภาชนะข้าวต้มด้วยมือขวาใด ดิฉันบอกทางนั้นโดยมือขวานั้น.
ดิฉันไม่ได้ถือภาชนะข้าวต้มด้วยมือซ้ายใด
ดิฉันไม่ได้บอกทางนั้นโดยมือซ้ายนั้น. ทางนั้นเป็นทางไปเรือนของดิฉัน
ซึ่งตั้งอยู่ในบ้านอุตตรยวมัชฌคาม ขอท่านจงทราบทางอันปกปิดนี้.
คาถานั้นมีความว่า ข้าแต่นาย ท่านเข้าไปภายในหมู่บ้าน
แล้วจะเห็นร้านขายข้าวสัตตูร้านหนึ่ง. ถัดไป ร้านขายน้าส้ม
ข้างหน้าร้านค้าสองร้านนั้น มีต้นทองหลาง มีใบสองชั้นมีดอกบาน. ฉะนั้น
ท่านจงไปทางที่มีร้านขายข้าวสัตตู ร้านขายน้าส้ม และต้นทองหลางดอกบาน
ยืนที่โคนต้นทองหลาง ถือเอาทางขวา ละทางซ้าย. นี้เป็ นทางไปเรือนของพวกเรา
ซึ่งตั้งอยู่ในบ้านยวมัชฌคาม. ขอท่านจงทราบทางปกปิด คือทางที่ปกปิด
นี้คือที่ข้าพเจ้ากล่าวปกปิดอย่างนี้ หรือทางปิด หรือเหตุที่ปกปิด.
นางกล่าวหมายเอามือขวาที่เราใช้ถือภาชนะข้าวต้ม นอกนี้เป็ นมือซ้าย.
นางอมราบอกทางแก่มโหสถอย่างนี้แล้ว ถือข้าวต้มไปส่งบิดา.
จบ ฉันนปถปัญหา
(มโหสถโพธิสัตว์ไปสู่เรือนนั้นตามทางที่นางอมราบอก. ลาดับนั้น
มารดาของนางอมราเห็นมโหสถ แล้วจึงให้พระมหาสัตว์นั่ง ณ อาสนะ.
แล้วกล่าวว่า จักดื่มข้าวต้มไหมนาย. มโหสถตอบว่า ข้าแต่แม่ น้องหญิงอมราเทวี
ได้ให้ข้าวต้มแก่ฉันหน่อยหนึ่งแล้ว. แม้มารดาของนางอมราก็รู้ว่า
ชายคนนี้คงมาเพื่อต้องการลูกสาวของเรา. พระมหาสัตว์แม้จะรู้ว่าสกุลนั้นๆ
- 4. 4
เข็ญใจ ก็ถามว่า ข้าแต่แม่ ฉันเป็ นช่างชุนผ้า. มีผ้าอะไรๆ ที่ฉันควรเย็บบ้างไหม.
มารดานางอมราตอบว่า นาย ผ้านั้นมี แต่ค่าจ้างไม่มี. มโหสถกล่าวว่า ข้าแต่แม่
ฉันไม่ทาเอาค่าจ้าง แม่จงนามา ฉันจักเย็บให้. มารดานางอมราจึงนาผ้าเก่าๆ
มาให้มโหสถชุน. พระโพธิสัตว์ก็ให้ผ้าที่นามาๆ แล้วเสร็จทั้งหมด
เพราะว่าการทาของท่านผู้มีบุญ ย่อมสาเร็จง่ายดาย. ลาดับนั้น
มโหสถแจ้งแก่มารดานางอมราว่า แม่จงบอกกล่าวตามฟากถนน
ให้นาผ้ามาจ้างชุน. มารดานางอมราก็บอกแก่ชาวบ้านทั่วไป.
พระมหาสัตว์ทาการชุนผ้าวันเดียวเท่านั้น ได้ทรัพย์พันหนึ่ง.
ฝ่ายมารดานางอมราหุงข้าวให้ มโหสถกินเวลานั้น. แล้วถามว่า
เวลาเย็นข้าจะหุงเท่าไร. มโหสถตอบว่า ชนมีประมาณเท่าใดบริโภคในเรือนนี้.
แม่จงหุงโดยประมาณแห่งชนเท่านั้น. นางจึงหุงภัตตาหารเป็ นอันมาก
ทั้งแกงทั้งกับมิใช่น้อย. ฝ่ายนางอมราเทวี เวลาเย็นเอามัดฟืนทูนศีรษะ
และกระเดียดใบไม้มาแต่ป่า บรรจุฟืนที่ประตูด้านตะวันออก
แล้วเข้าสู่เรือนทางประตูด้านตะวันตก.
ส่วนบิดาของนางอมรากลับบ้านเย็นกว่าธิดากลับ.
มโหสถบริโภคโภชนาหารมีรสเลิศต่างๆ. นางอมราให้บิดามารดาของตนบริโภค
แล้วตนจึงบริโภคภายหลัง แล้วชาระเท้าบิดามารดา และเท้ามโหสถโพธิสัตว์.
มโหสถกาหนดสังเกต นางอมราอยู่ในบ้านนั้นสองสามวัน. ลาดับนั้น
เมื่อจะทดลองนาง. วันหนึ่งจึงกล่าวว่า แน่ะอมราเทวีผู้เจริญ
เธอจงเอาข้าวสารกึ่งทะนาน ต้มข้าวต้ม ทาขนม และหุงข้าวสวย เพื่อเรา
ด้วยข้าวสารกึ่งทะนานนั้น. นางอมรารับคาสั่ง แล้วตาข้าวสารนั้น
แล้วเอาข้าวสารต้นอันเป็นตัว ไม่ค่อยมีเมล็ดหักต้มเป็นข้าวต้ม.
เอากลางข้าวสารอันมีเมล็ดหักโดยมากหุงเป็นข้าวสวย.
เอาปลายข้าวสารอันป่นทาขนม
แล้วประกอบกับข้าวให้ควรแก่ข้าวสวยข้าวต้มนั้น ให้ข้าวต้มแก่มโหสถก่อน.
พอมโหสถได้ดื่มข้าวต้มถึงปาก ข้าวต้มนั้นก็แผ่ซ่านไปสู่เส้นประสาทเจ็ดพัน
ซึ่งเป็ นเส้นสาหรับรับรส. มโหสถกล่าวเพื่อทดลองนางอมราว่า นางไม่รู้จักหุงต้ม
ทาข้าวสารของเราให้เสียหายเพื่อประโยชน์อะไร.
แล้วคายถ่มข้าวต้มพร้อมกับน้าลายลงยังพื้น. นางอมรามิได้โกรธกล่าวว่า
ข้าแต่นาย ถ้าข้าวต้มไม่อร่อย ท่านจงกินขนม. แล้วส่งขนมให้มโหสถ
มโหสถก็ทาอาการอย่างนั้น แล้วกล่าวอย่างนั้นอีก. นางอมราจึงกล่าวว่า
ถ้าขนมไม่อร่อย ท่านจงกินข้าวสวย. แล้วให้ข้าวสวยแก่มโหสถ
มโหสถก็ทาอาการอย่างนั้น และกล่าวดังนั้นอีก. ทาเป็นเหมือนขัดเคือง
ขยาข้าวทั้งสามอย่างนั้นเป็ นอันเดียวกัน แล้วทาสรีระทั้งสิ้น ตั้งแต่ศีรษะแห่งนาง
แล้วไล่ให้นางไปยืนอยู่ที่ประตู. ฝ่ายนางอมราไม่โกรธเลย ประนมมือกล่าวว่า
- 5. 5
ดีจ๊ะนาย. แล้วได้ทาตามสั่ง. มโหสถรู้ว่า นางไม่ถือตัว. จึงเรียกกลับมาหา
พอได้ยินเรียกคาเดียวเท่านั้น นางก็มานั่งลงที่ใกล้มโหสถ.
ฝ่ายพระมหาสัตว์เมื่อมาแต่บ้านตน หาได้มามือเปล่าไม่. เอาผ้าสาฎก
๑ ผืน กับกหาปณะ ๑ พันบรรจุในไถ้น้อยมาด้วย.
จึงนาผ้าสาฎกนั้นออกจากไถ้น้อยให้แก่นางอมรา แล้วกล่าวว่า แน่ะนางผู้เจริญ
นางจงอาบน้ากับพวกสหายของนาง แล้วนุ่งผ้าสาฎกนี้มา.
นางอมราได้ทาตามคาสั่ง. มโหสถให้ทรัพย์ที่เกิดขึ้น
และทรัพย์ที่นามาทั้งหมดแก่บิดามารดาของนางอมรา. ยังคนทั้งสามให้ยินดีแล้ว
ลาแม่ยายพ่อตา พานางอมรากลับไปบ้าน.
ก็พระมหาสัตว์ให้ร่มและรองเท้าแก่นางอมรา แล้วพูดอย่างนี้ว่า แน่ะนางผู้เจริญ
นางจงเอาร่มกางกันตัว สวมรองเท้าเดินไป. นางอมรารับของสองอย่าง
หุบร่มในคราวร้อนดวงอาทิตย์ในที่แจ้งเดินไป. ถอดรองเท้าในที่ดอนถือไป.
สวมรองเท้าในเวลาถึงที่มีน้าเดินไป. มโหสถเห็นเหตุนั้น จึงถามว่า
แน่ะนางผู้เจริญ เป็ นอย่างไร นางไม่สวมรองเท้าในที่ดอน. สวมในที่มีน้าเดินไป
เพราะเหตุอะไร. นางตอบมโหสถว่า ข้าแต่นาย ดิฉันเห็นสิ่งประทุษร้ายร่างกาย
มีหนามเป็นต้นในที่ดอน. ดิฉันไม่เห็นสิ่งประทุษร้ายร่างกายมีปลา เต่า
และหนามเป็ นต้นในที่มีน้า. ครั้นเครื่องประทุษร้ายเข้าไปสู่เท้า
ดิฉันก็พึงเสวยทุกขเวทนาใหญ่. เพราะฉะนั้นจึงสวมรองเท้าในที่มีน้า เดินไป.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังคาของนาง ก็คิดว่า นางทาริกานี้ฉลาดมากหนอ แล้วก็เดินไป.
ลาดับนั้น นางอมราเมื่อเข้าภายในป่าก็กั้นร่มเดินไป. มโหสถถามเหตุนั้นว่า
แน่ะนางผู้เจริญ ชนเหล่าอื่นกั้นร่มกันแดดในที่แจ้งเดินไป.
แต่นางหาทาอย่างนั้นไม่ เพราะเหตุอะไร นางตอบมโหสถว่า ข้าแต่นาย
ดิฉันชื่อว่าเข้าสู่ภายในป่าก็จริง
แต่ทาอย่างนี้เพราะกลัวไม้แห้งท่อนไม้ตกบนศีรษะ.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังคาที่นางกล่าวด้วยเหตุ ๒ อย่างก็ยินดี.
ลาดับนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์เดินไปกับนาง
เห็นต้นพุทราถึงพร้อมด้วยผลในที่หนึ่ง ก็หยุดนั่งใต้ต้นพุทรา.
ฝ่ายนางอมราเห็นพระมหาสัตว์นั่งใต้ต้นพุทรา ก็พูดขึ้นว่า ข้าแต่นาย
ท่านจงขึ้นเก็บผลพุทรากิน ให้ดิฉันบ้าง. มโหสถตอบว่า แน่ะนางผู้เจริญ
เราเหน็ดเหนื่อยไม่อาจขึ้น นางขึ้นเถิด.
นางได้ฟังคาของมโหสถก็ขึ้นต้นพุทรานั้นเลือกเก็บผล.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์กล่าวกะนางว่า แน่ะนางผู้เจริญ นางจงให้ผลแก่เราบ้าง.
นางคิดว่า เราจักดูบุรุษนี้ฉลาดหรือโง่ จักทดลองเขาดู. จึงกล่าวอย่างนี้ว่า
ข้าแต่นาย ท่านจะกินผลร้อนหรือผลเย็น. พระโพธิสัตว์แม้รู้เหตุที่นางถาม
ก็ทาเป็นเหมือนไม่รู้. จึงกล่าวตอบอย่างนี้ เพื่อทดลองว่า แน่ะนางผู้เจริญ
- 6. 6
เราต้องการด้วยผลร้อน. นางจึงเก็บผลโยนไปในที่พื้นดินกล่าวว่า ท่านจงกินเถิด
นาย. พระโพธิสัตว์ก็เก็บผลมา ปัดเป่าให้หมดผงแล้วเคี้ยวกิน.
เมื่อจะทดลองนางอีก จึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะนางผู้เจริญ นางจงให้ผลเย็นแก่เรา.
นางก็เก็บผลพุทราโยนไปบนพื้นหญ้า. พระโพธิสัตว์ก็เก็บผลนั้น
ไม่ต้องปัดเป่าเคี้ยวกินทีเดียว. รู้ว่า นางทาริกานี้ฉลาดเหลือเกินก็ยินดี.
แล้วบอกให้นางลงจากต้นพุทรา นางอมราได้ฟังคามโหสถเรียกให้ลง
ก็ลงจากต้นพุทรา. ถือหม้อไปแม่น้า นาน้ามาให้มโหสถ.
มโหสถก็ดื่มน้าแล้วบ้วนปาก นางยืนอยู่ส่วนข้างหนึ่ง
เขาทั้งสองลุกขึ้นเดินไปเข้าสู่พระนคร
พระมหาสัตว์ให้นางอยู่ที่เรือนคนเฝ้ าประตู.
แล้วแจ้งแก่ภรรยาแห่งคนเฝ้ าประตูให้ทราบ เพื่อทดลองนาง.
แล้วเข้าสู่เคหสถานของตน เรียกชายทั้งหลายมาแจ้งว่า
เราให้สตรีคนหนึ่งอยู่ที่เรือนโน้นจึงมาบ้านนี้.
เจ้าทั้งหลายจงเอาทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะนี้ไปที่เรือนนั้น พูดเกี้ยวพานลองดู.
สั่งฉะนี้แล้วให้กหาปณะหนึ่งพัน แล้วส่งไป. บุรุษเหล่านั้นไปสู่สานักนางอมรา
แล้วได้ทาตามมโหสถสั่ง. นางไม่ปรารถนา คิดเห็นว่า
ความประพฤติของบุรุษเหล่านี้ ไม่ถึงสักว่าละอองเท้าของสามีแห่งเรา.
บุรุษเหล่านั้นก็กลับมาบอกแก่มโหสถ. ลาดับนั้น มโหสถส่งบุรุษเหล่านั้นไปบ่อยๆ
ถึง ๓ คราว. ในวาระที่ ๔ จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
เจ้าทั้งหลายจงไปจับตัวนางคร่ามา บุรุษเหล่านั้นก็ไปทาดังนั้น.
นางก็ได้มาเห็นพระมหาสัตว์ตั้งอยู่ในความเป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมาก ก็จาไม่ได้.
แลดูมโหสถแล้ว หัวเราะแล้วร้องไห้. มโหสถซักถามถึง เหตุทั้งสองนั้น.
นางก็แจ้งแก่มโหสถว่า ข้าแต่นาย ดิฉันเห็นสมบัติของท่าน. ก็นึกในใจว่า
สมบัตินี้ท่านไม่ได้ด้วยไม่มีเหตุ. ก็แต่ท่านจักทากุศลไว้ในปางก่อน จึงได้สมบัตินี้.
โอ ผลของบุญทั้งหลายน่าอัศจรรย์หนอ. นึกในใจดังนี้ จึงได้หัวเราะ.
ก็เมื่อดิฉันร้องไห้ ก็ร้องไห้ด้วยความกรุณาในตัวท่าน. ด้วยสงสารว่า บัดนี้
ท่านมาทาร้ายในวัตถุที่คนอื่นปกครองหวงแหน ก็จักไปสู่นรก.
มโหสถทดลองนางอมรารู้ความที่นางเป็ นผู้บริสุทธิ์. จึงกล่าวสั่งว่า
เจ้าทั้งหลายจงไป จงพานางไปอยู่ที่เดิม.
แล้วแปลงเพศเป็นช่างชุนผ้าไปแรมอยู่กับนาง. รุ่งเช้าก็เข้าไปสู่ราชสานัก
ทูลประพฤติเหตุนั้นแด่พระนางอุทุมพร.
พระนางนาความกราบทูลพระเจ้าวิเทหราช
แล้วประดับนางอมราเทวีด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงให้นั่งในวอใหญ่.
นามายังเคหสถานของมโหสถทาอาวาหมงคลด้วยเกียรติอันยิ่งใหญ่.
พระราชาทรงส่งทรัพย์มูลค่าพันกหาปณะ เป็นบรรณาการแก่พระโพธิสัตว์.