Submit Search
Upload
07 เนมิราชจริยา มจร.pdf
•
0 likes
•
14 views
maruay songtanin
Follow
ทศบารมี พระโพธิสัตว์
Read less
Read more
Spiritual
Report
Share
Report
Share
1 of 6
Download now
Download to read offline
Recommended
13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf
13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
ทศบารมี พระโพธิสัตว์
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
Padvee Academy
ดาวน์โหลดไฟล์นี้ได้ที่ www.philosophychicchic.com หัวข้อการนำเสนอ ๑) ชีวประวัติของพระสุมังคลาจารย์ ๒) ผลงานต่าง ๆ ของพระสุมังคลาจารย์ ๓) บทความเบื้องต้นเกี่ยวกับพระอภิธรรม ๔) พระอภิธรรม ๔ สมัย ๕) อธิบายความ ปริเฉทที่ ๕ สถานภาพแห่งภูมิกำเนิด ๖) ประเภทแห่งกรรมต่างๆ พระสุมังคลาจารย์ เป็นนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาฝ่ายบาลีในสายพระอภิธรรมท่านเป็นพระภิกษุที่เป็นนักปราชญ์พุทธชั้นพระฎีกาจารย์ เป็นศิษย์ของท่านพระสารีบุตรพระภิกษุที่เป็นนักปราชญ์พุทธชั้นพระฎีกาจารย์ผู้มีชื่อเสียงอยู่ในช่าวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โดยเฉพาะในรัชสมัยของพระเจ้าปรักกมพาหุที่ ๑ (ซึ่งปกครองประเทศลังกาอยู่ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๑๖๙๖-๑๗๙๒
ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
สุเมธี ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)
9-pathama-dhamma.pdf
9-pathama-dhamma.pdf
ThawatchaiArkonkaew
vvui
04 กุรุธรรมจริยา มจร.pdf
04 กุรุธรรมจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
ทศบารมี พระโพธิสัตว์
06 มหาโควินทจริยา มจร.pdf
06 มหาโควินทจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
ทศบารมี พระโพธิสัตว์
ธรรมบท ภาคที่ 4 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 4 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
สุเมธี ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
ธรรมบท ภาคที่ 4 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)
45 พรรษา
45 พรรษา
Tongsamut vorasan
Recommended
13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf
13 ภูริทัตตจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
ทศบารมี พระโพธิสัตว์
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
ชีวิตและผลงานของพระสุมังคลาจารย์
Padvee Academy
ดาวน์โหลดไฟล์นี้ได้ที่ www.philosophychicchic.com หัวข้อการนำเสนอ ๑) ชีวประวัติของพระสุมังคลาจารย์ ๒) ผลงานต่าง ๆ ของพระสุมังคลาจารย์ ๓) บทความเบื้องต้นเกี่ยวกับพระอภิธรรม ๔) พระอภิธรรม ๔ สมัย ๕) อธิบายความ ปริเฉทที่ ๕ สถานภาพแห่งภูมิกำเนิด ๖) ประเภทแห่งกรรมต่างๆ พระสุมังคลาจารย์ เป็นนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาฝ่ายบาลีในสายพระอภิธรรมท่านเป็นพระภิกษุที่เป็นนักปราชญ์พุทธชั้นพระฎีกาจารย์ เป็นศิษย์ของท่านพระสารีบุตรพระภิกษุที่เป็นนักปราชญ์พุทธชั้นพระฎีกาจารย์ผู้มีชื่อเสียงอยู่ในช่าวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โดยเฉพาะในรัชสมัยของพระเจ้าปรักกมพาหุที่ ๑ (ซึ่งปกครองประเทศลังกาอยู่ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๑๖๙๖-๑๗๙๒
ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
สุเมธี ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)
9-pathama-dhamma.pdf
9-pathama-dhamma.pdf
ThawatchaiArkonkaew
vvui
04 กุรุธรรมจริยา มจร.pdf
04 กุรุธรรมจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
ทศบารมี พระโพธิสัตว์
06 มหาโควินทจริยา มจร.pdf
06 มหาโควินทจริยา มจร.pdf
maruay songtanin
ทศบารมี พระโพธิสัตว์
ธรรมบท ภาคที่ 4 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 4 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
สุเมธี ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
ธรรมบท ภาคที่ 4 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)
45 พรรษา
45 พรรษา
Tongsamut vorasan
Tripoom
Tripoom
putchara
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
Panda Jing
1กับ2pdf
1กับ2pdf
Jirawat Chookued
33333
33333
ตา โอ
33333
33333
Jirawat Chookued
2222
2222
Jirawat Chookued
200789830 katin
200789830 katin
Tongsamut vorasan
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
สุเมธี ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)
Tri91 43++ขุททกนิกาย+คาถาธรรมบท+เล่ม+๑+ภาค+๒+ตอน+๔
Tri91 43++ขุททกนิกาย+คาถาธรรมบท+เล่ม+๑+ภาค+๒+ตอน+๔
Tongsamut vorasan
๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตพรานตนหนึ่ง ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงพาราณสีได้มีพรานคนหนึ่งอยู่ในบ้านชื่อว่าจุนทัฏฐิละ เลยวาสภคาม ฝั่งแม่น้ำคงคาในด้านอีกทิศหนึ่ง. เขาล่าเนื้อในป่าย่างเนื้อล่ำๆ กิน ที่เหลือเอาห่อใบไม้หามมาเรือน. พวกเด็กเล็กๆ เห็นเขาที่ประตูบ้านจึงวิ่งเหยียดมือร้องขอว่า จงให้เนื้อฉัน จงให้เนื้อฉัน. เขาได้ให้เนื้อแก่เด็กเหล่านั้นคนละน้อยๆ. ภายหลังวันหนึ่ง พวกเด็กเห็นเขาที่ประตูบ้าน ผู้ไม่ได้เนื้อ ประดับดอกราชพฤกษ์และหอบเอาไปบ้านเป็นจำนวนมาก จึงวิ่งเหยียดมือร้องขอว่า จงให้เนื้อฉัน จงให้เนื้อฉัน เขาได้ให้ดอกนมแมวแก่เด็กเหล่านั้นคนละดอก. ครั้นสมัยต่อมา เขาทำกาละแล้วบังเกิดในหมู่เปรต เป็นผู้เปลือยกายมีรูปน่าเกลียด เห็นเข้าน่าสะพึงกลัว ไม่รู้จักข้าวและน้ำแม้แต่ในความฝัน ทัดทรงกำดอกราชพฤกษ์และดอกโกสุมบนศีรษะ คิดว่าเราจักได้อะไรๆ ในสำนักของพวกญาติในจุนทัฏฐิลคาม เมื่อน้ำในแม่น้ำคงคาไหลไม่ขาดสาย จึงเดินทวนกระแสน้ำไป.
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
เรื่องนางอุพพรีเปรตนี้ มีดังนี้. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสิกาคนหนึ่ง. เล่ากันมาว่า ในกรุงสาวัตถี ได้มีสามีของอุบาสิกาคนหนึ่งตายไป. อุบาสิกานั้นก็อาดูรเพราะความทุกข์ในการพลัดพรากจากสามี เศร้าโศก เดินร้องไห้ไปยังป่าช้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติแห่งโสดาปัตติผลของนาง ทรงมีพระมนัสอันพระกรุณากระตุ้นเตือน จึงเสด็จไปยังเรือนของนาง ประทับนั่งบนบัญญัตอาสน์. อุบาสิกาเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า อุบาสิกา เธอเศร้าโศกไปทำไม. เมื่อนางทูลว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันเศร้าโศก เพราะพลัดพรากจากสามีสุดที่รัก ทรงมีพระประสงค์จะให้นางปราศจากความเศร้าโศก จึงได้นำอดีตนิทานมาว่า
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงพระปรารภกัณณมุณฑเปรต ดังนี้. ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ในกิมิลนคร ยังมีอุบาสกคนหนึ่งเป็นพระโสดาบัน มีฉันทะร่วมกันกับอุบาสก ๕๐๐ คนเป็นผู้ขวนขวายในบุญกรรมมีการปลูกดอกไม้ สร้างสะพานและสร้างที่จงกรมเป็นต้นอยู่ สร้างวิหารถวายพระสงฆ์ ได้ไปวิหารตามกาลเวลาพร้อมกับอุบาสกเหล่านั้น. ฝ่ายภริยาของอุบาสกเหล่านั้นเป็นอุบาสิกามีความพร้อมเพรียงกันและกัน ต่างถือดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นต้น ไปยังวิหารตามกาลเวลา ไปพักผ่อนในสภาอันเป็นที่รื่นรมย์เป็นต้น ในระหว่างทาง. ภายหลังวันหนึ่ง นักเลงหญิง ๒-๓ คนนั่งประชุมกันที่สภาแห่งหนึ่ง เมื่ออุบาสิกาเหล่านั้นพากันไปพักผ่อนในที่นั้น เห็นรูปสมบัติของอุบาสิกาเหล่านั้น มีจิตปฏิพัทธ์ รู้ว่า อุบาสิกาเหล่านั้นถึงพร้อมด้วยศีล อาจารและคุณธรรม จึงสนทนากันว่า ใครสามารถจะทำลายศีลของอุบาสิกาแม้คนหนึ่ง ในบรรดาอุบาสิกาเหล่านั้นได้. ในนักเลงเหล่านั้น นักเลงคนหนึ่งกล่าวว่า เราสามารถ. นักเลงเหล่านั้นได้ทำความเสนียดจัญไรว่า พวกเราจะทำกรรมอันเป็นเสนียดจัญไร ด้วยค่าจ้าง ๑,๐๐๐. เมื่อท่านทำได้ เราจะให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ แก่ท่าน เมื่อท่านทำไม่ได้ ท่านพึงให้ทรัพย์แก่เรา. เขาพยายามด้วยอุบายเป็นอเนก เมื่ออุบาสิกาเหล่านั้นมายังสภา จึงดีดพิณ ๗ สายมีเสียงเปล่งออกไพเราะเพราะพริ้ง ขับเพลงขับอันประกอบด้วยกามคุณ มีเสียงไพเราะทีเดียว ให้หญิงคนหนึ่งในบรรดาอุบาสิกาเหล่านั้นถึงศีลวิบัติด้วยเสียงเพลงขับ กระทำการล่วงเกิน ให้นักเลงเหล่านั้นพ่ายแพ้ไปด้วยทรัพย์ ๑,๐๐๐.
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
เรื่องสุตตเปรตนี้ มีดังนี้. อุปบัติเหตุของเรื่องนั้นเป็นอย่างไร. ได้ยินว่า ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง ไม่ไกลแต่กรุงสาวัตถี เมื่อพระศาสดายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นนั้นแลนับขึ้นไป ๗๐๐ ปียังมีเด็กคนหนึ่งอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง. เมื่อเธอเจริญวัยแล้ว มารดาของเธอจึงไปขอนางกุลธิดาคนหนึ่งมาจากตระกูลที่เสมอกัน เพื่อประโยชน์แก่บุตรนั้น. ก็ในวันวิวาหะนั้นเอง กุมารนั้นไปอาบน้ำกับพวกสหาย ถูกงูกัดตายไป. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ถูกยักษ์จับก็มี. เธอกระทำกุศลกรรมไว้เป็นอันมาก ด้วยการอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า บังเกิดเป็นวิมานเปรต เพราะค่าที่ตนมีจิตปฏิพัทธ์ในเด็กหญิงนั้น. แต่เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก. ลำดับนั้น เธอปรารถนาจะนำนางทาริกานั้นมายังวิมานของตน จึงคิดว่าด้วยอุบายอะไรหนอ นางจึงจะอภิรมย์ในที่นี้กับเรา ให้เป็นกรรมที่จะต้องอำนวยผลในปัจจุบัน จึงพิจารณาถึงเหตุที่ให้ได้เสวยโภคสมบัติอันเป็นทิพย์นั้น เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังทำจีวรกรรมอยู่ จึงแปลงรูปเป็นคนไปไหว้ แล้วกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านต้องการด้ายหรือ. พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า เราจะทำจีวรกรรมอุบาสก. เวมานิกเปรตนั้นจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านจงเที่ยวขอด้ายในที่ชื่อโน้นดังนี้แล้วได้ชี้เรือนของนางทาริกานั้น. พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ไปในที่นั้น ได้ยืนอยู่ที่ประตูเรือน. ลำดับนั้น นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ายืนอยู่ในที่นั้น มีจิตเลื่อมใส รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าของเรามีความต้องการด้าย จึงได้ให้ด้ายกลุ่มหนึ่ง. ลำดับนั้น อมนุษย์นั้นได้แปลงเพศเป็นมนุษย์ ไปยังเรือนของนางทาริกา อ้อนวอนมารดาของนางแล้ว อยู่กับนาง ๒-๓ วัน เพื่อจะอนุเคราะห์มารดาของนาง จึงทำภาชนะทุกอย่างในเรือนนั้น ให้เต็มด้วยเงินและทองแล้วเขียนชื่อไว้ข้างบนภาชนะทั้งหมดนั้น มีอันให้รู้ว่านี้เป็นทรัพย์ที่เทวดาให้ใครๆ ไม่ควรเอาไป ดังนี้ จึงได้พาเด็กหญิงนั้นไปยังวิมานตน.
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
เรื่องของนางเปรตผู้เป็นมารดาของนายอุตตระนี้ มีการขยายความดังต่อไปนี้ :- เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อปฐมมหาสังคีติเป็นไปแล้ว ท่านพระมหากัจจายนะพร้อมด้วยภิกษุ ๑๒ รูปอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลแต่กรุงโกสัมพี ก็สมัยนั้น อำมาตย์คนหนึ่งของพระเจ้าอุเทน ได้ทำกาละแล้ว. ก็ในกาลก่อน อำมาตย์นั้นได้เป็นผู้จัดตั้งการงานในพระนคร. ลำดับนั้น พระราชาจึงรับสั่งให้เรียกอุตตรมาณพผู้เป็นบุตรของอำมาตย์นั้นมา แล้วทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่บิดาดำรงอยู่ว่า เจ้าจงดูแลการงานที่บิดาเจ้าจัดตั้งไว้. อุตตรมาณพนั้นรับพระดำรัสแล้ว วันหนึ่งได้พานายช่างไปป่า เพื่อต้องการไม้สำหรับซ่อมแซมพระนคร จึงเข้าไปยังที่อยู่ของท่านพระมหากัจจายนะในที่นั้น เห็นพระเถระผู้ทรงบังสุกุลจีวร นั่งเงียบอยู่ในที่นั้น. จึงเลื่อมใสในอิริยาบถ ได้กระทำปฏิสันถารแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระเถระแสดงธรรมแก่เธอ. เธอสดับธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จึงตั้งอยู่ในสรณะแล้วนิมนต์พระเถระด้วยคำว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านพร้อมด้วยภิกษุทั้งหลายจงรับภัตตาหารเพื่อจะฉันในวันพรุ่งนี้ โดยความอนุเคราะห์กระผมเถิด.
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอังกุรเปรต จึงตรัสพระคาถานี้. ก็ในที่นี้ ไม่มีอังกุรเปรตก็จริง แต่เพราะความประพฤติของอังกุรเปรตนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยเปรต ฉะนั้น ความประพฤติของอังกุรเปรตนั้น ท่านจึงกล่าวว่าอังกุรเปตวัตถุ. ในข้อนั้นมีสังเขปกถาดังต่อไปนี้
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภจูฬเสษฐีเปรต ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงพาราณสี มีคฤหบดีผู้หนึ่งเป็นคนไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ไม่เอื้อเฟื้อต่อการบำเพ็ญบุญ ได้นามว่าจูฬเศรษฐี. เขาทำกาละแล้ว บังเกิดในหมู่เปรต. ร่างกายของเขาปราศจากเนื้อและเลือด มีเพียงกระดูก เส้นเอ็นและหนัง ศีรษะโล้น ปราศจากผ้า. แต่ธิดาของเขาชื่อว่าอนุลา อยู่ในเรือนของสามี ในอันธกวินทนคร มีความประสงค์จะให้พราหมณ์บริโภคอาหารอุทิศบิดา จึงจัดแจงเครื่องอุปกรณ์ทานมีข้าวสารเป็นต้น. เปรตรู้ดังนั้น ไปในที่นั้นโดยอากาศ โดยความหวัง ถึงกรุงราชคฤห์. ก็สมัยนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูถูกพระเจ้าเทวทัตต์ส่งไป ให้ปลงพระชนมชีพพระบิดา ไม่เข้าถึงความหลับ เพราะความเดือดร้อนและความฝันร้ายนั้น จึงขึ้นไปบนปราสาท จงกรมอยู่ เห็นเปรตนั้น เหาะไปอยู่จึงถามด้วยคาถานี้ว่า :- ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นบรรพชิตเปลือยกาย ซูบผอม เพราะเหตุแห่งกรรมอะไร ท่านจะไปไหนในราตรีเช่นนี้ ขอท่านจงบอกกาลที่ท่านจะไปแก่เราเถิด เราสามารถจะให้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแก่ท่าน ด้วยความอุตสาหะทุกอย่าง เปรตถูกพระราชาถามอย่างนี้แล้ว เมื่อจะบอกประวัติของตน จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตธนบาล จึงตรัสพระคาถานี้. ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ ในนครเอรกัจฉะปัณณรัฐยังมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่าธนปาลกะ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่ เป็นนัตถิกทิฏฐิบุคคล กิริยาของเขาปรากฏตามพระบาลีนั่นแหละ. เขาทำกาละแล้วบังเกิดเป็นเปรตในกันตารทะเลทราย เขามีร่างกายประมาณเท่าลำต้นตาล มีผิวหนังปูดขึ้นหยาบ มีผมยุ่งเหยิง น่าสะพึงกลัว มีรูปพรรณน่าเกลียด มีรูปขี้เหร่พิลึก เห็นเข้าน่าสะพึงกลัว เขาไม่ได้เมล็ดข้าวหรือหยาดน้ำตลอด ๕๕ ปี มีคอ ริมฝีปากและลิ้นแห้งผาก ถูกความหิวกระหายครอบงำ เที่ยวงุ่นง่านไปทางโน้นทางนี้. ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถีโดยลำดับ. พ่อค้าชาวกรุงสาวัตถีบรรทุกสินค้าเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียนไปยังอุตตราปถชนบท ขายสินค้า แล้วเอาเกวียนบรรทุกสินค้าที่ได้กลับมา ในเวลาเย็นถึงแม่น้ำแห้งสายหนึ่ง จึงปลดเกวียนไว้ในที่นั้น พักแรมอยู่ราตรีหนึ่ง. ลำดับนั้น เปรตนั้นถูกความกระหายครอบงำมาเพื่อต้องการน้ำดื่ม ไม่ได้น้ำดื่มแม้สักหยาดเดียวในที่นั้น หมดหวัง ขาอ่อนล้มลง เหมือนตาลรากขาดฉะนั้น.
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสกคนหนึ่งลูกตาย ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี ยังมีบุตรของอุบาสกคนหนึ่งทำกาละแล้ว. อุบาสกนั้นเพียบพร้อมไปด้วยลูกศรคือความเศร้าโศก เพราะการตายของลูกนั้น ไม่อาบน้ำ ไม่กินข้าว ไม่จัดแจงการงาน ไม่ไปยังที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า บ่นเพ้ออย่างเดียว พลางกล่าวว่า พ่อ เป็นลูกที่รัก เจ้าละทิ้งพ่อไปไหนเสียก่อน. ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของอุบาสกนั้น รุ่งขึ้นแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ทรงเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว จึงทรงส่งภิกษุทั้งหลายไป ส่วนพระองค์มีพระอานนทเถระเป็นปัจฉาสมณะ ได้เสด็จไปยังประตูเรือนของอุบาสกนั้น. คนทั้งหลายจึงได้แจ้งแก่อุบาสกว่า พระศาสดาเสด็จมาถึงแล้ว. ลำดับนั้น คนในเรือนของอุบาสกนั้นจึงพากันตบแต่งเสนาสนะที่ประตูเรือน แล้วนิมนต์พระศาสดาให้ประทับนั่ง ประคองอุบาสกพาเข้าไปเฝ้าพระศาสดา. พระศาสดาทรงเห็นเธอนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงตรัสถามว่า อุบาสก ท่านเสียใจอะไรหรือ? เมื่ออุบาสกกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า อุบาสก โบราณกบัณฑิตทั้งหลายฟังถ้อยคำของบัณฑิตทั้งหลายแล้ว ไม่เศร้าโศกถึงบุตรที่ตายไป ดังนี้แล้วอันอุบาสกนั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาว่า
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ดังนี้. ข้อที่จะพึงกล่าวในเรื่องมัฏฐกุณฑลีนั้น ท่านได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถามัฏฐกุณฑลีวิมานวัตถุ ในอรรถกถาวิมานวัตถุ ชื่อปรมัตถทีปนี เพราะฉะนั้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวไว้ในอรรถกถาวิมานวัตถุนั้นนั่นแหละ. ก็ในที่นี้ เรื่องของมัฏฐกุณฑลีนั้น ท่านยกขึ้นรวบรวมไว้ในบาลีวิมานวัตถุ เพราะมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นเทวดาในวิมานก็จริง ถึงกระนั้น เพราะเหตุที่เทพบุตรนั้น เพื่อจะกำจัดความเศร้าโศกของอทินนปุพพกะพราหมณ์ผู้ไปป่าช้า เดินเวียนรอบป่าช้าร้องไห้ เพราะความเศร้าโศกถึงบุตร จึงแปลงรูปเทวดาของตนเป็นคนมีร่างกายประพรมด้วยจันทน์เหลือง ประคองแขนทั้ง ๒ คร่ำครวญอยู่ แสดงตนโดยอาการที่ถูกทุกข์ครอบงำ เหมือนเปรต.
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเปรตชื่อว่านันทา ดังนี้. ได้ยินว่า ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง ไม่ไกลแต่กรุงสาวัตถีนัก ยังมีอุบาสกคนหนึ่ง ชื่อว่า นันทิเสน เป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส. ส่วนภริยาของเขาชื่อว่านันทา ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่ ดุร้าย กล่าววาจาหยาบ ไม่เคารพยำเกรงสามี ด่าบริภาษแม่ผัว ด้วยวาจาว่าเป็นโจร. สมัยต่อมา นางนันทานั้นทำกาละแล้ว ไปบังเกิดในกำเนิดเปรต แสดงตนในที่ไม่ไกลหมู่บ้านนั้นนั่นเอง. นันทิเสนอุบาสกเห็นนางนั้น จึงได้กล่าวคาถาว่า :- ท่านมีผิวพรรณดำ มีรูปร่างน่าเกลียด ตัวขรุขระดูน่ากลัว มีตาเหลือง มีเขี้ยวงอกออกเหมือนหมู เราไม่เข้าใจว่า ท่านจะเป็นมนุษย์.
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเปรตชื่อว่ามัตตา ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี ได้มีกฎุมพีผู้หนึ่งเป็นคนมีศรัทธา มีความเลื่อมใส. แต่ภริยาของเขาไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส มักโกรธและเป็นหมัน โดยชื่อมีชื่อว่ามัตตา. ลำดับนั้น กฎุมพีนั้นเพราะกลัววงศ์สกุลจะขาดศูนย์ จึงได้นำหญิงอื่นชื่อว่าติสสา มาจากสกุลเสมอกัน. นางเป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส ทั้งเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของสามี. ไม่นานนัก นางก็ตั้งครรภ์ โดยล่วงไป ๑๐ เดือน นางจึงคลอดบุตรคนหนึ่ง บุตรคนนั้นมีชื่อว่าภูตะ. นางเป็นแม่บ้าน อุปัฏฐากภิกษุ ๔ รูปโดยเคารพ, ส่วนหญิงหมันริษยานาง. วันหนึ่ง หญิงทั้งสองคนนั้นสระผม ได้ยืนผมเปียกอยู่แล้ว. กฎุมพีมีความเสน่หาผูกพันในนางชื่อว่าติสสา ด้วยอำนาจคุณความดี มีใจฟูขึ้น ได้ยืนเจรจามากมาย กับนางติสสานั้น. นางมัตตาอดทนต่อเหตุการณ์นั้นไม่ได้ ถูกความริษยาครอบงำ จึงเอาหยากเยื่อที่กวาดสุมไว้ในเรือนมาโปรยลงบนกระหม่อมของนางติสสา.
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเปรตผู้มารดาของท่านพระสารีบุตรเถระ โดยชาติที่ ๕ แต่ปัจจุบันชาตินี้ ดังนี้. วันหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระอนุรุทธะและท่านพระกัปปินะ ได้อยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลแต่กรุงราชคฤห์. ก็สมัยนั้นแล ในกรุงพาราณสีมีพราหมณ์คนหนึ่งเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก เป็นดุจบ่อที่ดื่มกินของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพกและยาจก ได้ให้สิ่งของมีข้าว น้ำ ผ้าและที่นอนเป็นต้น และเมื่อจะให้ ย่อมปฏิบัติตามความพอใจทุกอย่าง ตามลำดับของการให้มีน้ำล้างเท้าและผ้าเช็ดเท้าเป็นต้น ตามเวลาและตามความเหมาะสมแก่คนผู้มาถึงแล้วๆ. ในเวลาก่อนอาหารได้อังคาสภิกษุทั้งหลายด้วยข้าวและน้ำเป็นต้นโดยเคารพ. เธอเมื่อจะไปถิ่นอื่นจึงกล่าวกะภรรยาว่า นางผู้เจริญ เธออย่าได้ทำทานวิธีนี้ตามที่บัญญัติให้เสื่อมเสีย จงหมั่นดำรงไว้โดยเคารพ. ภรรยารับคำแล้ว พอสามีหลีกไปเท่านั้น ก็ตัดขาดวิธีที่บัญญัติไว้เพื่อภิกษุทั้งหลาย เป็นอันดับแรก แต่เมื่อคนเดินทางเข้าไปเพื่ออยู่อาศัย ก็แสดงศาลาที่เก่าที่ทอดทิ้งไว้หลังเรือนด้วยคำว่า พวกท่านจงอยู่ที่ศาลานี้. เมื่อคนเดินทางมาในที่นั้นเพื่อต้องการข้าวและน้ำเป็นต้น จึงกล่าวว่า จงกินคูถ ดื่มมูตร ดื่มโลหิต กินมันสมองของมารดาท่าน แล้วจึงระบุชื่อของสิ่งที่ไม่สะอาด น่าเกลียด แล้วถ่มน้ำลาย. สมัยต่อมา นางทำกาละแล้ว อันอานุภาพกรรมซัดไป บังเกิดในกำเนิดเปรต เสวยทุกข์อันเหมาะสมแก่วจีทุจริตของตน หวนระลึกถึงความสัมพันธ์กันในชาติก่อน มีความประสงค์จะมายังสำนักของท่านพระสารีบุตร จึงถึงประตูวิหาร.
More Related Content
Similar to 07 เนมิราชจริยา มจร.pdf
Tripoom
Tripoom
putchara
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
Panda Jing
1กับ2pdf
1กับ2pdf
Jirawat Chookued
33333
33333
ตา โอ
33333
33333
Jirawat Chookued
2222
2222
Jirawat Chookued
200789830 katin
200789830 katin
Tongsamut vorasan
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
สุเมธี ตี่พนมโอรัล / សុមេធី ទីភ្នំឱរ៉ាល់ (Sumedhi TyPhnomAoral)
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)
Tri91 43++ขุททกนิกาย+คาถาธรรมบท+เล่ม+๑+ภาค+๒+ตอน+๔
Tri91 43++ขุททกนิกาย+คาถาธรรมบท+เล่ม+๑+ภาค+๒+ตอน+๔
Tongsamut vorasan
Similar to 07 เนมิราชจริยา มจร.pdf
(9)
Tripoom
Tripoom
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
หยั่งลงก้นมหาสมุทร
1กับ2pdf
1กับ2pdf
33333
33333
33333
33333
2222
2222
200789830 katin
200789830 katin
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
ธรรมบท ภาคที่ 1 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี).pdf
Tri91 43++ขุททกนิกาย+คาถาธรรมบท+เล่ม+๑+ภาค+๒+ตอน+๔
Tri91 43++ขุททกนิกาย+คาถาธรรมบท+เล่ม+๑+ภาค+๒+ตอน+๔
More from maruay songtanin
๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตพรานตนหนึ่ง ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงพาราณสีได้มีพรานคนหนึ่งอยู่ในบ้านชื่อว่าจุนทัฏฐิละ เลยวาสภคาม ฝั่งแม่น้ำคงคาในด้านอีกทิศหนึ่ง. เขาล่าเนื้อในป่าย่างเนื้อล่ำๆ กิน ที่เหลือเอาห่อใบไม้หามมาเรือน. พวกเด็กเล็กๆ เห็นเขาที่ประตูบ้านจึงวิ่งเหยียดมือร้องขอว่า จงให้เนื้อฉัน จงให้เนื้อฉัน. เขาได้ให้เนื้อแก่เด็กเหล่านั้นคนละน้อยๆ. ภายหลังวันหนึ่ง พวกเด็กเห็นเขาที่ประตูบ้าน ผู้ไม่ได้เนื้อ ประดับดอกราชพฤกษ์และหอบเอาไปบ้านเป็นจำนวนมาก จึงวิ่งเหยียดมือร้องขอว่า จงให้เนื้อฉัน จงให้เนื้อฉัน เขาได้ให้ดอกนมแมวแก่เด็กเหล่านั้นคนละดอก. ครั้นสมัยต่อมา เขาทำกาละแล้วบังเกิดในหมู่เปรต เป็นผู้เปลือยกายมีรูปน่าเกลียด เห็นเข้าน่าสะพึงกลัว ไม่รู้จักข้าวและน้ำแม้แต่ในความฝัน ทัดทรงกำดอกราชพฤกษ์และดอกโกสุมบนศีรษะ คิดว่าเราจักได้อะไรๆ ในสำนักของพวกญาติในจุนทัฏฐิลคาม เมื่อน้ำในแม่น้ำคงคาไหลไม่ขาดสาย จึงเดินทวนกระแสน้ำไป.
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
เรื่องนางอุพพรีเปรตนี้ มีดังนี้. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสิกาคนหนึ่ง. เล่ากันมาว่า ในกรุงสาวัตถี ได้มีสามีของอุบาสิกาคนหนึ่งตายไป. อุบาสิกานั้นก็อาดูรเพราะความทุกข์ในการพลัดพรากจากสามี เศร้าโศก เดินร้องไห้ไปยังป่าช้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติแห่งโสดาปัตติผลของนาง ทรงมีพระมนัสอันพระกรุณากระตุ้นเตือน จึงเสด็จไปยังเรือนของนาง ประทับนั่งบนบัญญัตอาสน์. อุบาสิกาเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า อุบาสิกา เธอเศร้าโศกไปทำไม. เมื่อนางทูลว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันเศร้าโศก เพราะพลัดพรากจากสามีสุดที่รัก ทรงมีพระประสงค์จะให้นางปราศจากความเศร้าโศก จึงได้นำอดีตนิทานมาว่า
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงพระปรารภกัณณมุณฑเปรต ดังนี้. ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ในกิมิลนคร ยังมีอุบาสกคนหนึ่งเป็นพระโสดาบัน มีฉันทะร่วมกันกับอุบาสก ๕๐๐ คนเป็นผู้ขวนขวายในบุญกรรมมีการปลูกดอกไม้ สร้างสะพานและสร้างที่จงกรมเป็นต้นอยู่ สร้างวิหารถวายพระสงฆ์ ได้ไปวิหารตามกาลเวลาพร้อมกับอุบาสกเหล่านั้น. ฝ่ายภริยาของอุบาสกเหล่านั้นเป็นอุบาสิกามีความพร้อมเพรียงกันและกัน ต่างถือดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นต้น ไปยังวิหารตามกาลเวลา ไปพักผ่อนในสภาอันเป็นที่รื่นรมย์เป็นต้น ในระหว่างทาง. ภายหลังวันหนึ่ง นักเลงหญิง ๒-๓ คนนั่งประชุมกันที่สภาแห่งหนึ่ง เมื่ออุบาสิกาเหล่านั้นพากันไปพักผ่อนในที่นั้น เห็นรูปสมบัติของอุบาสิกาเหล่านั้น มีจิตปฏิพัทธ์ รู้ว่า อุบาสิกาเหล่านั้นถึงพร้อมด้วยศีล อาจารและคุณธรรม จึงสนทนากันว่า ใครสามารถจะทำลายศีลของอุบาสิกาแม้คนหนึ่ง ในบรรดาอุบาสิกาเหล่านั้นได้. ในนักเลงเหล่านั้น นักเลงคนหนึ่งกล่าวว่า เราสามารถ. นักเลงเหล่านั้นได้ทำความเสนียดจัญไรว่า พวกเราจะทำกรรมอันเป็นเสนียดจัญไร ด้วยค่าจ้าง ๑,๐๐๐. เมื่อท่านทำได้ เราจะให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ แก่ท่าน เมื่อท่านทำไม่ได้ ท่านพึงให้ทรัพย์แก่เรา. เขาพยายามด้วยอุบายเป็นอเนก เมื่ออุบาสิกาเหล่านั้นมายังสภา จึงดีดพิณ ๗ สายมีเสียงเปล่งออกไพเราะเพราะพริ้ง ขับเพลงขับอันประกอบด้วยกามคุณ มีเสียงไพเราะทีเดียว ให้หญิงคนหนึ่งในบรรดาอุบาสิกาเหล่านั้นถึงศีลวิบัติด้วยเสียงเพลงขับ กระทำการล่วงเกิน ให้นักเลงเหล่านั้นพ่ายแพ้ไปด้วยทรัพย์ ๑,๐๐๐.
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
เรื่องสุตตเปรตนี้ มีดังนี้. อุปบัติเหตุของเรื่องนั้นเป็นอย่างไร. ได้ยินว่า ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง ไม่ไกลแต่กรุงสาวัตถี เมื่อพระศาสดายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นนั้นแลนับขึ้นไป ๗๐๐ ปียังมีเด็กคนหนึ่งอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง. เมื่อเธอเจริญวัยแล้ว มารดาของเธอจึงไปขอนางกุลธิดาคนหนึ่งมาจากตระกูลที่เสมอกัน เพื่อประโยชน์แก่บุตรนั้น. ก็ในวันวิวาหะนั้นเอง กุมารนั้นไปอาบน้ำกับพวกสหาย ถูกงูกัดตายไป. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ถูกยักษ์จับก็มี. เธอกระทำกุศลกรรมไว้เป็นอันมาก ด้วยการอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า บังเกิดเป็นวิมานเปรต เพราะค่าที่ตนมีจิตปฏิพัทธ์ในเด็กหญิงนั้น. แต่เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก. ลำดับนั้น เธอปรารถนาจะนำนางทาริกานั้นมายังวิมานของตน จึงคิดว่าด้วยอุบายอะไรหนอ นางจึงจะอภิรมย์ในที่นี้กับเรา ให้เป็นกรรมที่จะต้องอำนวยผลในปัจจุบัน จึงพิจารณาถึงเหตุที่ให้ได้เสวยโภคสมบัติอันเป็นทิพย์นั้น เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังทำจีวรกรรมอยู่ จึงแปลงรูปเป็นคนไปไหว้ แล้วกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านต้องการด้ายหรือ. พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า เราจะทำจีวรกรรมอุบาสก. เวมานิกเปรตนั้นจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านจงเที่ยวขอด้ายในที่ชื่อโน้นดังนี้แล้วได้ชี้เรือนของนางทาริกานั้น. พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ไปในที่นั้น ได้ยืนอยู่ที่ประตูเรือน. ลำดับนั้น นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ายืนอยู่ในที่นั้น มีจิตเลื่อมใส รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าของเรามีความต้องการด้าย จึงได้ให้ด้ายกลุ่มหนึ่ง. ลำดับนั้น อมนุษย์นั้นได้แปลงเพศเป็นมนุษย์ ไปยังเรือนของนางทาริกา อ้อนวอนมารดาของนางแล้ว อยู่กับนาง ๒-๓ วัน เพื่อจะอนุเคราะห์มารดาของนาง จึงทำภาชนะทุกอย่างในเรือนนั้น ให้เต็มด้วยเงินและทองแล้วเขียนชื่อไว้ข้างบนภาชนะทั้งหมดนั้น มีอันให้รู้ว่านี้เป็นทรัพย์ที่เทวดาให้ใครๆ ไม่ควรเอาไป ดังนี้ จึงได้พาเด็กหญิงนั้นไปยังวิมานตน.
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
เรื่องของนางเปรตผู้เป็นมารดาของนายอุตตระนี้ มีการขยายความดังต่อไปนี้ :- เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อปฐมมหาสังคีติเป็นไปแล้ว ท่านพระมหากัจจายนะพร้อมด้วยภิกษุ ๑๒ รูปอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลแต่กรุงโกสัมพี ก็สมัยนั้น อำมาตย์คนหนึ่งของพระเจ้าอุเทน ได้ทำกาละแล้ว. ก็ในกาลก่อน อำมาตย์นั้นได้เป็นผู้จัดตั้งการงานในพระนคร. ลำดับนั้น พระราชาจึงรับสั่งให้เรียกอุตตรมาณพผู้เป็นบุตรของอำมาตย์นั้นมา แล้วทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่บิดาดำรงอยู่ว่า เจ้าจงดูแลการงานที่บิดาเจ้าจัดตั้งไว้. อุตตรมาณพนั้นรับพระดำรัสแล้ว วันหนึ่งได้พานายช่างไปป่า เพื่อต้องการไม้สำหรับซ่อมแซมพระนคร จึงเข้าไปยังที่อยู่ของท่านพระมหากัจจายนะในที่นั้น เห็นพระเถระผู้ทรงบังสุกุลจีวร นั่งเงียบอยู่ในที่นั้น. จึงเลื่อมใสในอิริยาบถ ได้กระทำปฏิสันถารแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระเถระแสดงธรรมแก่เธอ. เธอสดับธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จึงตั้งอยู่ในสรณะแล้วนิมนต์พระเถระด้วยคำว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านพร้อมด้วยภิกษุทั้งหลายจงรับภัตตาหารเพื่อจะฉันในวันพรุ่งนี้ โดยความอนุเคราะห์กระผมเถิด.
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอังกุรเปรต จึงตรัสพระคาถานี้. ก็ในที่นี้ ไม่มีอังกุรเปรตก็จริง แต่เพราะความประพฤติของอังกุรเปรตนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยเปรต ฉะนั้น ความประพฤติของอังกุรเปรตนั้น ท่านจึงกล่าวว่าอังกุรเปตวัตถุ. ในข้อนั้นมีสังเขปกถาดังต่อไปนี้
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภจูฬเสษฐีเปรต ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงพาราณสี มีคฤหบดีผู้หนึ่งเป็นคนไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ไม่เอื้อเฟื้อต่อการบำเพ็ญบุญ ได้นามว่าจูฬเศรษฐี. เขาทำกาละแล้ว บังเกิดในหมู่เปรต. ร่างกายของเขาปราศจากเนื้อและเลือด มีเพียงกระดูก เส้นเอ็นและหนัง ศีรษะโล้น ปราศจากผ้า. แต่ธิดาของเขาชื่อว่าอนุลา อยู่ในเรือนของสามี ในอันธกวินทนคร มีความประสงค์จะให้พราหมณ์บริโภคอาหารอุทิศบิดา จึงจัดแจงเครื่องอุปกรณ์ทานมีข้าวสารเป็นต้น. เปรตรู้ดังนั้น ไปในที่นั้นโดยอากาศ โดยความหวัง ถึงกรุงราชคฤห์. ก็สมัยนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูถูกพระเจ้าเทวทัตต์ส่งไป ให้ปลงพระชนมชีพพระบิดา ไม่เข้าถึงความหลับ เพราะความเดือดร้อนและความฝันร้ายนั้น จึงขึ้นไปบนปราสาท จงกรมอยู่ เห็นเปรตนั้น เหาะไปอยู่จึงถามด้วยคาถานี้ว่า :- ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นบรรพชิตเปลือยกาย ซูบผอม เพราะเหตุแห่งกรรมอะไร ท่านจะไปไหนในราตรีเช่นนี้ ขอท่านจงบอกกาลที่ท่านจะไปแก่เราเถิด เราสามารถจะให้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแก่ท่าน ด้วยความอุตสาหะทุกอย่าง เปรตถูกพระราชาถามอย่างนี้แล้ว เมื่อจะบอกประวัติของตน จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตธนบาล จึงตรัสพระคาถานี้. ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ ในนครเอรกัจฉะปัณณรัฐยังมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่าธนปาลกะ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่ เป็นนัตถิกทิฏฐิบุคคล กิริยาของเขาปรากฏตามพระบาลีนั่นแหละ. เขาทำกาละแล้วบังเกิดเป็นเปรตในกันตารทะเลทราย เขามีร่างกายประมาณเท่าลำต้นตาล มีผิวหนังปูดขึ้นหยาบ มีผมยุ่งเหยิง น่าสะพึงกลัว มีรูปพรรณน่าเกลียด มีรูปขี้เหร่พิลึก เห็นเข้าน่าสะพึงกลัว เขาไม่ได้เมล็ดข้าวหรือหยาดน้ำตลอด ๕๕ ปี มีคอ ริมฝีปากและลิ้นแห้งผาก ถูกความหิวกระหายครอบงำ เที่ยวงุ่นง่านไปทางโน้นทางนี้. ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถีโดยลำดับ. พ่อค้าชาวกรุงสาวัตถีบรรทุกสินค้าเต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียนไปยังอุตตราปถชนบท ขายสินค้า แล้วเอาเกวียนบรรทุกสินค้าที่ได้กลับมา ในเวลาเย็นถึงแม่น้ำแห้งสายหนึ่ง จึงปลดเกวียนไว้ในที่นั้น พักแรมอยู่ราตรีหนึ่ง. ลำดับนั้น เปรตนั้นถูกความกระหายครอบงำมาเพื่อต้องการน้ำดื่ม ไม่ได้น้ำดื่มแม้สักหยาดเดียวในที่นั้น หมดหวัง ขาอ่อนล้มลง เหมือนตาลรากขาดฉะนั้น.
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสกคนหนึ่งลูกตาย ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี ยังมีบุตรของอุบาสกคนหนึ่งทำกาละแล้ว. อุบาสกนั้นเพียบพร้อมไปด้วยลูกศรคือความเศร้าโศก เพราะการตายของลูกนั้น ไม่อาบน้ำ ไม่กินข้าว ไม่จัดแจงการงาน ไม่ไปยังที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า บ่นเพ้ออย่างเดียว พลางกล่าวว่า พ่อ เป็นลูกที่รัก เจ้าละทิ้งพ่อไปไหนเสียก่อน. ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของอุบาสกนั้น รุ่งขึ้นแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ทรงเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว จึงทรงส่งภิกษุทั้งหลายไป ส่วนพระองค์มีพระอานนทเถระเป็นปัจฉาสมณะ ได้เสด็จไปยังประตูเรือนของอุบาสกนั้น. คนทั้งหลายจึงได้แจ้งแก่อุบาสกว่า พระศาสดาเสด็จมาถึงแล้ว. ลำดับนั้น คนในเรือนของอุบาสกนั้นจึงพากันตบแต่งเสนาสนะที่ประตูเรือน แล้วนิมนต์พระศาสดาให้ประทับนั่ง ประคองอุบาสกพาเข้าไปเฝ้าพระศาสดา. พระศาสดาทรงเห็นเธอนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงตรัสถามว่า อุบาสก ท่านเสียใจอะไรหรือ? เมื่ออุบาสกกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า อุบาสก โบราณกบัณฑิตทั้งหลายฟังถ้อยคำของบัณฑิตทั้งหลายแล้ว ไม่เศร้าโศกถึงบุตรที่ตายไป ดังนี้แล้วอันอุบาสกนั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาว่า
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ดังนี้. ข้อที่จะพึงกล่าวในเรื่องมัฏฐกุณฑลีนั้น ท่านได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถามัฏฐกุณฑลีวิมานวัตถุ ในอรรถกถาวิมานวัตถุ ชื่อปรมัตถทีปนี เพราะฉะนั้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวไว้ในอรรถกถาวิมานวัตถุนั้นนั่นแหละ. ก็ในที่นี้ เรื่องของมัฏฐกุณฑลีนั้น ท่านยกขึ้นรวบรวมไว้ในบาลีวิมานวัตถุ เพราะมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นเทวดาในวิมานก็จริง ถึงกระนั้น เพราะเหตุที่เทพบุตรนั้น เพื่อจะกำจัดความเศร้าโศกของอทินนปุพพกะพราหมณ์ผู้ไปป่าช้า เดินเวียนรอบป่าช้าร้องไห้ เพราะความเศร้าโศกถึงบุตร จึงแปลงรูปเทวดาของตนเป็นคนมีร่างกายประพรมด้วยจันทน์เหลือง ประคองแขนทั้ง ๒ คร่ำครวญอยู่ แสดงตนโดยอาการที่ถูกทุกข์ครอบงำ เหมือนเปรต.
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเปรตชื่อว่านันทา ดังนี้. ได้ยินว่า ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง ไม่ไกลแต่กรุงสาวัตถีนัก ยังมีอุบาสกคนหนึ่ง ชื่อว่า นันทิเสน เป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส. ส่วนภริยาของเขาชื่อว่านันทา ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นคนตระหนี่ ดุร้าย กล่าววาจาหยาบ ไม่เคารพยำเกรงสามี ด่าบริภาษแม่ผัว ด้วยวาจาว่าเป็นโจร. สมัยต่อมา นางนันทานั้นทำกาละแล้ว ไปบังเกิดในกำเนิดเปรต แสดงตนในที่ไม่ไกลหมู่บ้านนั้นนั่นเอง. นันทิเสนอุบาสกเห็นนางนั้น จึงได้กล่าวคาถาว่า :- ท่านมีผิวพรรณดำ มีรูปร่างน่าเกลียด ตัวขรุขระดูน่ากลัว มีตาเหลือง มีเขี้ยวงอกออกเหมือนหมู เราไม่เข้าใจว่า ท่านจะเป็นมนุษย์.
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเปรตชื่อว่ามัตตา ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี ได้มีกฎุมพีผู้หนึ่งเป็นคนมีศรัทธา มีความเลื่อมใส. แต่ภริยาของเขาไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส มักโกรธและเป็นหมัน โดยชื่อมีชื่อว่ามัตตา. ลำดับนั้น กฎุมพีนั้นเพราะกลัววงศ์สกุลจะขาดศูนย์ จึงได้นำหญิงอื่นชื่อว่าติสสา มาจากสกุลเสมอกัน. นางเป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส ทั้งเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของสามี. ไม่นานนัก นางก็ตั้งครรภ์ โดยล่วงไป ๑๐ เดือน นางจึงคลอดบุตรคนหนึ่ง บุตรคนนั้นมีชื่อว่าภูตะ. นางเป็นแม่บ้าน อุปัฏฐากภิกษุ ๔ รูปโดยเคารพ, ส่วนหญิงหมันริษยานาง. วันหนึ่ง หญิงทั้งสองคนนั้นสระผม ได้ยืนผมเปียกอยู่แล้ว. กฎุมพีมีความเสน่หาผูกพันในนางชื่อว่าติสสา ด้วยอำนาจคุณความดี มีใจฟูขึ้น ได้ยืนเจรจามากมาย กับนางติสสานั้น. นางมัตตาอดทนต่อเหตุการณ์นั้นไม่ได้ ถูกความริษยาครอบงำ จึงเอาหยากเยื่อที่กวาดสุมไว้ในเรือนมาโปรยลงบนกระหม่อมของนางติสสา.
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเปรตผู้มารดาของท่านพระสารีบุตรเถระ โดยชาติที่ ๕ แต่ปัจจุบันชาตินี้ ดังนี้. วันหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระอนุรุทธะและท่านพระกัปปินะ ได้อยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลแต่กรุงราชคฤห์. ก็สมัยนั้นแล ในกรุงพาราณสีมีพราหมณ์คนหนึ่งเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก เป็นดุจบ่อที่ดื่มกินของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพกและยาจก ได้ให้สิ่งของมีข้าว น้ำ ผ้าและที่นอนเป็นต้น และเมื่อจะให้ ย่อมปฏิบัติตามความพอใจทุกอย่าง ตามลำดับของการให้มีน้ำล้างเท้าและผ้าเช็ดเท้าเป็นต้น ตามเวลาและตามความเหมาะสมแก่คนผู้มาถึงแล้วๆ. ในเวลาก่อนอาหารได้อังคาสภิกษุทั้งหลายด้วยข้าวและน้ำเป็นต้นโดยเคารพ. เธอเมื่อจะไปถิ่นอื่นจึงกล่าวกะภรรยาว่า นางผู้เจริญ เธออย่าได้ทำทานวิธีนี้ตามที่บัญญัติให้เสื่อมเสีย จงหมั่นดำรงไว้โดยเคารพ. ภรรยารับคำแล้ว พอสามีหลีกไปเท่านั้น ก็ตัดขาดวิธีที่บัญญัติไว้เพื่อภิกษุทั้งหลาย เป็นอันดับแรก แต่เมื่อคนเดินทางเข้าไปเพื่ออยู่อาศัย ก็แสดงศาลาที่เก่าที่ทอดทิ้งไว้หลังเรือนด้วยคำว่า พวกท่านจงอยู่ที่ศาลานี้. เมื่อคนเดินทางมาในที่นั้นเพื่อต้องการข้าวและน้ำเป็นต้น จึงกล่าวว่า จงกินคูถ ดื่มมูตร ดื่มโลหิต กินมันสมองของมารดาท่าน แล้วจึงระบุชื่อของสิ่งที่ไม่สะอาด น่าเกลียด แล้วถ่มน้ำลาย. สมัยต่อมา นางทำกาละแล้ว อันอานุภาพกรรมซัดไป บังเกิดในกำเนิดเปรต เสวยทุกข์อันเหมาะสมแก่วจีทุจริตของตน หวนระลึกถึงความสัมพันธ์กันในชาติก่อน มีความประสงค์จะมายังสำนักของท่านพระสารีบุตร จึงถึงประตูวิหาร.
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
maruay songtanin
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภนางเปรตตนหนึ่ง ในบ้านชื่อว่าอิฏฐกวดี แคว้นมคธ ดังนี้. ได้ยินว่า ในแคว้นมคธได้มีหมู่บ้าน ๒ หมู่ คือหมู่บ้านอิฏฐกวดีและหมู่บ้านทีฆราชิ. ใน ๒ หมู่บ้านนั้นมีพวกคนมิจฉาทิฏฐิ พวกสังสารโมจกะเป็นอันมากอยู่ประจำ. ก็ในอดีตกาล ในที่สุด ๕๐๐ ปี มีหญิงคนหนึ่งบังเกิดในตระกูลสังสารโมจกะตระกูลหนึ่ง ในบ้านอิฏฐกวดีนั้นแหละ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ ฆ่าแมลงชนิดตั๊กแตนเป็นจำนวนมาก แล้วบังเกิดเป็นเปรต.
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
maruay songtanin
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสกคนหนึ่ง ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี บุตรของอุบาสกคนหนึ่งได้ถึงแก่กรรมลง. เพราะเหตุที่บุตรตายลง อุบาสกนั้นจึงถึงความเศร้าโศกร่ำไร ออกไปข้างนอก ไม่อาจจะทำการงานอะไรๆ ได้ จึงอยู่แต่ในเรือนเท่านั้น. ครั้นในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นอุบาสกนั้น. ในเวลาเช้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร ได้เสด็จไปยังเรือนของอุบาสกนั้นแล้ว ประทับยืนอยู่ที่ประตู. ฝ่ายอุบาสกทราบว่าพระศาสดาเสด็จมา จึงรีบลุกขึ้นไปต้อนรับแล้ว รับบาตรจากพระหัตถ์ แล้วให้เสด็จเข้าบ้าน ให้คนปูลาดอาสนะถวาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้ว. ฝ่ายอุบาสกไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะอุบาสกนั้นว่า ดูก่อนอุบาสก ทำไมจึงปรากฏดูเหมือนเศร้าโศกไป. อุบาสกกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บุตรที่รักของข้าพระองค์ตายไป เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงเศร้าโศก.
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระวิหารชื่อว่าเชตวัน ทรงพระปรารภพราหมณ์เปรต ๒ ตน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้. ได้ยินว่า ท่านสังกิจจะผู้มีอายุได้ ๗ ขวบ บรรลุพระอรหัตในขณะจรดมีดโกนที่ปลายผมนั่นแล ดำรงอยู่ในภูมิสามเณร อยู่ในราวป่าพร้อมกับภิกษุประมาณ ๓๐ รูป ห้ามความตายที่มาถึงแก่ภิกษุเหล่านั้นจากมือของพวกโจร ๕๐๐ คนและฝึกโจรเหล่านั้นแล้ว ให้บรรพชา ได้พาไปยังสำนักของพระศาสดา. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น. ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ภิกษุเหล่านั้นก็ได้บรรลุพระอรหัต. ลำดับนั้น ท่านสังกิจจะมีพรรษาครบ ได้อุปสมบทแล้ว พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้น พากันไปยังกรุงพาราณสี อยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน. พวกมนุษย์พากันไปหาพระเถระ ได้ฟังธรรมแล้วมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายอาคันตุกทาน เป็นพวกๆ ตามลำดับถนน. ในบรรดามนุษย์เหล่านั้น มีอุบาสกคนหนึ่งได้ชักชวนพวกมนุษย์ในนิตยภัตร. มนุษย์เหล่านั้นได้เริ่มตั้งนิตยภัตตามกำลัง. ก็สมัยนั้น ในกรุงพาราณสี มีพราหมณ์มิจฉาทิฏฐิคนหนึ่งได้มีบุตรชาย ๒ คน บุตรหญิง ๑ คน. ในบุตรเหล่านี้ บุตรคนโตได้มีอุบาสกเป็นมิตร. อุบาสกนั้นพาบุตรคนโต (ของพราหมณ์) นั้นไปหาท่านสังกิจจะ. ท่านสังกิจจะแสดงธรรมแก่เธอ. เธอได้เป็นผู้มีจิตอ่อน. ลำดับนั้น อุบาสกนั้นกล่าวกะเธอว่า เธอจงให้นิตยภัตรแก่ภิกษุรูปหนึ่ง. บุตรพราหมณ์กล่าวว่า พวกเราผู้เป็นพราหมณ์ไม่เคยประพฤตินิตยภัตรทานแก่พระสมณผู้ศากยบุตรเลย เพราะฉะนั้น เราจักไม่ยอมให้. อุบาสกกล่าวว่า ถึงเราท่านก็จักไม่ให้ภัตรบ้างหรือ. บุตรพราหมณ์กล่าวว่า ทำไม ฉันจักไม่ให้. อุบาสกพูดว่า ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เธอจะให้เรา เธอจงถวายแก่ภิกษุรูปหนึ่งเถิด. เขารับคำแล้ว ในวันที่ ๒ ได้ไปยังวิหารแต่เช้าตรู่ นิมนต์ภิกษุมารูปหนึ่งให้ฉันแล้ว. เมื่อเวลาผ่านไปอย่างนี้ น้องชายและน้องสาวของเขาเห็นการปฏิบัติของภิกษุทั้งหลาย และได้ฟังธรรมแล้ว มีความเลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา และได้มีความยินดีในบุญกรรม. ชนทั้ง ๓ คนเหล่านั้น เมื่อให้ทานตามกำลังทรัพย์อย่างนี้ ได้สักการะเคารพนับถือบูชาสมณพราหมณ์ทั้งหลาย. ส่วนมารดาและบิดาของพวกเราเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส ไม่เคารพในสมณพราหมณ์ ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่พอใจในการบำเพ็ญบุญ. พวกญาติจึงได้ขอเด็กหญิงผู้เป็นธิดาแห่งมารดาบิดาเหล่านั้น มาเพื่อประโยชน์แก่บุตรของลุง. ก็บุตรคนโตนั้นฟังธรรมในสำนักของท่านสังกิจจะแล้วเกิดความสังเวช บรรพชาแล้ว ไปยังเรือนของมารดาตนเพื่อฉันเป็นนิตย์. มารดาปลอบใจเธอด้วยเด็กรุ่นสาว ผู้เป็นมารดาของพี่ชายตน. ด้วยเหตุนั้น เธอเป็นผู้กลุ้มใจจึงเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ เรียนว่า ท่านครับ ผมจักสึก ขอท่านจงอนุญาตให้ผมสึกเถิด. พระอุปัชฌาย์เห็นเธอผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย จึงกล่าวว่า พ่อสามเณรรอสักเดือนก่อนเถอะ. สามเณรรับคำท่านแล้ว ผ่านไปได้เดือนหนึ่งจึงได้แจ้งให้ทราบอย่างนั้นเหมือนกัน.พระอุปัชฌาย์ก็กล่าวซ้ำอีกว่ากึ่งเดือนเถิด. พอกึ่งเดือนผ่านไป เมื่อสามเณรกล่าวอย่างนั้น พระเถระก็กล่าวอีกว่า รอสัก ๗ วัน เถอะ. สามเณรรับคำแล้ว.
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภนางเปรตขัลลาฏิยะตนหนึ่ง ดังนี้. ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี ยังมีหญิงผู้อาศัยรูปเลี้ยงชีพคนหนึ่ง รูปร่างสวย น่าดูน่าชม ประกอบด้วยผิวพรรณอันงดงามยิ่งนัก มีกำแห่งผมน่ารื่นรมย์ใจ. จริงอยู่ ผมของนางดำยาว ละเอียด อ่อนนุ่มสนิท มีปลายตวัดขึ้น เกล้าเป็นสองแฉกสยาย ห้อยย้อยลงจนถึงสายรัดเอว. คนหนุ่มเห็นความงามแห่งเส้นผมของนางนั้น โดยมากมีจิตปฏิพัทธ์ในนาง. ลำดับนั้น หญิง ๒-๓ คนถูกความริษยาครอบงำ ทนต่อความงามของผมนางนั้นไม่ได้ จึงพากันปรึกษา เอาสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ล่อหญิงคนใช้ของนางนั่นเอง ให้หญิงคนใช้ให้ยาอันเป็นเหตุทำเส้นผมของนางให้หลุดร่วงไป. ได้ยินว่า หญิงคนใช้นั้นประกอบยานั้นกับผงสำหรับอาบน้ำ ในเวลานางไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา ก็ได้ให้แก่นาง. นางเอาผงนั้นจุ่มที่รากผมแล้วดำลงไปในน้ำ. พอนางดำน้ำเท่านั้น เส้นผมพร้อมทั้งรากผมได้หลุดร่วงไป และศีรษะของนางได้เป็นเช่นกับกะโหลกน้ำเต้าขม. ลำดับนั้น นางหมดเส้นผมโดยประการทั้งปวง เหมือนนกพิราบถูกถอนขนหัวฉะนั้น น่าเกลียดพิลึก เพราะความละอาย จึงไม่อาจเข้าไปในเมือง เอาผ้าคลุมศีรษะ สำเร็จการอยู่ในที่แห่งหนึ่งนอกเมือง พอ ๒-๓ วันผ่านไป นางหมดความละอาย กลับจากที่นั้นบีบเมล็ดงา กระทำการค้าน้ำมันและทำการค้าสุรา เลี้ยงชีพ. วันหนึ่ง เมื่อคน ๒-๓ คนเมาสุราหลับสนิท นางจึงลักเอาผ้าที่คนเหล่านั้นนุ่งไว้หลวมๆ. ภายหลังวันหนึ่ง นางเห็นพระขีณาสพเถระรูปหนึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาต มีจิตเลื่อมใสจึงนำท่านไปยังเรือนของตน ให้นั่งบนอาสนะที่ตกแต่งไว้ ได้ถวายแป้งที่บีบในรางผสมกับน้ำมันงา. เพื่อจะอนุเคราะห์นาง พระเถระจึงรับประเคนแป้งผสมน้ำมันงานั้นฉัน. นางมีจิตเลื่อมใส ได้ยืนกั้นร่ม. และพระเถระนั้น เมื่อจะทำนางให้มีจิตร่าเริง จึงทำอนุโมทนากถาแล้วหลีกไป. ก็ในเวลาที่อนุโมทนานั่นแหละ หญิงนั้นได้ตั้งความปรารถนาว่า พระคุณเจ้า ขอให้เส้นผมของดิฉันยาวละเอียด นุ่มสนิท ตวัดปลายเถิด. กาลต่อมา นางถึงแก่กรรม เพราะผลของกรรมที่คละกัน จึงเกิดเป็นหญิงอยู่โดดเดี่ยวในวิมานทอง ท่ามกลางมหาสมุทร. เส้นผมของนางสำเร็จตามอาการที่เธอปรารถนานั้นแหละ. แต่เพราะนางลักเอาผ้าของพวกมนุษย์ นางจึงได้เป็นหญิงเปลือย. นางเกิดบ่อยๆ ในวิมานทองนั้น เป็นหญิงเปลือยอยู่ตลอดพุทธันดรหนึ่ง.
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
maruay songtanin
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภนางเปรตผู้เป็นช่างหูกคนหนึ่ง ดังนี้. ได้ยินว่า ภิกษุประมาณ ๑๒ รูปเรียนพระกรรมฐานในสำนักพระศาสดา พิจารณาถึงสถานที่อันเหมาะสมแก่การอยู่ เมื่อจวนจะเข้าพรรษา เห็นราวป่าอันน่ารื่นรมย์ สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำแห่งหนึ่ง และโคจรคามไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นักแต่ราวป่านั้น จึงอยู่ในที่นั้นราตรีหนึ่ง รุ่งขึ้นจึงเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้าน. ช่างหูก ๑๑ คนอาศัยอยู่ในบ้านนั้น เห็นเหล่าภิกษุนั้นๆ เกิดความโสมนัส จึงนำมายังเรือนของตนๆ เลี้ยงดูด้วยอาหารอันประณีต แล้วเรียนว่า ไปไหนกันขอรับ. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า เราจักไปในที่ที่เรามีความสบาย. พวกช่างหูกพากันกล่าวว่า ท่านขอรับ ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้าจงอยู่ที่นี้แหละ ดังนี้แล้ว จึงขอร้องให้อยู่จำพรรษา. ภิกษุทั้งหลายก็รับคำ. อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายได้พากันสร้างกระท่อมในป่าในที่นั้นแล้วมอบถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในที่นั้นแล้ว. บรรดาช่างหูกเหล่านั้น ช่างหูกผู้เป็นหัวหน้า อุปัฏฐากภิกษุ ๒ รูปด้วยปัจจัย ๔ โดยเคารพ นอกนั้นได้อุปัฏฐากภิกษุคนละรูป. ภรรยาของช่างหูกผู้เป็นหัวหน้า ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความตระหนี่ ไม่อุปัฏฐากภิกษุทั้งหลายโดยเคารพ. ช่างหูกผู้เป็นหัวหน้าเห็นดังนั้น จึงนำน้องสาวของภรรยานั้นนั่นแลมาแล้วมอบความเป็นใหญ่ในเรือนของตน. น้องสาวนั้นเป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส ปรนนิบัติภิกษุทั้งหลายโดยเคารพ. ช่างหูกทั้งหมดนั้นได้ถวายผ้าสาฎกแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษารูปละผืน. ในบรรดาภรรยานั้น ภรรยาของช่างหูกผู้เป็นหัวหน้า ผู้มีความตระหนี่ มีจิตคิดประทุษร้าย ด่าบริภาษสามีของตนว่า ทานคือข้าวและน้ำที่ท่านให้แก่สมณะศากยบุตรนั้น จงบังเกิดเป็นคูถ มูตรเป็นหนอง และโลหิต แก่ท่านในปรโลก และผ้าสาฎกจงเป็นแผ่นเหล็กลุกโพลง
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
maruay songtanin
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกฎุมพีคนหนึ่งผู้ที่บิดาตายไป ดังนี้. ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี บิดาของกฎุมพีคนหนึ่งได้ตายไป. เพราะบิดาตายไป เขาจึงเศร้าโศกร้อนรุ่มกลุ้มใจ เที่ยวร้องไห้เหมือนคนบ้า ถามผู้ที่ตนพบเห็นว่า ท่านเห็นบิดาของฉันบ้างไหม? ใครๆ ไม่อาจจะบรรเทาความเศร้าโศกของเขาได้. แต่อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผล ยังโพลงอยู่ในหทัยของเขา เหมือนประทีปที่โพลงอยู่ในหม้อ. ในเวลาเช้ามืด พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของเธอ ทรงพระดำริว่า เราควรจะนำเหตุที่เป็นอดีตของกุฏุมพีนี้มาแล้ว ระงับความเศร้าโศก ให้โสดาปัตติผลแก่เธอ ดังนี้แล้ว วันรุ่งขึ้นจึงกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตร ไม่ได้พาใครเป็นปัจฉาสมณะไป ไปยังประตูเรือนของกฎุมพีนั้น. เขาได้ทราบว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงต้อนรับ นิมนต์พระศาสดาให้เสด็จเข้าไปยังเรือน เมื่อพระศาสดาประทับนั่งบนอาสนะที่เขาบรรจงจัดไว้ ตนเองก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงทราบสถานที่ที่บิดาของข้าพระองค์ไปแล้วหรือ? ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า ดูก่อนอุบาสก เธอถามถึงบิดาในอัตตภาพนี้หรือ หรือว่าในอัตตภาพที่ล่วงไปแล้ว. เขาได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ได้ยินว่าเรามีบิดามาก ดังนี้ จึงมีความเศร้าโศกเบาบาง ได้รับความเศร้าโศกเพียงปานกลาง. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสธรรมกถาอันเป็นเครื่องบรรเทาความเศร้าโศกแก่เขา ทรงทราบเขาว่าปราศจากความเศร้าโศก มีจิตสมควร จึงให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ด้วยสามุกังสิกธรรมเทศนาแล้ว ได้เสด็จไปยังพระวิหาร.
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
maruay songtanin
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภนางเปรตผู้กินบุตร ๗ คน ดังนี้. ได้ยินว่า อุบาสกคนหนึ่งในหมู่บ้านตำบลหนึ่งไม่ไกลกรุงสาวัตถี ได้มีบุตร ๒ คนตั้งอยู่ในปฐมวัย สมบูรณ์ด้วยรูปโฉม ประกอบด้วยศีลและอาจาระ. มารดาของบุตรทั้ง ๒ นั้นคิดว่าเราเป็นผู้มีบุตร จึงดูหมิ่นสามีด้วยกำลังแห่งบุตร. สามีนั้นถูกภรรยาดูหมิ่น มีใจเบื่อหน่าย จึงนำหญิงอื่นมาครอง. ไม่นานนัก หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์. ลำดับนั้น ภรรยาหลวงเป็นหญิงมีความริษยาเป็นปกติ เอาอามิสไปล่อหมอคนหนึ่ง ให้หมอนั้นทำครรภ์ของหญิงนั้นซึ่งตั้งมา ๓ เดือน ให้ตก. ลำดับนั้น หญิงนั้นอันพวกญาติและพี่น้องชายถามว่า เธอทำครรภ์ของนางนี้ให้ตกไปหรือ จึงกล่าวมุสาว่าไม่ได้ทำให้ตกไป. คนเหล่านั้นไม่เชื่อจึงกล่าวว่า เธอจงสบถ แล้วได้กระทำสบถว่า ขอให้ดิฉันคลอดบุตรทั้งเช้าทั้งเย็นครั้งละ ๗ คนแล้วเคี้ยวกินเนื้อบุตร ขอให้ดิฉันมีกลิ่นเหม็นและแมลงวันจับกลุ่มอยู่เป็นนิจ. ครั้นต่อมา นางทำกาละแล้วบังเกิดในกำเนินเปรต ด้วยวิบากของการทำครรภ์ให้ตกไป และพูดมุสานั้นนั่นแล จึงเคี้ยวกินเนื้อบุตรโดยนัยดังกล่าวแล้ว เที่ยวไปในที่ไม่ไกลบ้านนั้นนั่นเอง. ก็สมัยนั้น พระเถระหลายรูปออกพรรษาในหมู่บ้าน มายังกรุงสาวัตถีเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พักแรมในส่วนหนึ่งไม่ไกลบ้านนั้น. ลำดับนั้น นางเปรตนั้นแสดงตนแก่พระเถระเหล่านั้น.
More from maruay songtanin
(20)
๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๖. อภิชชมานเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๕. อุพพรีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๒๔. กัณณมุณฑเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๒๓. สุตตเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๒๒. อุตตรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๑. อังกุรเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๒๐. จูฬเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุ...
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๙. ธนปาลเสฏฐิเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๘. กัณหเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๗. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๖. นันทาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๕. มัตตาเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬา...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๔. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉ...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๓. สังสารโมจกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมห...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๒. อุรคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]...
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๑. นาคเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]....
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๑๐. ขัลลาฏิยเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจ...
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๘. โคณเปตวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ].docx
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับ...
07 เนมิราชจริยา มจร.pdf
1.
1 การบาเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๗
เนมิราชจริยา พลตรี มารวย ส่งทานินทร์ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เกริ่นนา เราได้สร้างโรงทานจตุรมุข ๔ แห่ง แล้วได้บาเพ็ญทานที่ศาลานั้นแก่หมู่เนื้ อ นก และคนเป็นต้น พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก ๖. เนมิราชจริยา ว่าด้วยพระจริยาของพระเจ้าเนมิราช [๔๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลที่เราเป็นมหาราชนามว่าเนมิ เป็นบัณฑิต ต้องการกุศลอยู่ในกรุงมิถิ ลาที่อุดมสมบูรณ์ [๔๑] เราได้สร้างโรงทานจตุรมุข ๔ แห่ง แล้วได้บาเพ็ญทานที่ศาลานั้นแก่หมู่เนื้ อ นก และคน เป็นต้น [๔๒] บาเพ็ญมหาทาน คือ เครื่องนุ่มห่ม ที่นอน ข้าว น้า และโภชนะ ไม่ขาดสาย [๔๓] เหมือนเสวกรับใช้นายเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ย่อมแสวงหานายที่ตนพึงให้ยินดีได้ ด้วย กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ฉันใด [๔๔] เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณในภพทั้งปวง จึงให้สัตว์ทั้งหลายได้ อิ่มหนาด้วยทานแล้ว ปรารถนาพระโพธิญาณอันอุดม ฉะนี้ แล เนมิราชจริยาที่ ๖ จบ คาอธิบายเพิ่มเติมนามาจากบางส่วนของอรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบาเพ็ญทานบารมี ๖. เนมิราชจริยา อรรถกถาเนมิราชจริยาที่ ๖ พระเนมิกุมารทรงอุบัติสืบต่อวงศ์กษัตริย์ดุจกงรถ จึงได้ชื่อว่าเนมิ. ชื่อว่าเป็นมหาราชา เพราะ เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เพราะใหญ่ด้วยคุณวิเศษมีทานและศีลเป็นต้นใหญ่ และเพราะประกอบด้วยราชานุ ภาพ. เป็นบัณฑิตต้องการกุศล คือต้องการบุญเพื่อตนและเพื่อผู้อื่น.
2.
2 ได้ยินว่า ในครั้งอดีต ในนครมิถิลา
แคว้นวิเทหะ พระโพธิสัตว์ของเราได้เป็นพระราชาพระนาม ว่ามฆเทพ. พระองค์ทรงสนุกสนานตอนเป็นพระกุมารอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ทรงได้รับตาแหน่งอุปราชอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ทรงครองราชสมบัติอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี พระองค์ตรัสแก่ช่างกัลบกว่า เมื่อใดเจ้าเห็นผมหงอกบน ศีรษะของเรา เมื่อนั้นเจ้าพึงบอกแก่เรา. ครั้นต่อมา ช่างกัลบกเห็นพระเกศาหงอกจึงกราบทูล แล้วเอาแหนบทองคาถอนวางไว้บนพระ หัตถ์ ทรงแลดูพระเกศาหงอก ทรงเกิดความสังเวชว่า เทวทูตปรากฏแก่เราแล้ว ทรงดาริว่า บัดนี้ เราควร ออกบวช จึงพระราชทานบ้านส่วย ๑๐๐,๐๐๐ แก่ช่างกัลบก แล้วตรัสเรียกพระเชษฐกุมารมาตรัสว่า ผมบน ศีรษะของพ่อหงอก ความชราปรากฏแล้ว เทวทูตปรากฏแล้ว ถึงเวลาที่พ่อจะบวชละ. จึงมอบราชสมบัติให้ ผิว่าตนมีอายุ ๘๔,๐๐๐ ปี แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ยังสาคัญตนดุจยืนอยู่ใกล้ ความตาย จึงสลดใจ ชอบที่จะบวช. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระทิศัมบดีพระนามว่ามฆเทพ ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาหงอก บนพระเศียร ได้ความสังเวช พอพระทัยที่จะทรงผนวช. พระราชาทรงประทานโอวาทแก่พระโอรสว่า ลูกควรประพฤติโดยทานองนี้ เหมือนอย่างที่พ่อ ปฏิบัติ ลูกอย่าได้เป็นคนสุดท้ายเลย แล้วเสด็จออกจากพระนครทรงผนวชเป็นภิกษุยังกาลเวลาให้น้อมล่วง ไปด้วยฌานและสมาบัติตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี เมื่อสิ้นพระชนม์ก็ไปบังเกิดในพรหมโลก. แม้พระโอรสของพระองค์ก็ทรงครองราชสมบัติโดยธรรมตลอดหลายพันปี ได้ทรงผนวชโดย อุบายนั้นเหมือนกันแล้วก็ไปบังเกิดในพรหมโลก. กษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ หย่อนไปกว่าสองพระองค์อย่างนี้ คือโอรสของกษัตริย์องค์นั้นก็เหมือนกัน ขององค์นั้นก็เหมือนกัน ทรงเห็นพระเกศาหงอกบนพระเศียรแล้วก็ทรงผนวช. ลาดับนั้น พระโพธิสัตว์ประดิษฐานอยู่บนพรหมโลกทรงราพึงว่า กัลยาณธรรมที่เราได้ทาไว้ใน มนุษยโลกยังเป็นไปอยู่หรือ หรือว่าไม่เป็นไปได้ ทรงเห็นว่าเป็นไปตลอดกาลเพียงเท่านี้ บัดนี้ จักไม่เป็นไป ต่อไป. พระโพธิสัตว์ทรงดาริว่า แต่เราจักไม่ให้การสืบสายของเราขาดไป จึงทรงถือปฏิสนธิในพระ ครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระราชาผู้มีกาเนิดในวงศ์ของพระองค์นั่นเอง ทรงบังเกิดสืบต่อวงศ์ของพระองค์ ดุจกงรถ ฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระโอรสได้พระนามว่าเนมิ เพราะทรงอุบัติสืบต่อวงศ์ตระกูลดุจกง รถ ฉะนั้น. ในวันขนานพระนามของพระโอรสนั้น พระชนกตรัสเรียกพราหมณ์ผู้ชานาญการพยากรณ์ ลักษณะ ครั้นพราหมณ์ตรวจดูพระลักษณะแล้วก็พยากรณ์ถวายว่า ขอเดชะข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระกุมาร นี้ จะประคับประคองวงศ์ของพระองค์ พระกุมารนี้ มีอานุภาพยิ่งใหญ่ มีบุญมากกว่าพระชนก พระเจ้าปู่และ พระเจ้าตา. พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นจึงทรงขนานพระนามพระโอรสนั้นว่าเนมิ เพราะอรรถดังได้กล่าวไว้ แล้ว. พระโอรสนั้นตั้งแต่ยังเยาว์พระชนม์ ได้ทรงขวนขวายในศีลและอุโบสถกรรม.
3.
3 ลาดับนั้น พระชนกของพระกุมาร ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาหงอกโดยนัยก่อน
จึง พระราชทานบ้านส่วยแก่ช่างกัลบก มอบราชสมบัติแก่พระโอรสแล้ว เสด็จออกจากพระนครทรงผนวช ยัง ฌานให้เกิดแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก. ฝ่ายพระเนมิราชทรงให้สร้างโรงทาน ๕ แห่ง คือที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง ทรงบริจาคมหาทาน. ทรงบริจาควันละ ๕๐๐,๐๐๐ โรงทานละ ๑๐๐,๐๐๐. ทรงรักษาศีล ๕. ทรง สมาทานอุโบสถกรรมในวันปักษ์. ทรงให้มหาชนยึดมั่นในบุญมีทานเป็นต้น. ทรงบอกทางสวรรค์ให้. ทรง คุกคามภัยในนรก. ทรงห้ามจากบาป. มหาชนตั้งอยู่ในโอวาทของพระเนมิราชนั้น กระทาบุญมีทานเป็นต้น จุติจากมนุษยโลกแล้วก็ไป บังเกิดในเทวโลก. เทวโลกเต็มไปด้วยทวยเทพ นรกปรากฏดุจว่างเปล่า. ก็ในครั้งนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความที่อัธยาศัยในการให้ของพระองค์กว้างขวาง และความที่ทานบารมีบริบูรณ์ไม่มีขาดเหลือ จึงตรัสพระดารัสมีอาทิว่า ในครั้งนั้น เราสร้างศาลา ๔ แห่ง มี ๔ มุข บริจาคทานแก่เนื้ อ นก และคนเป็นต้น ณ ที่นั้น. ประกอบด้วยประตู ๔ ประตูใน ๔ ทิศ เพราะไม่สามารถทาทาน ให้สิ้นสุดไปโดยประตูเดียว เท่านั้นได้และให้ไทยธรรมถึงที่สุดได้ เพราะโรงทานใหญ่มากและเพราะไทยธรรมและผู้ขอมาก จึงต้องให้ สร้างประตูใหญ่ ๔ ประตูใน ๔ ทิศ แห่งโรงทาน. ณ โรงทานนั้นตั้งแต่ประตูถึงปลายประตูไทยธรรมตั้งอยู่ เป็นกองใหญ่. ทานย่อมเป็นไปเริ่มตั้งแต่อรุณขึ้นจนถึงเวลาเข้าไปตามปกติ. แม้ในกาลนอกนี้ ก็จุดประทีปไว้ หลายร้อยดวง. ผู้ต้องการจะมาเมื่อใดก็ให้เมื่อนั้น. ทานนั้นมิได้ให้แก่คนยากจน คนเดินทาง วณิพกและ ยาจกเท่านั้น. ที่จริงแล้ว มนุษย์ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้ทั้งหมดก็รับและบริโภคทานนั้นเช่นเดียวกับทานของ พระมหาสุทัศนราช ด้วยสาเร็จแก่คนมั่งคั่ง และแม้มีสมบัติมาก เพราะสละไทยธรรมมากมายและประณีต. จริงอยู่ พระมหาบุรุษกระทาชมพูทวีปทั้งสิ้นให้เจริญงอกงาม แล้วบริจาคมหาทานในครั้งนั้น. ทรงบริจาคทานด้วยให้สาเร็จ แม้แก่สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายมีเนื้ อและนกเป็นต้นนอกโรงทาน เช่นเดียวกับ มนุษย์. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า บริจาคทาน ณ โรงทานนั้นแก่เนื้ อ นกและคนเป็น ต้น. ไม่บริจาคเฉพาะแก่สัตว์เดียรัจฉานเท่านั้น แม้แก่เปรตทั้งหลายก็ทรงให้ส่วนบุญทุกๆ วัน. ทรง บริจาคทานในโรงทาน ๕ แห่ง เหมือนในโรงทานแห่งเดียว. แต่ในบาลีกล่าวไว้ดุจแห่งเดียวว่า ในครั้งนั้น เราสร้างโรงทาน ๔ โรง มี ๔ มุข. บทนั้น ท่านกล่าวหมายถึงโรงทานท่ามกลางพระนคร. กระทาไม่ให้ขาดสาย คือกระทาไม่ให้ขาดสาย ทั้งกลางวันและกลางคืนตั้งแต่เริ่มจนถึงสิ้นอายุ. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความที่ทานนั้นเป็นไปแล้วโดยความเป็นทานบารมี ปรารภสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อจะทรงแสดงถึงอัธยาศัยของพระองค์ที่เป็นไปแล้วในกาลนั้นด้วยข้ออุปมา จึง ตรัสพระดารัสมีอาทิว่า เปรียบเหมือนเสวกดังนี้ .
4.
4 พระพุทธดารัสนั้นมีความดังต่อไปนี้ เปรียบเหมือนบุรุษผู้เป็นเสวกเข้าไปหานายของตนด้วยการคบหากันตามกาลอันควร เพราะ เหตุแห่งทรัพย์ที่ควรได้ ย่อมแสวงหาความยินดีที่นายพึงให้ยินดีได้โดยอาการที่ให้ยินดีด้วยกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมฉันใด
แม้เราผู้เป็นโพธิสัตว์ก็ฉันนั้น ประสงค์จะเสพความเป็นพระพุทธเจ้าอันยอดยิ่ง เป็นเจ้าโลกพร้อมทั้งเทวโลก เพื่อให้เป็นที่ยินดีแก่สัตวโลกนั้น จักแสวงหา ค้นหาพระสัพพัญญุตญาณอันได้ ชื่อว่า โพธิช เพราะเกิดแต่อริยมรรคญาณ กล่าวคือโพธิ ด้วยอุบายต่างๆ ในที่ทั้งปวงข้างหน้า ในภพทั้งปวง คือในภพที่เกิดแล้วๆ เล่าๆ ทั้งปวง จึงยังสัตว์ทั้งหลายให้อิ่มหนาด้วยทาน ด้วยการบาเพ็ญทานบารมี. เราปรารถนาโพธิญาณคือสัมมาสัมโพธิญาณอันอุดมนั้น จึงทาอย่างใดอย่างหนึ่งมีการบริจาค ชีวิตเป็นต้น. เพื่อแสดงถึงความกว้างขวางแห่งอัธยาศัยในการให้ไว้ในที่นี้ ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาค เจ้าจึงทรงกาหนดเทศนาไว้ด้วยทานบารมีเท่านั้น. แต่ในเทศนาชาดก ท่านชี้แจงถึงความบริบูรณ์แม้แห่งศีลบารมีเป็นต้นของพระโพธิสัตว์นั้น. เป็นความจริงอย่างนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์ตกแต่งพระองค์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้นตามนัยที่กล่าวแล้ว ในหนหลังนั่นแล แล้วทรงให้มหาชนตั้งอยู่ในศีลนั้น เทวดาผู้บังเกิดเพราะตั้งอยู่ในโอวาท จึงประชุมกัน ณ เทวสภาชื่อสุธรรมา พากันกล่าวสรรเสริญพระคุณของพระมหาบุรุษว่า น่าอัศจรรย์หนอ พวกเราได้รับสมบัติ นี้ เพราะอาศัยพระเนมิราชของพวกเรา. เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติ มนุษย์อัศจรรย์เห็นปานนี้ ก็ยังทาพุทธกิจให้สาเร็จแก่มหาชน อุบัติ ขึ้นในโลก. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระดารัสมีอาทิว่า น่าอัศจรรย์หนอ ได้มีผู้ฉลาดเกิดขึ้น ในโลก ได้เป็นพระราชาพระนามว่าเนมิราช เป็นบัณฑิต มีความต้องการด้วยกุศล. ทวยเทพทั้งปวงมีท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพเป็นต้นได้สดับดังนั้น ประสงค์จะเห็นพระโพธิสัตว์. วันหนึ่ง เมื่อพระมหาบุรุษทรงรักษาอุโบสถ ประทับอยู่เบื้องบนปราสาทอันประเสริฐ ประทับ นั่งขัดสมาธิในปัจฉิมยาม ทรงเกิดความปริวิตกขึ้นว่า ทานประเสริฐหรือพรหมจรรย์ประเสริฐ. พระโพธิสัตว์ไม่สามารถตัดสินความสงสัยของพระองค์ได้. ในขณะนั้น ภพของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะทรงราพึงถึงเหตุนั้น ครั้นทรงเห็นพระ โพธิสัตว์ทรงวิตกอยู่อย่างนั้นจึงทรงดาริว่า เอาเถิด เราจะตัดสินความวิตกของพระโพธิสัตว์นั้น จึงเสด็จมา ประทับอยู่ข้างหน้า. พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร? จึงทรงบอกว่า พระองค์เป็นเทวราชแล้วตรัสถามว่า มหาราช พระองค์ทรงดาริถึงอะไร? พระโพธิสัตว์จึงตรัสบอกความนั้น. ท้าวสักกะเมื่อจะทรงแสดงให้เห็นว่าพรหมจรรย์นั่นแหละประเสริฐที่สุด จึงตรัสว่า บุคคลเกิดใน ตระกูลกษัตริย์ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ต่า บุคคลเกิดเป็นเทวดาก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ปานกลาง บุคคลบริสุทธิ์ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์สูงสุด.
5.
5 การเป็นพรหมมิใช่เป็นได้ง่ายๆ เพียงวิงวอนขอให้เป็นผู้ที่จะเป็นพรหมได้นั้น ต้องไม่มีเหย้า เรือน
ต้องบาเพ็ญตบะ. ความประพฤติเพียงเว้นจากเมถุนในลัทธิศาสนาเป็นอันมาก ชื่อว่าพรหมจรรย์ต่า. ด้วย พรหมจรรย์ต่านั้นย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์. ความประพฤติเพียงใกล้เคียงฌาน ชื่อว่าพรหมจรรย์ปาน กลาง. ด้วยพรหมจรรย์ปานกลางนั้น ย่อมเกิดเป็นเทวดา. แต่การยังสมาบัติ ๘ ให้เกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์ สูงสุด. ด้วยพรหมจรรย์สูงสุดนั้นย่อมบังเกิดในพรหมโลก. ชนภายนอกกล่าวพรหมโลกนั้นว่านิพพาน. แต่ในพระศาสนา เมื่อภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ปรารถนาหมู่เทพอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่าพรหมจรรย์ ต่าเพราะเจตนาในการประพฤติพรหมจรรย์ต่า. ด้วยพรหมจรรย์ต่านั้น ย่อมเกิดในเทวโลกตามที่ตน ปรารถนา. การที่ผู้มีศีลบริสุทธิ์ยังสมาบัติ ๘ ให้เกิด ชื่อว่าพรหมจรรย์ปานกลาง. ด้วยพรหมจรรย์ปานกลาง นั้นย่อมเกิดในพรหมโลก. ส่วนผู้มีศีลบริสุทธิ์เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต ชื่อว่าพรหมจรรย์สูงสุด. ย่อมบริสุทธิ์ด้วยพรหมจรรย์สูงสุดนั้น. ด้วยประการฉะนี้ ท้าวสักกะจึงพรรณนาว่า มหาราช การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นั้นแหละมีผล มากกว่าทานร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า. ท้าวสักกะทรงแสดงถึงการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เท่านั้นว่ามีอานุภาพมากด้วยคาถานี้ . ก็และท้าวสักกะครั้นตรัสอย่างนี้ แล้ว จึงให้โอวาทพระโพธิสัตว์ว่า มหาราช แม้พรหมจรรย์จะมี ผลมากกว่าทานก็จริง ถึงดังนั้น พระมหาบุรุษก็ควรทาทั้งสองอย่างนั้นแล. จงเป็นผู้ไม่ประมาทในทานและ พรหมจรรย์ทั้งสอง จงให้ทานและจงรักษาศีล แล้วเสด็จกลับเทวโลก. ครั้งนั้น หมู่เทพทูลถามท้าวสักกะว่า ข้าแต่จอมเทพพระองค์เสด็จไปไหนมา? ท้าวสักกะตรัสว่า เราไปตัดสินความสงสัยของพระเจ้าเนมิราช ในกรุงมิถิลา. เมื่อจะทรงประกาศเนื้ อความนั้น จึงพรรณนาคุณสมบัติของพระโพธิสัตว์โดยพิสดาร. ทวยเทพ ได้สดับดังนั้นจึงทูล ข้าแต่จอมเทพ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายประสงค์จะเห็นพระเจ้าเนมิราช. พวก ข้าพระพุทธเจ้าขอโอกาส ขอพระองค์ตรัสเรียกพระเจ้าเนมิราชเถิด. ท้าวสักกะตรัสรับว่าตกลง แล้วตรัสเรียกมาตลีเทพบุตรมารับสั่งว่า ท่านจงไปทูลเชิญเนมิราช ประทับเวชยันตปราสาทแล้วนามา. มาตลีเทพบุตรรับเทวบัญชาแล้วนารถไปรับพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์ ทรงซักไซ้ไล่เลียง จึงทูลถึงฐานะของผู้มีบาปกรรมและผู้มีบุญกรรม นาไปสู่เทวโลกตามลาดับ. แม้ทวยเทพทั้งหลายได้สดับว่า พระเจ้าเนมิราชเสด็จมาแล้วจึงถือของหอมและดอกไม้ทิพย์ไป ต้อนรับตั้งแต่ซุ้มประตูจิตตกูฏ บูชาพระมหาสัตว์ด้วยของหอมทิพย์เป็นต้น แล้วนาไปสู่สุธรรมเทวสภา. พระราชาเสด็จลงจากรถแล้วเสด็จเข้าไปยังเทวสภาประทับนั่งร่วมอาสนะกับท้าวสักกะ ท้าว สักกะต้อนรับด้วยกามทิพย์ ทรงปฏิเสธว่า ข้าแต่จอมเทพ ขออย่าทรงต้อนรับด้วยกามอุปมาด้วยผู้ยืมของ เหล่านี้ แก่ข้าพระองค์ แล้วทรงแสดงธรรมโดยอเนกปริยาย. ทรงประทับอยู่ ๗ วัน โดยนัยจานวนวันของมนุษย์ แล้วทูลว่า ข้าพเจ้าจะกลับมนุษยโลก. ข้าพเจ้าจักทาบุญมีทานเป็นต้น ณ มนุษยโลกนั้น.
6.
6 ท้าวสักกะมีเทวบัญชากะมาตลีเทพบุตรว่า ท่านจงนาพระเจ้าเนมิราชไปยังกรุงมิถิลาเถิด. มาตลี เทพบุตรทูลเชิญพระโพธิสัตว์ให้ทรงขึ้นสู่เวชยันตรถ
แล้วพาไปส่งถึงกรุงมิถิลาทางทิศปราจีน. มหาชนเห็นทิพยรถจึงได้ทาการต้อนรับพระราชา. มาตลีเทพบุตรทูลเชิญพระมหาสัตว์ให้ลงข้างสีหบัญชร แล้วทูลลากลับไปยังเทวโลก. แม้มหาชนก็พากันมาล้อมพระราชาทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ เทวโลกเป็นอย่างไรบ้าง พระเจ้า ข้า. พระราชาทรงพรรณนาถึงสมบัติในเทวโลก แล้วทรงแสดงธรรมว่า แม้พวกท่านก็จงทาบุญมีทาน เป็นต้น พวกท่านจักเกิดในเทวโลกนั้นด้วยประการฉะนี้ . ครั้นต่อมา พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาหงอกตามนัยที่กล่าวแล้วในก่อน ทรงมอบ ราชสมบัติแก่พระโอรสทรงละกาม ทรงผนวช เจริญพรหมวิหาร ๔ แล้วเสด็จไปสู่พรหมโลก. ท้าวสักกะในครั้งนั้นได้เป็นพระอนุรุทธเถระในครั้งนี้ . มาตลีเทพบุตรคือพระอานนท์. พระราชา ๘๔,๐๐๐ คือพุทธบริษัท. พระเจ้าเนมิราชคือพระโลกนาถ. แม้ในเนมิราชจริยานี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงโพธิสมภารของพระเจ้าเนมิราชนั้น โดยนัยที่กล่าว แล้วในหนหลังนั่นแล. อนึ่ง พึงเจาะจงกล่าวถึงคุณานุภาพมีอาทิอย่างนี้ คือ การละสมบัติในพรหมโลกแล้วบังเกิดในมนุษยโลก ด้วยพระมหากรุณาว่า เราจักติดตาม กัลยาณวัตรที่พระองค์ปฏิบัติมาแล้วในก่อน. อัธยาศัยในทานอันกว้างขวาง. การปฏิบัติในทานเป็นต้นอัน สมควรแก่อัธยาศัยนั้น. การให้มหาชนตั้งอยู่ในการปฏิบัตินั้น. ความที่ยศของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายแผ่ ไปแล้ว. ความน่าพิศวงในการเข้าไปหาของท้าวสักกเทวราช. แม้ท้าวสักกะทรงต้อนรับสมบัติทิพย์ก็ไม่พอ พระทัยสมบัติทิพย์นั้น แล้วกลับไปยังที่อยู่ของมนุษย์อีกเพื่อเพิ่มพูนบุญสมภาร. ความไม่ติดอยู่ในสมบัติทั้ง ปวงมีลาภสมบัติเป็นต้น. จบอรรถกถาเนมิราชจริยาที่ ๖ -----------------------------------------------------
Download now