More Related Content
Similar to 07 เนมิราชจริยา มจร.pdf (9)
More from maruay songtanin (20)
07 เนมิราชจริยา มจร.pdf
- 1. 1
การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๗ เนมิราชจริยา
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖
เกริ่นนา
เราได้สร้างโรงทานจตุรมุข ๔ แห่ง แล้วได้บาเพ็ญทานที่ศาลานั้นแก่หมู่เนื้ อ นก และคนเป็นต้น
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
๖. เนมิราชจริยา
ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าเนมิราช
[๔๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นมหาราชนามว่าเนมิ เป็นบัณฑิต ต้องการกุศลอยู่ในกรุงมิถิ
ลาที่อุดมสมบูรณ์
[๔๑] เราได้สร้างโรงทานจตุรมุข ๔ แห่ง แล้วได้บาเพ็ญทานที่ศาลานั้นแก่หมู่เนื้ อ นก และคน
เป็นต้น
[๔๒] บาเพ็ญมหาทาน คือ เครื่องนุ่มห่ม ที่นอน ข้าว น้า และโภชนะ ไม่ขาดสาย
[๔๓] เหมือนเสวกรับใช้นายเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ย่อมแสวงหานายที่ตนพึงให้ยินดีได้ ด้วย
กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ฉันใด
[๔๔] เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณในภพทั้งปวง จึงให้สัตว์ทั้งหลายได้
อิ่มหนาด้วยทานแล้ว ปรารถนาพระโพธิญาณอันอุดม ฉะนี้ แล
เนมิราชจริยาที่ ๖ จบ
คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา
ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญทานบารมี
๖. เนมิราชจริยา
อรรถกถาเนมิราชจริยาที่ ๖
พระเนมิกุมารทรงอุบัติสืบต่อวงศ์กษัตริย์ดุจกงรถ จึงได้ชื่อว่าเนมิ. ชื่อว่าเป็นมหาราชา เพราะ
เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เพราะใหญ่ด้วยคุณวิเศษมีทานและศีลเป็นต้นใหญ่ และเพราะประกอบด้วยราชานุ
ภาพ.
เป็นบัณฑิตต้องการกุศล คือต้องการบุญเพื่อตนและเพื่อผู้อื่น.
- 2. 2
ได้ยินว่า ในครั้งอดีต ในนครมิถิลา แคว้นวิเทหะ พระโพธิสัตว์ของเราได้เป็นพระราชาพระนาม
ว่ามฆเทพ. พระองค์ทรงสนุกสนานตอนเป็นพระกุมารอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ทรงได้รับตาแหน่งอุปราชอยู่
๘๔,๐๐๐ ปี ทรงครองราชสมบัติอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี พระองค์ตรัสแก่ช่างกัลบกว่า เมื่อใดเจ้าเห็นผมหงอกบน
ศีรษะของเรา เมื่อนั้นเจ้าพึงบอกแก่เรา.
ครั้นต่อมา ช่างกัลบกเห็นพระเกศาหงอกจึงกราบทูล แล้วเอาแหนบทองคาถอนวางไว้บนพระ
หัตถ์ ทรงแลดูพระเกศาหงอก ทรงเกิดความสังเวชว่า เทวทูตปรากฏแก่เราแล้ว ทรงดาริว่า บัดนี้ เราควร
ออกบวช จึงพระราชทานบ้านส่วย ๑๐๐,๐๐๐ แก่ช่างกัลบก แล้วตรัสเรียกพระเชษฐกุมารมาตรัสว่า ผมบน
ศีรษะของพ่อหงอก ความชราปรากฏแล้ว เทวทูตปรากฏแล้ว ถึงเวลาที่พ่อจะบวชละ.
จึงมอบราชสมบัติให้ ผิว่าตนมีอายุ ๘๔,๐๐๐ ปี แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ยังสาคัญตนดุจยืนอยู่ใกล้
ความตาย จึงสลดใจ ชอบที่จะบวช.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระทิศัมบดีพระนามว่ามฆเทพ ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาหงอก
บนพระเศียร ได้ความสังเวช พอพระทัยที่จะทรงผนวช.
พระราชาทรงประทานโอวาทแก่พระโอรสว่า ลูกควรประพฤติโดยทานองนี้ เหมือนอย่างที่พ่อ
ปฏิบัติ ลูกอย่าได้เป็นคนสุดท้ายเลย แล้วเสด็จออกจากพระนครทรงผนวชเป็นภิกษุยังกาลเวลาให้น้อมล่วง
ไปด้วยฌานและสมาบัติตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี เมื่อสิ้นพระชนม์ก็ไปบังเกิดในพรหมโลก.
แม้พระโอรสของพระองค์ก็ทรงครองราชสมบัติโดยธรรมตลอดหลายพันปี ได้ทรงผนวชโดย
อุบายนั้นเหมือนกันแล้วก็ไปบังเกิดในพรหมโลก.
กษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ หย่อนไปกว่าสองพระองค์อย่างนี้ คือโอรสของกษัตริย์องค์นั้นก็เหมือนกัน
ขององค์นั้นก็เหมือนกัน ทรงเห็นพระเกศาหงอกบนพระเศียรแล้วก็ทรงผนวช.
ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์ประดิษฐานอยู่บนพรหมโลกทรงราพึงว่า กัลยาณธรรมที่เราได้ทาไว้ใน
มนุษยโลกยังเป็นไปอยู่หรือ หรือว่าไม่เป็นไปได้ ทรงเห็นว่าเป็นไปตลอดกาลเพียงเท่านี้ บัดนี้ จักไม่เป็นไป
ต่อไป.
พระโพธิสัตว์ทรงดาริว่า แต่เราจักไม่ให้การสืบสายของเราขาดไป จึงทรงถือปฏิสนธิในพระ
ครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชาผู้มีกาเนิดในวงศ์ของพระองค์นั่นเอง ทรงบังเกิดสืบต่อวงศ์ของพระองค์
ดุจกงรถ ฉะนั้น.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระโอรสได้พระนามว่าเนมิ เพราะทรงอุบัติสืบต่อวงศ์ตระกูลดุจกง
รถ ฉะนั้น.
ในวันขนานพระนามของพระโอรสนั้น พระชนกตรัสเรียกพราหมณ์ผู้ชานาญการพยากรณ์
ลักษณะ ครั้นพราหมณ์ตรวจดูพระลักษณะแล้วก็พยากรณ์ถวายว่า ขอเดชะข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระกุมาร
นี้ จะประคับประคองวงศ์ของพระองค์ พระกุมารนี้ มีอานุภาพยิ่งใหญ่ มีบุญมากกว่าพระชนก พระเจ้าปู่และ
พระเจ้าตา.
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นจึงทรงขนานพระนามพระโอรสนั้นว่าเนมิ เพราะอรรถดังได้กล่าวไว้
แล้ว. พระโอรสนั้นตั้งแต่ยังเยาว์พระชนม์ ได้ทรงขวนขวายในศีลและอุโบสถกรรม.
- 3. 3
ลาดับนั้น พระชนกของพระกุมาร ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาหงอกโดยนัยก่อน จึง
พระราชทานบ้านส่วยแก่ช่างกัลบก มอบราชสมบัติแก่พระโอรสแล้ว เสด็จออกจากพระนครทรงผนวช ยัง
ฌานให้เกิดแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก.
ฝ่ายพระเนมิราชทรงให้สร้างโรงทาน ๕ แห่ง คือที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑
แห่ง ทรงบริจาคมหาทาน. ทรงบริจาควันละ ๕๐๐,๐๐๐ โรงทานละ ๑๐๐,๐๐๐. ทรงรักษาศีล ๕. ทรง
สมาทานอุโบสถกรรมในวันปักษ์. ทรงให้มหาชนยึดมั่นในบุญมีทานเป็นต้น. ทรงบอกทางสวรรค์ให้. ทรง
คุกคามภัยในนรก. ทรงห้ามจากบาป.
มหาชนตั้งอยู่ในโอวาทของพระเนมิราชนั้น กระทาบุญมีทานเป็นต้น จุติจากมนุษยโลกแล้วก็ไป
บังเกิดในเทวโลก. เทวโลกเต็มไปด้วยทวยเทพ นรกปรากฏดุจว่างเปล่า.
ก็ในครั้งนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความที่อัธยาศัยในการให้ของพระองค์กว้างขวาง
และความที่ทานบารมีบริบูรณ์ไม่มีขาดเหลือ จึงตรัสพระดารัสมีอาทิว่า ในครั้งนั้น เราสร้างศาลา ๔ แห่ง มี
๔ มุข บริจาคทานแก่เนื้ อ นก และคนเป็นต้น ณ ที่นั้น.
ประกอบด้วยประตู ๔ ประตูใน ๔ ทิศ เพราะไม่สามารถทาทาน ให้สิ้นสุดไปโดยประตูเดียว
เท่านั้นได้และให้ไทยธรรมถึงที่สุดได้ เพราะโรงทานใหญ่มากและเพราะไทยธรรมและผู้ขอมาก จึงต้องให้
สร้างประตูใหญ่ ๔ ประตูใน ๔ ทิศ แห่งโรงทาน. ณ โรงทานนั้นตั้งแต่ประตูถึงปลายประตูไทยธรรมตั้งอยู่
เป็นกองใหญ่. ทานย่อมเป็นไปเริ่มตั้งแต่อรุณขึ้นจนถึงเวลาเข้าไปตามปกติ. แม้ในกาลนอกนี้ ก็จุดประทีปไว้
หลายร้อยดวง. ผู้ต้องการจะมาเมื่อใดก็ให้เมื่อนั้น. ทานนั้นมิได้ให้แก่คนยากจน คนเดินทาง วณิพกและ
ยาจกเท่านั้น.
ที่จริงแล้ว มนุษย์ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้ทั้งหมดก็รับและบริโภคทานนั้นเช่นเดียวกับทานของ
พระมหาสุทัศนราช ด้วยสาเร็จแก่คนมั่งคั่ง และแม้มีสมบัติมาก เพราะสละไทยธรรมมากมายและประณีต.
จริงอยู่ พระมหาบุรุษกระทาชมพูทวีปทั้งสิ้นให้เจริญงอกงาม แล้วบริจาคมหาทานในครั้งนั้น.
ทรงบริจาคทานด้วยให้สาเร็จ แม้แก่สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายมีเนื้ อและนกเป็นต้นนอกโรงทาน เช่นเดียวกับ
มนุษย์.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า บริจาคทาน ณ โรงทานนั้นแก่เนื้ อ นกและคนเป็น
ต้น.
ไม่บริจาคเฉพาะแก่สัตว์เดียรัจฉานเท่านั้น แม้แก่เปรตทั้งหลายก็ทรงให้ส่วนบุญทุกๆ วัน. ทรง
บริจาคทานในโรงทาน ๕ แห่ง เหมือนในโรงทานแห่งเดียว.
แต่ในบาลีกล่าวไว้ดุจแห่งเดียวว่า ในครั้งนั้น เราสร้างโรงทาน ๔ โรง มี ๔ มุข.
บทนั้น ท่านกล่าวหมายถึงโรงทานท่ามกลางพระนคร.
กระทาไม่ให้ขาดสาย คือกระทาไม่ให้ขาดสาย ทั้งกลางวันและกลางคืนตั้งแต่เริ่มจนถึงสิ้นอายุ.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความที่ทานนั้นเป็นไปแล้วโดยความเป็นทานบารมี
ปรารภสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อจะทรงแสดงถึงอัธยาศัยของพระองค์ที่เป็นไปแล้วในกาลนั้นด้วยข้ออุปมา จึง
ตรัสพระดารัสมีอาทิว่า เปรียบเหมือนเสวกดังนี้ .
- 4. 4
พระพุทธดารัสนั้นมีความดังต่อไปนี้
เปรียบเหมือนบุรุษผู้เป็นเสวกเข้าไปหานายของตนด้วยการคบหากันตามกาลอันควร เพราะ
เหตุแห่งทรัพย์ที่ควรได้ ย่อมแสวงหาความยินดีที่นายพึงให้ยินดีได้โดยอาการที่ให้ยินดีด้วยกายกรรม
วจีกรรมและมโนกรรมฉันใด แม้เราผู้เป็นโพธิสัตว์ก็ฉันนั้น ประสงค์จะเสพความเป็นพระพุทธเจ้าอันยอดยิ่ง
เป็นเจ้าโลกพร้อมทั้งเทวโลก เพื่อให้เป็นที่ยินดีแก่สัตวโลกนั้น จักแสวงหา ค้นหาพระสัพพัญญุตญาณอันได้
ชื่อว่า โพธิช เพราะเกิดแต่อริยมรรคญาณ กล่าวคือโพธิ ด้วยอุบายต่างๆ ในที่ทั้งปวงข้างหน้า ในภพทั้งปวง
คือในภพที่เกิดแล้วๆ เล่าๆ ทั้งปวง จึงยังสัตว์ทั้งหลายให้อิ่มหนาด้วยทาน ด้วยการบาเพ็ญทานบารมี.
เราปรารถนาโพธิญาณคือสัมมาสัมโพธิญาณอันอุดมนั้น จึงทาอย่างใดอย่างหนึ่งมีการบริจาค
ชีวิตเป็นต้น.
เพื่อแสดงถึงความกว้างขวางแห่งอัธยาศัยในการให้ไว้ในที่นี้ ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาค
เจ้าจึงทรงกาหนดเทศนาไว้ด้วยทานบารมีเท่านั้น.
แต่ในเทศนาชาดก ท่านชี้แจงถึงความบริบูรณ์แม้แห่งศีลบารมีเป็นต้นของพระโพธิสัตว์นั้น.
เป็นความจริงอย่างนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์ตกแต่งพระองค์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้นตามนัยที่กล่าวแล้ว
ในหนหลังนั่นแล แล้วทรงให้มหาชนตั้งอยู่ในศีลนั้น เทวดาผู้บังเกิดเพราะตั้งอยู่ในโอวาท จึงประชุมกัน ณ
เทวสภาชื่อสุธรรมา พากันกล่าวสรรเสริญพระคุณของพระมหาบุรุษว่า น่าอัศจรรย์หนอ พวกเราได้รับสมบัติ
นี้ เพราะอาศัยพระเนมิราชของพวกเรา.
เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติ มนุษย์อัศจรรย์เห็นปานนี้ ก็ยังทาพุทธกิจให้สาเร็จแก่มหาชน อุบัติ
ขึ้นในโลก.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระดารัสมีอาทิว่า น่าอัศจรรย์หนอ ได้มีผู้ฉลาดเกิดขึ้น
ในโลก ได้เป็นพระราชาพระนามว่าเนมิราช เป็นบัณฑิต มีความต้องการด้วยกุศล.
ทวยเทพทั้งปวงมีท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพเป็นต้นได้สดับดังนั้น ประสงค์จะเห็นพระโพธิสัตว์.
วันหนึ่ง เมื่อพระมหาบุรุษทรงรักษาอุโบสถ ประทับอยู่เบื้องบนปราสาทอันประเสริฐ ประทับ
นั่งขัดสมาธิในปัจฉิมยาม ทรงเกิดความปริวิตกขึ้นว่า ทานประเสริฐหรือพรหมจรรย์ประเสริฐ.
พระโพธิสัตว์ไม่สามารถตัดสินความสงสัยของพระองค์ได้.
ในขณะนั้น ภพของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงราพึงถึงเหตุนั้น ครั้นทรงเห็นพระ
โพธิสัตว์ทรงวิตกอยู่อย่างนั้นจึงทรงดาริว่า เอาเถิด เราจะตัดสินความวิตกของพระโพธิสัตว์นั้น จึงเสด็จมา
ประทับอยู่ข้างหน้า.
พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร? จึงทรงบอกว่า พระองค์เป็นเทวราชแล้วตรัสถามว่า
มหาราช พระองค์ทรงดาริถึงอะไร?
พระโพธิสัตว์จึงตรัสบอกความนั้น.
ท้าวสักกะเมื่อจะทรงแสดงให้เห็นว่าพรหมจรรย์นั่นแหละประเสริฐที่สุด จึงตรัสว่า บุคคลเกิดใน
ตระกูลกษัตริย์ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ต่า บุคคลเกิดเป็นเทวดาก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ปานกลาง
บุคคลบริสุทธิ์ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์สูงสุด.
- 5. 5
การเป็นพรหมมิใช่เป็นได้ง่ายๆ เพียงวิงวอนขอให้เป็นผู้ที่จะเป็นพรหมได้นั้น ต้องไม่มีเหย้า
เรือน ต้องบาเพ็ญตบะ.
ความประพฤติเพียงเว้นจากเมถุนในลัทธิศาสนาเป็นอันมาก ชื่อว่าพรหมจรรย์ต่า. ด้วย
พรหมจรรย์ต่านั้นย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์. ความประพฤติเพียงใกล้เคียงฌาน ชื่อว่าพรหมจรรย์ปาน
กลาง. ด้วยพรหมจรรย์ปานกลางนั้น ย่อมเกิดเป็นเทวดา. แต่การยังสมาบัติ ๘ ให้เกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์
สูงสุด. ด้วยพรหมจรรย์สูงสุดนั้นย่อมบังเกิดในพรหมโลก.
ชนภายนอกกล่าวพรหมโลกนั้นว่านิพพาน.
แต่ในพระศาสนา เมื่อภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ปรารถนาหมู่เทพอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่าพรหมจรรย์
ต่าเพราะเจตนาในการประพฤติพรหมจรรย์ต่า. ด้วยพรหมจรรย์ต่านั้น ย่อมเกิดในเทวโลกตามที่ตน
ปรารถนา. การที่ผู้มีศีลบริสุทธิ์ยังสมาบัติ ๘ ให้เกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์ปานกลาง. ด้วยพรหมจรรย์ปานกลาง
นั้นย่อมเกิดในพรหมโลก. ส่วนผู้มีศีลบริสุทธิ์เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต ชื่อว่าพรหมจรรย์สูงสุด.
ย่อมบริสุทธิ์ด้วยพรหมจรรย์สูงสุดนั้น.
ด้วยประการฉะนี้ ท้าวสักกะจึงพรรณนาว่า มหาราช การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นั้นแหละมีผล
มากกว่าทานร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า.
ท้าวสักกะทรงแสดงถึงการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เท่านั้นว่ามีอานุภาพมากด้วยคาถานี้ .
ก็และท้าวสักกะครั้นตรัสอย่างนี้ แล้ว จึงให้โอวาทพระโพธิสัตว์ว่า มหาราช แม้พรหมจรรย์จะมี
ผลมากกว่าทานก็จริง ถึงดังนั้น พระมหาบุรุษก็ควรทาทั้งสองอย่างนั้นแล. จงเป็นผู้ไม่ประมาทในทานและ
พรหมจรรย์ทั้งสอง จงให้ทานและจงรักษาศีล แล้วเสด็จกลับเทวโลก.
ครั้งนั้น หมู่เทพทูลถามท้าวสักกะว่า ข้าแต่จอมเทพพระองค์เสด็จไปไหนมา? ท้าวสักกะตรัสว่า
เราไปตัดสินความสงสัยของพระเจ้าเนมิราช ในกรุงมิถิลา.
เมื่อจะทรงประกาศเนื้ อความนั้น จึงพรรณนาคุณสมบัติของพระโพธิสัตว์โดยพิสดาร. ทวยเทพ
ได้สดับดังนั้นจึงทูล ข้าแต่จอมเทพ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายประสงค์จะเห็นพระเจ้าเนมิราช. พวก
ข้าพระพุทธเจ้าขอโอกาส ขอพระองค์ตรัสเรียกพระเจ้าเนมิราชเถิด.
ท้าวสักกะตรัสรับว่าตกลง แล้วตรัสเรียกมาตลีเทพบุตรมารับสั่งว่า ท่านจงไปทูลเชิญเนมิราช
ประทับเวชยันตปราสาทแล้วนามา. มาตลีเทพบุตรรับเทวบัญชาแล้วนารถไปรับพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์
ทรงซักไซ้ไล่เลียง จึงทูลถึงฐานะของผู้มีบาปกรรมและผู้มีบุญกรรม นาไปสู่เทวโลกตามลาดับ.
แม้ทวยเทพทั้งหลายได้สดับว่า พระเจ้าเนมิราชเสด็จมาแล้วจึงถือของหอมและดอกไม้ทิพย์ไป
ต้อนรับตั้งแต่ซุ้มประตูจิตตกูฏ บูชาพระมหาสัตว์ด้วยของหอมทิพย์เป็นต้น แล้วนาไปสู่สุธรรมเทวสภา.
พระราชาเสด็จลงจากรถแล้วเสด็จเข้าไปยังเทวสภาประทับนั่งร่วมอาสนะกับท้าวสักกะ ท้าว
สักกะต้อนรับด้วยกามทิพย์ ทรงปฏิเสธว่า ข้าแต่จอมเทพ ขออย่าทรงต้อนรับด้วยกามอุปมาด้วยผู้ยืมของ
เหล่านี้ แก่ข้าพระองค์ แล้วทรงแสดงธรรมโดยอเนกปริยาย.
ทรงประทับอยู่ ๗ วัน โดยนัยจานวนวันของมนุษย์ แล้วทูลว่า ข้าพเจ้าจะกลับมนุษยโลก.
ข้าพเจ้าจักทาบุญมีทานเป็นต้น ณ มนุษยโลกนั้น.
- 6. 6
ท้าวสักกะมีเทวบัญชากะมาตลีเทพบุตรว่า ท่านจงนาพระเจ้าเนมิราชไปยังกรุงมิถิลาเถิด. มาตลี
เทพบุตรทูลเชิญพระโพธิสัตว์ให้ทรงขึ้นสู่เวชยันตรถ แล้วพาไปส่งถึงกรุงมิถิลาทางทิศปราจีน.
มหาชนเห็นทิพยรถจึงได้ทาการต้อนรับพระราชา.
มาตลีเทพบุตรทูลเชิญพระมหาสัตว์ให้ลงข้างสีหบัญชร แล้วทูลลากลับไปยังเทวโลก.
แม้มหาชนก็พากันมาล้อมพระราชาทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ เทวโลกเป็นอย่างไรบ้าง พระเจ้า
ข้า.
พระราชาทรงพรรณนาถึงสมบัติในเทวโลก แล้วทรงแสดงธรรมว่า แม้พวกท่านก็จงทาบุญมีทาน
เป็นต้น พวกท่านจักเกิดในเทวโลกนั้นด้วยประการฉะนี้ .
ครั้นต่อมา พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาหงอกตามนัยที่กล่าวแล้วในก่อน ทรงมอบ
ราชสมบัติแก่พระโอรสทรงละกาม ทรงผนวช เจริญพรหมวิหาร ๔ แล้วเสด็จไปสู่พรหมโลก.
ท้าวสักกะในครั้งนั้นได้เป็นพระอนุรุทธเถระในครั้งนี้ .
มาตลีเทพบุตรคือพระอานนท์.
พระราชา ๘๔,๐๐๐ คือพุทธบริษัท.
พระเจ้าเนมิราชคือพระโลกนาถ.
แม้ในเนมิราชจริยานี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงโพธิสมภารของพระเจ้าเนมิราชนั้น โดยนัยที่กล่าว
แล้วในหนหลังนั่นแล.
อนึ่ง พึงเจาะจงกล่าวถึงคุณานุภาพมีอาทิอย่างนี้ คือ
การละสมบัติในพรหมโลกแล้วบังเกิดในมนุษยโลก ด้วยพระมหากรุณาว่า เราจักติดตาม
กัลยาณวัตรที่พระองค์ปฏิบัติมาแล้วในก่อน. อัธยาศัยในทานอันกว้างขวาง. การปฏิบัติในทานเป็นต้นอัน
สมควรแก่อัธยาศัยนั้น. การให้มหาชนตั้งอยู่ในการปฏิบัตินั้น. ความที่ยศของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายแผ่
ไปแล้ว. ความน่าพิศวงในการเข้าไปหาของท้าวสักกเทวราช. แม้ท้าวสักกะทรงต้อนรับสมบัติทิพย์ก็ไม่พอ
พระทัยสมบัติทิพย์นั้น แล้วกลับไปยังที่อยู่ของมนุษย์อีกเพื่อเพิ่มพูนบุญสมภาร. ความไม่ติดอยู่ในสมบัติทั้ง
ปวงมีลาภสมบัติเป็นต้น.
จบอรรถกถาเนมิราชจริยาที่ ๖
-----------------------------------------------------