More Related Content
Similar to 9789740332930 (20)
9789740332930
- 1. หน่วยการเรียนรู้ที่
ตัวชี้วัด
ส.5.1 ม.4-6/1 ใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการรวบรวม วิเคราะห์และน�ำ
เสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
สาระการเรียนรู้
1. แผนที่และการแปลความหมายแผนที่
2. เครื่องมือและอุปกรณ์ในการศึกษาข้อมูลภูมิศาสตร์
2.1 รีโมตเซนซิง หรือการส�ำรวจข้อมูลระยะไกล
- รูปถ่ายทางอากาศ
- ภาพจากดาวเทียม
2.2 อุปกรณ์ในการศึกษาข้อมูลภูมิศาสตร์
3. ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
เครื่องมือและเทคโนโลยีทางภูมิศาสตร์
1
“..ถ้าเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปมันก็
ผิดหมด...” การอ่านหนังสือก็เหมือนกัน ต้องเริ่ม
ต้นให้ดีตั้งแต่หน่วยแรก แล้วหน่วยต่อไปก็จะดี
ด้วย... บอกตรง ๆ ลองมาแล้ว
- 2. 2
แผนที่และการแปลความหมายแผนที่
ความหมายของแผนที่
พจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของแผนที่ไว้ว่า “แผนที่”
คือ สื่อรูปแบบหนึ่งที่ถ่ายทอดข้อมูลของโลกในรูปของกราฟิก โดยการย่อส่วนให้เล็กลง ด้วยมาตรฐาน
ส่วนต่าง ๆ และเส้นโค้งแผนที่แบบต่าง ๆ ให้เข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ด้วยการใช้สัญลักษณ์
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “แผนที่” คือ เครื่องมือการสื่อสารข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่แสดงถึงข้อมูล
ต�ำแหน่งที่ตั้งและการกระจายของลักษณะทางธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยน�ำองค์ประกอบ
ของลักษณะต่าง ๆ มาแสดงบนพื้นราบด้วยการย่อส่วนให้เล็กลงตามขนาดที่ต้องการ และใช้สี เส้น
เครื่องหมาย สัญลักษณ์ ทิศทาง และมาตราส่วนที่ก�ำหนดขึ้นมาแทนสิ่งที่ปรากฏอยู่บนผิวโลก
ประเภทของแผนที่
ปัจจุบันแผนที่สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
• แผนที่ทั่วไป (General maps) เป็นแผนที่พื้นฐานที่ใช้ส�ำหรับสร้างแผนที่พิเศษและใช้ใน
การปฏิบัติงานทั่วไป มี 2 แบบ คือ
- แผนที่ทางราบ (Planimetric maps) เป็นแผนที่แสดงรายละเอียดต่าง ๆ ในลักษณะ
แบบราบเท่านั้น ใช้ในการหาต�ำแหน่งและหาระยะห่างบนพื้นที่
- แผนที่ภูมิประเทศ (Topographic maps) เป็นแผนที่ที่แสดงลักษณะภูมิประเทศ เช่น
แม่น�้ำ ล�ำคลอง หนองบึง ทะเลสาบ ภูเขา ฯลฯ
• แผนที่เฉพาะเรื่อง (Thematic maps) เป็นแผนที่ที่สร้างขึ้นจากแผนที่พื้นฐาน เพื่อใช้
ในกิจกรรมเฉพาะเรื่อง มี 2 แบบ คือ
- แผนที่เชิงคุณภาพ (Qualitative maps) เช่น แผนที่แสดงแหล่งท่องเที่ยวและการ
เดินทาง แผนที่แสดงการทรุดตัวของดิน แผนที่แสดงแหล่งแร่ ฯลฯ
- แผนที่เชิงปริมาณ (Quantitative maps) เช่น แผนที่แสดงปริมาณน�้ำฝน แผนที่ แสดง
จ�ำนวนประชากร แผนทีแสดงอุณหภูมิ ฯลฯ
แผนที่...เรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ต้องรู้...^^
- 3. 3
ภาพที่ 1 แสดงภูมิภาคของประเทศไทย
เป็นแผนที่ทั่วไป
แหล่งที่มา : http://oss101.ldd.go.th/web_th_
soilseries/INDEX_th_series.htm
ภาพที่ 3 แสดงแหล่งท่องเที่ยว อ.วังน�้ำเขียว
เป็นแผนที่เฉพาะเรื่องเชิงคุณภาพ
แหล่งที่มา : http://reg2.pwa.co.th/Kathin/
travel.html
ภาพที่ 2 แสดงภูมิประเทศของทวีปเอเชีย
เป็นแผนที่ทั่วไป
แหล่งที่มา : http://www.kpsw.ac.th/
teacher/penprapa/page1.htm
ภาพที่ 4 แสดงจ�ำนวนประชากรของประเทศไทย
เป็นแผนที่เฉพาะเรื่องเชิงปริมาณ
แหล่งที่มา : http://service.nso.go.th/nso/
nsopublish/servGis/servGpop01.html
- 4. 4
การอ่านและการแปลความหมายของแผนที่
ในการอ่านและแปลความหมายของแผนที่เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดแล้วจ�ำเป็นที่ต้องมีการศึกษา
และท�ำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏในแผนที่ ซึ่งเรียกว่า “องค์ประกอบของแผนที่”
• องค์ประกอบของแผนที่
องค์ประกอบของแผนที่ หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ซึ่งผู้ผลิตแผนที่จัดแสดงไว้
เพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้ใช้แผนที่ได้ทราบข่าวสารและรายละเอียดอย่างเพียงพอส�ำหรับการใช้แผนที่
อย่างถูกต้องและสะดวกรวดเร็ว
แผนที่ที่จัดท�ำขึ้นเพื่อแสดงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเรียกว่า “ระวาง” ในแต่ละระวางมีองค์ประกอบ
ของแผนที่ 3 ส่วน คือ 1. เส้นขอบระวาง 2. องค์ประกอบภายนอกขอบระวาง 3. องค์ประกอบภายใน
ขอบระวาง ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. เส้นขอบระวาง คือ เส้นที่แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ พื้นที่ภายในขอบระวางและพื้นที่
ภายนอกขอบระวาง โดยเส้นขอบระวางแต่ละด้านจะมีตัวเลขบอกค่าพิกัดกริดและค่าพิกัดภูมิศาสตร์
หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
2. องค์ประกอบภายนอกขอบระวาง คือ รายละเอียดและค�ำอธิบายสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับแผนที่
และข้อมูลการผลิตแผนที่ ซึ่งอยู่นอกเส้นขอบระวางแผนที่ทั้ง 4 ด้าน ประกอบไปด้วย
- ชื่อชุดแผนที่และมาตราส่วน
- ชื่อระวาง
- มาตราส่วนแผนที่คือสิ่งที่บอกให้ทราบถึงอัตราส่วนระหว่างระยะทางในแผนที่กับระยะ
ในภูมิประเทศจริง
- ศัพทานุกรม คือ ค�ำอธิบายศัพท์ส�ำคัญที่ปรากฏในแผนที่โดยเรียงล�ำดับตามตัวอักษร
3. องค์ประกอบภายในของระวาง คือ รายละเอียดต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเส้นขอบระวางแผนที่
ส่วนใหญ่จะมีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบภายนอกขอบระวาง ซึ่งมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
3.1 สัญลักษณ์ (Symbol) เครื่องหมายหรือสิ่งที่คิดขึ้นใช้แทนรายละเอียดต่าง ๆ ที่ปรากฏ
อยู่บนผิวโลกเพื่อถ่ายทอดลงบนแผนที่ หรือใช้แทนข้อมูลอื่นใดที่ประสงค์จะแสดงลงบนแผ่นแผนที่
นั้น ซึ่งสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในแผนที่ จ�ำแนกออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- สัญลักษณ์ที่ใช้แทนลักษณะทางกายภาพ (Physical Features) เช่น ภูเขา ทะเล
แม่น�้ำ ที่ราบ ฯลฯ ซึ่งอาจแสดงด้วยเส้นจุดการแรเงาหนาทึบหรือรูปร่างต่าง ๆ
- สัญลักษณ์ที่ใช้แทนลักษณะทางวัฒนธรรม (Cultural Features) ใช้แสดงสิ่งต่าง ๆ
ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์ เช่น บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย พื้นที่เกษตรกรรม เขื่อน อ่างเก็บน�้ำ
- 5. 5
เส้นทางคมนาคมขนส่ง วัด ฯลฯ อาจใช้รูปสี่เหลี่ยม วงกลม และอื่น ๆ ที่สื่อความหมาย เพื่อให้เป็นที่
เข้าใจและจดจ�ำได้โดยง่าย
- สัญลักษณ์ที่ใช้แทนลักษณะ ข้อมูลเฉพาะเรื่องหรือข้อมูลพิเศษเป็นสัญลักษณ์ที่คิด
ขึ้นเพื่อใช้แสดงแทนข้อมูลที่ผู้ผลิตต้องการแสดงเป็นพิเศษ เช่น แผนที่โครงสร้างทางธรณีวิทยา แผนที่
แสดงข้อมูลทางด้านสาธารณสุข เช่น พื้นที่แพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ โดยใช้สัญลักษณ์เป็นรูป
สัตว์หรืออื่น ๆ เพื่อให้เป็นที่เข้าใจและจดจ�ำได้โดยง่าย
3.2 สี (Color) การใช้สีในแผนที่จ�ำแนกความแตกต่างของลักษณะภูมิประเทศ ทั้งที่เป็น
พื้นดินและพื้นน�้ำ สีที่นิยมใช้ในแผนที่ มีดังนี้
• พื้นดิน ก�ำหนดสีแสดงลักษณะภูมิประเทศได้ ดังนี้
- สีขาว แสดง ภูเขาที่มีหิมะปกคลุม
- สีน�้ำตาล แสดง ภูเขาสูงมาก
- สีเหลือง แสดง เป็นเขาหรือที่สูง
- สีเหลืองเข้ม แสดง ภูเขาสูง
- สีเขียว แสดง ที่ราบต�่ำ พืช
- สีแดงหรือด�ำ แสดง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
• พื้นน�้ำ สีที่นิยมใช้เพื่อบ่งบอกความลึกของแหล่งน�้ำ ดังนี้
- สีน�้ำเงิน แสดง แหล่งน�้ำ ทะเลหรือมหาสมุทรลึก
- สีฟ้าอ่อน แสดง ไหล่ทวีปหรือเขตทะเลตื้น
- สีน�้ำเงินเข้ม แสดง น่านน�้ำที่มีความลึกมาก
3.3 ชื่อภูมิศาสตร์ (Geographic name) เป็นตัวอักษรก�ำกับรายละเอียดต่าง ๆ ที่แสดงไว้
ในขอบระวางแผนที่เพื่อแจ้งให้ทราบว่าสถานที่นั้นหรือสิ่งนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร
3.4 ระบบอ้างอิงในการก�ำหนดต�ำแหน่ง (Position Reference System) ได้แก่ เส้นหรือ
ตารางที่แสดงไว้ในแผ่นแผนที่ เพื่อใช้ในการก�ำหนดค่าพิกัดของต�ำแหน่งต่าง ๆ ที่นิยมใช้มี 2 ชนิด คือ
- พิกัดภูมิศาสตร์(GeographicCoordinates)เป็นการบอกต�ำแหน่งบนพื้นโลกด้วย
วิธีการอ้างอิงต�ำแหน่งเป็นค่าระยะเชิงมุมของละติจูด (Latitude) และลองจิจูด (Longitude) ซึ่งอาจ
แสดงเป็นเส้นยาวจดขอบระวางแผนที่หรือเป็นเส้นกากบาท
- ละติจูด (Latitude) เกิดจากมุมที่วัดจากระนาบในแนวนอนที่ศูนย์สูตรของโลก
ไปตามระนาบแนวตั้ง เมื่อสมมติให้ระนาบในแนวนอนติดกับผิวโลกท�ำให้เกิดรอยตัดที่ผิวโลกเป็น
ศูนย์สูตร ละติจูดแต่ละเส้นมีความยาวไม่เท่ากัน เส้นที่ยาวที่สุดคือ เส้นศูนย์สูตร ซึ่งมีค่าเท่ากับ
0 องศา ส่วนละติจูดที่อยู่ใกล้ขั้วโลก ซึ่งมีค่าเท่ากับ 90 องศา เส้นละติจูดที่อยู่ใกล้ขั้วโลกจะสั้นมาก
จนเป็นจุดที่ขั้วโลก ซึ่งมีค่าเท่ากับ 90 องศา เส้นละติจูดที่อยู่ทางซีกโลกเหนือมีหน่วยเป็นองศาเหนือ
ส่วนเส้นละติจูดที่อยู่ซีกโลกใต้มีหน่วยเป็นองศาใต้
- 6. 6
- ลองจิจูด (Longitude) เป็นเส้นสมมติที่ลากจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ เกิด
จากมุมที่วัดจากระนาบแนวตั้งไปตามระนาบแนวนอนที่ศูนย์สูตรของโลก เมื่อสมมติให้ระนาบแนวตั้ง
ติดกับผิวโลก ท�ำให้เกิดรอยตัดที่ผิวโลกเป็นเส้นวงกลมในแนวตั้ง เรียกว่า เส้นเมริเดียน ซึ่งแต่ละเส้น
จะมีความยาวเท่ากันหมด แต่ในการอ่านค่าให้ก�ำหนดเส้นเมริเดียนที่ลากผ่านเมืองกรีนิช ประเทศ
อังกฤษ ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0 องศา เป็นเส้นเมริเดียนเริ่มแรก (Prime Meridian) เส้นเมริเดียนด้าน
ตะวันออกของเมืองกรีนิช เรียกว่า เส้นเมริเดียนตะวันออก มีค่า 0-180 องศา ส่วนเมริเดียนด้าน
ตะวันตกของเมืองกรีนิช เรียกว่า เส้นเมริเดียนตะวันตก มีค่า 0-180 องศาเท่ากัน ดังนั้น เส้นเมริเดียน
180 องศาตะวันตกและเส้นเมริเดียน 180 องศาตะวันออก จึงเป็นเส้นเดียวกัน และอยู่ตรงข้าม
เส้นเมริเดียนหลักพอดี เรียกว่า “เส้นวันที่สากล”
- พิกัดฉาก (Rectangular Coordinates) ได้แก่ เส้นขนาน 2 ชุด ที่มีระยะห่าง
เท่า ๆ กัน ตัดกันเป็นสี่เหลี่ยมมุมฉาก
4. ชื่อของแผนที่ คือ ชื่อที่บอกให้ทราบถึงชนิดของแผนที่นั้น ๆ เช่น แผนที่แสดงภูมิภาคของ
ประเทศไทย
5. ทิศ ซึ่งโดยปกติจะก�ำหนดให้ส่วนบนของแผนที่เป็นทิศเหนือ ส่วนล่างเป็นทิศใต้ ด้านขวา
ของแผนที่เป็นทิศตะวันออก และด้านซ้ายของแผนที่เป็นทิศตะวันตก
• ประโยชน์ของแผนที่
แผนที่มีประโยชน์ในการด�ำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ดังนี้
- ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน เช่น ใช้แสดงเส้นทางคมนาคม
- ใช้อธิบายลักษณะทางกายภาพ เช่น ภูเขา แม่น�้ำ ทะเล มหาสมุทร เพื่อศึกษาลักษณะ
และกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเปลือกโลก เช่น การกัดกร่อน การทับถม
- ใช้ในการรายงานปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น แผนที่แสดงอุณหภูมิ
- ใช้เพื่อศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ของลักษณะทาง
กายภาพกับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ รวมถึงลักษณะของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม
- ใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนสร้างระบบสาธารณูปโภค เช่น การวางสายไฟการสร้าง
เขื่อน วางท่อประปา
- ใช้ในการวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น แผนที่แสดงความหนาแน่น
ของประชากร แผนที่แสดงแหล่งปลูกพืชเศรษฐกิจ
- ใช้ในกิจการทหาร โดยน�ำไปเป็นข้อมูลในการวางแผนยุทธศาสตร์ เช่น การเลือกที่ตั้ง
ค่ายทหาร การทิ้งระเบิดโจมตีทางอากาศ
- ใช้ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเช่นใช้เป็นข้อมูลในการส�ำรวจและปักปันเขตแดน
- 7. 7
- ใช้ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพื้นที่ เช่น ศึกษาชนิด คุณภาพและการกระจายดิน ธรณี
วิทยา ป่าไม้
- ใช้ในด้านการท่องเที่ยว ด้านการวางแผนเดินทางหรือเลือกสถานที่ท่องเที่ยวได้สะดวก
- ใช้ในด้านการเรียนการสอน เป็นเครื่องมือหรือสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความ
สนใจในบทเรียนทางด้านภูมิศาสตร์
เครื่องมือและอุปกรณ์ในการศึกษาข้อมูลภูมิศาสตร์
รีโมตเซนซิง (Remote Sensing) หรือการส�ำรวจข้อมูลระยะไกล
• รีโมตเซนซิง (Remote Sensing) หรือการส�ำรวจข้อมูลระยะไกล คือ ระบบส�ำรวจบันทึก
ข้อมูลเกี่ยวกับผิวโลกด้วยเครื่องรับรู้ที่ติดไว้กับจานดาวเทียมหรือเครื่องบิน เครื่องรับรู้ตรวจจับคลื่น
พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่สะท้อนจากวัตถุบนผิวโลกหรือตรวจจับคลื่นที่ส่งไปและสะท้อนกลับมา หลัง
จากนั้นมีการแปลงข้อมูลเชิงตัวเลขซึ่งน�ำไปใช้แสดงเป็นภาพและท�ำแผนที่
ภาพที่ 5 แสดงกระบวนการรีโมตเซนซิง
แหล่งที่มา : http://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=2641
- 8. 8
ซึ่งข้อมูลที่ได้จากรีโมตเซนซิงในที่นี้หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากการถ่ายภาพทางเครื่องบินในระดับ
ต�่ำที่เรียกว่า “รูปถ่ายทางอากาศ (Aerial Photograph)” และข้อมูลที่ได้จากการบันทึกภาพจาก
ดาวเทียมในระดับสูง เรียกกว่า “ภาพจากดาวเทียม (Satellite Image)”
• รูปถ่ายทางอากาศ (Aerial Photograph)
รูปถ่ายทางอากาศ หมายถึง ภาพพื้นผิวโลกที่ถ่ายหรือบันทึกในระยะไกล โดยใช้เครื่องบินใน
การถ่ายภาพเป็นหลัก แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของข้อมูลในพื้นที่ได้เป็นบริเวณกว้าง (หน่วยงานที่
รับผิดชอบการผลิตรูปถ่ายทางอากาศคือ กรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม)
รูปถ่ายทางอากาศ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ
- รูปถ่ายดิ่ง เป็นรูปถ่ายโดยใช้แกนกล้องอยู่ในแนวดิ่ง หรือเกือบจะดิ่งกับพื้นผิวของลักษณะ
บนพื้นโลก สามารถน�ำมาศึกษาหรือดูภาพในลักษณะ 3 มิติได้
ภาพที่ 6 แสดงรูปถ่ายทางอากาศแนวดิ่ง
แหล่งที่มา : http://portal.rotfaithai.com/modules.php?
name=Forums&file=viewtopic&t=2953&postdays=0&postorder=asc&start=190
- รูปถ่ายเฉียง เป็นรูปที่ถ่ายโดยให้แกนกล้องเอียงจากแนวดิ่ง มี 2 ชนิด คือ รูปถ่ายเฉียงสูง
เป็นรูปถ่ายที่สามารถมองเห็นขอบฟ้าบนรูปถ่ายและรูปถ่ายเฉียงต�่ำเป็นรูปถ่ายที่ไม่ปรากฏขอบฟ้าบน
รูปถ่าย
- 9. 9
- ลักษณะของรูปถ่ายทางอากาศ
- รูปถ่ายทางอากาศโดยทั่วไปมีขนาด 9 x 9 นิ้ว มีทั้งภาพสีและขาวด�ำ
- รูปถ่ายทางอากาศถ่ายจากเครื่องบิน โดยมีกล้องถ่ายรูปติดอยู่ใต้เครื่องบิน
- รูปถ่ายทางอากาศทุกภาพจะมีส่วนเหลื่อมหน้า (Overlap) ประมาณร้อยละ 60 และมี
ส่วนเหลื่อมข้าง (Side lap) ประมาณร้อยละ 20-30 ของรูป เพื่อให้สามารถใช้ศึกษาข้อมูลด้วยกล้อง
3 มิติได้
- วิธีการศึกษาข้อมูลจากรูปถ่ายทางอากาศ
การศึกษาข้อมูลจากรูปถ่ายทางอากาศ สามารถท�ำได้ 2 วิธี คือ
- ศึกษาด้วยตาเปล่า โดยเหมาะกับการศึกษาพื้นที่ที่ไม่ซับซ้อน มีลักษณะเป็นพื้นราบ
และมีมาตราส่วนขนาดใหญ่
- ศึกษาด้วยกล้อง 3 มิติ เป็นกล้องประเภทเลนส์คู่ ผู้ใช้สามารถปรับระยะเลนส์ให้
เหมาะสมกับสายตาของแต่ละคนได้ โดยใช้รูปถ่าย 2 ใบที่ถ่ายต่อเนื่องกันและถ่ายซ้อนกัน ท�ำให้เห็น
ความสูง-ต�่ำของข้อมูล เหมาะกับการศึกษาลักษณะภูมิประเทศที่มีความสูง-ต�่ำ
ภาพที่ 7 แสดงรูปถ่ายทางอากาศแนวเฉียง
แหล่งที่มา : http://www.maceducation.com/e-knowledge/2503106100/01.htm
- 10. 10
- หลักเกณฑ์ในการแปลความหมายจากรูปถ่ายทางอากาศ
- รูปถ่ายทางอากาศที่ใช้ต้องเป็นรูปถ่ายที่ถ่ายต่อเนื่องกันและบนแนวบินเดียวกัน ถ่าย
ตอนท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆบัง
- การใช้กล้อง 3 มิติ ต้องเป็นผู้ที่มีสายตาปกติ
- โต๊ะหรือพื้นที่ที่วางกล้อง 3 มิติต้องเป็นแนวราบ และมีแสงสว่าง
- หลักการแปลความหมายต้องให้ผลใกล้เคียงกับสภาพจริงบนพื้นที่ให้มากที่สุด
- ต้องอาศัยความรู้จากหลาย ๆ ด้านมาช่วยในการแปลภาพและวิเคราะห์ เช่น ปริมาณ
ฝน ลักษณะอากาศ
- ต้องมีการออกสนามเพื่อนตรวจสอบความถูกต้องตามพื้นที่จริงในปัจจุบัน
- ประโยชน์ของรูปถ่ายทางอากาศ
- ด้านการวางผังเมือง ท�ำให้เห็นรายละเอียดภาพรวมของการใช้ที่ดินในเมือง เช่น ตึก
อาคารบ้านเมือง สถานที่ราชการ รวมถึงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า
- ด้านเกษตรกรรม ท�ำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ที่ดินในด้านเกษตรกรรมในรูปแบบ
ต่าง ๆ เช่น ท�ำนา ท�ำไร่ ท�ำส่วน ท�ำให้สามารถตรวจสอบพืชแต่ละชนิดในแต่ละพื้นที่ได้
- ด้านอุตสาหกรรม ท�ำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมในเขต
พื้นที่ต่างๆที่อาจน�ำไปใช้เป็นแนวทางเพื่อก�ำหนดการพัฒนาหรือแก้ปัญหาต่างๆด้านอุตสาหกรรมได้
- ด้านบริการ ท�ำให้ได้ข้อมูลของสถานที่และสิ่งก่อสร้าง สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น ห้าง
สรรพสินค้า ศูนย์การค้า ศูนย์บริการด้านการท่องเที่ยว สถานีต�ำรวจ ฯลฯ เพื่อใช้ข้อมูลการก�ำหนด
ขอบเขตในการวางแผนพัฒนาสถานที่ต่าง ๆ ต่อไป
- ด้านป่าไม้ ท�ำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับชนิดป่าไม้ ชนิดพืช สภาวะของป่าไม้ ขนาดพื้นที่ป่าไม้
ฯลฯ
- ด้านแหล่งน�้ำ ท�ำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับขนาดพื้นที่แหล่งน�้ำ ปริมาณน�้ำ มลพิษในน�้ำ
ความอุดมสมบูรณ์ของน�้ำ (สัตว์และพืชน�้ำ) รวมทั้งการค้นหาแหล่งน�้ำใต้ดิน
- ด้านการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ท�ำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการใช้ที่ดินและสิ่งแวดล้อม
ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อท�ำไร่เลื่อนลอย ผลเสียจากธรรมชาติ (แผ่นดินถล่ม
อุทกภัย แผนดินไหว สินามิ ฯลฯ)
- ใช้ในการท�ำแผนที่ ท�ำข้อมูลไปใช้ท�ำแผนที่ใหม่หรือปรับปรุงแผนที่เก่า
• ภาพถ่ายจากดาวเทียม (Satellite Image)
ภาพถ่ายจากดาวเทียม หมายถึง อุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลพื้นผิวโลกเป็นการถ่ายภาพใน
ระยะไกล โดยเฉพาะการส�ำรวจทรัพยากรธรรมชาติของโลก การพัฒนาด้านยานพาหนะดาวเทียม
การสื่อสารและเทคโนโลยีต่าง ๆ ช่วยให้ภาพถ่ายดาวเทียมมีความละเอียดสูงขึ้น สามารถศึกษาได้ด้วย