9789740336242
- 1. ATTORNEY AT LAW LICENSE
1ธีระศักดิ์ สุโชตินันท - คําฟองคดีแพง
คําฟองคดีแพง
สวนที่
1
คดีทางแพง คือคดีขอพิพาทที่มีขอขัดแยง หรือขอโตแยง หรือกลาวหากันเกี่ยวกับสิทธิ หรือหนาที่ของ
บุคคลตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวของ โดยเปนการกระทําของบุคคลใดบุคคล
หนึ่งหรือนิติบุคคลตามกฎหมายที่ทําใหเกิดความเดือดรอน รําคาญ กอความเสียหาย หรือละเมิดตอสิทธิที่มีอยู
ตามกฎหมายของบุคคลอื่น และไมสามารถตกลงกันได เปนคดีที่มีขอขัดแยง ซึ่งผูไดรับความเสียหายฟอง
บุคคลอื่นที่เปนเหตุแหงขอขัดแยงเปนจําเลยซึ่งศาลจะนัดชี้สองสถานกําหนดประเด็นขอพิพาท สืบพยาน และ
มีคําพิพากษา เรียกวา “คดีมีขอพิพาท” อยางหนึ่ง เชน ละเมิดตอสิทธิในทรัพยสิน สิทธิในชีวิต รางกาย สิทธิ
ในสิทธิในครอบครัว สิทธิในเกียรติยศ ชื่อเสียง กับคดีที่บุคคลจําเปนตองใชสิทธิทางศาล รองขอตอศาล
เพื่อใหรับรองคุมครองสิทธิของตน โดยเปนกรณีที่กฎหมายกําหนดไว ใหการกระทําบางอยาง หรือการใชสิทธิ
บางอยางจําตองไดรับอนุญาต หรือไดรับการรับรองจากศาลกอน เปนคดีที่ผูรองไมตองฟองใครเปนจําเลย
แตจําเปนตองเสนอเรื่องราวของตนตอศาล เพื่อขอใหศาลมีคําสั่งใหกระทําการอยางใดอยางหนึ่ง หรืองดเวน
กระทําการอยางใดอยางหนึ่ง หากมีคําสั่งศาลแลวไมอาจจะกระทําได ซึ่งกฎหมายกําหนดใหเสนอเรื่องราว
หรือยื่นฟองโดยทําเปนคํารอง ผูนั้นเพียงแตยื่นคํารองตอศาลแสดงเหตุผลแหงความจําเปน และความตองการ
โดยศาลจะนัดไตสวนคํารองของผูรองและมีคําสั่ง เรียกวา “คดีไมมีขอพิพาท” หรือ “คดีฝายเดียว” อีกอยางหนึ่ง
เชน การขอเปนผูจัดการมรดกของผูตาย การขอใหศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถ การขอใหศาลแสดงกรรมสิทธิ์
ที่ดินโดยการครอบครองปรปกษ และหากการเสนอคํารองนั้นไปกระทบสิทธิหรือโตแยงสิทธิของบุคคลอื่นบุคคล
ที่ถูกกระทบ หรือถูกโตแยงสิทธินั้นอาจโตแยง คัดคานคํารองเขามาเปนคูความในคดี มีผลทําใหคดีไมมีขอพิพาทนี้
กลายเปนคดีที่มีขอพิพาททันที
หลักการทําคําฟองคดีแพงไดกลาวไวในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง ดังนี้
มาตรา 1 (3) “คําฟอง” หมายความวา “กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทกไดเสนอขอหาตอศาลไมวาจะ
ไดเสนอดวยวาจาหรือทําเปนหนังสือ ไมวาจะไดเสนอตอศาลชั้นตน หรือชั้นอุทธรณหรือฎีกา ไมวาจะไดเสนอ
ในขณะที่เริ่มคดีโดยคําฟองหรือคํารองขอหรือเสนอในภายหลังโดยคําฟองเพิ่มเติมหรือแกไข หรือฟองแยง หรือโดย
สอดเขามาในคดีไมวาดวยสมัครใจ หรือถูกบังคับ หรือโดยมีคําขอใหพิจารณาใหม”
หลักการเขียน
001Pang.indd 1 8/6/2560 19:44:19
- 2. ATTORNEY AT LAW LICENSE
2 เตรียมสอบใบอนุญาตใหเปนทนายความ
กรณีที่ถือวาเปนคําฟอง คือ ฟองเมื่อเริ่มคดี คํารองขอแกไขเพิ่มเติมฟอง ฟองแยง คํารองสอด อุทธรณ
ฎีกาและคํารองขอใหพิจารณาคดีใหม
การที่จะถือเปนคําฟองตองเปนกระบวนพิจารณาที่โจทกไดเสนอขอหาตอศาลหากมิใชการเสนอขอหา
ตอศาลก็ไมถือเปนคําฟอง เชน คํารองของคูความที่ขอใหเรียกบุคคลภายนอกเขามาเปนคูความรวมไมมีลักษณะ
เปนคําฟอง
มาตรา 55 “เมื่อมีขอโตแยงเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหนาที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพง หรือบุคคล
ใดจะตองใชสิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนตอศาลสวนแพงที่มีเขตอํานาจได ตามบทบัญญัติ
แหงกฎหมายแพงและประมวลกฎหมายนี้” มาตรานี้เปนบทบัญญัติเรื่อง “อํานาจฟอง” มีหลักเกณฑดังนี้
1. ผูที่จะเปนคูความจะตองเปนบุคคลซึ่งหมายถึงบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลถาไมเปนบุคคลก็ไม
สามารถเปนคูความ (หมายถึง ผูยื่นคําฟองหรือผูถูกฟองตอศาล) ได นิติบุคคลแยกออกไดเปน 2 ประเภท คือ
นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ไดแก สมาคม มูลนิธิ หางหุนสวนสามัญจดทะเบียนหางหุน
สวนจํากัด และบริษัทจํากัด นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายอื่น ไดแก สวนราชการ คือ กระทรวง ทบวง กรม
ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผนดิน และพระราชบัญญัติจัดตั้งหนวยงานของรัฐตาง ๆ การ
เปนนิติบุคคลประเภทนี้จะตองมีกฎหมายรองรับใหมีสถานะเปนนิติบุคคล หากไมมีสถานะเปนนิติบุคคลก็ไม
สามารถเปนคูความได กองทัพบก กองทัพเรือ หรือกองทัพอากาศ เปนนิติบุคคลโดยมีฐานะเปนกรม แตหนวย
งานที่สังกัดกองทัพบก กองทัพเรือ หรือกองทัพอากาศดังกลาว แมจะเรียกวากรม เชน กรมพระธรรมนูญ ก็ไมได
มีฐานะเปนกรมตามกฎหมายจึงไมเปนนิติบุคคล เชนเดียวกันกับศาลตาง ๆ เชน ศาลฎีกา ศาลอุทธรณ ศาลแพง
ก็ไมมีสถานะเปนนิติบุคคล หากมีขอพิพาทเกิดขึ้นตองใหสํานักงานเลขาธิการศาลยุติธรรมซึ่งเปนนิติบุคคล
เปนผูดําเนินการ สวนคณะบุคคลตาง ๆ เชน คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ไมมีสถานะเปนนิติบุคคล
จึงไมสามารถเปนคูความในคดีได ถาจะเปนคูความตองดําเนินการในนามของบุคคล หรือในฐานะบุคคลที่เปน
กรรมการนั้น นอกจากนี้หากคณะกรรมการตาง ๆ นั้น กระทําในนามของหนวยงานใดก็สามารถฟองหนวยงาน
นั้นได หากหนวยงานนั้นเปนนิติบุคคล โดยไมจําเปนตองฟองผูที่เปนกรรมการ
คําพิพากษาฎีกาที่ 3625/2546 โจทกเปนหางหุนสวนสามัญมิไดจดทะเบียนเปนนิติบุคคล และไมมี
กฎหมายใดกําหนดใหโจทกเปนนิติบุคคล โจทกจึงไมใชบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล และไมอาจเขามาเปน
คูความในคดีได โจทกจึงไมมีอํานาจฟอง ปญหาเรื่องอํานาจฟองเปนเรื่องอันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของ
ประชาชนแมจําเลยจะมิไดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได
2. วิธีการเสนอคดีตอศาล คือตองมีการโตแยงสิทธิหรือหนาที่ หรือตองใชสิทธิทางศาล แยกพิจารณา
ไดดังนี้
2.1กรณีมีการโตแยงสิทธิหรือโตแยงหนาที่เปนคดีที่ตองทําเปนคําฟองเปนคดีที่มีขอพิพาทการที่จะ
พิจารณาวามีการโตแยงสิทธิหรือไม ตองดูวาใครมีสิทธิหรือมีหนาที่อยูกอนหรือไม ตามกฎหมายในสวนสารบัญญัติ
เพราะถาไมมีสิทธิหรือหนาที่ตามกฎหมายในสวนสารบัญญัติขอโตแยงก็เกิดขึ้นไมได การฟองคดีตามกฎหมาย
วิธีพิจารณานั้นเปนกระบวนการที่จะทําใหสิทธิหนาที่ที่มีอยูตามกฎหมายในสวนนั้น
001Pang.indd 2 8/6/2560 19:44:20
- 3. ATTORNEY AT LAW LICENSE
3ธีระศักดิ์ สุโชตินันท - คําฟองคดีแพง
ในกรณีที่มีสิทธิ ตองดูวาเปนสิทธิของใคร และสิทธิตามที่กฎมายบัญญัตินั้นบางอยางเปนสิทธิใชยัน
บุคคลไดทั่วไป สิทธิบางอยางใชยันไดเฉพาะบางคนเทานั้น สิทธิของบุคคลที่สามารถจะใชยันบุคคลทั่วไป เชน
สิทธิเกี่ยวกับเสรีภาพ สิทธิในทรัพยสิน สวนสิทธิบางประเภทที่เกิดขึ้นโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายใน
ลักษณะของนิติกรรม ไมกวางขวางไปใชยันกับบุคคลอื่นได จะใชยันไดแตเฉพาะคูกรณีในนิติกรรมนั้น ๆ เทานั้น
สิทธิและหนาที่ที่มีอยูนั้นอาจเปนของบุคคลคนเดียวหรือหลายคน เชน เจาของรวม เจาหนี้รวม ลูกหนี้
รวม หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดอาจมีฐานะหลายฐานะนอกจากฐานะของตัวเองแลว อาจมีฐานะอื่นอยูดวย เชน
ฐานะของผูแทนโดยชอบธรรม หรือฐานะของผูแทนนิติบุคคล จึงตองพิจารณากอนวา สิทธิและหนาที่ของบุคคล
นั้นมีสิทธิและหนาที่ในฐานะใด หากนําสิทธิในฐานะหนึ่งมาใชในอีกฐานะหนึ่ง ตองถือวาฐานะนั้นไมมีสิทธิ เชน
นายชาติเปนผูจัดการของบริษัท นายชาติจึงมีสองฐานะ ฐานะสวนตัวกับฐานะของผูจัดการบริษัท ถามีขอโตแยง
สิทธิของบริษัท นายชาติตองใชสิทธิในฐานะผูจัดการซึ่งเปนผูแทนของบริษัท หากใชสิทธิในฐานะสวนตัว ตองถือ
วานายชาติไมมีอํานาจ เมื่อพิจารณาดูตามสิทธิถูกตองตามฐานะแลว ตองพิจารณาตอไปวามีการกระทําหรืองด
เวนการกระทําอยางหนึ่งอยางใดที่ทําใหสิทธิหนาที่ของบุคคลนั้นถูกกระทบกระเทือนอันจะทําใหเกิดความเสีย
หายในทางหนึ่งทางใดหรือไม และใครเปนผูกระทําหรืองดเวนการกระทํานั้น หลักการสําคัญที่จะตองพิจารณา
อยูที่วาเมื่อมีการกระทําหรืองดเวนการกระทําใดๆที่บุคคลนั้นไมสามารถที่จะขจัดปดเปาดวยลําพังตนเองไดแลว
จึงจะเรียกวาเปนการกระทําที่เปนการโตแยงสิทธิหรือหนาที่ การกระทําบางอยางไมใชถือวาเปนการถูกโตแยงสิทธิ
หรือหนาที่ทุกอยางไป ตองมีขนาดของการกระทําวาจะกอใหเกิดความเสียหายแกผูทรงสิทธินั้นหรือไม หากวา
การกระทําที่เจาของสิทธิสามารถปดเปาเองไดโดยไมตองอาศัยใคร ในทางกฎหมายไมถือวาเปนการโตแยงสิทธิ
หรือหนาที่ถึงขนาดที่จะตองมาใชสิทธิทางศาล กรณีที่มีการฟองคดีเพราะเหตุมีการโตแยงสิทธิหรือหนาที่นี้เมื่อ
ศาลพิจารณาคดีเสร็จ หากเปนกรณีที่ศาลจะวินิจฉัยในเนื้อหาของคดีแลว ศาลจะทําเปนคําพิพากษา ฉะนั้นคดี
ประเภทนี้จึงเริ่มตนดวยคําฟอง และสวนใหญจบลงดวยคําพิพากษา
คําพิพากษาฎีกาที่ 2204/2542 แมขณะเกิดเหตุโจทกไมใชเจาของรถยนตโดยสารคันพิพาท แตโจทก
เชารถยนตคันพิพาทจากบริษัท โจทกยอมมีสิทธิครอบครองใชประโยชนจากรถยนตที่เชามาและมีหนาที่ตอง
สงคืนรถยนตในลักษณะที่เรียบรอยแกผูใหเชา เมื่อรถยนตคันที่โจทกเชามาถูกเฉี่ยวชนไดรับความเสียหาย โจทก
ยอมเปนผูเสียหายและมีอํานาจฟองได
คําพิพากษาฎีกาที่ 5039-5041/2532 การที่จําเลยนําชี้ใหเจาพนักงานศาลทําแผนที่พิพาทในคดีอื่น
วาที่ดินพิพาทในคดีนี้เปนของจําเลยและมรดกของสามีจําเลยคนละครึ่งนั้น การกระทําของจําเลยเปนการโตแยง
สิทธิของโจทกแลว
คําพิพากษาฎีกาที่ 2850/2541 ขณะเกิดเพลิงไหม โจทกยังชําระราคาที่ดินและโรงสีขาวใหแกผูซื้อ
ไมครบตามสัญญา ผูซื้อจึงยังมิไดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ใหแกโจทก แตโจทกไดเขาครอบครองทําประโยชน
ในที่ดินและโรงสีขาวดังกลาวตั้งแตวันทําสัญญาซื้อขายแลว โจทกจึงเปนผูมีสวนไดเสียในโรงสีขาวดังกลาว เมื่อ
โรงสีขาวเกิดเพลิงไหม โจทกยอมไดรับความเสียหาย ถือวาโจทกถูกโตแยงสิทธิในทรัพยนั้นแลว ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 55 โจทกจึงมีอํานาจฟองจําเลยทั้งเจ็ดซึ่งเปนผูเชาใหรับผิดได
001Pang.indd 3 8/6/2560 19:44:21
- 4. ATTORNEY AT LAW LICENSE
4 เตรียมสอบใบอนุญาตใหเปนทนายความ
2.2 กรณีจะตองใชสิทธิทางศาล เปนคดีที่ตองทําเปนคํารองขอ เปนคดีไมมีขอพิพาท การใชสิทธิทางศาล
ตองมีกฎหมายบัญญัติใหตองใชสิทธิทางศาลในเรื่องนั้น เชน การรองขอครอบครองปรปกษตามประมวลกฎหมาย
แพงและพาณิชย มาตรา 1382 การรองขอตั้งผูจัดการมรดกเปนตน ดังนั้น การเสนอคดีในกรณีบุคคลใดจะตองใช
สิทธิทางศาลนั้น มิไดหมายความวาจะใชสิทธิทางศาลไดตามอําเภอใจแตเปนเรื่องที่ตองพิจารณาวามีกฎหมาย
สารบัญญัติสนับสนุนวาเปนเรื่องจําเปนจะตองใชสิทธิทางศาล เพื่อรับรองหรือคุมครองสิทธิของตนที่มีอยูหรือ
ไมดวยคดีไมมีขอพิพาท ซึ่งเริ่มตนคดีดวยคํารองขอ ศาลวินิจฉัยคดีโดยทําเปนคําสั่ง
คําพิพากษาฎีกาที่ 1150/2517 ผูไดมาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดตามประมวลกฎหมายแพงและ
พาณิชย มาตรา 1382 มีสิทธิยื่นคํารองขอฝายเดียวเพื่อใหศาลไตสวนแสดงวาตนมีกรรมสิทธิ์เฉพาะสวนในโฉนดนั้น
ไดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 188
คําพิพากษาฎีกาที่ 1537/2514 การขอใหเพิกถอนมติที่ประชุมใหญอันผิดระเบียบตามประมวลกฎ
หมายแพงและพาณิชย มาตรา 1195 นั้น จะทําเปนคํารองขออยางคดีไมมีขอพิพาท หรือฟองเปนคดีขอพิพาท
ก็ได
คําพิพากษาฎีกาที่8504/2544การฟองขอใหรับเด็กเปนบุตรตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 1555 หากบิดายังมีชีวิตอยูตองเสนอคดีอยางคดีขอพิพาท คือฟองบิดาเปนจําเลยโดยทําเปนคําฟองตาม
มาตรา 172 หากบิดาถึงแกความตายแลว ก็ชอบที่เสนอคดีอยางคดีไมมีขอพิพาทโดยทําเปนคํารองขอตาม มาตรา
188 (1)
ในการเสนอคดีตอศาล ไมวาคดีมีขอพิพาทหรือคดีไมมีขอพิพาท ยังมีขอพิจารณาเพิ่มเติมอีก คือ
1) ผูเสนอคดีใชสิทธิโดยสุจริตหรือไม ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 5 ที่วา
“ในการใชสิทธิแหงตนก็ดี ในการชําระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนตองกระทําโดยสุจริต” แตถาเปนการใชสิทธิโดยไม
สุจริตแลวผูเสนอคดียอมไมมีอํานาจฟอง
คําพิพากษาฎีกาที่ 3077/2531 โจทกสงของออกนอกราชอาณาจักรโดยมิไดเสียภาษีอากรอันเปนการ
กระทําผิดตอพระราชบัญญัติศุลกากรเปนเหตุใหจําเลยผูขนสงไมอาจออกใบตราสงใหโจทกได การที่โจทกนํา
คดีมาฟองเรียกคาเสียหายเนื่องจากจําเลยไมออกใบตราสงใหจึงเปนการใชสิทธิโดยไมสุจริต
2) เมื่อมีกฎหมายกําหนดไวเปนพิเศษวาจะฟองใครไดหรือไมไดอยางไรก็ตองเปนไปตามกฎหมายนั้น
เชน พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ 2535 มาตรา 5 บัญญัติวา “หนวยงานของรัฐ
ตองรับผิดตอผูเสียหายในผลแหงละเมิดที่เจาหนาที่ของตนไดกระทําในการปฏิบัติหนาที่ในกรณีนี้ผูเสียหายอาจ
ฟองหนวยงานของรัฐดังกลาวไดโดยตรง แตจะฟองเจาหนาที่ไมได ถาการละเมิดเกิดจากเจาหนาที่ซึ่งไมสังกัด
หนวยงานของรัฐแหงใด ใหถือวากระทรวงการคลังเปนหนวยงานของรัฐที่ตองรับผิดชอบตามวรรคหนึ่ง”
จะเห็นวาถามีการกระทําการละเมิดของเจาหนาที่ของรัฐกอใหเกิดความเสียหายตอบุคคลใด ถึงแม
ตามกฎหมายจะถือวาเจาหนาที่ของรัฐนั้นเปนผูโตแยงสิทธิของผูที่ไดรับความเสียหายจากการกระทําละเมิด
นั้นก็ตาม ผูเสียหายจะฟองเจาหนาที่เปนการสวนตัวไมไดจะตองฟองหนวยงานที่เจาหนาที่นั้นสังกัดอยูตามที่
บัญญัติไวในมาตรา 5 นี้ จะพิจารณาเฉพาะมาตรา 55 อยางเดียวไมได
001Pang.indd 4 8/6/2560 19:44:21
- 5. ATTORNEY AT LAW LICENSE
5ธีระศักดิ์ สุโชตินันท - คําฟองคดีแพง
การเสนอคดีตอศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 55 จะตองเสนอคดีของตน
ตอศาลสวนแพงที่มีเขตอํานาจ ซึ่งจะตองพิจารณาเรื่องเขตอํานาจศาล ซึ่งการเสนอคําฟองบอกไวในมาตรา 2
“หามมิใหเสนอคําฟองตอศาลใด เวนแต
(1)เมื่อไดพิจารณาถึงสภาพแหงคําฟองและชั้นของศาลแลว ปรากฏวาศาลนั้นมีอํานาจที่จะพิจารณา
พิพากษาคดีนั้นไดตามบทบัญญัติแหงกฎหมายวาดวยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และ
(2) เมื่อไดพิจารณาถึงคําฟองแลว ปรากฏวาคดีนั้นอยูในเขตศาลนั้นตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมาย
นี้วาดวยศาลที่จะรับคําฟอง และตามบทบัญญัติแหงกฎหมายที่กําหนดเขตศาลดวย”
ตามมาตรา 2 นี้ มีขอที่จะตองพิจารณา 2 สวนคือ
1. เรื่องอํานาจศาล ซึ่งหมายถึงอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม และผูพิพากษาตามพระ
ธรรมนูญศาลยุติธรรม และตามบทบัญญัติที่จัดตั้งศาลชํานัญพิเศษตาง ๆ เชน อํานาจพิจารณาพิพากษาของศาล
จังหวัด ศาลแขวง ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน เปนตน โดยพิจารณาไดจาก
1.1 สภาพแหงคําฟอง หมายถึง ลักษณะของคดีที่โจทกประสงคจะบังคับวาเปนคดีที่มีทุนทรัพย ถามี
ทุนทรัพยแลวทุนทรัพยเทาใด ซึ่งพิจารณาไดจากตัวคําฟองของโจทก หรือคํารองขอและคําใหการของจําเลย
หรือคํารองคัดคาน
คดีมีทุนทรัพย หมายถึง คดีที่มีคําขอปลดเปลื้องทุกขอันอาจคํานวณเปนราคาเงินได คดีเชนนี้จะตองมี
คําขอบังคับที่คํานวณไดเปนตัวเงินที่แนนอนในคําฟอง เชน คดีฟองเรียกหนี้เงินกู
คดีไมมีทุนทรัพย หมายถึง คดีที่มีคําขอปลดเปลื้องทุกขอันไมอาจคํานวณเปนราคาเงินได เชน คดีฟอง
ขอใหเปดทางการภารจํายอม
สภาพแหงคําฟองนี้ มีความสําคัญตอการเสนอคําฟองไมวาในชั้นศาลใด ดังจะเห็นไดในกรณีการเสนอ
คดีในศาลชั้นตนก็ตองดูวาสภาพของคดีที่ฟองนั้นอยูในอํานาจของศาลแขวง หรือศาลจังหวัด ศาลที่มีอํานาจ
พิจารณาคดีแพง หรือคดีอาญา หรือศาลชํานัญพิเศษ หรือศาลพิเศษ หรือศาลในระบบอื่น
1.2 ชั้นของศาล ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมซึ่งแบงศาลออกเปน 3 ชั้น คือ ศาลชั้นตน ศาลอุทธรณ
ศาลฎีกา การเสนอคดีหรือฟองคดีครั้งแรกนั้นจะตองเริ่มคดีที่ศาลชั้นตนตามที่บัญญัติไวในมาตรา 170 วรรคหนึ่งวา
“หามมิใหฟอง พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเปนครั้งแรกในศาล หรือโดยศาลอื่นนอกจากศาลชั้นตน เวนแตจะมี
กฎหมายบัญญัติไวชัดแจงเปนอยางอื่น”
2. เรื่องเขตศาล หมายถึง พื้นที่ทางภูมิศาสตรที่ศาลนั้นจะใชอํานาจไดตามที่กําหนดไวในเรื่องอํานาจ
ศาลตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งในมาตรา 15 ไดบัญญัติเปนหลักการไววา หามมิใหศาลใชอํานาจนอก
เขตศาล ดังนั้นจึงตองดูวาแตละศาลนั้นมีเขตอํานาจของตนครอบคลุมไปถึงทองที่ใดในทางภูมิศาสตร หลักใหญ
ก็ตองอยูในมาตรา 36 แหงพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้น ๆ ในการแบงเขตจะถือ
หลักตามเขตการปกครอง ศาลที่จะยื่นฟองหรือเสนอคําฟองตองพิจารณาตามมาตรา 3, 4, 4 ทวิ, 4 ตรี, 4 จัตวา,
4 เบญจ, 4 ฉ, 5 และ 7 ซึ่งยังตองพิจารณาเปนคดีไมมีขอพิพาท (จะไมกลาวถึงในสวนตรงนี้ไปเปนอีกเรื่องหนึ่ง)
และคดีมีขอพิพาท
001Pang.indd 5 8/6/2560 19:44:22
- 6. ATTORNEY AT LAW LICENSE
6 เตรียมสอบใบอนุญาตใหเปนทนายความ
ในคดีมีขอพิพาทนั้นเบื้องตนใหพิจารณาวาเปนคําฟองเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย หรือสิทธิหรือประโยชน
อันเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพยหรือไม ถาเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย ตองพิจารณาตามมาตรา 4 ทวิ ที่บัญญัติวา
“คําฟองเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย หรือสิทธิหรือประโยชนอันเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย ใหเสนอตอศาลที่
อสังหาริมทรัพยนั้นตั้งอยูในเขตศาล ไมวาจําเลยจะมีภูมิลําเนาอยูในราชอาณาจักรหรือไม หรือตอศาลที่จําเลย
มีภูมิลําเนาอยูในเขตศาล” ศาลที่จะยื่นคําฟองคดีประเภทนี้ คือ ศาลที่อสังหาริมทรัพยตั้งอยู หรือศาลที่จําเลย
มีภูมิลําเนา
โดยโจทกสามารถยื่นฟองตอศาลหนึ่งศาลใดตามที่กลาวขางตนไดโดยไมตองยื่นคํารองขออนุญาต และ
ไมตองคํานึงถึงวาโจทกจะเปนคนสัญชาติใด และมีภูมิลําเนาอยูในราชอาณาจักรหรือไม แตตองเปนกรณีที่เปน
คดีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพยเทานั้น คําวาอสังหาริมทรัพยก็มีความหมายตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
มาตรา 100 สําหรับสังหาริมทรัพยบางประเภทถึงแมจะมีบทบัญญัติของกฎหมายใหมีทะเบียนก็ไมถือวาเปน
อสังหาริมทรัพย การฟองคดีเกี่ยวกับสังหาริมทรัพยประเภทที่ตองมีทะเบียนจึงไมอยูในบังคับของมาตรานี้ อาจมี
กรณีที่ศาลซึ่งมีเขตอํานาจมีหลายศาลโจทกตองเลือกฟองที่ศาลใดศาลหนึ่ง หากโจทกฟองคดีเดียวกันหลาย
ศาลถือวาเปนการฟองซอน
คําพิพากษาฎีกาที่ 1115/2523 คดีฟองขอใหบังคับจําเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะ
ขายเปนคดีเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย
คําพิพากษาฎีกาที่ 1134/2513 ฟองขับไลจําเลยออกจากบานพิพาทและใหใชคําเสียหาย เปนคําฟอง
เกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพยตามมาตรา 4 ทวิ
คําพิพากษาฎีกาที่ 2098/2519 ฟองใหเพิกถอนการซื้อขายที่ดินที่ทําโดยไมมีอํานาจเปนที่ดินที่โจทก
ไดรับมาตามพินัยกรรมเปนการฟองเรียกที่ดินคืน เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย
คําพิพากษาฎีกาที่ 1491/2519 กรรมการบริษัทใหเชาอาคารของบริษัทโดยไมมีอํานาจบริษัทใชอาคาร
ไมไดบริษัทฟองขับไลผูเชา เปนคดีละเมิดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพยไมใชกรณีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเชา จึงตองฟอง
ศาลในเขตที่ทรัพยตั้งอยู
สําหรับคําฟองที่ไมเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพยหรือสิทธิหรือประโยชนอันเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย เชน
การฟองเรียกเงินที่ชําระไปตามสัญญาซื้อขายทรัพยคืน ฟองเรียกมัดจําที่ไดชําระไปตามสัญญาจะซื้อจะขาย
ฟองเรียกคาซื้อที่ดินที่คางชําระ มิใชคําฟองเกี่ยวดวยทรัพยหรือสิทธิหรือประโยชนใด ๆ อันเกี่ยวกับทรัพยที่
ซื้อขายไมเขามาตรา 4 ทวิ
คําพิพากษาฎีกาที่ 955/2537 คําฟองขอใหบังคับจําเลยไปถอนคําคัดคานการขอโอนมรดกที่โจทกยื่น
คํารองไวตอเจาพนักงานที่ดิน มิไดบงถึงการที่จะบังคับแกตัวทรัพยที่ดิน จึงไมใชคําฟองเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย
หรือสิทธิหรือประโยชนใด ๆ อันเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย
คําพิพากษาฎีกาที่1599/2529คําฟองกลาวหาวาจําเลยผิดสัญญาใหชดใชคาเสียหายแมเปนสัญญา
วางมัดจําซื้อที่ดินและวาจางกอสรางอาคาร เมื่อคําฟองมิไดบงถึงการที่จะบังคับแกตัวทรัพยคือที่ดินและอาคาร
ที่ปลูกสราง จึงไมเปนคําฟองเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพยสิทธิหรือประโยชนใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย
001Pang.indd 6 8/6/2560 19:44:23
- 7. ATTORNEY AT LAW LICENSE
7ธีระศักดิ์ สุโชตินันท - คําฟองคดีแพง
คําฟองเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย นอกจากจะฟองตอศาลที่อสังหาริมทรัพยตั้งอยูไดแลว โจทกก็ยังอาจ
เลือกฟองตอศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาลไดดวย คําวา “ภูมิลําเนา” มีความหมายตามที่บัญญัติไวใน
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 37 ถึง 47 สวนภูมิลําเนาของนิติบุคคลก็ตองถือตาม มาตรา 68 และ
69 ถาคําฟองนั้นไมเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย ที่เรียกวา คําฟองเกี่ยวดวยหนี้เหนือบุคคล ตองพิจารณาตาม
มาตรา 4 (1) ที่บัญญัติวา “เวนแตจะมีบทบัญญัติเปนอยางอื่น (1) คําฟอง ใหเสนอตอศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนา
อยูในเขตศาล หรือตอศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไมวาจําเลยจะมีภูมิลําเนาอยูในราชอาณาจักรหรือไม” คือ
ใชแกการเสนอคําฟองที่ไมอยูในบังคับของมาตรา 4 ทวิ ถึงมาตรา 4 ฉ หากคําฟองหรือคํารองขอใดตองดวย
กรณีใดตามบทบัญญัติดังกลาว ก็ตองเสนอตอศาลตามที่บัญญัติไวในบทมาตรานั้น ๆ จะเสนอคดีตอศาลตาม
มาตรา 4 นี้ไมได ศาลที่จะยื่นคําฟองประเภทนี้ คือ ศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนา หรือศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น เชน
คดีฟองเรียกหนี้เงินกู คดีเชาซื้อ คดีซื้อขายสังหาริมทรัพยหนี้เหนือบุคคลที่เกิดจากสัญญา หากสัญญาเกิดขึ้นที่ใด
ถือวามูลคดีเกิดขึ้นที่ดังกลาว เชนเดียวกันหนี้ที่เกิดจากการละเมิด เหตุละเมิดเกิดขึ้นที่ใดก็ถือวามูลคดีเกิดที่นั้น
* กรณีเชาซื้อ
คําพิพากษาฎีกาที่534/2540เมื่อสัญญาเชาซื้อและสัญญาคํ้าประกันพิมพขอความครบถวนที่ภูมิลําเนา
ของบริษัทโจทกที่เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เทากับไดจัดทําเอกสารดังกลาวขึ้น ณ สถานที่นั้น และกรรมการ
ของโจทกลงนามสนองรับคําเสนอของจําเลยที่ภูมิลําเนาของโจทกจึงเกิดสัญญาขึ้น มูลคดีในการทําสัญญาเชา
ซื้อและสัญญาคํ้าประกัน จึงเกิดขึ้นที่ภูมิลําเนาของโจทกอันอยูในเขตอํานาจของศาลแพงกรุงเทพใต
* กรณีซื้อขาย
คําพิพากษาฎีกาที่ 5483/2540 จําเลยตกลงซื้อปลาจากแพปลาของโจทกในจังหวัดสงขลา เพื่อให
สงปลาไปใหจําเลยที่จังหวัดภูเก็ต สัญญาซื้อขายเกิดขึ้นที่จังหวัดสงขลา สวนจังหวัดภูเก็ตเปนสถานที่สงและรับ
มอบสินคา เมื่อจําเลยผิดสัญญา มูลความแหงคดีจึงเกิดขึ้นเนื่องจากสัญญาซื้อขายดังกลาว ศาลจังหวัดสงขลา
จึงเปนศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลยอมมีอํานาจรับฟองคดีไวพิจารณาพิพากษาไดตามมาตรา 4 (1)
* กรณีสัญญาประกันภัย
คําพิพากษาฎีกาที่ 922/2542 ตัวแทนหรือพนักงานของจําเลยไปอธิบายรายละเอียดผลประโยชนและ
เงื่อนไขของกรมธรรมให ท. ฟงที่บานในเขตทองที่อําเภอวังนํ้าเย็น จังหวัดปราจีนบุรี อยูในเขตอํานาจของศาล
จังหวัดกบินทรบุรีซึ่งเปนภูมิลําเนาของ ท. เมื่อ ท. ฟงคําอธิบายแลวจึงตกลงใจเอาประกันชีวิตกับจําเลยโดยลง
ลายมือชื่อในคําขอเอาประกันชีวิต แลวไดสงคําขอเอาประกันชีวิตไปใหสํานักงานใหญของจําเลย และจําเลย
ตกลงรับประกันชีวิตของ ท. มูลคดีจากการทําสัญญาประกันชีวิตเกิดที่ภูมิลําเนาของ ท. ดวยโจทกมีอํานาจฟอง
จําเลยตอศาลจังหวัดกบินทรบุรีไดตามมาตรา 4 (1)
* กรณีขายลดตั๋วเงิน
คําพิพากษาฎีกาที่ 7212/2545 โจทกฟองขอใหจําเลยชําระเงินตามเช็คโดยบรรยายฟองวาจําเลยที่ 2
นําเช็คที่จําเลยที่ 1 สั่งจาย มาแลกเงินสดจากโจทก เมื่อเช็คถึงกําหนดโจทกไดนําไปเขาบัญชีที่ธนาคารสาขา
ชุมแพ จังหวัดขอนแกน เพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจายเงินและโจทกระบุสถานที่ตั้งบริษัทโจทกที่
001Pang.indd 7 8/6/2560 19:44:23
- 8. ATTORNEY AT LAW LICENSE
8 เตรียมสอบใบอนุญาตใหเปนทนายความ
จังหวัดขอนแกน มิไดบรรยายถึงสถานที่ตั้งแหงอื่นอีก สถานที่จําเลยที่ 2 นําเช็คมาแลกเงินสดจึงไดแก สถานที่
ที่ตั้งของโจทกซึ่งอยูในจังหวัดขอนแกน ศาลจังหวัดขอนแกนมีอํานาจรับฟองคดีของโจทกไวพิจารณาไดตาม
มาตรา 4 (1)
* กรณีสัญญาประกันชีวิต
คําพิพากษาฎีกาที่ 572/2549 จ. มีภูมิลําเนาอยูอําเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ไดติดตอผาน ว. นาย
หนาขายประกันชีวิตของบริษัทจําเลยซึ่งมีภูมิลําเนาอยูที่จังหวัดตราด โดย ว. เปนผูกรอกขอความลงในใบคําขอ
เอาประกันชีวิตให จ. ลงลายมือชื่อในฐานะผูขอเอาประกันภัย แลวสงเอกสารนั้นไปใหจําเลยซึ่งมีสํานักงานอยูที่
กรุงเทพมหานคร พิจารณารับคําขอเอาประกันชีวิตและออกกรมธรรมใหดังนี้ การเริ่มตนทําสัญญาประกันชีวิต
จึงเกิดขึ้นที่จังหวัดตราด กรณีถือไดวามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดตราดอีกแหงหนึ่งดวย โจทกจึงมีอํานาจ
ฟองคดีตอศาลจังหวัดตราดไดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง
* กรณีฟองหยา
คําพิพากษาฎีกาที่ 4443/2546 การที่โจทกจะเสนอคําฟองตอศาลใดตองเปนไปตามบทบัญญัติ มาตรา
4 (1) คือ เสนอตอศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาลหรือตอศาลที่มูลคดี เกิดขึ้น ในเขตศาลไมวาจําเลยจะ
มีภูมิลําเนาอยูในราชอาณาจักรหรือไม ซึ่งคําวา “มูลคดีเกิด” ยอมหมายถึงตนเหตุอันเปนที่มาของคําฟอง
คดีนี้โจทกฟองหยาจําเลยตน เหตุของคําฟองคือเหตุหยา สวนการจดทะเบียนสมรสเปนตนเหตุของความเปน
สามีภริยา กับสถานที่จดทะเบียนสมรสจึงหาใชเปนสถานที่มูลคดีของเหตุฟองหยาเกิดตามที่โจทก อางมาในฎีกา
แตอยางใดไม เมื่อปรากฏตามคําฟองของโจทกไดความวาในระหวางสมรสโจทกจําเลยพักอาศัยอยูบานเดียวกัน
ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จําเลยไดกระทําการเปนปรปกษตอการเปนสามีภริยาโดยทํารายรางกายโจทกและขับไล
โจทกออกจากบานอันเปนเหตุฟองหยา ฉะนั้น จังหวัดนครศรีธรรมราชจึงเปนสถานที่มูลคดีของเหตุฟองหยา
เกิดทั้งปรากฏตามคําฟองวาจําเลยมีภูมิลําเนาอยูที่จังหวัดนครศรีธรรมราชโจทกจึงไมมีสิทธิฟองหยาจําเลยที่
ศาลจังหวัดพัทลุงตามบทบัญญัติกฎหมายดังกลาวขางตน
* กรณีบัตรเครดิต
คําพิพากษาฎีกาที่ 6509/2547 แมตามสําเนาใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิตระบุวา สถานที่รับบัตรและ
สงใบเรียกเก็บเงินคือบานจําเลยที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเปนสถานที่มูลคดีเกิด แตในคดีแตละคดีมูลคดีอาจเกิดขึ้นได
หลายแหง คดีนี้หลังจากจําเลยผิดสัญญาใชบัตรเครดิตเปนหนี้จํานวนหนึ่ง โจทกจําเลยไดทําหนังสือรับสภาพหนี้ ซึ่ง
แมวาไมลบลางหนี้เดิมหรือเกิดหนี้ใหมแตหนังสือรับสภาพหนี้ก็เปนนิติกรรมอันชอบดวยกฎหมายมีผลผูกพัน
คูสัญญา จึงถือไดวาสถานที่ที่ทําหนังสือรับสภาพหนี้เปนสถานที่เกิดมูลคดีอีกแหงหนึ่ง เมื่อหนังสือรับสภาพหนี้
ทําที่สํานักงานใหญของธนาคารโจทกซึ่งอยูในอํานาจศาลแขวงพระโขนง อีกทั้งโจทกฟองขอบังคับตามหนังสือ
รับสภาพหนี้และแนบหนังสือรับสภาพหนี้มาทายฟองอันเปนสวนหนึ่งของฟอง การที่โจทกยื่นฟองตอศาลแขวง
พระโขนงจึงชอบดวยมาตรา 4 (1)
* กรณีโทรศัพทมือถือ
คําพิพากษาฎีกาที่ 8450/2547 คําวามูลคดีตามมาตรา 4 (1) หมายถึงตนเหตุอันเปนที่มา แหงการ
001Pang.indd 8 8/6/2560 19:44:24
- 9. ATTORNEY AT LAW LICENSE
9ธีระศักดิ์ สุโชตินันท - คําฟองคดีแพง
โตแยงสิทธิอันจะทําใหเกิดอํานาจฟองรองตามสิทธินั้น สํานักงานใหญของโจทก ซึ่งตองอยูในเขตอํานาจของศาลชั้น
ตนเปนผูพิจารณาอนุมัติสัญญาการใชบริการวิทยุคมนาคม เมื่อไดอนุมัติสัญญาแลวพรอมกันนั้นสํานักงานใหญ
ของโจทก จะเปนผูเปดสัญญาณที่อยูที่สํานักงานใหญของโจทกแลวจึงโทรศัพทแจงสํานักงานสาขา หรือตัวแทน
ของโจทกที่รับคําขอใชบริการเพื่อแจงใหจําเลยซึ่งเปนผูขอใชบริการทราบ หลังจากนั้นจําเลยก็สามารถใชบริการ
วิทยุคมนาคมตามคําขอที่ยื่นไวได การอนุมัติและการเปดสัญญาณของสํานักงานใหญของโจทกในลักษณะ เชนนี้
จึงเปนการกระทําอันใดอันหนึ่งซึ่งมีผลเปนการแสดงเจตนาสนองคําขอของจําเลยที่ไดยื่นคําขอใชบริการตอ
สํานักงานสาขา หรือตัวแทนของโจทกแมถึงจะเปนการแสดงเจตนาที่กระทําตอจําเลยซึ่งมิไดอยูเฉพาะหนา แตก็
ถือไดวาตามปกติประเพณีการตกลงทําสัญญาใหใชบริการวิทยุคมนาคมระหวางโจทกกับจําเลยที่กระทําขึ้นใน
ลักษณะเชนนี้ยอมไดเกิดเปนสัญญาขึ้นเมื่อสํานักงานใหญของโจทกไดสนองรับคําเสนอ โดยเปดสัญญาณวิทยุ
คมนาคมที่สํานักงานใหญของโจทก ซึ่งมีผลทําใหจําเลยสามารถใชบริการวิทยุคมนาคมระหวางโจทกไดแลว
โดยไมจําเปนตองมีคําบอกกลาวสนองไปถึงจําเลยผูเสนอตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 361
วรรคสอง แตประการใดอีก ดังนั้น เมื่อสัญญาการใชบริการวิทยุคมนาคมระหวางโจทกจําเลยไดเกิดขึ้นที่สํานักงาน
ใหญของโจทกซึ่งตั้งอยูในเขตอํานาจของศาลชั้นตน และโจทกฟองขอใหบังคับจําเลยชําระหนี้อันเกิดจากการใช
บริการตามสัญญาการใชบริการวิทยุคมนาคมดังกลาวยอมถือไดวาศาลชั้นตนเปนศาลหนึ่งที่มูลคดีนี้เกิดขึ้นใน
เขตอํานาจ ตามประมวลกฎหมายแพงวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 4 (1) ศาลชั้นตนจึงเปนศาลที่มีอํานาจที่จะ
พิจารณาพิพากษาคดีนี้ได
หลักเกณฑการบรรยายฟองนั้นไดกลาวไวในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 172 วา
“ภายใตบังคับบทบัญญัติมาตรา 57 (รองสอด) ใหโจทกเสนอขอหาของตนโดยทําเปนคําฟองเปนหนังสือยื่นตอ
ศาลชั้นตน
คําฟองตองแสดงโดยแจงชัดซึ่งสภาพแหงขอหาของโจทกและคําขอบังคับทั้งขออางที่อาศัยเปนหลัก
แหงขอหาเชนวานั้น
ใหศาลตรวจคําฟองนั้นแลวสั่งใหรับไว หรือใหยกเสีย หรือใหคืนไป ตามที่บัญญัติไวในมาตรา 18 (การ
ตรวจคําคูความ)”
จะพบวาคําฟองจะเสนอดวยวาจาหรือทําเปนหนังสือก็ได (มาตรา 1 (3)) ในการทําคําฟองนั้นโดยหลัก
แลวตองทําคําฟองเปนหนังสือ (มาตรา 172 วรรคแรก) เวนแตการทําคําฟองในคดีมโนสาเร อาจเสนอดวยวาจา
ได (มาตรา 191 วรรคแรก) ในทางปฏิบัติแมจะเปนคดีมโนสาเรการทําคําฟองทําเปนหนังสือเสมอ
เนื่องจากคําฟองเปนคําคูความที่จะตองสงใหแกคูความอีกฝายหนึ่งหรือบุคคลที่เกี่ยวของ กรณีจึงตก
อยูในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 67 ซึ่งบัญญัติวา “เมื่อประมวลกฎหมายนี้หรือ
กฎหมายอื่นบัญญัติวา เอกสารใดจะตองสงใหแกคูความฝายใดฝายหนึ่ง หรือบุคคลที่เกี่ยวของ เชน คําคูความที่
นําโดยคําฟอง คําใหการ หรือคํารอง หรือคําขอโดยทําเปนคํารอง หมายเรียก หรือหมายอื่น ๆ คําแถลงการณ
หรือสําเนาพยานเอกสาร ฯลฯ เอกสารนั้นตองทําขึ้นใหปรากฏขอความแนชัดถึงตัวบุคคลและมีรายการตอไปนี้
001Pang.indd 9 8/6/2560 19:44:24
- 10. ATTORNEY AT LAW LICENSE
10 เตรียมสอบใบอนุญาตใหเปนทนายความ
(1) ชื่อศาลที่จะรับคําฟอง หรือถาคดีอยูในระหวางพิจารณาชื่อของศาลนั้นและเลขหมายคดี
(2) ชื่อคูความในคดี
(3) ชื่อคูความหรือบุคคล ซึ่งจะเปนผูรับคําคูความหรือเอกสารนั้น
(4) ใจความและเหตุผลถาจําเปนแหงคําคูความหรือเอกสาร
(5) วัน เดือน ป ของคําคูความ หรือเอกสาร และลายมือชื่อของเจาพนักงาน คูความหรือบุคคลซึ่งเปน
ผูยื่นหรือเปนผูสง
ในการยื่นหรือสงคําคูความ หรือเอกสารอื่นใดอันจะตองทําตามแบบพิมพที่จัดไว เจาพนักงาน คูความ
หรือบุคคลผูเกี่ยวของจะตองใชกระดาษแบบพิมพนั้น สวนราคากระดาษแบบพิมพนั้นใหเรียกตามที่รัฐมนตรี
วาการกระทรวงยุติธรรมจะไดกําหนดไว” ตามบทบัญญัติมาตรา 67 นี้ รายการในคําฟองมี 5 ประการ ดังนี้
1) ชื่อศาลที่จะรับคําฟอง หรือถาคดีอยูในระหวางพิจารณาชื่อของศาลนั้นและเลขหมายคดี
1.1) ชื่อศาลที่จะรับคําฟอง หมายความวาคําฟองที่จะเสนอตอศาลที่มีเขตเหนือคดี ในคําฟองนั้นตอง
ลงชื่อศาลที่จะนําคําฟองไปเสนอดวย เชน ศาลที่มีเขตเหนือคดี คือศาลจังหวัดอุทัยธานี คําฟองที่จะนําเสนอตอ
ศาลจังหวัดอุทัยธานี ตองลงวาศาลจังหวัดอุทัยธานี
1.2)หรือถาคดีอยูในระหวางพิจารณาชื่อของศาลนั้นและเลขหมายคดีหมายความวามีคดีอยูในระหวาง
พิจารณา หากเสนอคําฟองภายหลังเกี่ยวเนื่องกับคดีที่คางพิจารณาตอศาลที่พิจารณาคดีแรก คําฟองที่เสนอ
ภายหลังตองลงชื่อศาลที่กําลังพิจารณาคดีแรกและเลขหมายคดี เชน คดีแรกอยูในระหวางการพิจารณาของ
ศาลจังหวัดธัญบุรี หากโจทกประสงคเพิ่มเติมหรือแกไขคําฟอง คําฟองเพิ่มเติมหรือแกไขตองลงชื่อศาลจังหวัด
ธัญบุรี และเลขหมายคดีของคดีที่อยูในระหวางพิจารณา “เลขหมายคดี” หมายความวาเมื่อมีคดีขึ้นมาสูศาล
ศาลจะลงเลขเรียกวา “เลขดํา” ตามลําดับของการที่เกิดคดีขึ้นในปนั้น
2) ชื่อคูความในคดี หมายถึงชื่อตัวความคือชื่อโจทกผูยื่นคําฟองและชื่อจําเลย ผูที่โจทกยื่นคําฟองขอ
ใหเรียกเขามาเปนจําเลย กรณีโจทกจําเลยเปนนิติบุคคล ตองเรียกนิติบุคคลนั้นตามชื่อหรือตามชื่อที่จดทะเบียน
(มาตรา 68) ถาตัวความมิไดฟองคดีเองมีผูอื่นฟองคดีแทนตัวความเชนนี้จะตองระบุไวชัดเจนวาตัวความคือใคร
ผูฟองแทนเปนใคร โดยระบุชื่อตัวความไวหนาชื่อผูใชอํานาจฟองแทนไวหลัง
3) ชื่อคูความหรือบุคคลซึ่งจะเปนผูรับคําฟองนั้น ซึ่งหมายถึงจําเลยนั่นเอง โดยตองระบุชื่อจําเลย
ภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยูของจําเลยเพื่อจะไดสงสําเนาคําฟองและหมายเรียกใหจําเลยไดถูกตอง
4) ใจความและเหตุผล ถาจําเปนแหงคําคูความหรือเอกสาร หมายความวา นอกจากจะตองปฏิบัติตาม
รายการทั้งสามรายการขางตนแลว จะตองมีขอความในฟองนั้นวาจะฟองอยางไร กลาวคือ ตองเรียบเรียงคําฟอง
โดยมีใจความและเหตุผลตามที่จําเปนในการฟองคดีนั้น การเรียบเรียงคําฟองโดยมีใจความและเหตุผลตาม
ที่จําเปนอยางไรนั้นคงเปนไปตามที่บัญญัติไวในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 172 วรรคสอง วา
“คําฟองตองแสดงโดยแจงชัดซึ่งสภาพแหงขอหาของโจทกและคําขอบังคับทั้งขออางที่อาศัยเปนหลักแหงขอหา
เชนวานั้น” ใจความและเหตุผลที่เราจะใสในคําฟองจึงประกอบดวย 2 ประการคือ สภาพแหงขอหาของผูที่เปน
โจทกนั้น พรอมทั้งขออางที่อาศัยเปนหลักแหงขอหาเชนวานั้น และคําขอบังคับ
001Pang.indd 10 8/6/2560 19:44:25